ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic B.A.P] Le Ciel Bleu (The Blue Sky) - BangChan

    ลำดับตอนที่ #3 : Sunrise & Sunset

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 209
      0
      31 พ.ค. 58

                                         

       Le Ciel Bleu 3 

     Sunrise & Sunset

     

     I wanna be with you before sunrise & after sunset.

     

     

    ร่างสูงเพรียวในชุดลำลองกางเกงขาสั้นสีฟ้าหม่น กับเสื้อกล้ามสีขาว ลู่แนบไปตามลำตัวเพราะสายลมที่คอยโบกพัด คอด้านหน้าเว้าจนเห็นแผงอกด้านบน โชว์ผิวสีสวยพร้อมกับมัดกล้ามที่ดูกำยำปราศจากไขมัน และทำให้เห็นว่าเขาเป็นเจ้าของรอยสัก รูปสัตว์ในเทพนิยายที่มีปีกขนาดใหญ่บนแผงอกแกร่งนั่น

     

    เขาเดินเรื่อยลงมาตามทางที่ลาดยาว พลางสูดรับอากาศบริสุทธิ์ที่แสนจะสดชื่นในยามเช้า แสงแดดอ่อนๆ เริ่มสาดส่องจากทางมุมขอบฟ้าทางด้านหน้าผาสูง เดินเรื่อยมาชมดอกไม้สีม่วงที่ปลูกไว้เต็มข้างทางอย่างไม่รีบร้อน ผ่านบ้านสีขาวที่สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นทุกครั้งที่ได้เห็น 

     

     

    พี่ยงกุกต้องตื่นมาแต่เช้า มาทานเบรคฟาสต์กับพวกเราด้วยนะครับ

    ดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าๆ กัน สวยมากๆ เลยนะ จะให้ผมช่วยปลุกไหม

     

     

    เขานึกถึงคำเชื้อเชิญของน้องชายช่างพูด ระหว่างเดินนำเขาไปที่ห้องพัก หลังจากมื้อค่ำเมื่อวาน

     

    จำได้ว่าเขาแค่ส่ายหน้าพร้อมกับยกยิ้มเบาๆ ที่มุมปาก เป็นเชิงตอบรับกลายๆ ว่าเขาสามารถตื่นเองได้เพื่อมาร่วมรับประทานอาหารเช้ากับทุกคน เพื่อเป็นการไม่เสียมารยาท

     

    นึกอยากจะขอเปลี่ยนห้องพักที่ทางเจ้าของบ้านจัดไว้ให้ เพราะดูมากมายเกินไปสำหรับเขา  การตกแต่งสไตล์บารอค ที่แลดูหรูหราฟู่ฟ่าเกินความจำเป็นเพื่อการใช้สอย ซึ่งเป็นสไตล์ที่เขาไม่ค่อยชื่นชมเป็นการส่วนตัวเสียด้วย เตียงนอนที่มีเสาสี่มุมพร้อมกับประดับประดาไปด้วยผ้าไหมและผ้าลูกไม้ระโยงระยาง รวมไปถึงโต๊ะเครื่องแป้ง ตู้เสื้อผ้า หรือชุดโซฟาที่จัดไว้เข้าชุดที่แสนจะประณีตบรรจงจากการแกะสลักไม้ให้เป็นลวดลายที่อ่อนช้อยดูงดงามและหรูหรา  ทำเอาเขานอบแทบไม่หลับ แต่จะว่าไปก็ไม่ได้อยากโดนหาว่าเรื่องมากเท่าไรนัก เกรงว่าจะทำให้ผู้ว่าจ้างคนใหม่จะไม่พอใจเอา

     

    อยู่ดีๆ ดวงตาคู่เรียวสวยแต่คมกริบและใบหน้าที่เรียบนิ่งราวกับรูปสลักไม่ค่อยแสดงความรู้สึกนั้น ก็กลับลอยเข้ามาในหัวเขาซะเฉยๆ จนเจ้าตัวสะบัดหัวไปมา เหมือนจะไล่ความคิดนั้นให้ออกไปและเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว 

     











    ร่างสูงหยุดยืนที่ขอบบันได ซึ่งนำไปสู่พื้นหาดทรายสีขาวและทะเลสีเทอร์ควอยซ์เบื้องล่าง 

     

    สังเกตเห็นกระโจมขนาดไม่ใหญ่นัก มีหลังคาแหลมสีขาว ตกแต่งด้วยผ้าโปร่งคลุมทั้งหลังที่ตอนนี้ด้านหน้าถูกผูกแยกเก็บตรงมุมทั้งสองด้านเพื่อเปิดให้เป็นทางเข้า มองทะลุผ้าบางๆ นั่นไปจะเห็นเจ้าของบ้านนัยน์ตาคมกำลังนั่งไขว่ห้างจิบกาแฟ อยู่บนโต๊ะอาหารที่มีลวดลายเถาวัลย์ทำขึ้นจากเหล็กดัดสีขาวเข้าชุดกับเก้าอี้  ริมฝีปากสีแดงสดถูกเม้มเป็นเส้นตรง ราวกับเจ้าตัวกำลังจดจ่อกับการอ่านนิตยสารตรงหน้า ผมสีน้ำตาลอ่อนโบกพลิ้วไปตามแรงลม ผิวขาวผ่องที่โผล่พ้นออกมาจากเสื้อเชิ้ตและกางเกงพอดีตัวห้าส่วนสีขาวนั่น ยิ่งทำให้บรรยากาศเช้าวันใหม่ของเขานี้ ดูสดใสเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

     

    เขาเดินลงไปบนชายหาดสีขาว ในขณะที่ยิ่งเข้าไปใกล้ ก็ลอบสังเกตนิตยสารชื่อดังในมือขาวๆ ของคนที่นั่งอ่านอยู่อย่างเพลิดเพลิน เห็นพาดหัวตัวใหญ่ที่น่าจะเขียนว่า “The Evolution of Classical Music with …” รวมไปถึงภาพหน้าปกที่เป็นชายหนุ่มหน้าตาดีที่ทำหน้านิ่งๆ ละม้ายคล้ายกับคนที่กำลังถือนิตยสารเล่มนี้อยู่ ส่วนคนในรูปนั่งอยู่บนเก้าอี้สีดำตรงหน้าแกรนด์เปียโนสีดำกลางห้องโถงใหญ่

     

    “บงชูร์” เสียงต่ำๆ ดังขึ้นเพื่อทักทายคนตรงหน้า และก็ค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้เหล็กดัดสีขาวที่ตั้งอยู่ตรงกันข้าม

    มือขาวๆ ค่อยๆวางหนังสือลงบนโต๊ะ และมองสบตากับคนที่ส่งเสียงทักทาย ด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง

