คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : บทที่ ๖ บุพเอาละวาด ๕๐%
“ผู้ใดกันรึ”
“ข้าก็มิรู้
คุณหญิงบอกว่าใครใคร่รู้ให้ถามท่านเอา”
“มุงกระไรกัน มิมีงานมีการทำกันฤา!”
เสียงดุดันตวาดพร้อมๆ กับเหล่าบ่าวไพร่สะดุ้งโหยง รีบแยกย้ายกันอย่างว่องไว
คุณหญิงบัวพาแก้วกัลยาเดินตามมายังเรือนนอนอย่างว่าง่าย
เห็นท่าทีหญิงสาวเลิ่กลั่กแล้วก็นึกเอ็นดู
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงได้รู้สึกถูกชะตาเหลือเกิน
“มิสบายตัวฤา”
“เปล่าเจ้าค่ะ แก้วแค่ไม่ชิน”
“ไม่เคยห่มฤาอย่างไร” ถามอย่างฉงน
“เคยเจ้าค่ะ”
ตอบเสียงอ่อย
พยายามจับสไบสีจำปาไว้แล้วยิ้มแห้ง หญิงสาวเหลือบมองลงไปแล้วก็หวั่นใจกลัวว่ามันจะร่วงหล่นจนโป๊ไปเสีย
ตอนแสดงละครก็ใส่เกาะอกไว้ภายใน
แล้วนี่อะไร...นอกจากไม่มีเกาะอกซับแล้วแม้แต่ชุดชั้นในก็ยังไม่มี!
“คงจะห่างสยามไปเสียนานสิ”
แก้วกัลยาทำหน้ากระอักกระอ่วนแต่ก็ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ “ถึงห้องนอนแม่แก้วแล้ว
เข้าไปดูเถิดว่าชอบฤาไม่”
หญิงสาวถอนหายใจก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น
มองจากภายนอกก็แลเห็นเป็นห้องไม้ธรรมดาอยู่หรอก
แต่แค่มองเปิดประตูออกแล้วก็ยิ้มกว้าง มันใหญ่พอๆ กับห้องหลวงไกรเดชา
ทว่ามันถูกตบแต่งด้วยไม้หอมอบอวลสมเป็นเรือนหญิง
“ค่อยๆ ย่าง เดี๋ยวก็สะดุดอีกดอก”
มือย่นตามวัยคว้ามือเล็กๆ
ไว้เมื่อเห็นสาวเจ้าทำท่าจะวิ่งเข้าไป คนถูกเตือนรับคำเบาๆ ให้ลำคอพลางลดกิริยาลง
ค่อยๆ เดินเนิบนาบยกขาข้ามผ่านธรณีประตูอย่างระมัดระวัง
แต่ก็อดขัดใจไม่ได้อยู่ดีเพราะมันช่างเชื่องช้าขัดกับบุคลิกของหล่อนเหลือเกิน
กุลสตรีไทยแม่แก้ว...
