ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พรหมข้ามภพ (พีเรียดไทย)

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ ๔ ฝันฤาจริง ๕๐%

    • อัปเดตล่าสุด 30 ม.ค. 65


    “เธอยังไม่ได้บอกเลยนะว่าทำไมถึงรีบกลับ ทั้งๆ ที่ตกลงกับฉันไว้แล้วว่าจะค้างกันที่นู้น”


    “ฉันลืมไปเลยว่าคืนนี้พี่นีน่ารับงานเอาไว้ แล้วเป็นงานสำคัญมาก”


    “เธอก็ช่วยบอกให้ฉันหายข้องใจหน่อยไม่ได้หรือว่าเธอติดงานอะไรน่ะแก้ว เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลแท้ๆ ยังต้องทำงานดึกๆ ดื่นๆ”


    วิชชุดาเอ่ยอย่างหัวเสียพร้อมๆ กับรถยนต์ที่เคลื่อนมาจอดหน้าบ้านหลังใหญ่


    แก้วกัลยาไม่ตอบแต่ส่งยิ้มหวานให้ จริงๆ แล้วหล่อนไม่ได้ติดงานสำคัญอะไรตามที่พูดปดเพื่อนไปหรอก แต่หลังจากฟังคำของวาสนาแล้วหล่อนเองถึงแม้จะไม่เชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับ แต่ก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่าหล่อนรู้สึกกระวนกระวายเหลือเกิน


    หล่อนรู้เพียงแค่ว่าคืนนี้จะต้องรีบกลับมาอ่านสมุดบันทึกเล่มนั้นภายในคืนนี้ เหมือนมีใครกำลังรอคอยการกลับมาที่บ้าน ทั้งๆ ที่บ้านหลังนี้เธออาศัยอยู่เพียงคนเดียว


       “ฉันควรจะโทรแคนเซิลพี่นีน่า”


    ว่าแล้วก็ยกโทรศัพท์ขึ้นกด ในขณะที่แก้วกัลยาเบิกตากว้างอย่างตกใจ เอื้อมมือไปตะครุบเพื่อนสาวไว้อย่างทันท่วงที


    “ไม่ต้องหรอก ฉันสบายดีแล้วจริงๆ”


    “ไม่อย่างนั้นให้ฉันไปเป็นเพื่อนก็ได้นะแก้ว ฉันว่าง”


    เห็นวิชชุดาพยายามเสนอตัวด้วยความเป็นห่วงก็ยิ้มไม่หุบ ในชีวิตนี้ไม่รู้ว่าจะมีใครรักและหวังดีกับหล่อนเท่าวิชชุดาอีกแล้วหรือไม่...แม้แต่บิดาหรือมารดาหล่อนก็ไม่เคยต้องการ


    “งั้นฉันจะรอจนกว่าพี่นีน่าจะมารับ”


    “ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ เปรี้ยว ฉันสัญญาว่าหากเกิดอะไรขึ้น ฉันจะรีบโทรบอกเธอเป็นคนแรก”


    ได้ยินคำมั่นดังนั้นแล้วต้องยอมจำนนพยักหน้าหงึกหงัก มองร่างเล็กๆ ที่ค่อยลงจากรถไม่ละสายตา เห็นแก้วกัลยาสีหน้าสดชื่นกว่าเมื่อวานมากมายแล้วก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง


    ดวงตากลมแป๋วมองรถสีขาวเคลื่อนตัวออกไปพ้นจากบริเวณตัวบ้าน หญิงสาวถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะเอื้อมมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพาย ใบหน้าระบายยิ้มออกมาเล็กน้อยเอมือนุ่มแตะเข้าที่สิ่งของที่ต้องการขนาดพอดีมือ ค่ำคืนนี้หล่อนตั้งใจใช้เวลาอ่านเรื่องราวในสมุดบันทึกเล่มนี้จนจบให้ได้


    หญิงสาวบางสัมภาระของตัวเองลงบนโต๊ะอย่างลวกๆ เอื้อมมือเปิดสวิตซ์ไฟในตำแหน่งที่คุ้นเคย เห็นห้องนอนสะอาดตาพร้อมๆ กับผ้าปูที่นอนสีฟ้าผืนใหม่คลุมเตียงแล้วก็โถมตัวลงนอนโดยไม่ลืมคว้าเอาสมุดบันทึกสีน้ำเงินมาด้วย


    บ้านหลังนี้หล่อนไม่ได้จ้างแม่บ้านอยู่ตลอดเวลา จะมีก็แต่แม่บ้านเก่าแก่คนสนิทของมารดาที่แวะเวียนมาทำความสะอาดให้วันเว้นวันโดยที่หล่อนเป็นคนจ่ายเงินให้เต็มเดือน ด้วยเห็นว่านางก็อายุมากแล้วและที่บ้านนี้ตอนกลางวันก็ไม่มีใครอยู่เลยสักคน


    แก้วกัลยาขยับตัวนอนหนุนหมอนในท่าที่สบาย นิ้วเรียวงามค่อยๆ พลิกเปิดกระดาษสีเหลืองหม่น บรรจงอ่านทุกบรรทัดอย่างตั้งใจ


