ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ราชันทรราช

    ลำดับตอนที่ #3 : 第一章 คุณหนูใหญ่

    • อัปเดตล่าสุด 11 ก.ย. 64


    “เป็นอย่างไรบ้าง”


    “อาหารทุกจานที่คุณหนูเป็นผู้ปรุง ถูกอกถูกใจลูกค้าและแขกมากนัก บางคนถึงกับอยากจะเรียกพ่อครัวออกไปให้รางวัล ข้าน้อยได้แต่บอกว่าท่านยุ่งมาก มิมีเวลาออกมาต้อนรับเจ้าค่ะ พวกเขาเลยฝากเงินพวกนี้มาแทน”


    คนพูดยื่นของรางวัลที่พูดถึงออกไปข้างหน้า หวังให้อีกฝ่ายรับไปแต่โดยดี


    “พวกเจ้าเก็บไว้เถิด อย่างไรเสียข้าเองก็มิมีโอกาสได้ใช้มันอยู่แล้ว”


    ถึงแม้คนพูดจะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หากแต่คนฟังได้แต่ก้มลงอย่างอย่างเห็นใจ คนในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ต่างปิดบัง ความลับ บางอย่างเอาไว้มาตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา


    “เป็นอันใดไป ข้ายังมิเป็นอันใดเลย”


    ซูเพ่ยยักไหล่ขึ้นเมื่อคาดเดาสีหน้าอีกฝ่ายออก


    “หากมิมีลูกค้าแล้ว ข้าจะเอาขนมพวกนี้ไปให้เจินเจินก่อน”


    หญิงสาวถอดผ้ากันเปื้อนวางเอาไว้บนโต๊ะ หยิบขนมอิ่วก้วย1 มาถือไว้ก่อนจะหมุนกายเดินจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าเมื่อครู่ค่อยๆ จางลง เหลือเพียงความเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ


    ซูเพ่ยได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พยายามไม่คิดฟุ้งซ่าน นางและน้องๆ ถูกขังอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ตั้งแต่เกิดโดยไม่ทราบสาเหตุ ที่ผ่านมาถึงแม้จะเคยคิดมากในเรื่องนี้ แต่สุดท้ายแล้วก็ได้แต่ทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น


    สิ่งเดียวที่ทำให้นางอยู่ในโรงเตี๊ยมสกุลซูแห่งนี้อย่างมีความสุขนั่นก็คือการทำอาหาร เวลานั้นจิตใจของนางจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังถูกปรุงรสอยู่ตรงหน้า รสชาติจะออกมาเช่นไรก็อยู่ที่การควบคุมของนาง


    นี่เป็นสิ่งเดียวในชีวิตที่นางสามารถควบคุมความเป็นไปได้...


    “พวกเจ้ารู้หรือไม่ ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้ภายในราชสำนักกำลังเกิดเรื่อง แคว้นตงฉินกำลังขยายอาณาเขต และอาจจะเข้าโจมตีแคว้นเว่ยของพวกเราในอีกมิช้า!


    เสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้ซูเพ่ยหยุดฝีเท้าลง ยืนฟังอยู่อย่างเงียบๆ


    “แบบนี้พวกเราจะทำเช่นไร ฮ่องเต้ว่าอย่างไรบ้าง”


    “เห็นคนเขาพูดกันว่าฮ่องเต้อาจจะยอมสวามิภักดิ์ ส่งสตรีไปเป็นบรรณาการเพื่อกระชับสัมพันธไมตรี”


    “สตรีหรือ? บุตรสาวบ้านไหนจะโชคร้ายขนาดนั้นนะ ฮ่องเต้แคว้นตงฉินผู้นั้นต้องมิใช่คนดีแน่ มิเช่นนั้นคงมิหาเรื่องแคว้นเล็กๆ เช่นนี้หรอก”


    “เฮ้อ...ข้าเองก็มิรู้เช่นกัน”


    “เจ้าฟังข่าวมาอย่างไร เหตุใดถึงไม่ฟังมาให้หมดเล่า”


    “ข้ารู้เท่านี้ก็ดีเท่าไหร่ รีบทำงานเถิด!


