คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 6 : สารเชิญแห่งออสฟา ราเซนเทีย
- 6 -
สารเชิญแห่งออสฟา ราเซนเทีย
ท่าเรือขนส่งเมืองนาร์เฟิร์สในยามอัสดง อัดแน่นไปด้วยผู้คนมากมายหลากหลายเชื้อชาติ หลากหลายสายพันธ์ เรือโดยสารเป็นร้อยจอดเรียงรายกันเป็นแถวเป็นแนวในขณะที่ผู้คนบนเรือทยอยกันเดินขึ้นเดินลงกันเป็นว่าเล่น ชายหนุ่มสองคนผู้มาจากดินแดนที่ไร้อารยะธรรมก้าวเท้าลงเหยียบพื้นดินของเมืองนี้ด้วยท่าทางตื่นๆ ตามลักษณะของคนที่ไม่เคยออกจากเมืองเกิดของตน
“ที่นี่... มันอะไรกันเนี่ย”
เบิร์นเอื้อนเอ่ยคำพูดออกมาทั้งๆที่ปากของเขายังคงอ้าค้างอยู่
“นาร์เฟิร์ส... เมืองแห่งการค้าขาย และว่ากันว่าร่ำรวยที่สุดในราเซนเทีย”
เสียงของคนรอบรู้ตอบกลับมาโดยทันควัน คาซัสเหลือบมองไปรอบๆตัวอย่างตื้นเต้นไม่แพ้กับเพื่อนรักของตน ถึงแม้บรรยากาศคึกคักของที่นี่จะไม่ยิ่งหย่อนไปกับที่ที่เขาจากมา แต่บรรยากาศที่นี่กลับช่วยให้เขารู้สึกดีกว่ามากมายทีเดียว ทั้งเรือโดยสารมากมาย รวมไปถึงเรือขนส่งสินค้าหลายขนาด ผู้คนที่แต่งองค์ทรงเครื่องกันอย่างโอ้อวด รวมถึงเสียงพูดคุยที่ดังเซ็งแซ่ไปทั่วทั้งบริเวณท่าเรือ ทุกอย่าง... ล้วนชวนมองกว่าเอาท์เครทเป็นไหนๆ เบิร์นมองไปยังร้านค้าแผงลอยต่างๆที่ตั้งเรียงรายอยู่ตามท้องถนนอย่างสนใจ ส่วนคาซัสเองก็มองไปยังอาคารบ้านช่องที่ดูโอ่อ่าหรูหราอย่างสนใจเช่นกัน
“เราจะลงหลักปักฐานกันที่นี่มั๊ย”
เบิร์นพูดลอยๆในขณะที่ความคิดของเขาเพ้อฝันไปไกล
“เราอาจจะรวยเหมือนคนพวกนี้ก็ได้”
“แกจะทำอะไร... ค้าขายอย่างนั้นเหรอ”
“แกเห็นว่าฉันมีหัวทางด้านนั้นเหรอไงฮะ คนอย่างฉันไม่มาค้าขายให้เสียเวลาหรอกน่า”
เบิร์นหันไปหลิ่วตาให้กับเพื่อนรัก ในขณะที่เท้าขวาของเขายื่นออกไปด้านข้างเล็กน้อย
“ว้าย !!!”
ร่างบางร่างหนึ่งพุ่งตัวถลาไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว แต่มือหนาของใครบางคนก็เร็วกว่าพอทีจะดึงร่างนั้นเข้าสู่อ้อมกอดได้อย่างทันท่วงทีก่อนที่หน้าของเจ้าหล่อนจะลงไปจูบเข้ากับพื้นหินอ่อน
“เป็นอะไรเหรอเปล่า”
เบิร์นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเข้มขรึมที่ไม่ใช่ลักษณะที่แท้จริงของเขาแต่อย่างใดกับหญิงสาว
“ผมต้องขอโทษด้วย ผมไม่ทันได้มองว่าคุณอยู่ข้างๆ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
เสียงหวานเอ่ยขึ้นเพียงเล็กน้อยก่อนจะผละออกจากตัวของเบิร์น หญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มผมสีน้ำตาลเข้มส่งยิ้มเล็กน้อยตอบกลับมาให้เขา
“แต่คุณเกือบจะ...”
“ไม่เป็นไรจริงๆค่ะ ฉันไม่คิดมาก”
“โอ้ว... คุณใจดีมากครับ”
รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเบิร์น ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือทั้งสองข้างไปคว้ามือของหญิงสาวมากุมไว้อย่างไม่จำเป็นเลย
“ทั้งสวย ทั้งใจดีเลย คนอย่างคุณนี่หายากนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ เอ่อ.. งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ จะต้องรีบเอาสินค้าขึ้นเรือ เอ่อ...”
