ตอนที่ 11 : 第五章 : บั้นท้ายของข้ายังอยู่ดีใช่หรือไม่?
ทางด้าน ‘นายท่าน’ ที่ว่ากำลังเดินออกมาจากบริเวณที่พักอย่างใช้ความคิด ร่างสูงใหญ่สาวเท้ายาวๆ มาจนกระทั่งถึงริมลำธารอย่างไม่รู้ตัว ทันทีที่เห็นเงาสตรีสองร่างอยู่ไกลๆ ทำให้เขาหยุดฝีเท้าลง มือทั้งสองยกขึ้นกอดอกก่อนที่รอยยิ้มชั่วร้ายจะปรากฎอยู่บางเบา
“มีอันใดหรือขอรับ”
ฝูจิ้งที่เริ่มคุ้นชินกับคำเรียกใหม่เอ่ยถามด้วยความแปลกใจก่อนจะมองตามผู้เป็นนายออกไปคลายความสงสัย ใบหน้าคมฉายแววอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย
เสียงซักถามนั่นทำให้ซย่าเฉียวอี้ได้สติ ตัวเขาเองเดินทางถึงที่นี่อย่างไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ก่อนหน้านี้จำได้แค่เพียงเขาโมโหมากที่ ‘บรรณาการที่แสนน่ารำคาญ’ นั่นถึงกับกล้าเผาค่ายของเขา หลังจากนั้นก็ไม่มีสมาธิจนต้องออกมาเดินพลังลมปราณเรียกความสงบเสีย ทว่ายังมิทันตอบคำถามตาก็เหลือบมองคนสนิทก่อนจะขมวดคิ้วเป็นปมเมื่อเห็นแววตาของอีกฝ่ายที่ทอดมองไปยังเบื้องหน้า ลำคอส่งเสียงคำรามเบาๆ อย่างไม่รู้ตัว
เสียงกระแอมของผู้เป็นนายทำให้เขาได้สติ รีบเบือนสายตาหนีอย่างรวดเร็ว
“ข้าจะเข้าไปดูพวกนาง”
“ขอรับ”
ฝูจิ้งมิออกความคิดเห็นหากแต่ขานรับด้วยสีหน้าแฝงไปด้วยความสุขหลายส่วน ซย่าเฉียวอี้ส่งเสียงหึในลำคอก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้สตรีทั้งสอง ระหว่างที่เดินเข้าไปบรรดาทหารที่ยืนเฝ้าเตรียมตัวจำโค้งลงคำนับ หากแต่ซย่าเฉียวอี้ยกมือขึ้นห้ามก่อนจะโคลงศีรษะมิให้อีกฝ่ายได้ทำตามใจ เขามิอยากให้พวกนางรู้ตัวว่าเขากำลังมา
ภาพที่อยู่ในสายตาค่อยๆ ชัดเจนขึ้นและค้นพบความจริงว่านางทั้งสองมิได้ ‘ช่วยกัน’ ดั่งที่เข้าใจ ยิ่งเข้าใกล้มากเพียงใดก็ยิ้งได้ยินเสียงน้ำกระเซ็นและเสียงพูดคุยชัดเจนขึ้นเท่านั้น
“เมื่อกี้ข้ายังมิทันมอง เอาใหม่”
“เพคะ”
“ข้ายังมิเข้าใจ”
“คอยดูใหม่นะเพคะ”
“เอ๊ะ! เมื่อครู่ข้าก็ดูมิทันเช่นกัน!”
“.....”
