คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ ๑ รอยภพ ๑๐๐% (Re-write)
“นังปรุง!”
“นังปรุงเว้ย! ข้ากับคุณหญิงจันทร์วาดจักมาดูดวงสักหน่อย”
เสียงร้องเรียกของคุณหญิงบัวและคุณหญิงจันทร์วาดสลับกันกู่ก้อง
ไม่นานนักก็เผยร่างสาวสูงวัยห่มผ้าคาดอกเดินออกมารับ ยิ้มกว้างจนแลเห็นสีหมาก
“ขึ้นเรือนมาก่อนสิเจ้าคะ แต่ต้องระวังกระไดเสียหน่อย บางขั้นผุแล้วเจ้าค่ะ” กล่าวเชื้อเชิญขึ้นเรือเล็กในขณะที่สองคุณหญิงเดินตามขึ้นอย่างไม่รังเกียจแม้ว่าจะเป็นเรือนไม้ทรงใต้ถุนเก่าๆ ก็ตามที
“ขึ้นมาสิพ่อไกร”
คุณหญิงบัวหันเรียกบุตรชายที่ไม่เห็นท่าทีจะเดินตามมาเสียที
จึงหันไปกวักมือไหวๆ เร่งให้ตามขึ้นมาโดยเร็ว
ปรุงมองร่างใหญ่ก่อนจะหุบยิ้มเล็กน้อย
ดวงตาฝ้าฟางตามอายุฉายแววแปลกใจ แต่ถึงกระนั้นเมื่อหลวงไกรเดชาสบตาเข้า
ร่างอ้วนท้วนจึงคลี่ยิ้มอีกครา
“อิฉันมิเจอท่านขุนเสียนาน
เป็นหนุ่มแล้วรูปงามเหมือนเจ้าคุณพ่อมิผิดเลยเจ้าค่ะ”
คนฟังกระตุกยิ้มเพียงนิดก่อนก้าวขาขึ้นบันได
ไม่แปลกใจว่าเหตุใดปรุงถึงได้รู้จักบุพการีทั้งสองเป็นอย่างดี
ครั้งหนึ่งสมัยยังเด็ก จำได้ว่าปรุงเป็นข้าทาสบริวารของคุณแม่
แต่สุดท้ายปรุงก็หาค่าไถ่ตัวจากการรับจ้างดูดวงตามตลาดมาไถ่ตัวเองจนเป็นไท
“มิรู้ฤาว่าลูกชายอิฉันเป็นหลวงเสียแล้ว
เรียกท่านขุนได้ฤา!”
คุณหญิงบัวว่าพลางหัวเราะร่า
เห็นปรุงและคุณหญิงจันทร์วาดทอดมองแปลกใจ
“เป็นคุณหลวงแล้วฤาคุณหญิง”
คุณหญิงจันทร์วาดทาบอก เหลือบมองมาทางคนหนุ่มที่พยักหน้ารับ
“ท่าทางคงเป็นหลวงที่อายุน้อยที่สุดในกรมสิท่า”
“มิทราบขอรับ กระผมมิได้สนใจเรื่องนั้น”
หลวงไกรเดชาตอบนอบน้อม
“อายุมากอายุน้อยก็ช่างเถิด
เข้าไปข้างในดีกว่า อยากดูดวงเต็มแก่แล้ว”
คุณหญิงบัวบอกปัดอย่างใจร้อน
อยากรู้ไวๆ นักว่าพ่อหนุ่มเนื้อหอมของหล่อนจะได้พบเนื้อคู่อายุเท่าใด
แล้วหล่อนยังมีบุญพอได้ปะหน้าหลานบ้างหรือไม่ แค่คิดก็ตื่นเต้นมากโข!
เพียงชั่วครู่ทั้งหมดก็เข้ามานั่งในห้องหับสะอาดสะอ้าน
ปรุงหยิบจับเครื่องมือเครื่องใช้พลางมานั่งตรงหน้า แววตายังเจือเกรงใจอยู่บ้าง
“อิฉันขออภัยนะเจ้าคะ มิมีเก้าอี้เหมือนเรือนคุณท่าน”
“โอ้ย! จะขออภงอภัยกันทำไม
ข้าต่างหากที่มารบกวนเอ็งนังปรุง”
คุณหญิงบัวโบกมือไหวอย่างไม่ถือสา ก่อนจะยื่นมือไปข้างหน้าให้ปรุงได้แตะดูลายเส้น
“เป็นอย่างไรบ้างฤา”
“ดีเจ้าค่ะ อีกไม่นานคุณหญิงจะได้ลาภใหญ่
ทรัพย์สินเงินทองมีให้ใช้ไม่ขาดมือ”
“ลาภใหญ่ที่ว่านั่นกระไรฤา” ถามอย่างฉงน
ลาภที่นังปรุงว่าจะใช่สัตว์สองเท้าหรือเปล่าหนอ...