    “บงชูร์ ผมขอโทษทีที่เสียมารยาท ไม่ได้สังเกตว่าคุณกำลังเดินมา”

    ชายหนุ่มร่างสูงไว้หนวดที่ตัดเล็มไว้อย่างสวยงาม ในชุดทักซิโด้หางยาวคนเดิม ก้าวเข้ามาจัดวางชุดจานและอุปกรณ์บนโต๊ะอาหารอย่างชำนาญให้คนที่เพิ่งมา โดยสุดท้ายพับผ้าสีขาวให้เป็นสามเหลี่ยมก่อนพาดวางไว้ที่ขาของเขา

    “คุณจะรับอะไรดี” เจ้าของบ้านถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ

    “ผมขอกาแฟดำแก้วเดียวก็พอ”

    “ลองครัวซองต์ไหม หรือจะเอาแปงเดอมี ธรรมดาๆ”  บทสนทนาถูกเริ่มขึ้นเพื่อรักษามารยาทของเจ้าบ้านที่มีให้กับแขก

    กาแฟดำถูกรินใส่แก้วกระเบื้องสีขาวขอบทองเข้าชุดกับจานรองแก้ว และวางไว้ข้างๆเขา

     “แปง โอ เบลอร์ กับ แปง โอ ช็อคโกล่า ของโปรดยองแจกับแดฮยอน ลองดูสิ”

     

    คนถามเมื่อไม่เห็นว่าอีกฝ่ายตอบกลับ ก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ แต่ชวนน่าฟัง ดูเหมือนจะพยายามให้แขกของเขาได้ชิมรสชาติแสนอร่อยของเจ้าบ้าน พลางหยิบตะกร้าหวายขนาดย่อม ที่ข้างในเต็มไปด้วยขนมปังกับครัวซองต์ตามที่คนพูดเอ่ยถึง ซึ่งส่งกลิ่นหอมและยังมีไออุ่นจากเตาให้น่าลิ้มลอง

     

    คนที่เพิ่งถูกเสิร์ฟด้วยกาแฟดำกลิ่นหอมกรุ่น  กำลังยกแก้วใบสวยขึ้นดื่ม ส่งสายตายิ้มๆ มองคนตรงข้าม มองแวบเดียวก็รู้ว่า อีกฝ่ายไม่ได้แตะต้องอะไรเลย เพราะจานตรงหน้าก็ยังดูสะอาด และมีแค่กาแฟดำเพรียวๆ ในแก้วแบบเดียวกันกับเขาเท่านั้นที่ดูพร่องไป

     

    เขาค่อยๆ วางแก้วลงแล้วเอ่ยถามอีกฝ่ายอย่างยิ้มๆ ว่า

     

    “คุณชอบทาน ปัง เหรอครับ” เสียงต่ำๆ ถามขึ้นอย่างนุ่มนวล โดยเน้นคำว่าปังเป็นพิเศษ  พร้อมกับมองเข้าไปในตาเรียวสวยคมคู่นั้น เขาเห็นน้ำที่คลออยู่นัยน์ตาส่องประกายวาบวับสั่นไหวอยู่แวบหนึ่ง ก่อนอีกฝ่ายจะเบือนหน้าหันไปมองที่ท้องทะเลกว้างสีมรกต

     

    ได้ยินฝ่ายที่ถูกถามตอบกลับเบาๆ “ก็..ทานบ้าง”

     

    ไม่ทันได้พูดอะไรกันต่อ ทั้งสองคนก็หันไปตามเสียงดังที่ตะโกนลั่นมาจากทางทะเล


    “พี่ยงกุก พี่ฮิมชาน” หนุ่มน้อยผมดำเข้มปรกหน้าผาก ใส่เสื้อยืดสีขาว ที่ตอนนี้เปียกชุ่มแนบเนื้อขาวเนียนที่สมส่วนของเขาไปทั้งตัว โบกมือไปมาอยู่ในทะเลทักทายให้พี่ชายของเขาทั้งสองที่นั่งอยู่บนริมหาด


    ภาพที่ทั้งสองคนที่ถูกร้องเรียกเห็นจากนั้นคือ หนุ่มน้อยถูกกระชากให้จมลงไปในน้ำ น้ำสีฟ้าอมเขียวกระจายเป็นวงกว้าง และถูกตีเป็นฟองคลื่น สักพักคนตัวบางในเสื้อขาวก็ยืดตัวขึ้นมาเต็มความสูงอีกครั้ง โดยระดับน้ำทะเลอยู่ช่วงกลางหน้าอก ขยี้ตา และส่งเสียงกระแอมเหมือนสำลักน้ำ ข้างหลังเขาที่โผล่ขึ้นมาจากน้ำเป็นหนุ่มน้อยอีกคนที่มีผิวสีเข้มกว่าโถมเข้ามากอดรัดจากข้างหลังอีกครั้ง กล้ามแขนแข็งแรงกำลังออกแรงทั้งดึงและลากคนผิวขาวให้ออกไปไกลจากชายฝั่งมากยิ่งขึ้น ฝ่ายที่ถูกรัดก็ร้องตะโกนลั่นและพยายามขืนตัวแต่ก็สู้แรงอีกฝ่ายไม่ไหว คนที่ดึงก็หัวเราะลั่นด้วยความสนุก และทั้งสองก็ค่อยๆ จมหายไปในท้องทะเลสีเขียว

    ผ่านไปไม่กี่อึดใจ คนตัวขาวก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำในช่วงระดับน้ำที่เขาต้องพยุงตัวเอาไว้ เนื่องจากระดับน้ำสูงกว่าความสูงของเขา เขาสะบัดแขนและขาใต้น้ำเพื่อว่ายพยุงตัว ให้หันไปมารอบด้าน

     

    “แดฮยอน แดฮยอน อยู่ไหนเนี่ย” ตะโกนเรียกชื่อคนที่ยังไม่โผล่ขึ้นมาเสียงดัง

     

    เขาสูดหายใจเข้าให้เต็มปอดพร้อมกับมุดดำลงไปใต้น้ำสีเขียว น้ำใสจนเห็นหินใต้น้ำ สาหร่ายทะเลสีเขียวเข้มที่ขึ้นอยู่เป็นหย่อมๆ ว่ายวนใต้น้ำอยู่สักพัก มองไปรอบๆด้านก็ไม่เห็นใครอยู่บริเวณนั้นเลย เขาจึงถีบตัวขึ้นสู่ผิวน้ำอีกครั้ง เพราะอากาศที่อยู่ในปอดเริ่มหมด

     

    มองไกลๆจากชายฝั่ง พี่ชายทั้งสองก็จับตาดูน้องชายตัวบางๆ ที่ตอนนี้ว่ายวนไปมาอยู่ตรงกลางทะเลที่ค่อนข้างลึกและไกลออกไปจากฝั่ง ได้ยินเสียงตะโกนร้องเรียกชื่อเพื่อนสนิทของเขาอีกคนอยู่ไม่ขาด