ในที่สุดซย่าเฉียวอี้ก็หยุดลงด้านหลังเสวี่ยซุนเป่าที่นั่งอยู่บนโขดหินด้วยท่วงท่าสบาย มือทั้งสองท้าวคางไว้พลางหัวเราะร่าด้วยอารมณ์เบิกบาน ส่วนสตรีอีกคนก็ก้มๆ เงยๆ สะบัดเสื้อผ้าอยู่หลายตัว
น้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความสดใสกระทบเข้ามาใจโสตประสาทจนกระทั่งจวิ้นอ๋องเผลอหยุดฝีเท้าลง เสียงนั่นทำให้เขานึกไปถึงสตรีผู้หนึ่งที่จากเขาไปหลายสิบปีก่อน นับเป็นจุดเริ่มต้นของการตัดสินใจละทิ้งชีวิตในเมืองหลวงเข้าสู่สนามรบที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความโกรธแค้น...ชีวิตที่อยู่ท่ามกลางความมืดมิดของเงามัจจุราชมันทำให้เขากลายเป็นคนที่ดูโหดเหี้ยม มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อทุกคนต่างเกรงกลัวและขนานนามเขาว่า ‘พยัคฆ์เมฆา’ ไปเสียแล้ว
ท่านแม่...เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยหัวเราะอย่างเบิกบานเช่นนี้กับนางมานานเพียงใด
“ท่าน!!”
แววตาเศร้าหมองยังมิทันได้หายไป สุ้มเสียงตกใจของอู๋เสวียนก็ทำให้เขาสะดุ้ง ‘เผลอ’ ยกเท้า ‘พลาดพลั้ง’ ทำสิ่งที่ฝูจิ้งถึงกับผงะ!
ตูมมม!!!
“องค์หญิง!” อู๋เสวียนรีบปล่อยอาภรณ์ในมือของตนเองออก มองร่างเล็กที่ปลิวไหวไปกับอากาศตกธารน้ำจนพื้นผิวนทีแผ่กระจายเป็นวงกว้าง
“นายท่าน!!” ฝูจิ้งร้องเรียกเสียงดังด้วยความตกใจ สีหน้าแสดงถึงความตื่นตระหนก มองดูท่อนขาแข็งแรงที่ยกขึ้นไปข้างหน้า
ซย่าเฉียวอี้มองดูเหตุการณ์ด้วยใบหน้าเห่อแดง ใบหน้าคมฉายแววดุดันกลบเกลื่อนความอับอาย ร่างสูงใหญ่รีบเปลี่ยนกริยาท่าทางอย่างรวดเร็ว เวลาเพียงเสี้ยวนาทีก็ทำให้เขากลับมาสู่ความสง่าและน่ายำเกรงเช่นเดิม ยิ่งมีดวงตาทั้งสองคู่จับจ้องมาที่เขาด้วยความงุนงงยิ่งทำให้รู้สึกเคอะเขิน แกล้งกระแอมเสียคราหนึ่งจนคนทั้งสองต้องละสายตา
เมื่อครู่เขามิได้ตั้งใจจะทำร้ายนางเลยแม้แต่น้อย ทว่าเขากำลังตกอยู่ในห้วงความคิด กอปรกับจู่ๆ นางกำนัลของนางก็หันมาเบิกตากว้างเรียกเขาด้วยความตระหนกยิ่งทำให้เขาตกใจเผลอ ‘พลาดพลั้ง’ ยกเท้าไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ตัว มิหนำซ้ำความยาวของขากับระยะห่างระหว่างเขากับนางสามารถถึงกันได้พอดิบพอดี ยังมิทันที่ทันจะได้หันมามองเขาเต็มๆ ตาร่างบอบบางบนโขดหินก็ลอยละลิ่วตกน้ำดังตูม
“แค่กๆๆ”
