ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC] B.A.P&INFINITE THE SKY BLUE รักร้ายๆ ของยัย ลี ซอง จง

    ลำดับตอนที่ #9 : THE SKY BLUE 9

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.พ. 56


    ในตอนบ่ายฉันก็นั่งทำงานอยู่ที่หน้าเคาร์เตอร์เหมือนเดิมนั้นล่ะจะให้ฉันไปทำงานที่ไหนได้ล่ะฉันเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์น่ะ  เจลโล่หายตัวไปตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ปรากฏตัวให้เห็นเลย  เฮ้อ เศร้า  โทรหาก็ไม่ยอมรับสายเล่นตัวจังเลยน่ะ  อย่าถึงทีฉันบ้างล่ะกัน  พูดแค่นี้ทำเป็นน้อยอกน้อยใจไปได้  ฉันกำลังก้มหน้าจอจ่ออยู่กับโทรศัพท์มือถือในมือ   ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กหน้าเคาร์เตอร์  ต้องเป็นเจลโล่แน่นอนเลย ฉันลุกขึ้นและตะโกนเรียกชื่อออกไป

    “เจลโล่นายมาแล้.....”   แต่ก็ต้องกลืนคำพูดที่เหลือลงคอกลับไป  เพราะคนที่อยู่ตรงหน้าน่ะไม่ใช่เจลโล่แต่เป็นใครก็ไม่รู้  แต่หล่ออ่ะ  น่ารัก  ขาวคม ขรึม  ฉันว่าเขาขี้เก๊กมากกว่าน่ะ ทำเป็นขรึมน่ะ   ว่าแต่พ่อเทพบุตรสุดหล่อท่านนี้เขาเป็นใคร  น่าคุ้นๆแฮะ  ฉันยืนจ้องหน้าเขาอยู่นานสองนาน

    “เธอจำพี่ไม่ได้  เหรอ”   เขาถามขึ้น

    “ไม่อ่ะ  เรารู้จักกันด้วยเหรอค่ะ”   ฉันตอบด้วยสีหน้าที่งุนงง

    “ฉัน  พี่แอลไง  เธอลืมฉันไปแล้วเหรอ”   เขาบอกเสียงนิ่ง

    “อ้อ พี่แอล ฮะ พี่แอล!   พี่แอลจริงๆเหรอเนี่ย”  ฉันพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปจับแขนพี่เขา  หมุนตัวพี่เขาพลิกกลับไปกลับมา

    “ฮึ ฮึ ฮึ”  พี่แอลแค่นหัวเราะกับปฏิกิริยาของฉัน

    “เป็นไงบ้าง  หายไปอยู่ที่ไหนตั้งหลายปีนึกว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว  สบายดีหรือเปล่า  ฉันรั่วคำถามใส่พี่แอลแบบไม่หยั่ง

    “ฉันมีธุระจะคุยกับเธอนิดหน่อยน่ะ เธอพอจะมีเวลาว่างไหมไปหาร้านกาแฟนั่งคุยธุระกับฉันซักแป๊บหนึ่งสิ”  พี่แอลพูดขึ้น

    “คุยธุระ”  ฉันหันไปมองดูนาฬิกาข้อมือพบว่านี่มันก็เที่ยงแล้ว “พี่มาตอนพักเที่ยงพอดีเลย ไปกันเถอะ”  และหันไปพูดกับพี่แอล  แล้วเจลโล่ล่ะ  เออชั่งเถอะเดี๋ยวตอนบายค่อยกลับมาง้อ  ฉันเดินไปหยิบกระเป๋าและเดินตามพี่เขาไปขึ้นรถที่จอดอยู่หน้าบริษัท

