ตอนที่ 7 : 第三集 : ในที่สุดบรรณาการชิ้นนี้ก็....น่าตายนัก!
“ที่แท้คนผู้นั้นจงใจปล่อยข้ามาเช่นนั้นหรือ” เสวี่ยซุนเป่าพึมพำเบาๆ ในขณะที่เร่งฝีเท้าตามนางกำนัลทั้งสอง
ระหว่างทางเต็มไปด้วยผืนป่าเขียวชอุ่ม หากไม่เป็นเพราะนางตกอยู่ในสถานการณ์แปลกประหลาดนี่นางคงรู้สึกสนุกอยู่หลายส่วน ทว่าแม้นางจะก้าวย่างอย่างระมัดระวังเพียงใด กิ่งไม้และหนามเล็กก็ยังขีดข่วนเนื้ออ่อนนุ่มบริเวณมือจนเลือดไหลซิบ
“อย่างไรก็ช่างเถิดเพคะ พวกเรารีบกลับหยวนโหย่วกันเถิด” อู๋เสวียนว่าอย่างระมัดระวัง วาจาขับไล่องค์หญิงของพวกนางจากบุรุษน่ากลัวผู้นั้นยังดังก้องขึ้นใจ
พานางกลับไปเมืองเหนือ อย่าคิดเอาคนมาเป็นบรรณาการกับจวิ้นอ๋องผู้นั้นอีก
“อืม! ข้ามิคิดมากหรอก”
แม้จะไม่ค่อยเข้าใจก็ตามทีว่าเหตุใดบุรุษผู้นั้นถึงได้จับตัวพวกนางไป ‘นอนค้าง’ ให้พวกนางอกสั่นขวัญแขวน แถมยังแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าเกลียดขี้หน้า ‘ว่าที่สามี’ ของนาง รวมไปถึงวาจาโผงผางน่าโมโหนั่น แต่อย่างไรเสียก็ต้องขอบคุณ ‘โจรชั่วช้า’ ผู้นั้นที่ผลักไสนางกลับบ้านเกิด มิต้องเข้าพิธีวิวาห์กับจวิ้นอ๋องป่าเถื่อนชอบถลกหนังคน
คงจะเป็นกบฏคู่แค้นจริงๆ ล่ะสิท่าถึงมิอยากให้คนผู้นั้นแต่งงานมีความสุข
“องค์หญิง...ทหารของเรา” หรงฮวาชี้นิ้วออกไปตรงหน้าอย่างแย้มยิ้ม
“จริงด้วย!”
องค์หญิงสิบสองที่แสดงท่าทีเหนื่อยล้าเมื่อครู่กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันตา ริมฝีปากเผยอออกด้วยความเบิกบาน เห็นเหล่าทหารชุดเกราะประจำเมืองยืนเป็นระเบียบอยู่ไม่ไกล หากแต่ต้นไม้เขียวครึ้มยังคงเป็นอุปสรรคต่อการเดินทางอยู่หลายส่วน แม้จะมองเห็นเงาหลายร่าง แต่นางคิดว่าคงใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่าหนึ่งก้านธูปกว่าจะฝ่าป่าดงนี่ไปได้
เอาเถอะ! เมื่อคืนนี้นางให้อภัยเขาก็แล้วกัน
นี่เห็นว่าเขาทำให้นางหลุดจากบ่วง แถมยังคืนทหารหลายสิบนายกลับมาปลอดภัยทุกคนด้วย!
ร่างอิสตรีทั้งสามรีบเร่งฝีเท้าเข้าไปอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่แล้วเสียงดังเคร้งทำให้คนทั้งสามหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก หรงฮวาฉุดมือเจ้านายที่เดินนำอยู่ข้างหน้าให้หยุดลงก่อนจะดึงร่างเล็กๆ ให้ทรุดลงกับพื้นหญ้า เสวี่ยซุนเป่าถึงแม้จะยังรู้สึกมึนงงอยู่บ้างแต่ก็ยอมให้อีกฝ่ายรั้งไปอย่างว่าง่าย
“องค์หญิง มีคนลอบทำร้ายเพคะ!”