“อิฉันมิทราบเจ้าค่ะ การได้พบก็ดูพิลึกเสียหน่อย
อาจทำให้คุณหญิงระคายใจไปบ้างก็อย่าถือสา เพราะอนาคตลาภชิ้นนี้จะเป็นศรีแก่เรือน
นำพามาซึ่งสิ่งที่คุณหญิงปรารถนาในกาลหน้า” ปรุงว่าประโยคยาว
ยิ่งทำให้คนฟังยิ้มกว้าง
“ประเสริฐจริงๆ! แล้วข้าจักได้พบเมื่อใดกัน”
“อิฉันตอบมิได้เจ้าค่ะ ขึ้นอยู่กับโชคชะตาและกรรมของคุณหญิง”
วางมืออีกฝ่ายลงอย่างแผ่วเบา แต่กระนั้นแล้วคุณหญิงบัวก็ยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
หลานที่ต้องการคงกำลังมาเป็นแน่!
“ของข้าเล่า”
ครานี้เป็นคราวของคุณหญิงจันทร์วาดบ้างที่ยื่นมือออกไป
หวังให้ทำนายทายทักในทางที่ดีบ้าง ทว่าคนดูกลับขมวดคิ้วแล้วผ่อนคำอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“อิฉันไม่ทราบว่าเพลานี้คุณหญิงปรารถนาสิ่งใด
แต่หากบุญที่หนุนเกื้ออยู่เบื้องหลังไม่อาจนำพาไปเกินวาสนาที่มีอยู่ได้
ก็ปล่อยวางเถิดเจ้าค่ะ”
“บังอาจ! ข้าเป็นถึงคุณหญิงจันทร์วาด
มีฤาที่อยากได้กระไรแล้วมิได้”
คุณหญิงจันทร์วาดชักมือกลับอย่างไม่พอใจนัก
ถลึงตาขุ่นหมองเข้าใส่จนหมอดูหัวหด โชคดีที่ยังมีคุณหญิงบัวห้ามปรามอยู่ข้างกาย
“อิฉันแค่พูดตามที่ดูเจ้าค่ะ”
“อิฉันมิมีอารมณ์จักดูแล้วคุณหญิง”
ว่าแล้วก็ทำหน้าปั้นปึง หากแต่คุณหญิงบัวฉุดรั้งข้างกายไว้แล้วปลอบประโลมหวังให้คลายร้อนลง
“ใจเย็นเถิด
อิฉันขอเวลาดูดวงให้พ่อไกรสักครู่”
“จักดูไปทำกระไร! เห็นอยู่ว่ามิแม่น นี่ฤา!
หมอดูโด่งดังในพระนคร”
ถอนหายใจเสียงเฮือก
ลุกขึ้นพลางสะบัดหน้าหนี คุณหญิงบัวก็ได้แต่ทำหน้าระอาอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรดี
อยากให้บุตรชายดูดวงนัก แต่ทางนู้นถ้าปล่อยไปเช่นนี้ก็เกรงเสียเพื่อน
“คุณหญิงฉิวไปนู้นแล้วขอรับคุณแม่
เรากลับกันก่อนเถิด”
หลวงไกรเดชาคะยั้นคะยอ
ผู้เป็นมารดาจึงต้องรับคำอย่างเสียไม่ได้ หันไปกล่าวล่ำลากันเสียสองสามประโยค
หากแต่เพียงหันหลังให้ปรุงก็ขมวดคิ้วฉงน
เปล่งเสียงออกมาดังเพื่อหวังให้คนที่ยังไม่ลงจากเรือนได้ยิน
“สัญญารักใหญ่หลวงนัก คิดจะปรามก็พ้นไม่
สัมพันธ์แน่นรัดหทัย พรหมไซร้หวนให้พบกัน”
หลวงไกรเดชาชะงัก
หันมามองคนพูดอย่างแปลกใจ ปรุงก็ได้แต่ส่งยิ้มเอ็นดูแล้วพยักหน้าให้
ร่างสูงใหญ่จึงเดินลงเรือนตามมารดาที่เร่งฝีเท้าตามคุณหญิงจันทร์วาดที่เดินนำหน้าไป
สไบฟ้าอ่อนพลิ้วไหวตามแรงลม
“มิเห็นจักต้องโกรธขนาดนี้เลยคุณหญิง”
คุณหญิงบัวกล่าวทักทันทีที่ตามทัน
“คำทำนายของคุณหญิงช่างดีนักนี่! คุณหญิงมิเป็นอิฉันมิเข้าใจหรอก”
“อิฉันเลยอดดูให้พ่อไกรเลยเจ้าค่ะ”
จบประโยคก็ลอบถอนหายใจออกอย่างลืมตัว
แต่นั่นก็ทำให้ผู้เดินขนาบข้างชายแลตาเขียว
“เอ๊ะ! นี่คุณหญิงว่าอิฉันกระนั้นฤาเจ้าคะ!”