                    ทุกคนคงสงสัยใช่ไหมล่ะว่าฉันกับพี่แอลมีความสัมพันธ์กันอย่างไรและพี่เอลเขาคือใคร  ตั้งใจฟังน่ะคะ  ครอบครัวฉันกับครอบครัวพี่แอลเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน  อยู่มาวันหนึ่งครอบครัวฉันเกิดล้มละลายมีหนีสิ้นท่วมตัวและต้องหาเงินไปใช้หนี้เขาไม่งั้นเขาจะมายึดบ้าน  ถ้าบ้านที่เราอาศัยอยู่โดนยึดไปเราจะไปอยู่ที่ไหนกันล่ะและบ้านหลังนี้นะเป็นมรดกเก่าแก่ที่สุดตกทอดสู่รุ่นต่อรุ่นของคุณพ่อฉนั้นเราจะให้เขามายึดบ้านไปได้อย่างไง  ครอบครัวของพี่แอลเขาเลยยื่นมือเข้ามาช่วยโดยการให้ยืมเงินโดยมีโฉนดที่ดินบ้านหลังนี้เป็นประกัน  ครอบครัวของพี่แอลเลยกลายมาเป็นเจ้าหนี้ของครอบครัวฉันไปโดยปริยาย   อยู่ต่อมาได้ไม่นานฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น  ครอบครัวของพี่แอลย้ายบ้านไปโดยไม่บอกกล่าวกันสักคำ  ตั้งแต่นั้นมาฉันก็ไม่ได้เจอพี่แอลและครอบครัวนี้อีกเลย   ประมาณ  10  กว่าปีได้มั่ง  พี่แอลเป็นพี่ชายที่ดีมากสำหรับฉันค่อยดูแลเอาใจใส่น้องสาวคนนี้เสมอตอนนั้นเราสนิทกันมากเลย  สรุปแล้วเขาคนนี้ก็เป็นทั้งพี่ชาย(ไม่แท้)และเจ้าหนี้ของฉันเองล่ะค่ะทุกๆคนนน

                    อยู่ต่อมาไม่กี่ปีพ่อแม่ของฉันก็เสียชีวีตลงทิ้งบ้านหลังนี้ไว้เป็นมรดกและมีพินัยกรรมหนึ่งฉบับซึ่งมันจะสามารถเปิดได้อ่านเมื่อฉันอายุครบยี่สิบเอ็ดปีบริบูรณ์  บ้านหลังนี่เป็นมรดกชิ้นสุดท้ายและสำคัญกับครอบครัวของฉันมากเพราะมันมีแต่ความทรงจำที่ดีๆของบรรพบรุษของคุณพ่อและครอบครัวที่อบอุ่นของฉัน

    At  It’s Me Café

                พี่แอลเลี้ยวรถเข้ามาจอดที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งซึ่งมันไกลจากที่ทำงานฉันพอสมควร มันเป็นร้านกาแฟเล็กๆสไตล์ยุโรปน่ารักมากๆ  กลิ่นของกาแฟที่กำลังคั่วอยู่นั้นหอมอบอวนเลยไปทั่วทั้งร้านได้บรรยากาศจริงๆ ฉันกับพี่แอลเดินเข้ามาในร้านและเลือกนั่งมุมที่โต๊ะติดกับกระจกเพราะมันสามารถมองออกไปชมวิวนอกร้านได้ 

    “รับอะไรดีค่ะ”  พอเรานั่งปุ๊บพนักงานของทางร้านก็เดินเข้ามารับออเดอร์ทันที  บริการดีจริงๆ

    “ผมเอาอเมริกาโน่ครับ” พี่แอลหันไปบอกกับพนักงานและหันมามองหน้าฉันเป็นเชิงถามว่าเธอล่ะจะกินอะไร

    “อื้ม  ฉันขอเป็นคาปูนิโน่ปั่นค่ะ  แล้วก็เพิ่มวิปครีมด้วยน่ะคะขอเยอะๆ”   ฉันหันไปบอกกับพนักงานแต่เธอก็ไม่ได้สนใจเสียงของฉันเลย  มือเธอก็จดรายการ ส่วนสายตาเธอก็เอาแต่จับจ้องอยู่กับหน้าของพี่แอล  แต่พี่แอลเขาไม่เห็นหรอกเพราะเขาหันหน้ามองออกไปทางนอกร้าน  อิอิอิอิ