“เกิดอะไรขึ้น”
องค์หญิงสิบสองนัยน์ตาไหวระริก พยายามเพ่งเล็งไปยังต้นเสียง จู่ๆ มือทั้งคู่ก็กำติดกันแน่น ทหารของนางอยู่ห่างแค่เพียงหนึ่งลี้กำลังประฝีดาบกับคนชุดดำจำนวนหนึ่งจนคนของนางล้มตายไปจำนวนมาก
หรือว่าจะเป็น...
“โจรชั่วช้า” หรือว่าเขาคิดเปลี่ยนใจ กลัวนางวิ่งโร่ไปบอกจวิ้นอ๋องกัน!
คิ้วดกดำขมวดติดกันแน่น เล็บจิกเข้าไปกลางฝ่ามืออย่างลืมตัว พลันรู้สึกขอบตาร้อนผะผ่าว หยดน้ำอุ่นชื้นกลิ้งกลอกบนดวงแก้ม ไม่น่าหลงคิดว่าคนผู้นั้นดีขึ้นมาเลยจริงๆ!
สวบ!
“กรี๊ดดด”
เสียงเหยียบย่างดังขึ้นข้างหลังพร้อมๆ กับเสียงกรีดร้องของคนข้างกายทำให้เสวี่ยซุนเป่าเหลือบไปมองด้วยความรวดเร็ว จู่ๆ มือที่จับกับหรงฮวาก็ถูกกระชากอย่างรุนแรงพร้อมๆ กับบุรุษร่างใหญ่ผู้หนึ่งพันธการนางกำนัลของนางไว้อย่างแน่นหนา นัยน์ตาที่พร่าเลือนจับจ้องไปยังบุรุษสวมชุดอำพรางอย่างไม่ชัดเจนนัก
“อย่าเข้ามานะ!” อู๋เสวียนแม้ตะกลัวจนตัวสั่น แต่ก็ดึงร่างองค์หญิงสิบสองให้หลบอยู่ข้างหลัง
“คืนนางมาให้ข้า พวกเจ้าต้องการอะไรข้าจะให้”
เสวี่ยซุนเป่ากระพริบตาถี่จนหยาดน้ำเลือนหาย กายบางจึงก้าวมายืนข้างหน้า แม้มือทั้งสองข้างจะเย็นเฉียบและสั่นเพียงใด ดวงหน้าละมุนเชิดขึ้นอย่างถือตัว อาจเป็นเพราะแววตาดื้อรั้นนั่นถึงทำให้นางดูราวกับลูกเสือตัวน้อย
“ฮ่าๆๆ”
ชายสามคนหันไปหัวร่อกันให้ลั่น ก่อนคนที่จับตัวหรงฮวาไว้จะฉุดกระชากให้คนในอ้อมแขนผละออกไป ทันทีที่เสวี่ยซุนเป่าทำท่าทางจะขยับตาม บุรุษอีกคนเคลื่อนกายเข้าหานาง ใช้ปลายกระบี่เชยคางมนให้เงยขึ้น แม้ในตอนแรกนางยังขัดขืนไม่ไปตามแรง ทว่าปลายกระบี่กลับพลิกด้านคมบาดผิวอ่อนนุ่มจนมีโลหิตไหลซึม ใบหน้าสะคราญจึงจำใจยินยอมเงยขึ้นแต่โดยดี
“พวกเจ้าจะพาหรงฮวาไปแห่งใด”
คนฟังยักไหล่ให้เสียคราหนึ่ง ไม่เอ่ยคำตอบ แต่กลับตั้งคำถามแทน
“องค์หญิงสิบสอง ท่านจะรีบไปแห่งใดกันเล่า เหตุใดจึงไม่อยู่กับจวิ้นอ๋องของท่าน”
“เฮอะ!”
นางสะบัดใบหน้าหนี แค่พวกมันรู้ฐานะของนาง นางก็มิมีอันใดจะแคลงใจอีก ในทิศเหนือนี่จะมีสักกี่คนเชียวที่รู้ฐานะที่แท้จริงของนาง อีกทั้งยังมีเรื่องแต่งงาน หากมิใช่โจรชั่วผู้นั้น เจ้าคนท่าทางกักขฬะผู้นี้จะรู้ได้อย่างไรกัน!