“มิได้เจ้าค่ะ อิฉันมิได้หมายความเช่นนั้น”
“เหตุใดคุณหญิงถึงได้อยากให้พ่อไกรดูดวงนัก
พ่อไกรก็เช่นกัน...ทุกครั้งก็มิเห็นสนใจ”
คุณหญิงจันทร์วาดหันถามสุ้มเสียงข้อง
“อิฉันอยากทราบว่าพ่อไกรได้เจอเนื้อคู่บ้างแล้วฤาไม่
คือ...อิฉันอยากอุ้มหลานเจ้าค่ะ”
ตอบเอียงอาย
ปรายตามองบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนจ้ำอ้าวตามมาไกลๆ
คราวนี้จึงเป็นคุณหญิงจันทร์วาดบ้างที่หันขวับมามองด้วยความสนใจ
นัยน์ตาพราวระยิบระยับ
“แล้วจักต้องไปหาที่ไหนไกล
ปีนี้แม่พริ้งอายุย่างสิบเจ็ด งานบ้านงานเรือนฤาก็มิบกพร่อง กิริยางดงามสมหน้าตา
เหตุใดจึงไม่พิจารณาดูบ้างเจ้าคะ”
คุณหญิงบัวฝืนยิ้มแห้งให้ เหตุใดเล่าจะไม่ใคร่คิดพิจารณา หล่อนเคยเปรยให้หลวงไกรเดชาฟังหลายต่อหลายครั้งก็ไม่มีท่าทีสนใจไปดูตัว หลังจากเรียนจบเวลาก็ล่วงมาเกือบสิบปีไม่เคยเห็นอยากออกเรือนสักปี กลัวนักว่าจะครองตนเป็นขันทีไปชั่วชีวิต
“เห็นมาตั้งแต่อ้อนแต่ออด
กระผมคิดผิดไปจากน้องสาวไม่ได้ขอรับ...พ่อไกรบอกอิฉันแบบนั้นเจ้าค่ะ”
“ตอนนั้นยังเด็ก
แต่ตอนนี้แม่พริ้งก็โตเป็นสาวเต็มตัว งดงามหาหญิงใดเปรียบได้ยาก
คุณชายคุณหลวงให้ความกรุณามาก็มาก แต่ก็ยังมิถูกใจแม่พริ้งเสียที
เสียดายนักที่วันนี้มิทราบว่าพ่อไกรมาด้วย อิฉันจักได้ให้พ่อไกรยลโฉมสักครา”
ปั้นหน้าภาคภูมิใจ ใครๆ
ก็รู้ดีว่าแม่พริ้งเป็นสาวเพียบพร้อม ได้ยินคนลือกันก็หนาหูว่าหากได้แต่งเข้าบ้านใดคงเป็นมงคลมาก
ยากนักจะเอาสิ่งใดมาเทียบแทน และหากบุตรสาวได้ออกเรือนกับหลวงไกร
คงเหมาะกันอย่างกิ่งทองใบหยก ชาวบ้านคงยกเอาไปพูดกันอีกนาน
“ก็อย่างที่ว่าแหละคุณหญิง อิฉันมิอยากขืนใจพ่อไกรเขา
ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน แบบนี้จึงจักมิดีกว่าฤาเจ้าคะ”
ไม่อยากถูกซักไซ้มากนัก
รู้ดีว่าคุณหญิงจันทร์วาดอยากให้แม่พริ้งซึ่งเป็นบุตรสาวมาดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน
ถึงอยากได้หลานมากก็ตามที แต่ครั้นหลวงไกรเดชาไม่ต้องตาต้องใจก็มิอาจบังคับ
ทำได้เพียงอ้อนวอนภาวนาให้บุตรชายได้เจอะหญิงคนรักแต่โดยไว
ฟังคุณหญิงบัวพูดแล้วก็ขัดใจนัก
คอยดูเถอะว่าสักวันหล่อนจะให้หลวงไกรเดชาได้เห็นแม่พริ้งเต็มๆ ตาว่างดงามเพียงใด
ถึงกระนั้นคงมิอาจละตาไปได้เฉกเช่นหลวงคนอื่น เห็นมานักต่อนักแล้ว ปากก็พร่ำบอกไม่ชอบไม่สมัครใจรักใคร่
แต่อยู่ๆ กันไปก็ปลงใจ อยู่ยืดยาวชั่วชีวิตก็มีตัวอย่างให้เห็นพร่ำเพรื่อ
๏ เหตุคือฝันหรอกหรือโอ้ใจจ๋า
พี่เรียกหาแม่ดวงแก้วเจ้าอยู่ไหน
คำสัญญาจักรอเจ้าร่ำไป
เหตุไฉนจากแล้วมิหวนคืน
๏ พี่รักน้องตอกย้ำหยั่งรากลึก
อยากจะนึกถึงวันอันชวนชื่น
ฤาเพียงเป็นภาพฝันอันกล้ำกลืน
ได้แต่ฝืนปิดบังมิเอ่ยวาจา
ความคิดเห็น