    ซูเพ่ยฟังอยู่แค่นั้นก็โคลงศีรษะเล็กน้อยแล้วเดินจากไป


    ประตูห้องหนึ่งถูกเปิดออกอย่างเงียบเชียบ ร่างงดงามจะสาวเท้าเข้าไปใกล้ มองดูน้องสาวที่กำลังสะบัดปลายพู่กันกลายเป็นวิหคน้อยตัวหนึ่ง


    “เจ้ามีความคิดอยากเป็นอิสระอีกแล้วหรือ”


     เสียงของนางทำให้คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้วางพู่กันลง เสี้ยวใบหน้าที่มีความคล้ายคลึงกันระบายยิ้มเล็กน้อย


    “ท่านรู้ใจข้าอีกแล้ว”


    “ข้ารู้ใจเจ้าเสียที่ไหนกัน ข้าก็ดูเอาจากรูปที่เจ้าวาดต่างหาก”


    ว่าแล้วก็วางจานขนมในมือลง หยิบกระดาษบนโต๊ะขึ้นมาผึ่งดูแล้วลูบไล้เบาๆ ราวกับต้องการความรู้สึกของอีกฝ่าย น้องสาวคนรองไม่ค่อยพูด แต่ก็มักจะแสดงความรู้สึกออกมาผ่านภาพวาดอยู่เสมอ


    ซูเจินมองพี่สาวที่ดูเหม่อลอยด้วยความสงสัย


    “ท่านเป็นอันใดไปหรือไม่ มีเรื่องอันใดที่ทำให้ท่านลำบากใจ”


    “หากเจ้าได้ออกไปจากที่นี่ ไปจากแคว้นเว่ยนี้ เจ้าจะมีอิสระอย่างที่ต้องการหรือไม่กัน”


    “ท่านกำลังกล่าวเรื่องอันใด ข้างงไปหมดแล้ว”


    ซูเพ่ยขบกัดริมฝีปาก กำลังคิดว่าควรจะเล่าเรื่องที่ได้ยินมาเมื่อครู่ให้น้อง


    “เมื่อครู่นี้....”


    “ท่านพี่ ดูสิข้าได้อะไรมา”


    ยังไม่ทันที่ซูเพ่ยจะได้พูดอะไร เสียงวิ่งตึกตักก็เข้ามาหาพร้อมกับการปรากฏกายของซูจิ้งที่สาวเท้าเข้ามาเร็วๆ และชูไข่มุกเม็ดหนึ่งขึ้นมาตาโตด้วยความตื่นเต้น


    “จิ้งเอ๋อร์ เจ้าวิ่งเสียงดังเช่นนี้เดี๋ยวก็ถูกท่านแม่ดุเอาหรอก”


    ซูเพ่ยปรามน้องสาวคนเล็กเบาๆ


    “ก็ข้าดีใจ อยากให้ท่านทั้งสองเห็นนี่นา ดูสิ! นี่เป็นไข่มุกที่มาจากทะเลตงฉินเชียวนะ!


    ประโยคนั่นทำให้คนฟังทั้งสองถลึงตามอง


    “เจ้าได้มาอย่างไร” เสียงของซูเจิน


    “แอบออกไปข้างนอกอีกแล้วใช่หรือไม่ หากท่านพ่อท่านแม่รู้เข้าเจ้าถูกตีตายแน่”


    ซูเพ่ยทำเสียงขรึมอย่างข่มขู่ ในขณะที่ซูจิ้งหัวเราะออกมาเล็กน้อย


    “แหะๆ ข้าออกไปเพียงครู่เดียวเท่านั้นเอง”


    ตลอดระยะเวลาสิบหกปีที่ผ่านมา พวกนางไม่รู้หรอกว่าเพราะเหตุใดท่านพ่อท่านแม่ถึงได้สั่งห้ามไม่ให้พวกนางทั้งสามออกจากบ้าน อย่างมากก็ทำได้เพียงเดินไปเดินมาอยู่ในโรงเตี๊ยมเท่านั้น