ถึงจะพยายามท่องอย่างนั้น
แต่ทันทีที่พ้นเข้ามาในห้องทั้งตัว หญิงสาวกลับสูดลมหายใจลึกเสียงดัง
หลับตาพริ้มพลางยิ้มกว้าง เอ่ยวาจารวดเร็วด้วยโทนเสียงดัง
“ห๊อมมม...หอมมม”
“ชู่ววว
เป็นสตรีฤาจักเสียงดังได้เช่นนี้”
คุณหญิงบัวตีเข้าให้ที่ต้นแขนอย่างไม่จริงจังนักพลางปรามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ขอโทษเจ้าค่ะ แก้วลืมตัวไปหน่อย
ก็มันทั้งสวยทั้งหอมนี่เจ้าคะ”
แก้วกัลยายิ้มประจบ มองไปรอบๆ กาย
รู้สึกว่ามันก็เหมือนโฮมสเตย์อยู่หรอกนะ
“กลิ่นบุหงารำไป
คิดไว้มิผิดว่าหล่อนต้องชอบ”
“ชื่อดอกไม้หรือเจ้าคะ”
ถามแล้วก็ทำหน้าครุ่นคิด ค่อยๆ
ย่างก้าวสำรวจรอบห้องเพื่อหาที่มาของกลิ่นโดยที่คุณหญิงบัวมองตามด้วยแววตาละไม
นั่งลงบนเตียงมองหญิงสาวเดินไปเดินมา
นางหรือมีแต่บุตรชาย...ฝ่ายนั้นก็นิ่งเฉยเสียเหลือเกิน
ไม่เคยมีหรอกที่จะมาประจบแม่เหมือนผู้หญิงเขา เพราะอย่างนี้ไงเล่าถึงคิดจะมีหลาน
หวังให้เด็กๆ
เล่นซุกซนในบ้านเสียบ้างจะได้ไม่เงียบเกินไปแต่หลวงไกรเดชาก็ไม่มีวี่แววจะสานฝันให้เป็นจริง
“มันมาจากนี่หรือเจ้าคะ”
ถามไปแล้วมือก็ชี้ไปที่ถุงผ้าโปร่งที่ถูกบรรจุดอกไม้แห้งหลากชนิดไว้ภายใน
ยิ่งอยู่ใกล้กลิ่นหอบก็ฟุ้งกำจายไปเต็มปอด
“ใช่แล้ว”
คุณหญิงบัวตอบพลางกวักมือเรียกไหว
“หล่อนมานั่งตรงนี้ก่อนเถิด”
“เจ้าค่ะ”
แก้วกัลยาละความสนใจจากสิ่งรอบกาย
มองดูคนตรงหน้าที่จับจ้องเธออย่างคิดวิเคราะห์
แววตาที่เห็นเบื้องหน้านั่นทำให้หญิงสาวลอบผ่อนลมหายใจ เห็นทีต้องถูกสอบสวนกันอีกยาว
ถึงแม้จะคิดอย่างเป็นกังวล
ทว่าแก้วกัลยาก็นั่งลงให้สอบสวนแต่โดยดี
“ฉันจักมิถามหล่อนอีกว่าหล่อนมาจากที่ใด
เลิกทำหน้าเช่นนั้นได้แล้วแม่แก้ว” คุณหญิงบัวเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม เมื่อแลเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้น
วาจาถัดมาถึงได้เอ่ยออกไปอย่างใจร้อน “อยากอยู่ที่นี่ตลอดไปฤาไม่”
“อะไรนะคะ”
“ฉันหมายถึงหล่อนชอบเรือนนี้ฤาไม่”
“ชอบเจ้าค่ะ”
คุณหญิงบัวฟังคำตอบนั่นอย่างพึงพอใจ
ถึงพ่อไกรจะยังมิชอบแม่แก้วก็มิเป็นอันใด ขอเพียงตอนนี้ทำให้แม่แก้วพึงใจที่นี่
ใคร่อยากอยู่ตลอดไป อย่างไรเสียวันหนึ่งพ่อไกรย่อมใจอ่อนแน่
แก้วกัลยามองไปรอบๆ มองออกไปนอกประตู
เห็นบ่าวไพล่ปัดกวาดเช็ดถู บ้างก็เดินขึ้นเดินลงหอบเอาผลไม้ขึ้นเรือนมา
“สมัยนี้ยังมิเลิกทาสอีกหรือเจ้าคะ”
จำได้ว่ารัชกาลที่ห้าประกาศเลิกทาส
แต่เธอจำปีพุทธศักราชไม่ได้ รู้แบบนี้ตั้งใจเรียนประวัติศาสตร์หน่อยก็ดี
“เลิกทาสฤา”
คุณหญิงบัวเลิกคิ้วขึ้น
มิเข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องอะไร