“ห้ามทำอันใดองค์หญิงนะ”
เพี๊ยะ!
อู๋เสวียนเห็นท่าไม่ดีจึงเข้ามาขวาง แต่แล้วร่างเล็กก็ลงไปกองกับพื้นดังตุบเมื่อฝ่ามือใหญ่ฟาดลงบนใบหน้าเล็กจนผิวขาวแดงเป็นปื้น
เสวี่ยซุนเป่าทรุดกายลงนั่งประคองอู๋เสวียนขึ้นนั่ง
“เจ้าคนขี้ขลาด รังแกได้แม้กระทั่งผู้หญิง”
“จะตายแล้วยังปากมากอีก เดี๋ยวบิดาสั่งสอนสักคราดีหรือไม่”
เสียงใหญ่ตะคอกใส่ แม้ปากจะเอ่ยคำถาม แต่ปลายกระบี่กลับพาดอยู่บนลำคอของนาง อีกทั้งมันยังคมจนนางรู้สึกแสบ สัมผัสได้ถึงโลหิตเหลวๆ ที่ซึมผ่านเสื้อออกมาอีกด้วย
เสวี่ยซุนเป่าหลับตาลง ริมฝีปากเป็นกระจับเม้มติดกันพลางสั่นเล็กน้อย ร่างเล็กนั่งแข็งนิ่งราวกับรูปปั้นหิน ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจ
ท่านแม่...ข้าจะมีวาสนากลับไปหาท่านอีกหรือไม่ ข้าคิดถึงท่าน...คิดถึงท่านพ่อจอมบงการของข้าเหลือเกิน!
“ฮืออออ”
ความอัดอั้นตันใจที่สะสมมาตลอดสองวันนี้ทำให้นางกลั้นน้ำตาไม่อยู่เสียแล้ว นางอายุเพียงสิบห้า...สิบห้าเท่านั้นนะ! นางเพิ่งผ่านวัยปักปิ่นมาไม่ถึงปีด้วยซ้ำ เหตุใดนางจะต้องมาเจอเรื่องน่ากลัวเช่นนี้ด้วย หากรู้เช่นนี้แล้วนางจะยอมหาบุตรเสนาบดีในวังแต่งงานไปเสีย ดีกว่ามาจบชีวิตอยู่กลางป่าเพราะเรื่องบุญคุณความแค้นของจวิ้นอ๋องผู้นั้น
เสียงสะอึกสะอื้นของนางดังขึ้นจนนางมิคิดสนใจสิ่งรอบข้างอีกแล้ว สัมผัสได้เพียงแรงบีบมือของอู๋เสวียนที่แน่นขึ้นพร้อมกับเสียงกระซิบเรียกองค์หญิงแผ่วเบา
“องค์หญิง”
“......”
เป็นตายร้ายดีอย่างไรนางจะไม่ยอมลืมตาขึ้นเป็นอันขาด...นางจะไม่ยอมเห็นคมกระบี่นี่ฟันลงบนตัวนางเป็นแน่
“น่าตายนัก! หยุดแหกปากเสียที!”
และแล้วเสียงทุ้มเข้มราวกับฟ้าผ่าก็กลบเสียงร้องไห้ของนางเสียสิ้น น้ำเสียงดุอันทรงพลังทำให้นางเผลอลืมตาขึ้นมองอย่างมึนงง หยาดน้ำใสที่คลอหน่วยตาทำให้นางมองเห็นภาพตรงหน้ามิชัดเจนนัก รับรู้เพียงแค่บุรุษร่างหนาที่ยืนซ้อนด้านหลังตวัดแขนครั้งหนึ่งแล้วกระบี่ที่พาดบนคอของนางก็หล่นลงพื้น
รวมไปถึง...ร่างที่ไร้ศีรษะของคนตรงหน้าเอนเอียงราบลงไป ทั้งยังมีโลหิตเหนียวข้นกระเซ็นมาถูกใบหน้าของนางอีกด้วย!