     

    ในขณะที่ฝ่ายเจ้าของบ้านยังคงมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความสงบนิ่งแกมอมยิ้มที่มุมปากนิดๆ อย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก แต่คนที่เป็นแขกตอนนี้กลับขมวดคิ้วเพราะรู้สึกถึงความไม่ปกติที่เกิดขึ้น เขาทำท่าจะลุก แต่คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามหันมาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มๆ อย่างใจเย็นว่า “เด็กๆเล่นกัน คุณไม่ต้องตกใจ” พร้อมกับหันกลับมาและเปิดนิตยสารเล่มเดิมอ่านต่อไปอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

     

    ไม่ให้ตกใจงั้นเหรอ เขายกแขนขึ้นกอดอก พร้อมมองกลับไปจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างต้องการค้นหาคำตอบที่น่าแปลกใจ

    “คุณหมายถึงพวกเขาเล่นลากกันไปในทะเลแบบนี้เป็นประจำงั้นเหรอ” ถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ดูจะหงุดหงิด คิ้วขมวดดูกระวนกระวายใจ จ้องคนใจเย็นที่อยู่ตรงข้ามสลับกับหันกลับไปทางทะเลเพื่อจับตาดูอย่างระวัง 

    แทนที่คนถูกถามจะโกรธเพราะอีกฝ่ายแสดงท่าทีฉุนเฉียวใส่ เขากลับเบิกตาคมสวยขึ้นน้อยๆ เหมือนงงๆกลับท่าทีของอีกฝ่ายว่า   ทำไมต้องดุ ทันที่ที่สายตาหงุดหงิดสบเข้ากับตาเรียวสวยคู่เดิม ที่ตอนนี้กลับทำตาโตใส่เขา ช่างเต็มไปด้วยความขี้เล่น แววตาที่ส่องประกายระยิบระยับ เหมือนจะกำลังทอแสงแข่งกับพระอาทิตย์ที่เริ่มขึ้นสูงตรงมุมขอบฟ้านั่น จมูกโด่งได้รูปรับกับ     ริมฝีปากหยักสวยที่แย้มออกบางๆ ได้อย่างพอดิบพอดี ทำให้เขาหยุดนิ่งมองใบหน้าของคนตรงหน้าอย่างลืมตัว ฝ่ายที่ถูกมองเหมือนจะรู้ตัวจึงเบือนหน้าหันกลับไปดูบรรดาน้องชายที่ผืนทะเลกว้างอีกครั้ง

     

    ทั้งสองหันกลับไปทันที่จะเห็นหนุ่มน้อยตัวขาวที่กำลังจะดำลงไปใต้น้ำทะเลลึกอีกรอบ คราวนี้เจ้าตัวเริ่มว่ายออกไปทางขวาและพยายามเพ่งมองไปรอบๆทิศ ผมสีดำขลับแลดูโบกพลิ้วไปตามเวลาที่แหวกว่ายใต้น้ำทะเลนิ่ง เสื้อสีขาวแนบเข้ากับเรือนร่างท่อนบนที่ดูสมส่วนอย่างสมบูรณ์แบบ

     

    แต่อยู่ดีๆ ก็เหมือนกับถูกรัดจากทางด้านหลังจนเจ้าตัวตกใจ พยายามสะบัดหันกลับไปจึงเจอเพื่อนสนิทตัวดีกำลังลอยตัวประจันหน้ากับเขาอยู่ น้ำทะเลสีเขียวใสจึงเห็นว่าอีกฝ่ายส่งยิ้มให้จนหน้าขึ้นรอยย่นเหมือนหนวดแมว คนเสื้อขาวสะบัดตัวกลับและกำลังจะว่ายหนีออกไป แต่ก็ถูกเจ้าของผิวสีแทนที่เอื้อมมาจับมือเขาเอาไว้แน่น พยายามให้ว่ายไปในทิศทางเดียวกัน ไม่นานทั้งสองก็ว่ายผ่านแนวปะการังสีรุ้งที่เพิ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติไม่นาน ทั้งสองต่างประสานมือกันไว้ในขณะที่ลอยตัวชื่นชมแนวปะการังนั้น ก่อนที่ลมหายใจใต้ท้องทะเลเฮือกสุดท้ายจะหมดลง และทั้งสองก็ค่อยๆลอยตัวขึ้นมาบนผิวน้ำทะเล

    “สวยใช่ไหมล่ะ เพิ่งเจอเลย” หนุ่มน้อยผิวสีแทนถามเพื่อนด้วยรอยยิ้มกว้างเห็นฟันขาวเรียงสวย รอยย่นบนใบหน้ายิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้กับรอยยิ้มนั้นมากมาย แววตาเต็มไปด้วยความซุกซนแต่ก็เปี่ยมไปด้วยความกระปรี้กระเปร่าอย่างมีพลังอยู่ตลอดเวลา

    “ทำไมชอบเล่นแบบนี้” อีกฝ่ายถามด้วยเสียงขุ่นมัวไม่พอใจ

    “ยองแจ โกรธอีกแล้วเหรอ โห ก็อยากให้เซอร์ไพส์ดูของสวยๆ” พูดด้วยน้ำเสียงขี้อ้อนที่ทุ้มกังวานน่าฟัง พร้อมกับลอยตัวเข้ามาใกล้ๆ และเขย่าแขนอีกฝ่ายเบาๆ หยีตาขึ้นมองแสงแดดที่โผล่พ้นฟ้าเห็นว่าเริ่มส่องแสงแรงมากขึ้น จึงเอื้อมมือไปจับมือของคนที่ถูกอ้อนไว้แน่น และออกแรงดึงให้ลอยตัวกลับเข้าฝั่งไปด้วยกัน

    คนผิวสีแทนพยายามลอยคอและสอดมือเกี่ยวนิ้วกลมทั้งห้าของอีกฝ่ายไว้ แต่ตาของเขาจ้องมองไปที่ชายฝั่งด้วยสายตามุ่งมั่นเป็นประกายสดใส

     

    “รีบกลับกัน แดดเริ่มมาแล้ว เดี๋ยวพี่ฮิมชานร้อนแย่”

     

    พอจบประโยค คนตัวขาวที่จับมือตอบกลับอีกฝ่ายไว้แน่นเช่นกัน ค่อยๆคลายมือและพยายามจะสะบัดมือออก ใบหน้าและนัยน์ตามีหยดน้ำจากทะเลเกาะโดยรอบ หากแต่สังเกตดีๆ ตอนนี้กลับดูแดงระเรื่อขึ้นและมีน้ำใสๆคลอขึ้นมาที่ขอบตากลมโต ใช่เขารู้อยู่ตลอดเวลา พี่ฮิมชานมักจะมาก่อนทุกอย่าง สำหรับเพื่อนสนิทของเขาเสมอ

    ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายเริ่มรู้สึกถึงมือที่เริ่มคลายออกของเขารึอย่างไร จึงยิ่งบีบมือของเขาไว้แน่นอย่างที่ไม่ยอมจะปล่อยให้หลุดมือไปไหนได้เช่นกัน

    __________________________________________________________________________________________________

     

    “แดฮยอนไปสะบัดไกลๆพี่สิ” เสียงเข้ม แกมมองด้วยตาคมดุ ว่าคนที่กำลังสะบัดผมแล้วน้ำเปียกๆ กระเด็นโดนใส่ เจ้าตัวที่โดนดุเลยหันมาทำหน้าอ้อนๆ ใส่เหมือนจะขอโทษ

    “ขอบคุณครับ คุณอังเดร” เสียงทุ้มสดใส ยิ้มรับผ้าขนหนูผืนใหญ่สีขาวจากชายหนุ่มสูงวัยในชุดทักซิโด้ จากนั้นก็ยกผ้าผืนหนึ่งมาคลุมหัวให้คนที่มีความสูงไล่เลี่ยกันกับเขา ถึงจะมีช่วงไหล่ที่กว้างแต่เห็นได้ชัดว่าลำตัวดูบางกว่าเยอะ

    “ฮ่าๆ “ เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง สร้างบรรยากาศในกระโจมผ้าสีขาวได้อย่างสดใสอย่างน่าประหลาด ตอนนี้เขากำลังใช้ผ้าสีขาวยีหัวเล็กๆ ของเพื่อนสนิทอยู่อย่างเอ็นดู อีกฝ่ายมองรอดผ้าขนหนูผืนใหญ่ออกมาอย่างรำคาญ และยกมือปัดไม่ให้อีกฝ่ายมายุ่ง แต่อีกคนก็ยังหัวเราะและยีหัวเล็กๆนั่นต่ออย่างอารมณ์ดี

    “แดฮยอนเลิกแกล้งยองแจได้แล้ว รีบกลับไปอาบน้ำเดี๋ยวไม่สบาย” พี่ชายที่เป็นเจ้าของบ้านกำลังกอดอก ส่งเสียงดุแต่ก็เต็มไปด้วยความห่วงใย

    “ไปกันยองแจ ผมจะกลับกับชอคโคล่านะฮะ” ทำตาโตมองออกไปนอกกระโจมสอดส่องหาม้าตัวโปรดที่ผูกติดอยู่กับขื่อไม่ไกลจากกระโจมริมหาดเท่าไหร่ ก่อนที่จะหันตัวมาจับมือเพื่อนสนิทไว้แน่นก่อนที่จะพาเดินออกไปด้วยกัน

    คนตัวขาวที่มีผ้าขนหนูผืนใหญ่คลุมตั้งแต่หัวจนถึงกลางลำตัวดูจำยอมที่จะโดนจูงออกไป ใบหน้าเล็กๆ ดวงตากลมโตใต้ผ้ายิ่งทำให้ดูน่าเอ็นดูไปอีก เขาหันไปมองพี่ชายนักสถาปนิกอย่างเป็นห่วง เพราะตัวเองไม่ได้ดูแลอะไรเขาเลย ทั้งๆ ที่เอ่ยปากชวน ให้มาทานอาหารเช้าด้วยกัน พี่ชายของเขาก็มองกลับด้วยสายตาอ่อนโยน ยิ้มที่มุมปากเบาๆ ให้รู้ว่าไม่ต้องเป็นห่วงอะไรเขา

    หนุ่มน้อยผิวสีแทนยกตัวเองอย่างรวดเร็วคล่องแคล่วขึ้นไปบนหลังม้าตัวใหญ่ขนสีดำเข้มสมกับชื่อชอคโกล่า มือข้างหนึ่งจับสายบังคับไว้ให้มั่นคง ก่อนที่มืออีกข้างหนึ่งจะเอื้อมลงมาช่วยดึงคนที่อยู่ใต้ผ้าขนหนูสีขาวให้ขึ้นมานั่งซ้อนด้านหลัง

    “ยองแจจับแน่นๆนะ เดี๋ยวตกไม่รู้ด้วย ฮ่าๆ” เสียงทุ้มน่าฟังพูดแหย่ขึ้นมาเบาๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคน ก่อนที่อีกฝ่ายจะเอื้อมมือทั้งสองข้างมากอดเอวเขาและเอามือประสานกันไว้ที่ด้านหน้า คนบังคับม้าเอามือของเขากอบกุมมือที่ประสานไว้แน่นเหมือนจะเป็นการเน้นย้ำว่าอีกฝ่ายเกาะเขาดีแล้ว ก่อนจะบังคับม้าให้เริ่มวิ่งกลับปราสาทไป

     

    ______________________________________________________________________________________________________

     

     

    เสียงเปียโนที่ลอยแว่วออกมาจากตัวบ้านสีขาวแทบจะตลอดทั้งวัน ทำให้คนที่นั่งทำงานอยู่บริเวณโต๊ะเหล็กดัดสีขาวตรงนอกชาน แลดูจะมีอารมณ์สุนทรีย์ร่วมดื่มด่ำไปกับบทเพลงโซนาต้าหลากหลายบทที่ถูกนำมาเล่นโดยเจ้าของบ้านซ้ำไปซ้ำมา   แทนที่จะทำให้เขารำคาญเพราะต้องใช้สมองคิดการสร้างแบบแปลนและตัวบ้านให้ออกมาเป็นรูปเป็นร่างโดยเร็วที่สุด แต่เขากลับรู้สึกเพลิดเพลินยังไงบอกไม่ถูก

     

    ในระหว่างนิ้วเรียวสวยของเขากำลังคลิกเม้าท์สร้างรูปแบบของบ้านไปมา อมยิ้มน้อยๆ ก็ผุดขึ้นที่ริมฝีปากหนาได้รูป และสีหน้าก็ดูผ่อนคลาย นึกดีใจที่เจ้าของบ้านเลือกที่จะซ้อมเปียโนของเขาในบ้านริมหน้าผาแทนที่จะกลับไปปราสาทหลังงามของเขาตั้งแต่เมื่อเช้า เหลือบดูนาฬิกาที่ข้อมือบอกเวลาเกือบห้าโมงเย็นแล้ว เขาตกใจนิดๆ ว่าเขานั่งทำงานทั้งวันที่นี่จนเพลินและลืมเวลาเลยหรือนี่ แอบอมยิ้มที่มุมปากนิดๆ หรืออาจเป็นเพราะเขาฟังเสียงเปียโนเพราะๆจนลืมทุกอย่างไปเลยกันแน่นะ