    “คุณผู้ชายจะรับอะไรเพิ่มอีกไหมค่ะ”  แหม่ฉันก็ว่าแล้วเชี่ยวว่าทำไมถึงบริการดีจัง  ที่แท้ก็เห็นหนุ่มหล่อนี่เอง

    “......”  ฮ่าๆๆๆ 

    “อ้อ  ไม่รับแล้วค่ะ  ขอบคุณ”  ฉันที่เห็นพี่แอลไม่ได้สนใจ  เอ้ยไม่ใช่  ไม่ได้ยินก็เลยตอบให้แทน  โอ๋  น่าสงสาร

    “งั้นรอสักครู่น่ะคะ”  เธอกระแทกเสียงแบบไม่พอใจตอบกลับมา และเดินไปทางเคาร์เตอร์ทันที

    “อยู่ๆ ครอบครัวพี่ก็ย้ายออกไปโดยไม่บอกไม่กล่าว  เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วหายไปอยู่ไหนมาติดต่อก็ไม่ได้แล้วครอบครัวพี่ทำไมไม่ติดต่อกลับมาหาครอบครัวฉันบ้างเลยว่าไปทำอะไรอยู่ที่ไหน  ฉันหันกลับมาถามพี่แอลอย่างเคร่งเครียดเพื่อที่จะต้องการจะรู้เหตุผล

    ครอบครัวของฉันก็อยู่โซลเนี่ยล่ะไม่ไปไหนหรอก  ส่วนเรื่องที่ไม่ได้ติดต่อกลับมาน่ะฉันก็ไม่รู้กับพ่อแม่เหมือนกัน  ฉันถูกส่งตัวไปเรียนโรงเรียน  Jeonju Fine Arts High School  มันเป็นโรงเรียนประจำแล้วก็เรียนหนักมาก ฉันจึงไม่มีเวลาหันไปสนใจเรื่องอื่น  วันๆก็เอาแต่อ่านหนังสือ เต้น  ร้องเพลง”  พี่แอลพูดโดยที่หันหน้ามองออกไปทางนอกร้าน

    “อืม  เรื่องนั้นชั่งมันเถอะ  ว่าแต่คุณน้าทั้งสองเป็นไงบ้าง  ท่านสบายดีน่ะ”   ฉันถามพี่แอลต่อ  คุณน้าที่ฉันกำลังพูดถึงอยู่ก็คือคุณพ่อกับคุณแม่ของพี่แอล  ท่านทั้งสองใจดีกับฉันมากเลยเอาใจใส่ฉันอย่างกับลูกเนี่ย

    “ท่านทั้งสองสบายมากเลยล่ะ  และท่านก็ทิ้งปัญหาไว้ให้พี่มากมายด้วย”

    “ทำไมพี่พูดถึงท่านแบบนั้นล่ะ  วันหลังพี่พาฉันไปไหว้ท่านหน่อยสิ คิดถึงมากเลย”  ฉันพูดอย่างกระดี๊กระด๊า  แต่ทำไมคนตรงหน้าฉันกลับไม่ดีใจไปกับฉันเลย  พี่เขายังมีสติดีอยู่หรือเปล่าเนี่ยเหมือนคนอมทุกข์ยังไงก็ไม่รู้  ปกติน่ะพี่แอลเป็นคนร่าเริงจะตายไปแต่ทำไมตอนนี้เขาถึงกลายเป็นคนที่เหมือนร่างไร้วิญญานแบบนี้ ผู้ชายตรงหน้าฉันตอนนี้เขาคือพี่ชายที่ฉันรู้จักอยู่หรือเปล่าเนี่ย

    “อย่าลืมถือดอกไม้ไปด้วยล่ะ”  พี่แอลตอบโดยไม่หันมามองฉัน

    “แน่นอนสิ  ยังไงฉันก็ต้องมีของฝากติดไม้ติดมือไปไหว้ท่านอยู่แล้ว  อืม งั้นฉันซื้อโสมแล้วกันท่านก็อายุมากแล้วกินอะไรที่มันบำรุงร่างกายสักหน่อย  พี่ว่าเป็นไง”  ฉันถามพี่แอล