“กรี๊ดดดด”
“องค์หญิง! องค์หญิงเพคะ”
อู๋เสวียนเข้าไปประคองร่างบางที่ล้มแนบไปกับพื้นท่ามกลางความกลาหล เมื่อครู่นี้เห็นฝีดาบปรากฏแววระยิบระยับยามต้องแสงแดดก่อนที่จะมีผ้าขาวบางผืนเล็กปลิวมาปิดหน้า ทว่าทันทีที่ดึงผ้านั่นออกกลับพบเพียงร่างไร้วิญญาณที่เปื้อนเลือด ทว่าไม่เพียงแค่นั้นองค์หญิงของนางก็เป็นล้มพบอยู่ข้างกาย
ฝูจิ้งเหลือบมองซย่าเฉียวอี้ก่อนจะเบือนสายตามายังอิสตรีสองนางที่อยู่กับพื้น เสียงปะทะดาบที่ไกลออกไปมิได้ทำให้นายเหนือหัวมีท่าทีต่างไปแต่อย่างใด
“ท่านอ๋อง...” เสียงเรียกเบาๆ ก่อนจะกระแอมเสียคราหนึ่งเมื่อเห็นเจ้าของตำแหน่งชายตามองด้วยความไม่พอใจ ที่เขาให้พวกพวกทหารเปลี่ยนคำเรียกขานเป็นเพราะมิอยากเปิดเผยตัว “นายท่าน พาพวกนางกลับค่ายก่อนดีหรือไม่”
ซย่าเฉียวอี้หรี่ตามองทางด้านที่ยังคงต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่ง ทว่าทันทีที่เห็นเงาสูงใหญ่ที่คุ้นเคยหลายเงาทยอยปรากฏเข้ามาในสายตา เขาก็ทิ้งดาบลงพื้นก่อนจะสะบัดชายเสื้อหมุนตัวจากไปทันที
“พานางไป” แม้สุ้มเสียงจะแฝงความไม่พอใจอยู่หลายส่วน แต่ก็เค้นเสียงตอบ
ฝูจิ้งกระพริบตามองตามไปอย่างงุนงง เขาก้มลงมองคนผู้หนึ่งที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นกอดนายตัวเอง เบือนสายตาไปยังกระบี่อาบเลือดที่อยู่เคียงกันด้วยความหนักใจ
“เจ้า...”
“ฮือออ...ท่านช่วยองค์หญิงด้วย” อู๋เสวียนสูดน้ำมูกพลางอ้อนวอน
ส่วนชายผู้โชคร้ายถอดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ค่อยๆ นั่งลงเอื้อมไปหยิบผ้าสีขาวสะอาดที่ปลิวตกอยู่ไม่ไกลเหน็บเข้าที่สายคาดเอว อู๋เสวียนเห็นดังนั้นก็เบิกตาโตก่อนจะละล้าละลังถามด้วยใบหน้าตื่นตูม
“ผ้าของท่านหรือ”
“อืม”
ถึงแม้เสียงตอบรับจะผะแผ่วสักเพียงใดแต่ถึงกระนั้นก็ทำให้คนฟังหัวใจพองฟู ริมฝีปากแดงๆ เม้มติดกันเล็กน้อยพลางหลุบตาต่ำลง
“ขอบคุณท่าน”
บุรุษเพียงหนึ่งเดียว ณ ที่นั้นมิได้เอ่ยปากตอบ โชคดีที่เขาใช้ผ้าปิดตาอีกฝ่ายทัน มิเช่นนั้น ‘งาน’ ที่เขาต้องจัดการคงมิใช่สตรีเพียงผู้เดียวอย่างแน่นอน มือใหญ่คว้ากระบี่ที่วางอยู่กับพื้นขึ้นมา เห็นดังนั้นอู๋เสวียนก็ทำท่าทีตื่นตระหนก เผยแววไม่ไว้วางใจอยู่หลายส่วน
“ถือนี่ให้ข้า”
อู๋เสวียนพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะเอื้อมือไปรับอย่างรู้งาน หากแต่นางมิคิดว่ามันจะหนักอึ้งถึงเพียงนั้นถึงทำให้กระบี่ตกลงพื้นอย่างง่ายดาย
“ข้าขอโทษ ข้ามิได้ตั้งใจ” เสียงเบาๆ ว่าอย่างรวดเร็ว
“ช่างเถอะ ระวังด้วย”
ฝูจิ้งมองปฏิกิริยานั้นก่อนจะโคลงศีรษะเล็กน้อย ถึงแม้ตัวเขาเองก็ไม่ได้คุ้นเคยกับการมีสตรีข้างกายนัก แต่ก็พอจะคาดเดาออกว่านางรูปร่างกะทัดรัดเข่นนี้จะมีเรี่ยวแรงถือกระบี่หนักๆ เช่นนี้ได้อย่างไร
อู๋เสวียนทำตามอย่างว่าง่าย แต่ก็อดเอ่ยปากถามไม่ได้เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังมิมีท่าทีจะเข้ามาช่วยองค์หญิงของนางเลยแม้แต่น้อย
“แล้วองค์หญิง?”