     

    รู้สึกเมื่อยตัวจึงลุกจากโต๊ะ เพื่อบิดตัวไปมาผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เสียงเปียโนจากด้านในเงียบไปแล้ว สงสัยคนข้างในคงจะกำลังพักเหมือนกับเขา รู้สึกเริ่มหิวนิดๆ เพราะทานแซนวิชไปแค่ชิ้นเดียวในช่วงกลางวัน สักพักเสียงเปียโนก็ดังแว่วออกมาอีก  หากแต่คราวนี้ช่างเป็นท่วงทำนองที่ฟังดูอ่อนหวาน เขาหันหน้ากลับเข้าไปทางตัวบ้าน แสงแดดที่ค่อยๆ ทอแสงอ่อนลงพร้อมกับที่จะเลือนลับไปทางด้านขอบฟ้า ส่องผ่านหมู่แมกไม้ใหญ่ในบริเวณนั้นผ่านลงมาบนร่างสูงโปร่งทำให้เห็นเป็นสีนวลๆ สลับกับเงาของร่มไม้ ที่ส่องกระทบเสี้ยวหน้าด้านข้างที่คมสันของเขา


      






    ชายหนุ่มเดินตรงเข้าไปในตัวบ้านเรื่อยๆ คล้ายๆ กับตกอยู่ในภวังค์แห่งท่วงทำนองที่บรรเลงได้หวานจับใจ สมกับชื่อเพลงซึ่งเขารู้จักเป็นอย่างดี Träumerei  เขาเดินเข้าไปผ่านห้องเล็กๆ ด้านหน้า เจอบันไดวนเพื่อขึ้นไปชั้นบน เดินผ่านไปช้าๆ อย่างล่องลอยคล้ายๆ กับตกอยู่ในความฝันไปตามเสียงเปียโนแสนหวาน เข้าไปถึงห้องด้านในสุดของบ้านที่มีเตาผิงอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยชุดโซฟาหนังสีน้ำตาลดูอบอุ่นสีกลืนไปกับพรมที่ดูหนานุ่มในโทนสีเดียวกัน เขาไม่ได้สนใจรายละเอียดอะไรมากนัก นอกจากจะมองไปที่แผ่นหลังของคนตรงหน้า ที่กำลังนั่งตัวตรงพรมนิ้วไปบนเปียโนที่อยู่ติดผนังสีน้ำตาลเข้มตามเนื้อไม้มะฮอกกานีที่มีลวดลายการแกะสลักที่สวยงามอยู่ตามจุดต่างๆของเปียโน ดูเป็นเปียโนที่สั่งทำมาพิเศษ                         มีอักษรภาษาอังกฤษถูกสลักแบบหวัดๆเป็นชื่อสีขาวตรงกลางว่า Charlotte

     


    ตอนนี้ในห้องรับแขกขนาดย่อมแต่เต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่น เพราะมีชายหนุ่มสองคนที่กำลังดื่มด่ำไปกับท่วงทำนองเพลงแห่งความฝัน ผู้ฟังยืนพิงกรอบประตูทางเข้าจ้องมองไปยังผู้เล่นที่กำลังจดจ่อต่อการทิ้งจังหวะนิ้วพรมลงไปบนตัวคีย์สีขาวและดำของเปียโนอย่างอ่อนโยน จนในที่สุดนิ้วขาวเรียวงามก็แตะลงไปบนโน้ตตัวสุดท้ายของบทเพลงอย่างแผ่วเบา คนที่ยืนพิงกรอบประตูก็เผลอพูดกับตัวเองอย่างไม่ตั้งใจว่า “ทรอย เมอ ราย”

     

    เสียงแหบต่ำที่ดังมาจากเบื้องหลัง ทำให้คนที่อยู่ตรงหน้าเปียโนหันกลับไปมองทางต้นเสียงทันที สายตาคมที่แฝงไว้ด้วยแววหวานอาจเป็นเพราะกำลังผ่อนคลายอารมณ์ไปกับบทเพลงมองจ้องมาที่ทางคนพูด


    “คุณรู้จักเพลงนี้ด้วยเหรอ”


    “คะ..คะ ครับ รู้จักสิ ก็ทำนองนี้ใครๆก็ต้องเคยฟัง”


    “แปลกใจ ผมนึกว่าคุยไม่ฟังแนวนี้” ผู้ถามเอียงคอถามน้อยๆพร้อมกับจ้องมองอย่างสงสัย


    “ผมต้องขอโทษที่เข้ามาเสียมารยาทนะครับ เชิญคุณเล่นต่อไปเถอะ เอ่อ ผมไปก่อน” หลังจากพูดจบ ร่างสูงก็ขยับตัวจะออกจากห้องไป 


    “เดี๋ยวครับ ผมไม่แน่ใจว่ายองแจได้บอกคุณรึยังว่า เย็นนี้เราจะมีปาร์ตี้บาร์บีคิวริมชายหาด ยังไงก็ขอเชิญ” น้ำเสียงนิ่งๆ แต่ฟังดูแล้วเหมือนเชิญชวนมาจากใจจริง จนคนฟังขานรับตอบ “ผมยินดีมากครับ” ยิ้มที่มุมปากเบาๆ ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป

    _____________________________________________________________________________________________________

     

    พระอาทิตย์ที่ค่อยๆ ตกพ้นขอบฟ้า ความมืดย่างก้าวเข้ามาครอบคลุมพื้นหาดทรายละเอียดและผืนน้ำทะเลใส หากแต่ตอนนี้กองไฟและคบเพลิงยาวที่ตั้งอยู่บริเวณริมชายหาดก็ทำให้บรรยากาศโดยรอบสว่างไสว เสียงหัวเราะแห่งความสุขดังขึ้นไม่ขาด ได้ยินเสียงแก้วไวน์ที่ยกกระทบกันเพื่อร่วมดื่มดังขึ้นอยู่เรื่อยๆ หลังจากที่เจ้าของบ้านพร้อมกับบรรดาแขกผู้มาเยือนได้ร่วมรับประทานอาหารมื้อเย็นกันเรียบร้อยแล้ว ต่างก็มานั่งที่เก้าอี้ชายหาดเล็กๆ ที่ถูกวางไว้ใกล้ๆ กับกองไฟ เพื่อให้ความอบอุ่นในยามค่ำคืนของการย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิซึ่งยังมีลมเย็นๆ พัดผ่านมาอย่างต่อเนื่อง