    “ขอโทษน่ะค่ะที่ให้รอนาน  นี่ค่ะอเมริกาโน่ของคุณผู้ชายและนี่ค่ะคาปูชิโน่เพิ่มวิปครีมของคุณผู้หญิง”   พนักงานเดินเข้ามาเสริมกาแฟ  แต่ไม่ใช้คนเดิมคงอายล่ะมั่งเลยไม่กล้ามาเสริฟเอง 

    “ขอบคุณค่ะ”  ฉันละสายตาจากพี่แอลหันไปบอกพนักงาน เธอเสริฟเสร็จแล้วก็เดินจากไป

    “เอาดอกไม้ก็พอ  เพราะท่านคงไม่ฟื้นขึ้นมากินโสมเธอได้หรอก”  ครั้งนี่พี่แอลหันหน้ามาคุยกับฉัน

    “พี่หมายความว่าไง  ฟื้น ”  ฉันถามด้วยสีหน้างุนงง

    “เธอนี่เข้าใจอะไรยากจัง  ก็หมายความว่าท่านเสียแล้วไง  เสียไปเมื่อ  ปีก่อน  ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์น่ะ”  พี่แอลตอบฉันหน้านิ่ง

    “พี่ไม่เป็นไรใช่ไหม”  ฉันถามขณะเอื้อมมือไปกลุ้มมือพี่เขา  เขาสดุดนิดๆ

    “ฉันสบายดี  ฉันทำใจได้ตั้งนานแล้วล่ะ  ฉันว่าเข้าเรื่องเลยดีกว่า”  พี่แอลคุยด้วยน้ำเสียงจิงจังมากขึ้น

    “อื้มใช่ ว่ามาสิธุระอะไรเหรอ”  ฉันถามด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็นและยกแก้วคาปูชิโน่ขึ้นดื่ม  อร่อยจัง  วิปครีมเนี่ยนุ่มละมุนและความหวานของมันบวกกับน้ำคาปูที่ขมนิดๆมันชั่งเข้ากันได้ดีจริงๆ

    “ฉันจะไม่พูดอ้อมค้อมน่ะ  ฉันต้องการที่จะให้เธอลาออกจากบริษัทนั้นและมาทำงานกับฉัน”  

    “พี่หมายความว่าไง”  ฉันถามพี่แอลกลับด้วยสายตางุนงง  “นั่นแน่  พี่ล้อฉันเล่นใช่เปล่า”  ฉันยิ้มถามพี่เขากลับ

    “ไม่ได้ล้อเล่น ฉันพูดจริงๆ”  พี่แอลนั่งจิบกาแฟสบายๆตอบฉันกลับ  แต่น้ำเสียงและสายตาที่ตอบกลับมานั้นจริงจังมาก

    “พี่ฉันไม่ตลกน่ะ”  ฉันเปลี่ยนรอยยิ้มเป็นสีหน้าเคร่งเครียดทันทีและถามพี่แอลกลับด้วยน้ำเสียงที่จริงจังไม่แพ้กัน

    “ฉันก็ไม่ได้พูดเล่นนี่และไม่ตลกด้วย  ฉันพูดจริง”

    “ถ้าพี่พูดจริง  งั้นฉันขอเหตุผลหน่อย”  ฉันถามพร้อมกับกระแทกแก้วคาปูวางลงบนโต๊ะ มันไม่อร่อยแล้ว  เสียงกระแทกนั้นทำให้คนในร้านหันมาที่เราสองคน     