คนร่างใหญ่มีสีหน้าลำบากใจ แต่ก็ยอมขยับกายเข้าไป มือหยาบทำท่าจะแตะต้องร่างบุคคลที่ไม่ได้สติ แต่ก็ชะงักค้างอยู่ในอากาศ ริมฝีปากขยับแต่ไร้ซึ่งเสียงเอื้อนเอ่ย
“ขออภัยท่านด้วย” คำขอโทษนี้เขายังมิแน่ใจเอาเสียเลยว่าขอโทษองค์หญิงสิบสองผู้นี้ หรือขอโทษท่านอ๋องสี่ผู้ซึ่งเป็นว่าที่เจ้าบ่าวของร่างนี้กันแน่!
อ้อมแขนแข็งแรงตวัดสาวน้อยเข้ามาในแนบอก ถึงแม้จะพยายามเลี่ยงมิให้เนื้อตัวสัมผัสกันมากเกินไปแต่ก็มิสามารถทำได้ดั่งใจคิดเช่นกัน มีเพียงวิธีเดียวคือรีบกลับค่ายให้เร็วที่สุด
ทันทีที่หมุนกายกลับไปก็พบว่าอาชาที่ถูกยึดติดอยู่กับต้นไม้ยังอยู่ครบทั้งสองตัว เป็นการแสดงว่าท่านอ๋องมิได้นำอาชากลับไป หรือเจ้านายของเขาจะยอมใจอ่อนกับองค์หญิงสิบสอง ยอมเสียสละอาชาของตนเองเพื่อให้พวกเขากลับค่ายกันไปอย่างมิลำบากนัก
บ้าน่า...ท่านอ๋องอาจจะอยากเดินสำรวจบริเวณนี้ก่อนก็ได้
ใจอ่อนกับสตรี...มิน่าจะเป็นไปได้
อย่างไรก็เอาเถิด! ในเมื่อนายของเขายอม ‘ใจดี’ ถึงเพียงนี้ เขาก็มิขัดปณิธาณ!
“เจ้าขี่ม้าอีกตัวนั่นตามข้ามาเสียก็แล้วกัน” เอ่ยวาจาไปแล้วก็ก้าวเดินอย่างเร่งรีบ มิได้สังเกตเลยว่าสตรีอีกนางหิ้วกระบี่ด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน
อู๋เสวียนมองตามแผ่นหลังกว้างด้วยความประหม่า และก่อนที่เขาจะจากไปไกลจนมิได้ยินเสียง นางก็ตัดสินใจ ‘สารภาพ’...แน่นอนว่าประโยคถัดมาทำให้ผู้ที่สืบสานน้ำใจของผู้เป็นนายชะงัก
“ข้ามิเคยขี่ม้า!”
เฮ้อ!!
ในที่สุดก็สลัดไม่พ้น 55555 แล้วอ๋องสี่จะจัดการยังไงต่อไปน้ออออ
ฝากติดตามกันด้วยนะคะ ><
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

รีบมาอัพเพิ่มด้วยนะค่ะ