ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic B.A.P] Le Ciel Bleu (The Blue Sky) - BangChan

    ลำดับตอนที่ #1 : Enchante & Enchanted

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 155
      0
      24 ก.พ. 58

    Le Ciel Bleu 1 

    Enchante & Enchanted 

     

     

     

     

    The first time our eyes met, I was so enchanted to meet you

                                                                                                          



     

    เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ
    รถยนต์สีดำคันงามเปิดประทุน กำลังแล่นไต่ระดับเส้นทางที่ค่อยๆลาดชันวนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
    เสียงขยับเข้าเกียร์ พร้อมกับจังหวะเหยียบคันเร่งช่างเข้ากันเป็นอย่างดี




    นิ้วมือเรียวยาวจับหมุนพวงมาลัยบังคับรถอย่างคล่องแคล่ว




    ในแต่ละจังหวะของการขับเข้าโค้งบนถนน ช่างเหมาะเจาะ ทำให้เห็นว่าผู้ขับมีความชำนาญเป็นอย่างดี



    สายลมเย็นๆ พัดเข้ามาปะทะใบหน้า ทำให้เขาต้องดึงขยับเสื้อไหมพรมคอเต่าให้ขึ้นมาสูงขึ้นเพื่อคลุมช่วงบริเวณปากของเขา จับแว่นตาสีดำให้เข้ามากระชับมากขึ้นเพื่อกันลมและไม่ให้แสงแดดแยงเข้าตา


    ยิ่งขับรถแล่นตามทางวนคดเคี้ยว ไต่ความสูงของเทือกเขาขึ้นมาเรื่อยๆ ก็ยิ่งเห็นท้องฟ้าสีครามสดใสกับก้อนเมฆสีขาวชัดมากยิ่งขึ้น แสงแดดอ่อนๆ ทอแสงลงมา ทำให้วันนี้เป็นวันที่อากาศดีทีเดียว



    มองไปทางซ้ายจะเห็นว่ารถถูกขับขึ้นมาบนเขาสูงกว่าระดับน้ำทะเลด้านล่างอยู่พอสมควร



    ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ตามข้างทางนานาพันธุ์ก็ดูผลิใบเป็นสีสันสดใสทั้งสีเขียวและสีส้มต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ
    สมกับที่ขึ้นชื่อในเรื่องความงามของธรรมชาติของเมืองแถบนี้


    "ขอบคุณพี่มากนะครับ ที่ยอมมารับงานนี้ ถ้าพี่ไม่ได้ถูกเลือกอีก ผมนี่หมดปัญญาเลย ลองมาดูหน่อยนะครับ"



    เขานึกถึงคำขอร้องของน้องชายที่รู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี ว่าให้ช่วยรับงานนี้ ไม่สิ ช่วยมาเป็นอีกหนึ่งในตัวเลือกให้ที ทั้งที่เขาอยากจะใช้ช่วงนี้เป็น Spring Break ของเขาอยู่แล้วเชียว


    ช่วงเวลาที่เขาอยากกลับไปบ้านมากที่สุด

    เพราะฉะนั้น งานนี้เขาจะได้รับการพิจารณาหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ก็แค่อยากมาเป็นหนึ่งในตัวเลือกเพื่อช่วยน้องชายเท่านั้น


    เขาหมุนพวงมาลัยรถไปตามถนนที่โค้งและเริ่มชันขึ้นเรื่อย ๆ เหยียบคันเร่งให้เร็วขึ้นเพื่อส่งกำลังของรถ
    ให้ต้านกับแรงถ่วงจากความสูงที่เพิ่มขึ้น

    "อีก 200 เมตรจะถึงจุดหมาย กรุณาขับตรงไปเรื่อยๆ"

    เสียง GPS ที่ติดตั้งไว้บอกทิศทางในรถร้องเตือนขึ้น


    "โอ้ ถึงซะที" เสียงต่ำๆอุทานขึ้นเบาๆ



    พอเลี้ยวรถเข้าโค้งด้านหน้า ภาพที่ปรากฎไกลๆ ตรงหน้าคือยอดแหลมของกลุ่มอาคาร ที่ราวกับจะสูงจนแตะไปบนท้องฟ้า