    “เดือนสิบ ร.ศ. หนึ่งร้อยเก้า คุณแม่แลอยากอุ้มหลานเสียแล้ว พร่ำถามทุกเมื่อว่าเหตุใดฉันไม่ได้ออกเรือนเสียที จักให้ฉันออกเรือนได้อย่างไรเล่า ในเมื่อแผ่นดินสยามยังต้องระวังภัยเป็นนิจ”


    อ่านถึงตรงนี้แล้วก็คิ้วขมวดติดกันแน่น เจ้าของสมุดบันทึกเล่มนี้เขียนเรื่องราวไม่ปะติปะต่อกันเอาเสียเลย ถึงกับหยุดบันทึกไปนานแรมปีแล้วก็มาบันทึกใหม่ อ่านแล้วขัดใจชะมัด...


    “เดือนยี่ ร.ศ. หนึ่งร้อยสิบสอง ปืนใหญ่ป้อมพระจุลจอมฯ ป้อมผีเสื้อสมุทรก่อตั้งแล้วเสร็จ ป้องกันปากน้ำเจ้าพระยา...”


    อ่านถึงตรงนี้แล้วก็ยิ่งหรี่ตาลงอย่างสงสัย ทั้งๆ ที่ข้อความก่อนหน้ามีรอยหนังสือชัดเจน แต่ทำไมตัวหนังสือถัดไปมันช่างดูเลือนลางเหมือนกับคนเขียนพยายามเอาหินมาครูดกับกระดาษหนาแรงๆ


    “หญิงในฝันผู้นั้นคือใครกัน เผลอละเมอให้ไอ้ทองได้ยินไปเสียแล้ว หล่อนจะมาเกิดแล้วหรือยังหนอ”


    อ่านถึงตรงนี้ก็พลางยิ้มอย่างมีความสุขที่สามารถแกะร่องรอยตัวอักษรได้แม้ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ไม่รู้ว่าคนที่เขียนสมุดเล่มนี้คิดอะไรอยู่ถึงได้อวตารบันทึกเรื่องราวเหมือนกับตัวเองอยู่ในเหตุการณ์ อาจจะเป็นคนที่คลั่งโบราณคดีมากๆ เอาก็ได้ถึงได้ทำอะไรพิเรนทร์แบบนี้ แถมยังเอาไปตั้งไว้ในซากบ้านเมืองเก่าๆ เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ คงคิดล่ะสิว่าคนที่เก็บได้คงจะต้องแจ้งตำรวจหรือศูนย์วัฒนธรรมให้ออกข่าวดังกระฉ่อน


    แต่มันใช้ไม่ได้กับแก้วกัลยา!


    ครืด...


    โทรศัพท์ที่ตั้งปิดเสียงไว้สั่นสะเทือนจนไถลไปกับพื้นโต๊ะ หญิงสาวเด้งตัวลุกขึ้นจากที่นอนคว้าอุปกรณ์สื่อสารทันสมัยขึ้นมาดู หญิงสาวเม้มปากแน่นท่าทีลังเลอยู่พักใหญ่


    “ว่าไงคะคุณแม่”


    “ทำอะไรอยู่หรือลูก” เสียงละมุนดังขึ้นมาจากปลายสาย


    “กำลังจะนอนแล้วค่ะ”


    “เป็นอะไรไปลูก ไม่ค่อยสบายหรือ”


    แก้วกัลยาเงียบ พยายามสลัดความน้อยเนื้อต่ำใจออกไปจากความคิด พักหลังมานี้กานต์มณีโทรหาหล่อนไม่บ่อยนัก ตอนนี้ชีวิตมารดาทางนู้นก็คงมีความสุขดีจนเกือบลืมไปเสียแล้วมั้งว่าทางนี้ยังมีลูกสาวอยู่อีกคน


    “คุณแม่มีธุระอะไรกับแก้วหรือคะ”


    ถามไปแล้วก็รอคอยคำตอบอย่างใจเย็น เห็นอีกฝ่ายเงียบไปชั่วอึดใจก็คงเดาได้ไม่ยาก เพียงแค่คิดก็ทำให้แววตาสดใสสลดลงถนัดตา


    “ปีนี้แม่คงไม่ได้กลับเมืองไทย”


    อยากจะตะโกนออกไปดังๆ เหลือเกินว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องของมาคัสและเคลวินสองพ่อลูกนั่น! อยากจะถามเหลือเกินว่ามารดาไม่ห่วงหล่อนบ้างหรืออย่างไร ถ้านับย้อนหลังไปคงเกือบสามปีแล้วล่ะมั้งที่ไม่ได้เจอหน้าเธอ!