ทางด้านสตรีผู้โชคร้ายก็ตะเกียกตะกายผุดขึ้นมาจากน้ำเย็นฉ่ำ ถึงแม้ลำธารสายนี้จะมิใช่น้ำลึก แต่ด้วยความแตกตื่นจากการที่จู่ๆ ก็ถูกถีบลงมาในผืนน้ำ อีกทั้งนางยังว่ายน้ำมิเป็นอีก จึงทำให้นางเองก็กลืนน้ำเข้าไปเสียหลายอึกจนสำลักเช่นกัน
ทว่าการที่เสวี่ยซุนเป่าตั้งสติได้นั้น กลับทำให้สองบุรุษรีบเบือนหน้าหนี ระดับน้ำใสอยู่เหนืออกของนางเล็กน้อย ทว่ายามใดที่นางขยับตัว แผ่นน้ำก็กระเพื่อมจนเห็นอกอวบแสนเลือนราง อาภรณ์ที่เต็มไปด้วยคราบเปรอะเปื้อนแนบสนิทไปกับเนื้อตัว ผมยาวของนางเปียกชุ่ม ใบหน้าขาวพราวพร่างไปด้วยหยาดน้ำ แก้มเล็กแดงก่ำด้วยความโกรธ
“เจ้า! ที่แท้เจ้าคิดสังหารข้าจริงๆ ด้วย” เสวี่ยซุนเป่าชี้ใบหน้าบุรุษที่ขมวดคิ้วไปทางอื่น
“ข้ามิได้ตั้งใจ”
“เจ้าบอกว่ามิได้ตั้งใจหรือ หากตั้งใจข้าคงจะหัวฟาดพื้นไปแล้ว”
นางยังคงตะคอกเสียงดังพร้อมๆ กับขยับกายมาริมฝั่ง พยายามปีนป่ายตนเองขึ้นมาโดยมีอู๋เสวียนช่วยเหลือดึงรั้ง จนในที่สุดนางก็ขึ้นมาบนฝั่งได้ด้วยท่าทีทุลักทุเล มีบางครั้งที่ฝูจิ้งแอบเหลียวสายตาไปมองด้วยความเป็นห่วงแต่ก็ถูกจวิ้นอ๋องขี้โมโหตบป๊าบเข้ากลางหลังเสียคราหนึ่ง
“กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย” ซย่าเฉียวอี้เอ่ยวาจาอ้อมแอ้ม โทสะและคำพูดที่คิดจะคุยกับนางหายไปเสียสิ้น ยามนี้คิดแต่เพียงว่าทำอย่างไรก็ได้ให้นางรีบผลัดอาภรณ์เปียกชุ่มนี่มิให้อยู่ในสายตาเขาอีก
ถึงแม้เขามิชอบแตะต้องสตรี...แต่เขาก็มีอารมณ์ปรารถนาเช่นบุรุษทั่วไปเช่นกัน
“เจ้าคนชั่วช้า รังแกผู้อื่นแล้วคิดจะหนีเช่นนั้นหรือ!”
เสวี่ยซุนเป่าใบหน้ายับยู่ยี่ รีบพยุงตัวลุกขึ้นยืนแต่ก็ดูเหมือนจะลำบากมิน้อย เจ้าอาภรณ์ของนางเมื่อถูกน้ำแล้วก็หนักมิใช่เล่น
“เจ้ากล้าเดินหนีข้าหรือ!” ในที่สุดเสวี่ยซุนเป่าก็ใช้เท้าเล็กๆ วิ่งตามมา มือหนึ่งฉุดรั้งชายเสื้อของเขาไว้แน่น ดวงตาประกายไปด้วยชัยชนะที่ฉุดรั้งเขาได้
ทว่าเพียงพริบตาเดียว...เขาก็สะบัดนางออกอย่างง่ายดาย
“อย่ามายุ่งกับข้า!”
ซย่าเฉียวอี้มองอีกฝ่ายด้วยหางตาก่อนจะรีบเดินหนี ถึงแม้เขาจะมิคิดอันใดต่อนาง แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นเด็กที่เพิ่งจะผ่านวัยปักปิ่น ให้ตายอย่างไรเขาก็ร่วมเตียงกับเด็กน้อยอย่างนางมิลง ถึงแม้ ‘อะไร’ ของนางจะเติบโตเหมาะสมตามวัยก็เถิด!
น่าตายนัก! นี่เขาเผลอพิจารณาร่างกายของนางเมื่อใดกัน!