    ยิ่งขับรถแล่นเข้าไปใกล้ ภาพกลุ่มอาคารเหล่านั้น ก็ยิ่งชัดเจนขึ้น











    รถยนต์สีดำแล่นชะลอผ่านรั้วที่ก่อขึ้นด้วยหินทาทับด้วยสีขาววางเรียงต่อกันขึ้นไปจนสูง
    จนมาถึงบริเวณประตูเหล็กสีดำขนาดใหญ่ ซึ่งมีลวดลายดอกไม้และเถาวัลย์พันไปมา 

    บนสุดของบานประตูที่ประกบกันทั้งสองประดับด้วยโครงเหล็กดัดสีดำเป็นรูปนางฟ้าสยายปีก รั้วซี่ห่างๆทำให้มองลอดเข้าไปเห็นพื้นที่ภายใน

    บนยอดประตูมีป้ายสลักจากหินประดับอยู่เขียนว่า " Le Ciel Bleu "

    ลานกว้างที่ตรงกลางมีน้ำพุรูปปั้นนางฟ้ามีปีกสีขาวที่กำลังแผงศรไปทางด้านขวา

    และมองเข้าไปจนสุดสายตาคือ

    ปราสาทสีขาวตั้งตระหง่านดูน่าเกรงขามอยู่บนสุดของปลายเส้นทางนี้
    และในแต่ละมุมของยอดปราสาทถูกทำเป็นยอดแหลมสูงเสียดฟ้า




    " Excusez-moi  Monsieur ! Do you have an appointment ?"
    (ขอโทษนะครับ คุณผู้ชาย คุณมีนัดหมายไว้มาก่อนไหมครับ?)

    "Yes , I have my appointment with Mr. Yoo!"
    (ใช่ ผมได้นัดไว้แล้วกับคุณยู)

    " Bonjour Monsieur , we're expecting you!"
    (สวัสดีครับ คุณผู้ชาย พวกเรากำลังรอคุณอยู่)

    คนขับยิ้มรับที่มุมปากเบาๆ เพื่อรับคำทักทายทั้งภาษาอังกฤษปนฝรั่งเศสของอีกฝ่าย

    ผู้รักษาความปลอดภัยในป้อมด้านหน้าประตูใหญ่ กดเปิดประตูที่ควบคุมด้วยระบบอัติโนมัติ
    อนุญาตให้เขาขับต่อเข้ามาภายใน

    เส้นทางที่ถูกบังคับให้ขับตรงเข้าไปด้วยรั้วไม้พุ่มขนาดใหญ่สีเขียวระหว่างสองข้างทาง

    ไม่กี่อึดใจเขาก็ถึงตัวลานวงกลมที่มีน้ำพุขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง

    ไม่แน่ใจนักว่าต้องจอดรถไว้ที่ไหน เขาจึงขยับรถให้ติดชิดกับบันไดสูงที่จะนำไปสู่
    ด้านหน้าประตูกระจกแก้วหลากสีของปราสาทให้มากที่สุด

    เสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มถูกดับลง

    เขาเปิดประตูและก้าวลงมา ยกมือเสยผมให้เข้าที่กลับเป็นทรง
    เพราะแรงลมที่พัดตอนขับรถทำให้ผมของเขาแลดูยุ่งเหยิง

    บิดตัวเองไปมาเบาๆเพราะความเมื่อยล้า

    ขยับแจ็กเก็ตหนังสีดำให้กระชับตัวและดึงเสื้อไหมพรมคอเต่าสีทึบค่อนไปทางสีดำให้ลงมาปิดอยู่ในระดับคอ

    การแต่งตัวของเขาที่เป็นสีดำสนิทนั้น ดูตัดกับสีขาวบริสุทธิ์ของตัวปราสาทอย่างเห็นได้ชัด