    เสียงกีตาร์ถูกเริ่มบรรเลงขึ้นจากเจ้าของบ้าน หากแต่การกดสายกีตาร์อาจยังไม่แน่นนัก ทำให้เวลาดีดเป็นจังหวะเสียงที่ดังออกมาฟังดูแปร่งๆ  หากแต่จะมีเสียงหวานๆ ของคนตัวเล็กสุดร้องคลอออกมาตามไปกับบทเพลงง่ายๆ ที่คนเล่นพอจะเล่นได้ หากแต่คนเล่นก็ดูจะไม่ค่อยพอใจกับฝีมือของตัวเองและเผลอถอนหายใจดังๆ ออกมาเป็นช่วงๆ

    “แดฮยอน นั่งดีๆสิ” เสียงทุ้มๆ เปล่งเสียงดุคนที่กำลังนั่งชิดเขาแล้วเอามือมาเกาะที่หน้าขา และวางหัวมาซบบนไหล่ ซึ่งทำให้เขาเล่นกีตาร์ได้ไม่ถนัดนัก ถึงจะโดนดุแต่คนที่อายุน้อยกว่าก็ไม่สนใจ ทำท่าเป็นหลับพริ้มบนไหล่กว้างๆนั้น

    มีสายตาคู่หนึ่งที่มองคนเสื้อขาวที่มีกีตาร์อยู่ในมือไม่วางตา เขารู้สึกว่าคนตรงหน้าดูเปิดเผยขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติแตกต่างจากเวลาปกติที่ค่อนข้างจะเงียบขรึมและเย่อหยิ่ง อาจเป็นเพราะบรรดาน้องชายคนสนิทของเขากระมัง เขาแอบเห็นว่าน้องชายตัวเล็กของเขาเองหันไปค้อนหนุ่มน้อยผิวสีแทนอยู่เรื่อยๆ เพราะท่าทางที่ไปเกาะแกะกับพี่ฮิมชานของเขาล่ะมั้ง เลยอาจทำให้ดูน่ารำคาญแทน

    “พี่ฮิมชานเล่นเพลงนั้นสิฮะ เพลงที่พี่ฝึกเล่นอยู่ ผมชอบ” เสียงใสๆ ดังขึ้น

     

    “จะดีเหรอยองแจ”

     

    “นะครับ นิดนึงก็ยังดี เหมาะกับบรรยากาศ” น้องชายตัวเล็ก เอื้อมมือป้อมๆ มาเขย่าขาเขาเบาๆ อย่างอ้อนๆ

     

    ก่อนที่จะตั้งใจกดสายกีตาร์ไปตามคอร์ดของเพลง และดีดเบาๆ ให้เป็นจังหวะช้าๆ โดยมีเสียงใสหวาน ร้องคลอไปด้วยสำเนียงที่ชัดเจนตามแบบต้นฉบับของภาษาในเพลง

     

    Am                            G
    The world as I see it, is a remarkable place
     
    (โลกใบนี้ในสายตาของผม เป็นดั่งสถานที่ที่พิเศษสุด)
     
     
    Am                                G
    A beautiful house in a forest, of stars in outer space.
     
    (เป็นดั่งบ้านอันแสนงดงามอยู่ท่ามกลางป่าของหมู่ดาราในจักรวาล)
     
    C                            
    From a bird’s eye view, ...
     
    (เมื่อได้มองจากภาพมุมสูงนั้น.....)
     

     

    ....................... พอถึงตรงนี้เสียงกีตาร์กับสะดุด และการจับคอร์ดฟังดูไม่ต่อเนื่อง

     

    เอไมเนอร์ จี และก็เข้าซี .. และก็ ดี แล้วดี เอ่อ ยังไงน๊า” คนเล่นกีตาร์บ่นเบาๆกับตัวเองพึมพำ

     

    “พี่ยงกุก พอจะรู้จักเพลงนี้ไหมฮะ ต่อคอร์ดให้พี่ฮิมชานทีสิฮะ” คนตัวเล็กหันมาพูดอ้อนทำตาแป๋วใส่พี่ชายของเขา เพื่อจะให้ช่วยพี่ชายของเขาอีกคนนึง

     

    “เอ่อ คุณต้องจับตรงสายแรก ยังไงดี ขอโทษทีนะครับ...” พอพูดจบเขาค่อยๆ เอื้อมมือของเขาผ่านน้องชายตัวเล็กไปจับนิ้วนิ่มๆ ของคนเล่นให้วางไปตามสายกีตาร์เพื่อให้ได้คอร์ด D “และหลังจากนั้น ก็ อีไมเนอร์ สองนิ้ว จับที่สองสายนี้ง่ายๆ” เขาก็จับนิ้วชี้กับกลางของอีกฝ่ายไว้ที่สองสายที่ถูกต้องเพื่อคอร์ด Em

     

    หากแต่พอเจ้าตัวลองดีดกีตาร์ตามคอร์ดใหม่ที่เพิ่งถูกสอนให้ กลับไม่สามารถกดได้แน่นพอ พอถึงเวลาที่ดีดเป็นจังหวะ จึงเป็นคนละเรื่องกับเสียงที่แท้จริงตามคอร์ดนั้นๆ เขาดูหงุดหงิดและเริ่มทำหน้างอๆ เหมือนเด็กๆ ริมฝีปากหยักสวยที่ตอนนี้ดูกลายเป็นยื่นแหลมออกมาแทน คนที่ลอบมองอยู่ถึงกับยิ้มโชว์ฟันขาวออกมาด้วยความเอ็นดู

     

    “เจ็บนิ้วแล้ว” ทำท่าจะยกวางกีตาร์ลงพิงที่ข้างๆ ตัว หากแต่เสียงใสๆ ของน้องชายก็ร้องทักขึ้น

     

    “พี่ยงกุกเล่นให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ พี่ฮิมชานแค่ฟังก็จำเสียงของคอร์ดได้แล้ว” คราวนี้เจ้าของกีตาร์ทำหน้าแหยๆ ใส่น้องชายเบาๆ พลางคิดว่า ถึงฟังรู้ว่าคอร์ดไหน แต่ไม่รู้วิธีจับคอร์ดมันก็เท่านั้น  หากแต่ไม่อยากพูดขัดอะไร จึงยกกีตาร์ให้อีกฝ่ายไป

    นิ้วมือเรียวสวยรับกีตาร์มาวางไว้ที่หน้าตักของเขา ดีดไล่ไปตามสายด้วยนิ้วมือขวา พร้อมกับที่นิ้วมือข้างซ้ายก็กดไปตาม     เส้นเฟรตของกีตาร์ เพื่อหมุนปรับตั้งสายให้เล่นเสียงออกมาได้อย่างถูกต้อง

    หลังจากเล่นไปมาเพื่อลองเสียง คอร์ดของเพลงนี้ก็ถูกดีดขึ้นอย่างเป็นจังหวะอย่างไพเราะ การกดคอร์ดที่แน่นและนิ้วที่ดีดขึ้นลงทำให้เสียงของกีตาร์โปร่งฟังดูทั้งใสและนิ่มนวลออกมา จนน้องชายที่นั่งอยู่ระหว่างพี่ชายทั้งสองเผลอร้องคลอไปด้วยเบาๆ