    แต่ถึงกระนั้นซูจิ้งก็ยังลักลอบออกไปบ่อยๆ โดยไม่ได้บอกพี่สาวทั้งสองอีกเมื่อคนทั้งคู่ไม่เห็นด้วยนัก


    “คุณหนูเจ้าคะ เถ้าแก่ซูเรียกพบเจ้าค่ะ”


    เสียงที่ดังขึ้นหน้าประตูทำให้ซูจิ้งกลืนน้ำลายอึกหนึ่งด้วยความหวาดหวั่น


    “ท่านพี่ หรือว่าท่านพ่อจะรู้เรื่องที่ข้า...”


    “ใจเย็นๆ เถิด อย่าเพิ่งคิดไปเองเลย”


    ซูเจินโคลงศีรษะเบาๆ


    ซูเพ่ยถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ในสมองก็ยังมีเรื่องที่ได้ยินในโรงครัว ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าพวกนางทั้งสามเป็นแค่คนที่ไม่มีตัวตนในแคว้นเว่ยก็ตาม เหตุใดถึงได้รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย


    อย่าคิดไปเลย...


    “พวกเราไปกันเถอะ”

     

    ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องของเถ้าแก่ซู วันนี้ดูเหมือนว่าบรรยากาศภายในจะดูอึมครึมไม่สบายใจอย่างเช่นทุกที บิดามารดาของนางอยู่ตรงนั้น พวกเขามองมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวลก่อนที่ซูฮูหยินจะร้องไห้ออกมาอย่างไม่รู้สาเหตุ


    ภาพตรงหน้าทำให้สามพี่น้องรีบถลาเข้าไปหาอย่างตกใจ


    “ท่านแม่”


    “ท่านแม่ เป็นอันใดไปหรือเจ้าคะ”


    “ข้าจะรีบไปนำยาหอมมาให้ท่าน”


    “ไม่ต้องหรอก” ซูฮูหยินโบกมือเบาๆ จากนั้นจึงสบตากับสามี “ท่านมีอะไรจะพูดกับลูก ก็พูดออกไปเถิด”


    คราวนี้ทุกสายตาจึงจับจ้องอยู่ที่เถ้าแก่ซู


    “พวกเจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดข้าถึงสั่งห้ามมิให้พวกเจ้าออกจากที่นี่ ไม่ให้ออกไปพบปะผู้คน”


    ประโยคคำถามที่ไม่คิดว่าจะออกมาจากปากของบิดาทำให้บุตรสาวทั้งสามหันมองหน้ากันอย่างปริศนา จากนั้นจึงโคลงศีรษะอย่างพร้อมเพรียง


    “วันที่คลอดพวกเจ้าออกมา คืนนั้นฝนฟ้าคึกคะนอง เกิดวาตภัยทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนไปทั่ว อีกทั้งคืนนั้นฮ่องเต้ยังนิมิตหมายไม่ดี ท่านโหรทำนายว่ามีผีร้ายลงมาเกิด เป็นกาลกิณีต่อแผ่นดิน”


    ขณะที่พูดแววตาก็แดงช้ำไปด้วยความเจ็บปวด นึกถึงเรื่องราวที่ถูกทหารพาตัวเข้าเฝ้าเพื่อรับสั่งให้สังหารบุตรสาวทั้งสามแล้วในใจก็บีบคั้นจนปวดหนึบไปหมด เขาต้องร้องไห้อ้อนวอนกี่ชั่วยามกัน ฮ่องเต้ถึงได้ยินยอมให้บุตรสาวของเขามีชีวิตต่อไป แลกกับการที่ห้ามแสดงการมีตัวตนในแคว้นเว่ย


    เรื่องนี้หากไม่ใช่คนสนิทจริงๆ เข้านอกออกในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ได้ พวกเขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าธิดาสกุลซูทั้งสามยังมีชีวิตอยู่