    เขาปิดประตูรถให้เรียบร้อย และยืนนิ่ง แหงนหน้าขึ้นชมความงามของสิ่งก่อสร้างตรงหน้า

    "นีโอ คลาสสิก.." เขาบ่นพึมพำ

    ปราสาทสีขาวดูแข็งแรงเหมือนป้อมปราการรูปทรงสี่เหลี่ยมพื้นผ้า สีที่ค่อดข้างชัดเหมือนได้รับการทาใหม่นั้น
    ทำให้รู้ว่าปราสาทหลังนี้ได้ถูกดูแลมาตลอดเป็นอย่างดี

    หลังคาของปราสาทสีฟ้าในแต่ละมุมถูกออกแบบให้เป็นปลายยอดแหลมที่ดูเหมือนจะยื่นไปจนแตะขอบฟ้า

    สิ่งที่น่าทำให้ปราสาทหลังนี้ดูงดงามมากขึ้นไปอีกคือ การประดับประดาด้วยบานกระจกสี ขนาดใหญ่เล็กต่างกันไปในแต่ละมุมรอบปราสาท

    มุมไม้ประดับรอบๆด้านหน้าเป็นพันธ์ุไม้ดอกหลากหลายสี ช่วยเป็นสีสันให้กับตัวอาคารสีขาวสนิท

    สีม่วงของดอกลาเวนเดอร์ซึ่งเป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกกันในแถบนี้ยิ่งช่วยขับให้ตัวปราสาทสีขาวดูมีสีสันโดดเด่นมากขึ้น

    เขาเดินดูแนวอาคารไปเรื่อยๆ เพื่อเก็บรายละเอียดและอดชื่นชมไม่ได้กับความตั้งใจของผู้ออกแบบ

    ในความคิดของเขา หายากมากที่ปราสาทเหล่านี้จะเหลือรอดมาให้กับรุ่นลูกหลาน เพราะหลายตระกูลต่างก็ขายทิ้งให้กับรัฐเพื่อเก็บเข้าเป็น

    พิพิธภัณฑ์หรือสถานที่ท่องเที่ยวไปซะหมด เนื่องจากหากไม่มีสมบัติมรดกหรือร่ำรวยจริงๆ คงจะไม่มีกำลังเงินพอที่จะดูแล 

    สิ่งที่เขาคาดผิดไปคือการมาเจอปราสาทหลังงามแทนที่จะเป็นออกแนวน่ากลัวขนหัวลุกตามวรรณกรรมชื่อดังอย่างแฟรงเก้นสไตล์ซะอีก


    ในระหว่างที่เขากำลังเดินอยู่บริเวณด้านหน้า เพื่อชมปราสาทอยู่นั้น
    คงไม่ทันสังเกตว่าผ้าม่านสีขาวของหน้าต่างด้านบน
    ถูกแง้มออก ราวกับจะขอตรวจดูว่าผู้ที่มาเยือนคนใหม่เป็นใครกัน


    สายตาคมมองจ้องลงมาตรงผู้ที่กำลังยืนอยู่ด้านล่าง

    "1970 มัสแตง หมอนี่ท่าจะชอบของเก่าคลาสสิคสินะ"

    น้ำเสียงทุ้มนุ่มพูดออกมาเบาๆ

    มองดูแค่ชั่วครู่ ก็ทิ้งผ้าม่านให้ปิดลงตามเดิม




    ชายหนุ่มด้านล่างมองย้อนขึ้นไปทางหน้าต่างด้านบน เพราะเหมือนเห็นว่าเมื่อสักครู่ผ้าม่านได้ถูกขยับ
    แต่พอมองขึ้นไปก็ไม่เห็นมีใครอยู่ตรงนั้น