    ในระหว่างที่เล่นสายตาเขาก็เหลือบไปมองเห็นเจ้าของกีตาร์ทำตาโตมองมาที่เขาด้วยแววตาทึ่งๆ

     

    ดูหล่อไปเลยสินะเรา เขาเผลอคิดในใจ

     

    เพลงไม่ได้ถูกเล่นจนจบ แค่ถึงตอนที่ติดขัดอยู่เท่านั้น จากนั้นเขาจึงยื่นคืนให้กับเจ้าของของมัน

     

    “พี่ยงกุก คือ...ช่วงสองสามวันนี้พวกเราขอเชิญพี่ให้ไปปารีสด้วยกันน่ะครับ เพราะจะได้มีเวลาคุยกัน และเพื่อพี่จะได้มีไอเดียจากการเข้าถึงไลฟ์สไตล์ของพี่ฮิมชานได้มากขึ้น ขอโทษจริงๆที่เรามีเวลาให้พี่ไม่มากเลย”

    “คุณสามารถใช้เวลาทำธุระของคุณให้เสร็จ ผมรอที่นี่ได้” เสียงต่ำเน้นทอดเสียงคำว่า รอ ได้อย่างนิ่มนวล และหันไปมองหน้าเจ้านายของน้องชายของเขาโดยตรง

    “เอาเป็นว่า ถือเป็นการชวนคุณไปร่วมงานคอนเสิร์ตกาล่างานหนึ่งละกันครับ

    “แต่ผมไม่มีบัตรเชิญหรือถูกเชิญไปเห็นทีจะไม่เหมาะ”

    “ผมชวนคุณอยู่นี่ไง งานของผมเอง เพื่อความสบายใจคุณก็แค่บริจาคเงินให้เด็กๆ เพราะเป็นชาริตี้ของมูลนิธิ...”

    เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างนิ่งๆ สายตาคมมองจ้องไปยังฝ่ายตรงข้ามด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง ชื่อมูลนิธิเพื่อเด็กระดับโลกถูกพูดถึงขึ้นมา

    “งั้น...ต้องขอบคุณมากที่ให้เกียรติเชิญผมเข้าร่วม” แล้วสุดท้ายเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธคำเชิญชวนอย่างจริงใจที่แสดงออกมาจากดวงตาอันพร่างพราวและดูส่องประกายแวววับ แม้แต่ในเวลาที่ไร้แสงจ้าได้

     

     

     

     ในระหว่างที่ทุกคนกำลังรู้สึกผ่อนคลายไปกับเสียงเพลงและบทสนทนา จู่ๆ ก็มีเสียงดังคล้ายกับขวดแก้วกระทบเข้ากับหิน
    ทั้งสามคนที่เหลือจึงหันไปมองพร้อมกันถึงที่มาของเสียง จึงเห็นเป็นเงาดำๆฟุบอยู่ที่พื้

    "แดฮยอน !" ทั้งเจ้าของบ้านและน้องชายคนสนิท ต่างขานชื่อของร่างที่คว่ำหน้าลงกับพื้นพร้อมๆกัน
    สังเกตเห็นว่าข้างๆเก้าอี้พับริมชายหาดของเขามีขวดเบียร์กลิ้งอยู่เกลื่อนกลาด บางขวดจึงไปชนเข้ากับขอบหินตรงกำแพงของบันไดทางขึ้นด้านบน

    "ลุกไหวไหม" เสียงใสๆ ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง พร้อมค่อยๆสอดแขนเข้าไปพยุงตัวอีกฝ่ายขึ้นมา
    "อื้อ ม่ายด้ายมาววววนะ ม่ายย... ต้องมะ..มายุ่งดิ" ค่อยๆพาตัวเองไถไปตามพื้นทราย พยายามเพ่งมองสู้กับความมืดที่ส่องให้เห็นบรรยากาศโดยรอบด้วยกองไฟเพียงแค่นั้น

    สุดท้ายเขาก็พยายามจนมาถึงที่นั่งของเจ้าของบ้าน และยกแขนที่โชว์ให้เห็นกล้ามแขนที่ได้รูปสวยงามเพราะใส่เพียงเสื้อกล้ามสีดำ เข้ากอดรัดตัวของคนที่นั่งอยู่


    "อือ พะพะพี่ฮิม.... ชะชานนน คืนนี้ให้ผมอยู่...อีกคืนนได้เป่า... ไม่อยากกลับบบ"
    วงแขนยังรัดไว้แน่นจนอีกฝ่ายอึดอัด

     

    "นะนิ่มมม จังงงเลย ฮือออ อยากกอดดดบับนี้อ้าาา"

     


    หัวหนักๆก็ไถไปกับซอกคอของอีกฝ่ายแบบซุกซน "นะ....นะ อื้อ หอมมมมมม"

     


    เสียงสูดหายใจเข้าปอดดังมาก โดยจมูกโด่งเป็นสันได้รูปของคนที่แทบไม่มีสติสัมปชัญญะเหลือ
    ยื่นเข้าไปถูอยู่ใกล้ๆกับซอกคอขาวๆ


    "ยองแจ พี่ว่าคงต้องรีบพาแดฮยอนกลับลงไปส่งเองซะล่ะมั้ง ไม่น่าจะขับรถเองได้ เอาไงดี คุณคังจะมาถึงที่อ่าวเมื่อไร"

     ผู้เป็นพี่ถามด้วยสีหน้าที่พยายามปรับให้เรียบนิ่งหากก็แฝงไว้ด้วยความร้อนรน


    "ช่วงบ่ายๆ ที่เพิ่งได้คุยมาถึงอาวีญงแล้วครับ"
    "อาวีญงเหรอ... อืมงั้นเราพาแดฮยอนลงไปส่งข้างล่างดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลา ขืนดื้อขึ้นมาจะเสียงานเอา"


    "ให้ผมช่วยไหม" อยู่ดีๆร่างสูงก็ลุกขึ้นก้าวยาวๆมาหา และยื่นมือมาเพื่อจะช่วยพยุงเด็กดื้อที่เข้ามากอดเขาซะแน่นไม่ยอมไปไหน


    "เอาสิ" ดวงตาคมเบิกโตขึ้น เหลือบมองคนที่มาอาสาช่วยอย่างหนักใจ อาจเป็นเพราะรู้สึกอายต่อเรื่องที่คนเป็นแขกต้องมาเจอเข้า