    “ฉันต้องการให้เธอมาค่อยดูแลฉัน ฉันอยู่คนเดียว ฉันเหงาเธอช่วยฉันได้ไหม”  พี่แอลวางถ้วยกาแฟและเอื้อมมื้อมาจับมือฉันขึ้นไปกลุ้มและพูดน้ำด้วยเสียงที่อ่อนโยนแต่เหมือนเสแสร้งยังไงไม่รู้  ถ้าเป็นคนอื่นคงจะตกปากรับคำขอร้องจากพี่เขาในทันที  แต่กับฉันมันไม่เป็นเช่นนั้น

    “เรื่องแค่นี้พี่ไม่เห็นต้องให้ฉันลาออกจากบริษัทเลยนี่  วันหยุดฉันก็ไปหาพี่ได้หรือไม่พี่ก็มาหาฉันได้เรื่องแค่เนี่ยทำให้ยุ่งไปได้”  ฉันต่อว่าพี่แอลพร้อมกับดึงมือกลับ

    “เธอนี่มีข้อต่อรองเยอะจริงๆน่ะชองจง  ฉันพูดดีๆด้วยไม่ชอบใช่ไหม ฉันจะถามเธออีกครั้งจะลาออกและย้ายไปอยู่กับฉันไหม”  พี่แอลถามด้วยสีหน้าและแววตาเอือมระอาฉันสุดๆ

    “ไม่  เหตุผลของพี่มันฟังไม่ขึ้น”  ฉันตอบกลับทันทีโดยไม่คิด

    “งั้น  พี่ก็คงต้องขายบ้านของเธอทิ้งแล้วล่ะ”  พูดจบพี่แอลก็ลุกขึ้นและเดินออกจากร้านไป  หัวสมองของฉันประมวลผลช้านิดหนึ่งพอตั้งสติได้จึงรีบวิ่งออกจากร้านและเดิมมาที่รถของพี่แอล  เหมือนพี่เขาจะรู้ว่ายังไงฉันก็ต้องเดินตามออกมาจึงยืนรออยู่ที่รถ

    “พี่บ้าไปแล้วเหรอ  พี่ต้องการอะไรกันแน่  พี่ทำแบบนี่ไปเพื่ออะไร”  พอฉันมาถึงฉันก็ตวาดใส่พี่แอลแบบไม่หยั่ง

    “ถ้าจะเดินมาต่อว่าฉันล่ะก็ฉันขอตัวน่ะ”  พี่แอลทำท่าจะเปิดประตูรถ

    “เดี๋ยว  ฉันยังพูดไม่จบ  ฉันพูดพร้อมกับเดินเอาตัวเข้าไปขว้างระหว่างประตูรถกับตัวพี่แอล  “ฉันต้องทำอะไรบ้าง”  ฉันถามพี่เขากลับด้วยน้ำที่ไม่พอใจแบบสุดๆ

    “ฮึ  เธอนี่นั่งคุยกันในห้องแอร์ดีๆไม่ชอบน่ะ  ชอบยืนคุยกลางแดด  ก็ไม่ต้องทำอะไรแค่ไปลาออกจากบริษัทและบอกลาเพื่อนๆและน้องชายที่รักของเธอก็พอ”  พี่แอลพูดพร้อมกับพลักฉันออกจากประตูรถ เล่นเอาฉันเกือบล้ม  แล้วน้องชายที่รักมันหมายถึงอะไรอ่ะ

    “......” อึ้ง  ไม่คิดไม่ฝัน

    “ฉันมีเวลาให้เธอหนึ่งอาทิตย์ ทำธุระของเธอให้เสร็จ แล้วฉันจะมารับ”  พูดจบพี่แอลก็เข้าไปนั่งในรถและปิดประตูทันที

    “.....”  นิ่ง

    “จะให้ฉันไปส่งหรือเปล่า”  พี่แอลเลื่อนกระจกรถลงและหันมาถามฉัน

    “ไม่เป็นค่ะ  ฉันกลับเองได้”  พูดกระแทกเสียงตอบกลับไป  

    “งั้นฉันไปก่อน  บายแล้วเจอกัน”  พูดจบพี่แอลก็เลื่อนกระจกขึ้นและขับรถออกไปทันที  

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×