    "พี่ยงกุก" เสียงร้องทักผู้มาเยือนคนใหม่ดังขึ้นอย่างสดใส


    เจ้าของชื่อหันกลับไปมองตามทิศทางเสียง ที่ร้องเรียกชื่อของเขา


    เจ้าของเสียงเปิดประตูกระจกแก้วหลากสีบานใหญ่ออกมา และยืนโบกมือให้เขา

    ในทันทีที่เห็นผู้มาเยือนที่อยู่ด้านล่างหันกลับมามองพร้อมมอบรอยยิ้มกว้างให้
    เขาจึงได้วิ่งลงมาหา พร้อมกับจับแขนของอีกฝ่ายเขย่าไปมาอย่างตื่นเต้น
    "พี่ยงกุก คิดถึงจังครับ ไม่เจอกันนานมาก สบายดีไหม แล้วนี่ขับรถมาเองเลยเหรอครับ
    หาที่นี่ยากไหมครับ เหนื่อยมากไหมครับเนี่ย แล้วทานข้าวมารึยังครับ จะทานเลยไหม.."


    ฝ่ายที่ถูกเรียกว่าพี่ มองหน้าอีกฝ่ายด้วยความงงงัน และจู่ๆก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

    "ฮ่าๆๆๆๆ " เขายกมือขึ้นปิดปาก เพื่อกลั้นหัวเราะเอาไว้

    "พี่ยงกุกขำอะไรเนี่ย"

    "แล้วเราจะให้พี่ตอบคำถามไหนดีก่อนล่ะ" เสียงต่ำๆพูดขึ้น พร้อมยกมือขึ้นยีหัวอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู


    "ขับมาเอง ไม่เหนื่อย หาไม่ยาก แล้วก็ไม่หิวนะ ฮ่าๆ
    โตขึ้นมากเลยนะเรา แทบจำไม่ได้ แต่ทานเยอะๆหน่อย ทำไมผอมขนาดนี้"



    ผู้ที่ตัวโตกว่าค่อยๆ ตอบคำถามคนตัวเล็กอย่างช้าๆเรื่อยๆ
    มองพิจารณาหนุ่มน้อยตรงหน้า ที่ไม่ได้เจอกันหลายปี
    ความสูงที่เกือบจะเท่าเขา ไหล่กว้างเข้ากับรูปร่างที่ดูสมบูรณ์แบบ
    ใบหน้าเรียว จมูกเล็กๆ ที่รั้นเชิดขึ้น
    ดวงตาส่องประกายสดใส ผิวค่อนข้าวขาวดูมีเลือดฝาดซับ
    ติดแต่ตรงที่น้องชายคนนี้ผอมลงไปเยอะกว่าแต่ก่อน
    นึกถึงเด็กแก้มยุ้ยนิ้วกับมือป้อมๆที่เมื่อก่อนแวะมาเล่นเกมส์บ้านเขาอยู่เป็นประจำ

    "จริงเหรอครับ แต่ว่าที่นี่ไกลมากนะ ผมเกรงใจที่สุด ไม่ได้อยากรบกวนเลย
    เพราะถ้าพี่ถูกเลือก พี่ต้องอยู่ที่นี่ไปอีกระยะหนึ่งเลย คือ....ผม..อ่าา"


    "อย่าคิดมากน่า พอดีมีนัดคุยกับลูกค้าแถวนี้อยู่ก่อน พอเสร็จแล้ว ก็ขึ้นมาที่นี่ต่อเลย"
    เขาพูดพลางลูบหัวของอีกฝ่ายอย่างปลอบโยนเพื่อให้รู้สึกสบายใจขึ้น


    "งั้นเข้ามาข้างในก่อนครับ ผมให้คนจัดที่พักไว้ให้แล้ว เดี๋ยวจะมีคนมายกของให้นะ 
    ทิ้งกุญแจรถไว้ด้วยนะครับ เดี๋ยวเขาคงจะขับไปจอดให้"



    "ไม่ต้องมั้ง เดี๋ยวพี่จัดการเอง กระเป๋าใบเดียว ถือได้"



    "อย่าลำบากเลยครับ พี่เองคือแขกของเรา ให้ทางเราจัดการดีกว่าครับ"