“เป็นการทำให้มนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกันเจ้าค่ะ
ไม่มีนาย ไม่มีบ่าว”
หญิงสาวพยายามอธิบายด้วยถ้อยคำที่คิดว่าเข้าใจง่าย
แต่ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนว่าคนฟังจะยังมิเข้าใจอยู่ดี
คุณหญิงบัวยกมือขึ้นโบก
หัวเราะเล็กน้อยคล้ายกับวาจาดังกล่าวเป็นเพียงเรื่องน่าขัน
“จักเป็นไปได้เยี่ยงไร
เจ้าขุนมูลนายมีมาตั้งแต่บรรพกาล”
“แก้ว...แก้วไม่รู้จะอธิบายยังไง” หญิงสาวกุมขมับก่อนจะลองเอ่ยออกไป
“แก้วไม่ใช่คนในยุคสมัยนี้ แต่มาจากอนาคตเจ้าค่ะ มาจากในยุคหลายร้อยปีข้างหน้า”
“หมอดูฤา”
แก้วกัลยาโคลงศีรษะ
“ไม่ใช่หมอดู
แต่ข้ามเวลามาจากอนาคตจริงๆ เจ้าค่ะ พุทธศักราชสองพันห้าร้อยหกสิบสี่
รัชกาลที่สิบในราชวงศ์จักรี และในตอนนั้นสังคมเราเท่าเทียมกันหมด
ทั้งพวกเราและต่างชาติมีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน”
สิ้นประโยคดูเหมือนว่าคุณหญิงบัวจะผงะไปเล็กน้อย
แต่แล้วก็ระบายยิ้มออกมาเล็กน้อย
“อย่ากล่าววาจาปลอบใจคนแก่เลย
ผู้คนทั่วพระนครต่างรู้ดีว่าอ้ายพวกฝรั่งต้องการล่าอาณานิคม พระเจ้าอยู่หัวเร่งสร้างป้อมปราการปิดปากน้ำเจ้าพระยา
มิรู้ว่าจะจบลงเช่นไร”
คุณหญิงบัวกล่าวตามที่คิดมาตลอดหลายวัน
ในขณะที่แก้วกัลยานั่งนิ่งงัน
ไม่รู้มาก่อนว่าในรัชกาลนี้มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นด้วย
วิชาประวัติศาสตร์ที่เคยเรียนมาตั้งแต่มัธยมปลายตอนนี้ไม่เหลืออะไรไว้ในหัวอีกเลย!
ข้ามภพมาทั้งที ไร้ประโยชน์จริงๆ....
คุณหญิงบัวมองดูอีกฝ่ายที่มีแววตาเศร้าสลดไปจึงลอบถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
“อย่ากังวลไปเลยหนา
อย่างไรเสียพ่อไกร ทหารกรมเรือแลคนอื่นๆ
มิปล่อยให้สยามต้องเป็นเมืองขึ้นอ้ายดั้งขอดอก”
“เจ้าค่ะ”
ยิ่งฟังก็ยิ่งเครียด
หากในยุคที่หล่อนทะลุมิติมายังทำสงครามกันไม่เสร็จ
เกิดพลาดมาตายที่นี่แล้วหล่อนในยุคอนาคตจะเป็นอย่างไรบ้าง
วิญญาณจะต้องถูกจองจำอยู่ในยุคนี้หรือกลับไปยุคหน้า
คุณหญิงบัวจ้องมองหัวคิ้วที่ขมวดติดกันแน่นแล้วก็ถอนหายใจเบา
“ตีตนไปก่อนไข้ ก็รั้งแต่จะทำให้จิตใจมิเป็นสุข
มาเถิด...พวกเรามาหากระไรทำกัน”
-------------------------------
2-3 วันมานี้ไรท์มูฟออนจากข่าวคุณแตงโมไม่ได้เลยค่ะ จำได้ว่าสมัยเด็กๆ ติดเบญจา คีตา ความรักงอมแงม เติบโตมารุ่นๆ กัน เป็นดารากลุ่มแรกๆ เลยมั้งที่ไรท์รู้จัก พอรู้ข่าวแล้วก็ใจหาย ทั้งๆ ที่กับดาราคนอื่นไม่ขนาดนี้เลย
บางทีโลกก็โหดร้ายเกินไปนะคะ ตอนที่เขาอยากตาย ก็ไม่ยอมให้ตาย แต่ตอนที่เขามีรักดีๆ มีชีวิตดีๆ มีความสุขในการใช้ชีวิต กลับถูกคนไม่ดีมาพรากโลกของเขาไปตลอดกาล
R.I.P
ความคิดเห็น