“ออกไปเฝ้าหน้าค่ายให้หมด ภายในครึ่งเค่อหากข้ายังเห็นผู้ใดอยู่ที่นี่ ข้าจะโบยยี่สิบไม้” เสียงคมดุตะโกนลั่นเมื่อเห็นบรรดาทหารที่เฝ้าอยู่ระแวกใกล้เคียงชะเง้อมองอย่างสนอกสนใจ ทว่าทันทีที่คั่งถูกถ่ายทอดออกไป ณ บริเวณแห่งนั้นก็เงียบเชียบราวกับพื้นที่ร้าง
เสวี่ยซุนเป่ามองตามไปอย่างหงุดหงิด แม้ภายในใจจะแอบสงสัยอยู่บ้างว่าเพราะเหตุใดเขาถึงได้ดูอยากหนีหน้านางนัก ทั้งที่ความเป็นจริงควรจะเป็นเขาที่เป็นฝ่าย ‘ใช้อำนาจ’ กับนาง
แต่ก็ช่างเถิด! คิดเสียว่าศึกครานี้นางเป็นฝ่ายชนะก็แล้วกัน!
“องค์หญิงรีบผลัดอาภรณ์เถิดเพคะ เดี๋ยวจะมิสบายเอา” อู๋เสวียนมองอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง โชคดีนักที่อีกฝ่ายมิได้เป็นอันใดไป ถึงแม้นางจะใจร้อนและใช้อารมณ์อยู่เรื่อย แต่จากที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาระยะหนึ่งแล้ว นางก็มิได้เลวร้ายอันใด แถมยังดูแลปกป้องนางกำนัลเล็กๆ ด้วยซ้ำ เพียงแต่องค์หญิงถูกตามใจจนเคยตัวก็เท่านั้น
“เช่นนั้นเราก็ไปกันเถิด!”
ข้ามิอยากซักเสื้อผ้าพวกนี้ต่อไปแล้ว!
เสวี่ยซุนเป่าพยักหน้าเร็วๆ ก่อนจะเดินนำไปอย่างมิรีบร้อน ในใจก็อดจะค่อนขอด ‘ว่าที่เจ้าบ่าว’ อย่างจวิ้นอ๋องดุร้ายผู้นั้นมิได้ ในฐานะที่นางเป็นบรรณาการส่งมาในฐานะ ‘ชายา’ มิว่าจะเป็นชายาเอกหรืออนุชายาก็ตามแต่ อย่างไรเสียเขาก็ควรออกตามหานางบ้างมิใช่หรืออย่างไรที่จู่ๆ เกี้ยวบรรณาการก็มิไปถึงวังจวิ้นอ๋องตามกำหนด
เจ้าคนขี้ขลาด!
“ฮั่ดชิ่ว”
“มิสบายหรือขอรับ”
ฝูจิ้งถามด้วยความกระตือรือร้น เห็นอากัปกริยาของท่านอ๋องแปลกประหลาดไปแล้วก็อดเป็นห่วงมิได้ พยายามจะลักลอบมองใบหน้าคมคร้ามเสียหลายครั้งแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ มิทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับใบหน้าท่านอ๋องกันแน่...หรือบางทีอาจเป็นเพราะรู้สึกขัดเขินจากเหตุการณ์เมื่อครู่ก็เป็นได้
“เจ้าไปเถอะ”
ซย่าเฉียวอี้โบกมือไหว รีบเปิดประตูที่พักอย่างรวดเร็ว ดวงตาคมพลิ้วไหวอย่างมิเคยเป็น ลับสายตาผู้คนจึงใช้มือหยาบกร้านแตะแก้มตนเองแผ่วเบา สายตาฉาบกระแสไฟแวบหนึ่ง
แปลก...
แปลกจริงๆ...
มิทันจะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น ทหารนายหนึ่งก็วิ่งพรวดพราดเข้ามาภายในอย่างรวดเร็ว
“ท่านอ๋อง! เกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
**********************
วาร์ปเก่งอีกแล้ว T-T ไม่ได้หายไปไหนค่ะ พอดีไฟล์งานกับคนอยู่กันคนละที่เลยเอามาอัพลงไม่ได้ (แป่ววว) แต่ต้นฉบับเรายังปั่นๆๆๆ อยู่นะจ๊ะ 5555 พยายามจะปิดให้ทันภายในสิ้นเดือนหน้าค่าาา ได้อ่านฉบับเต็มๆ จุใจแน่นอนน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ฉีกกฏพระเอกถีบนางเอกตกนำ้ 5555
ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