    พอเห็นน้องชายแสดงความช่วยเหลืออย่างตั้งใจออกมา เขาก็ไม่อยากจะขัด


    เดินตามเข้าไปในตัวปราสาทแต่โดยดี


    พอเข้าไปในภายใน เขายิ่งสัมผัสได้ถึงทั้งความสวยงามและพื้นที่ใช้สอยที่ถูกออกแบบมาได้เข้ากันอย่างลงตัวและเหมาะสม


    การออกแบบให้สิ่งก่อสร้างออกมาสวยงามนั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญแต่เพียงอย่างเดียว แต่การออกแบบจัดวางโครงสร้างเพื่อให้เหมาะกับจุดประสงค์ของการใช้สอยต่างหากคือหัวใจที่สำคัญ


    ห้องโถงอันกว้างขวางในโทนสีนวลๆ เพดานสูง มีทางแยกทำเป็นมุมเพดานโค้งออกไปทางมุมขวาและซ้ายของตัวปราสาท


    โคมไฟโครงสีน้ำตาลเข้ม ถูกทำเป็นลวดลายเถาวัลย์และดอกไม้ที่พันเลื้อยไปมา 4 ช่อ เพื่อรองรับเชิงเทียนที่ถูกปักแทนเอาไว้ด้วยหลอดไฟในโคมแก้วเพื่อให้แสงสว่างบนเพดานใจกลางห้องโถง


    ถัดจากลานกว้าง ที่ถูกจัดวางอย่างพอเหมาะตรงข้ามกับประตูทางเข้า คือขั้นบันไดสูงหินอ่อนสีขาว เพื่อพาขึ้นไปสู่ระเบียงยาวชั้นสองที่เป็นทางเดินเชื่อมระหว่างตึกมุมซ้ายและขวาเหมือนกับห้องโถงด้านล่าง และรูปปั้นนางฟ้าสยายปีก ตั้งอยู่บริเวณตรงทางขึ้น

    ด้านในไม่ได้มืดอย่างที่เขาคิด เพราะได้รับแสงสว่างเข้ามาจากกระจกสีขนาดใหญ่ที่จัดวางเรียงต่อกันไปตามระเบียงทางเดินของชั้นสอง


    "สวยมาก.." ชายหนุ่มที่ตัวสูงกว่าพูดเบาๆกับตัวเอง พร้อมกับถอดแว่นตากันแดดสีดำออก
    เพื่อชื่นชมกับสีสันและลวดลายดอกไม้ที่สวยงามของงานกระจกสีในห้องโถงให้ชัดเจนยิ่งขึ้น



    "Trop de bruit ! Youngjae"
    (เสียงดังมากเลย ! ยองแจ)

    ทั้งสองคนในห้องโถงกว้างด้านล่าง หันไปมองในทิศทางของต้นเสียงที่ถูกเปร่งออกมา

    เจ้าของเสียง คือผู้ชายรูปร่างสูงโปร่ง อยู่ในชุดเสื้อเชิร์ตแขนยาวสีขาว
    และกางเกงผ้าสีดำเข้ารูปรับกับเรียวขายาวๆของเขา สวมรองเท้าบู้ทยาวสีดำมันวาว
    เขากำลังเดินออกมาจากทางมุมด้านขวาของระเบียงชั้นสอง ท่าทางเดินอย่างช้าๆดูสง่างามราวกับ
    ขุนนางในตระกูลชั้นสูงที่ออกมาต้อนรับแขกผู้มาเยือนคนใหม่
    ผมสีน้ำตาลเข้มของเขายิ่งสะท้อนเป็นประกายเมื่อโดนแดดส่องจากทางกระจกสีบานใหญ่
    มือข้างขวาจับไล่ราวบันไดหินอ่อนในระหว่างทางเดินลงมา
    นัยน์ตาคมกลิบทอดมองตรงลงมาแก่ผู้มาเยือนที่อยู่เบื้องล่างอย่างพิจารณา


    ผู้ที่มาใหม่มองขึ้นสบสายตาที่กำลังจ้องมองดูเขาเช่นกัน


    สายตาคู่นี้ยิ่งได้จ้องมองเข้าไป ยิ่งน่าดึงดูดอย่างประหลาด ขนทำให้ผู้ที่จ้องมองตอบเหมือนถูกสะกดอยู่กับที่
    โดยแทบไม่รู้ตัวเลยว่าชายหนุ่มเจ้าของปราสาทเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาตอนไหน 