    “นั่นเป็นเหตุผลที่พวกท่านสั่งห้ามมิให้พวกเราออกไปไหนมาไหนใช่หรือไม่เจ้าคะ พวกท่านไม่ต้องการให้ผู้ใดรู้ว่าพวกเรายังมีชีวิตอยู่”


    เพียงแค่ประโยคเดียวทำให้ซูเพ่ยปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ อีกทั้งความหวาดกลัวที่อยู่ในใจยิ่งชัดขึ้นมาจนมือทั้งสองสั่นเทิ้ม หากเป็นอย่างที่บิดากล่าวออกมาแล้ว เช่นนั้นเรื่องที่เข้าหูนางมาเมื่อเช้านี้...


    สตรีบรรณาการสามคน...มิใช่ว่าฮ่องเต้อยากจะกำจัดตัวหายนะเช่นพวกนางออกจากแคว้นหรอกนะ?


    “เหตุใดท่านถึงได้บอกพวกเราเล่า”


    ซูจิ้งน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย หากเป็นแบบนั้นแล้ว การที่นางแอบออกไปเที่ยวเล่นบ่อยๆ นั่นถือเป็นความผิดอย่างมาก หากมีผู้ใดรู้เข้าสกุลซูมีหวังถูกสังหารเจ็ดชั่วโคตร!


    เถ้าแก่ซูก้มหน้าลงทั้งที่นัยน์ตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด


    “ในแคว้นเว่ย เมื่อสตรีถึงวัยปักปิ่นก็ต้องออกเรือน”


    “พวกท่านไม่ต้องรู้สึกผิดถึงเพียงนี้ ข้าและท่านพี่ทั้งสองมิมีผู้ใดต่อว่าท่านเลยแม้แต่น้อย ให้อยู่อย่างไร้คู่เคียงไปจนตายในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็นับว่าเป็นวาสนาแล้ว”


    ซูจิ้งรีบพูดออกมายาวๆ ถึงแม้ว่าล่วงเลยวัยปักปิ่นมาแล้ว แต่พวกนางทั้งสามก็ไม่ได้มีใจจะออกเรือน หากท่านพ่อท่านแม่เป็นกังวลในเรื่องนี้ ก็จงสบายใจไปได้เลย!


    “สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ พวกเจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าแคว้นตงฉินกำลังขยายอาณาเขตเป็นใหญ่ แคว้นทั้งเก้าตอนนี้เหลือเพียงสองแคว้นเท่านั้นที่ฮ่องเต้แห่งตงฉินยังมิไปเยือน”


    “นั่นก็เป็นหน้าที่ของฮ่องเต้ที่ต้องจัดการมิใช่หรือ”


    ซูจิ้งขมวดคิ้วให้ขณะที่พี่สาวคนโตมีใบหน้าที่ซีดเผือด นางกำหมัดแน่นด้วยลำตัวที่สั่นไหว ความกลัวเกาะกุมทุกอณูในจิตใจ


    “เพื่อรักษาชีวิตผู้คน ฮ่องเต้จะต้องส่งบรรณาการไปกระชับสัมพันธไมตรี”


    “ส่งสตรีไปเป็นสนม เพื่อเป็นตัวประกันหรือเจ้าคะ” คราวนี้เป็นเสียงของซูเพ่ยที่ดูเหมือนจะทราบเรื่องนี้อยู่แล้ว สายตาช้อนขึ้นมองอย่างอับจนหนทาง “เป็นผู้ใดกันเจ้าคะ”


    เถ้าแก่ซูพยายามสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามกลั้นความชอกช้ำที่บังเกิดขึ้นอย่างสิ้นหวัง หากเขาไม่ทำตามคำสั่งจากเบื้องบน คนสกุลซูก็อาจมิได้มีชีวิตรอดอยู่อีก โรงเตี๊ยมต้องถูกทำลาย สกุลซูจะไร้ที่ยืนในแผ่นดิน


    “พวกเจ้าทั้งสามคน”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×