    ด้วยความแข็งแรงที่มีไม่แพ้กัน ร่างที่สูงเพรียวกว่าก็สามารถยกร่างที่แทบจะไม่มีสติขึ้นมาหิ้วปีกให้เดินไปได้
    เขารู้สึกไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ค่อยพอใจที่เจ้าเด็กนี่กอดรัดเจ้าของบ้านอย่างเอาแต่ใจ
    เหล่ตามองอย่างเพลียๆใส่คนที่เขาช่วยหิ้วปีกแกมลากอย่างลำบาก บังคับให้เดินขึ้นบันไดกลับไปด้านบนเพื่อขึ้นรถที่ถูกเรียกมาเตรียมไว้

    "ยองแจ ไปเป็นเพื่อนแดฮยอนหน่อยละกัน เดี๋ยวพี่ให้คุณอังเดรไปเป็นเพื่อน"

    "ม่ายอาววว ม่ายกลับบบบ .... อื้ออ ปะปะปล่อยยยย เด่ะ ปะโธ่ บะบอกหะ...ห้ายยปล่อยย"
    คนที่ไม่มีสติเริ่มฟื้นขึ้นมา ตอนนี้เลยเอาแต่ร้องโวยวาย และดิ้นสะบัดตัวให้พ้นออกมาจากการหิ้วปีกของอีกฝ่าย ที่ดึงแขนของเขาไปพาดไหล่ไว้แน่

    หากแต่มีแรงสู้อีกฝ่ายไม่ไหว เลยถูกผลักเข้าไปในรถตู้คันใหญ่ที่จัดทำที่นั่งให้โดยแบ่งเป็นสองแถวหันหน้าเข้าหากัน โดยขนาดของแต่ละที่นั่งเป็นเบาะหนังสีน้ำตาลดูกว้างขวางเพื่อความสบายต่อผู้โดยสารตรงกลางเป็นที่ว่างของโต๊ะอเนกประสงค์ที่สามารถกดพับเก็บได้หากไม่ได้ใช้งาน


    คล้ายกับว่าคนที่เมามายเริ่มหมดแรง หันนอนขวางไปกับที่นั่งแถวหลังโดยหันหัวมาทางประตู


    "กระเป๋าของแดฮยอนอยู่ในรถแล้วใช่ไหม คืนนี้ถ้ากลับขึ้นมาไม่ไหวนอนที่บ้านข้างล่างก็ได้นะ
    คุณอังเดรฝากแดฮยอนกับยองแจด้วยนะครับ"

    น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวล พูดกับผู้ที่ให้การรับใช้อย่างสุภาพและฟังดูเป็นประโยคขอร้องมากกว่าคำสั่ง เจ้าของบ้านยืนตัวตรงผงกหัวนิดๆให้อีกฝ่ายแทนคำขอบคุณด้วยท่าทีที่สง่างาม

    ตาคมคู่งาม หากแต่ฉายแววเหน็ดเหนื่อยออกมาโดยปิดไม่มิด หลังหันมาสบกับสายตาอีกคู่หนึ่งที่คอยเฝ้ามองเขาอยู่
    "บอนนุย คุณยงกุก ขอโทษที่ทำให้คุณหมดสนุก เจอกันพรุ่งนี้ครับ" น้ำเสียงเรียบนิ่งพูดบอกกับเขา ก่อนผงกหัวให้เป็นการขอตัวอย่างมีมารยาท

     

     

    ในขณะที่เดินผ่านหน้าเขาใกล้ๆ ลมเย็นๆก็พัดผ่านเข้ามา ทำให้กลิ่นกายหอมๆจากคนที่เดินผ่านหน้าเขาไป ปะทะเข้ากับจมูก "ยินดีครับ" เสียงแหบต่ำที่ฟังดูมีเสน่ห์กล่าวตอบไปเบาๆ ก่อนที่จะมองตามร่างโปร่งสมส่วนเดินผลักประตูเข้าไปในปราสาท


     

    "ยินดีครับ งั้นเหรอ" พูดพึมพำกับตัวเอง

     

     

     

    "เฮ้ออ..." ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะก้าวยาวๆขึ้นบันได

     

     

    เพื่อเข้าไปสู่ปราสาท "ควรไปนอนสินะ.."

     

     

     

    ___________________________________________________________________________________________________________



    ขออธิบายถึงคำและสิ่งต่างๆในตอนนี้นะคะ 


    ตอนต้นเรื่องขนมปังบนโต๊ะอาหาร


    ภาษาฝรั่งเศสเรียกขนมปังว่า Pain อ่านว่า แปง



    Pain de mie  (แปง เดอ มี) คือ ขนมปังแถวยาวทั่วไป 


    Croissant (ครัวซองต์) 


    Pain au beurre (แปง โอ เบลอร์) คือ ขนมปังอบด้วยเนยและมีไส้เนย


    Pain au chocolat (แปง โอ ช็อคโกล่า) คือ ขนมปังไส้ช็อคโกแลต 


    ส่วนที่ยงกุกถามฮิมชานว่าชอบทานปังเหรอ เพราะยงกุกออกพูดคำว่าขนมปัง โดยออกเสียงเป็น ปัง ในเกาหลีแทน

    ฮิมชานอาจจะยังงงอยู่ ไม่รู้คิดทันไหมว่าโดนแอบจีบเล็กๆ ^^ 

    ________________________________________________________


    ตอนเกี่ยวกับดนตรี


    โซนาต้า (Sonata) ที่ฮิมชานกำลังเล่นคือเพลงที่ใช้สำหรับการเดี่ยวเครื่องดนตรี อย่างเช่น Piano หรือ Violin Sonata 

    มีคีตกวีเอกของโลกหลายท่านที่เขียนบทเพลงโซนาต้าไว้อย่างมากมาย เช่น โมสาร์ท หรือบีโธเฟ่น เป็นต้น 

    ซึ่งในตอนนี้ฮิมชานก็กำลังฝึกซ้อมบทเพลง Sonata เพื่อการแสดงของเขาค่ะ 


    เพลง Träumerei (ทรอย-เมอ-ราย) เป็นหนึ่งในทำนองเพลงที่ประพันธ์โดย Robert Schumann นักประพันธ์เพลงชาวเยอรมัน

    ซึ่งทำนองเพลงนี้ถือว่าโด่งดังทีเดียวเป็นหนึ่งในชุดเพลง Kinderszenen โดยทางชูมันน์แต่งขึ้นเพื่อให้ผู้ใหญ่ได้ระลึกถึงเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก 


    Träumerei แปลว่า ความฝันหรือภวังค์ ซึ่งในตอนนี้ยงกุกก็เหมือนตกอยู่ในความฝันตอนที่ได้ยินเสียงเปียโนที่ฮิมชานเล่นค่ะ ^^ 


    มาฟัง Träumerei  กันค่ะ 


    _


    _____________________________________________________________________________________________________________________


    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ และขอบคุณที่รักบังชาน ^^

     CR.SHL
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×