    เขาอดทึ่งและชื่นชมไม่ได้ว่า ความสง่างามของรูปร่างและใบหน้าที่งดงามนี้ คืองานปะติมากรรมชั้นเลิศที่เคลื่อนไหวได้
    และถูกรังสรรค์ขึ้นมาจากศิลปินเอก

    ผมเส้นเล็กสีน้ำตาลปรกลงมาปริเวณหน้าผาก ดวงตาเรียวรีสีเข้มราวกับเมล็ดอัลมอนต์
    น้ำที่หล่อเลี้ยงที่อยู่ในดวงตา ทำให้ตาคู่นี้ดูมีประกายระยิบระยับตลอด

    ไล่ลงมาคือสันจมูกโด่งสวย รับกับโครงหน้าที่เรียวได้รูป ใบหน้าที่ขาวเนียนไร้ตำหนิ

    เขาเริ่มรู้สึกตัวว่าจ้องมอง "รูปปั้นที่มีชีวิต" ที่ยืนอยู่ตรงหน้านานเกินไป จนอาจจะทำให้เสียมารยาท

    มือข้างขวาของเขาถูกยื่นออกไปโดยอัติโนมัติเพื่อทำการทักทายตามมารยาท

    อีกฝ่ายยื่นมือออกมาจับตอบและเขย่าเบาๆ เพื่อตอบรับการทักทายนั้น

    "Bonjour Monsieur Bang !
    (สวัสดีคุณบัง)
    Comment allez-vous?"  
    (คุณสบายดีไหมครับ)



    เสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูนุ่มนวลเปล่งออกมาด้วยสำเนียงราวกับเป็นเจ้าของภาษา
    ริมฝีปากได้รูปกำลังขยับเคลื่อนไหวยามกล่าวคำทักทาย



    "Je vais bien merci . Et vous?" 
    (ผมสบายดี แล้วคุณล่ะครับ?)

    เขากล่าวตอบด้วยคำทักทายง่ายๆในชีวิตประจำวัน ที่เขาพอจะรู้อยู่บ้างกลับไป

    "Très bien, merci"  
    (สบายมากเลย ขอบคุณครับ)

    คนตรงหน้าตอบกลับ ดวงตาวาวมองจ้องมาที่เขา ใบหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อยอย่างไว้ตัว

    "Enchanté" 
    (ยินดีที่ได้รู้จักครับ)

    "Je Vous souhaite la bienvenue" 
    (ขอต้อนรับครับ)

    "A tout de suite. "
    (เดี๋ยวอีกแป๊ปเดียวเจอกันครับ)


    "Youngjae ! Vous voir à la Maison Blanche !"
    (ยองแจ แล้วเจอกันที่บ้านสีขาวนะ)



    เขามองตามรูปปั้นที่มีชีวิต เดินไปยังประตูด้านหน้า โดยมีผู้ชายมีหนวดแลดูมีอายุในชุดสูททักซิโด้สีดำหางยาวจะโค้มหัวทำความเคารพอย่างนอบน้อม ก่อนเปิดประตูให้เขาก้าวออกไป


    "พี่ยงกุกครับ" เขาสะดุ้งเล็กน้อย หันไปมองคนตัวเล็กที่ตอนนี้มายืนอยู่ข้างๆเขา

    "พี่อึดอัดอะไรรึเปล่า เห็นดูนิ่งไปเลยตอนเจอพี่... เออ คุณฮิมชาน"

    "ไม่เป็นไรนะ แค่เพิ่งเคยเห็นตัวจริงของคนดังก็วันนี้แหล่ะ ดูต่างจากในจอ"