    “แก้วง่วงค่ะแม่ แค่นี้ก่อนนะคะ”


    “เดี๋ยวลูก...แก้ว”


    หญิงสาวกดตัดสายแล้วปิดเครื่องทันทีแทบไม่คิด โยนเครื่องมือสื่อสารขนาดจิ๋วลงบนที่นอนอย่างไม่คิดจะใส่ใจนัก สายตาเหลือบมองสมุดบันทึกสีน้ำเงินเข้มแล้วก็คว้ามาถือไว้ก่อนจะเดินทิ้งห่างออกไปที่หน้าต่าง แค่เปิดบานพับออกลมเย็นๆ ก็โชยเข้าจนหนาวเหน็บ มองขึ้นไปบนฟ้าก็พบกับพระจันทร์เต็มดวงพราวไปด้วยแสงดาว


    นิ้วเรียวยาวบรรจงเปิดหน้าหนังสืออีกรอบ ทว่าพลิกไปจากหน้าที่อ่านค้างอยู่ก็พบกับความว่างเปล่า หล่อนพลิกไปมาพลางขมวดคิ้วให้ยุ่ง ไม่มีเรื่องราวหลังจากนั้นต่อแล้วหรืออย่างไร? สงสัยคิดคำโบราณใช้ไม่ออก!


    “อุ้ย”


    อุทานอย่างตกใจเมื่อกระดาษแข็งๆ สีน้ำตาลหม่นหลุดปลิวลงกับพื้น


    แก้วกัลยาก้มหยิบพลิกไปมา เห็นรอยกาวเหนียวๆ ที่สูญสิ้นประสิทธิภาพไปตามกาลเวลาหลุดลอก คลี่เปิดออกก่อนจะสาวเท้าไปยืนริมหน้าต่างเช่นเดิม ปากก็พึมพำตามตัวอักษรอย่างลืมตัว แสงจันทร์สาดส่องเต็มดวงหน้า เมฆลอยหายไปเผยเห็นจันทราเต็มดวง


     

    ๏  กาลเวลาผ่านพ้นจบกี่ภพ                  

    จักประสบพบพานคะนึงหา

    แม้นตัวตายวอดวายม้วยชีวา             

    มิอาจลาล่วงลับใจภักดิ์ดี

    ๏  แม้นมิเจอแก้วตาอยู่เคียงพักต์           

    พี่ก็จักวัลคุ์นิมิตด้วยสุขขี

    คืนจันทราอธิษฐานมิรอรี                  

    ฤทัยนี้จักพานพบประสบครัน

     

    คนพูดอมยิ้มกับบทกลอนหวานหูอย่างขำขัน สมัยนี้ใครเขาเขียนบทความเชยๆ แบบนี้จีบสาวกันเล่า เห็นทีคงเป็นผู้หญิงเรียบร้อยแว่นหนาเตอะคร่ำครึล่ะสิไม่ว่า!


    ไม่ทันจะได้นินทาเจ้าของสมุดบันทึกไปมากกว่านั้น จู่ๆ หน้าหนังสือที่ว่างเปล่าก็ปรากฎแสงวาบจนมือเล็กปล่อยสมุดในมือจนหล่นตุบไปกับพื้นด้วยความแสบตา


    “อะไรเนี่ย”


    เหมือนตัวเองกำลังจะลอยได้ รู้สึกเบาโหวงคล้ายจะเป็นลมเหมือนวันที่อยู่กองถ่าย ลมหนาวยังพัดผ่านจนม่านพลิ้วไหว ยิ่งขยับกายถอยยิ่งรู้สึกเหน็บหนาวทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เปิดแอร์คอนดิชั่นเนอร์เสียด้วยซ้ำ พยายามขยับกายถอยหนีแต่ก็กลับยิ่งเหมือนถูกดึงรั้งไปเสียทุกที


    เพียงเสี้ยวนาทีตัวหล่อนก็ชาวาบ แก้วกัลยาหลับตาปี๋ เหมือนมีใครมาผลักจากข้างหลังทำให้หญิงสาวเผลอกรีดร้องด้วยความตระหนก นึกในใจว่าคงล้มหัวคะมำแหงๆ ทว่าไม่มีแต่จะเจ็บปวดรวดร้าวที่ตรงไหน ร่างกายที่ด้านชาก็วูบมืดลง รู้ตัวอีกทีก็เมื่อแสงจ้านั้นหายไป


    ขนตายาวงอนกะพริบถี่ๆ มือทั้งสองค้ำยันอยู่กับพื้นพรหมสีน้ำตาลไหม้ หันไปรอบกายแล้วยิ่งตกใจ มันดูอึดอัดไปหมดเมื่อมีแค่แสงร่ำไรจากจันทราสาดส่องผ่านหน้าต่างเปิดกว้างโอ่อ่า ห้องกว้างขวางล้วนสร้างแต่ด้วยไม้สักขัดเป็นเงามัน เห็นโต๊ะตัวใหญ่ตั้งอยู่ไม่ไกลก็ค่อยสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ หยิบต้องขวดใสบรรจุดอกไม้แห้งเอาไว้มากมาย กลิ่นหอมรัญจนแตะจมูกราวกับน้ำอบ


    นี่มันเรื่องอะไรกัน หล่อนชักกลัวเสียแล้วนี่!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×