    เขาอยากจะพูดว่า ตัวจริงหน้าสวยกว่าในจอ แต่ก็ยั้งเอาไว้ทัน

    "ผมนึกว่าพี่ไม่ชอบเวลาพี่ฮิมชาน จ้องเขม็งซะอีก จริงๆไม่มีอะไรนะครับ เป็นนิสัยของเขา
    เวลาเจอคนใหม่ๆน่ะ เรารีบไปกันเถอะครับ เดี๋ยวพี่ฮิมชานจะรอ"

    พูดยังไม่ทันจบ ยองแจก็รีบดึงแขนของพี่ชายให้เดินแกมวิ่งออกมาข้างนอกปราสาทด้วยกัน

    ทั้งสองออกมาด้านนอก ในจังหวะที่ทันเห็น ชายหนุ่มเจ้าของปราสาทกำลังยกตัวเองขึ้นไปบนม้าตัวใหญ่สีขาว
    ได้อย่างสง่างาม และบังคับม้าให้วิ่งไปทางซ้ายของลานกว้างหน้าปราสาทอย่างรวดเร็ว



    ภาพริมฝีปากได้รูปที่ขยับเคลื่อนไหว


     "อ็องชองเต้" แปลว่ายินดีที่ได้รู้จักในภาษาฝรั่งเศส  


    รวมไปถึงเสียงทุ้มต่ำที่น่าฟังนั้น ยังดังก้องวนไปมาในหัวของเขา 



    เขารู้สึกถึงแรงดึงดูดอย่างประหลาดที่ทำให้เขาเริ่มถูกใจกับสถานที่แห่งนี้


    อาจเป็นเพราะมนต์เสน่ห์ของปราสาทสุดคลาสสิคที่แอบซ่อนตัวอยู่บนเทือกเขาสูง



    หรือ.....




    เจ้าของปราสาทที่น่าหลงใหลกันแน่ 




    _______________________________________________________________________________________________

     





    คำอ่านจากภาษาฝรั่งเศสในเรื่องค่ะ

     





    "Trop de bruit ! (ทรอ-เดอ-บรุย) Youngjae"
    (เสียงดังมากเลย ! ยองแจ)



    ----------------------------------------------------------

     

    "Bonjour (บงชูร์) Monsieur (เมอซิเออ) Bang ! (สวัสดีคุณบัง)
    Comment allez-vous?" (กอมมอง ตัลเล วู๊ - คุณสบายดีไหมครับ)


    เสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูนุ่มนวลเปล่งออกมาด้วยสำเนียงราวกับเป็นเจ้าของภาษา
    ริมฝีปากได้รูปกำลังขยับเคลื่อนไหวยามกล่าวคำทักทาย

    "Je vais bien merci . Et vous?" (เฌอเวเบียง แมรซี่ เอวู๊)
    (ผมสบายดี แล้วคุณล่ะครับ?)

    เขากล่าวตอบด้วยคำทักทายง่ายๆในชีวิตประจำวัน ที่เขาพอจะรู้อยู่บ้างกลับไป

    "Très bien, merci"  (แทรเบียง, แมกซี่)
    (สบายมากเลย ขอบคุณครับ)

    คนตรงหน้าตอบกลับ ดวงตากลมวาวมองจ้องมาที่เขา ใบหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อยอย่างไว้ตัว

    "Enchanté de faire votre connaissance" (อ็องช็องเต้ เดอ แฟร์ โว้ตเทรอ กนเน้สซ้องซ์)
    (ยินดีที่ได้รู้จักคุณครับ)

    "Je Vous souhaite la bienvenue" ( เฌอ วู ซู แอ๊ต ลา เบียงเวอนู )
    (ขอต้อนรับครับ)

    "A tout de suite. (อะ ตุ๊ด สวิท)"
    (เดี๋ยวอีกแป๊ปเดียวเจอกันครับ)


    "Youngjae ! Vous voir à la Maison Blanche (วู วัวร์ อะลา เมซอง บลองช์) !"
    (ยองแจ แล้วเจอกันที่บ้านสีขาวนะ)



    ----------------------------------------------------------------

     

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ขอบคุณที่รักบังชานค่ะ ^^ 




















    :)
     Shalunla

        CR.SHL
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×