“ครับ... มีอะไรเหรอเปล่าครับ”
“อ๋อเปล่าๆค่ะ แค่อยากจะขอบคุณอีกครั้งที่ช่วยไว้น่ะค่ะ ไปแล้วนะคะ”
หญิงสาวยิ้มหวานให้เบิร์นอีกครั้งก่อนที่จะหันหลังให้กับเขาแล้วมุ่งหน้าไปยังเรือขนส่งสินค้าลำเล็กๆลำหนึ่ง
“อะไร... รักแรกพบเหรอไงฮะ”
คาซัสเอ่ยขึ้นเมื่อเธอคนนั้นวิ่งไปไกลเกินที่จะได้ยินเสียงเขาแล้ว เบิร์นหันมามองเขาพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ตามแบบฉบับ
“ช่าย... รักแรกพบของฉันกับที่นี่ยังไงล่ะวะ”
ชายหนุ่มยิ้มกว้างพร้อมกับชูถุงเงินสีแดงเลือดนกในมือแกว่งไปแกว่งมาตรงหน้าคาซัส ถุงเงินที่เขาพึ่งจะฉกจากที่คาดเอวของหญิงสาวคนเมื่อครู่นี้
“โธ่... ไอ้ชั่วเอ๊ย”
คาซัสมองถุงเงินนั่นพร้อมกับยิ้มกว้างตอบกลับไป ที่เมืองนี้ช่างเป็นถุงเงินถุงทองของพวกเขาโดยแท้
..........................
เส้นขอบฟ้าหายลับไปเมื่อสิบนาทีที่แล้ว ท้องฟ้าสีส้มแปรเปลี่ยนเป็นสีดำของยามค่ำคืน สองเพื่อนซี้นอนนับดาวผ่านหลังคาโบสถ์ร้างที่ไร้สภาพความเป็นหลังคาไปเรียบร้อยแล้ว จากช่องโหว่มากมายด้านบนทำให้พวกเขามองเห็นท้องฟ้าสีหมึกได้ไม่ยากนัก
“ที่นี่ก็ไม่เลวนัก ไว้เราเอาของที่จิ๊กมาได้ไปขายเดี๋ยวเราก็รวยแล้ว”
เบิร์นพูดไปพลางกัดผลไม้ไปพลาง สายตาของเขามองท้องฟ้าเบื้องบนอย่างสุขใจ ราวกับไม่เคยเป็นสุขเท่านี้มาก่อนในชีวิต
“คนที่นี่ซื่อๆกันทั้งนั้น แถมยังรวยกันเป็นบ้า”
“ใช่... แต่เราก็ควรระวังตัวไว้ด้วย พวกทหารเวทย์เดินเพ่นพ่านกันให้ทั่ว”
“เออใช่....พูดถึงเรื่องเวทย์มนต์ฉันก็นึกขึ้นมาได้”
เบิร์นผุดตัวขึ้นนั่งอย่างกะทันหัน สายตาของเขาจับจ้องไปที่คาซัสอย่างสงสัย
“แกมาจ้องฉันอย่างนั้นทำไม”
“ไม่เอาน่าคาซัส ฉันรู้นะว่าแกสนใจเรื่องที่นายพลบีวารอฟเล่าให้ฟังน่ะ ไม่อย่างนั้นคนอย่างแกคงเดินหนีเขาไปนานแล้ว ไม่ต้องรอให้เขาเล่าเรื่องจบก่อนหรอก”
คาซัสผุดตัวลุกขึ้นนั่งเช่นเดียวกันกับเบิร์นเพราะทนสายตาเซ้าซี้ของเพื่อนรักไม่ไหว
“แกไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมแกถึงทำอะไรแบบนั้นได้น่ะ นายพลเขาเหมือนกันกับแก เขาเป็นประเภทเดียวกับแกนะโว้ย”
“แกรู้ได้ยังไง แกยังเคยบอกว่าฉันเป็นพ่อมดอยู่เลย”
“อ้าว แต่แกบอกว่าไม่ใช่นี่หว่า”
คาซัสส่ายหน้าด้วยความเอือม ก่อนจะหันหลังให้กับเบิร์น เอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าสะพายของเขาที่ตอนนี้อัดแน่นไปด้วยข้าวของมากมายที่พวกเขาไปหยิบของคนอื่นมาโดยไม่ได้รับอนุญาต
“ฉันไม่อยากเป็นหรอกนะ ไอ้ประเภทเดียวกับทหารคนนั้นน่ะ”
“แกอย่าเหมาเอาท่านนายพลไปรวมกับไอ้ทหารเลวพวกนั้นสิ เห็นๆอยู่ว่ามันคนละชั้นกัน”
“มันก็เป็นพวกในเครื่องแบบเหมือนกันนั่นแหละ แล้วแกก็เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว มาดูของพวกนี้กันดีกว่า”
เบิร์นเงียบไปสักพักก่อนจะยักไหล่ทั้งสองข้างเป็นเชิงตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจนัก ในจังหวะที่คาซัสเปิดกระเป๋าแล้วจับมันคว่ำลง ข้าวของมากมายร่วงหล่นลงสู่พื้นอย่างไม่ขาดสายต่อหน้าพวกเขา
“ใช้เวลาชั่วโมงเดียวหาได้แค่นี้เองเหรอ ฝีมือตกไปเหรอเปล่าเพื่อน”
เบิร์นตบไหล่เพื่อนพลางยิ้มเยาะ และเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าของตัวเองออกมาบ้าง
“ของจริงมันต้องแบบนี้”
เบิร์นจับกระเป๋าของตนคว่ำลงเช่นเดียวกันกับคาซัส ข้าวของมากมายร่วงหล่นออกมาอย่างรวดเร็วและไม่มีทีท่าว่าจะหมด จนน่าสงสัยว่าของมากมายจะเข้าไปอยู่ในกระเป๋าใบนั้นทั้งหมดได้อย่างไร จนในที่สุด ถ้วยทองเหลืองใบย่อมก็หล่นตุบลงสู่กองของทั้งหมดและทุกอย่างก็สงบลง
“ยัง... ยังไม่จบ”
เบิร์นพูดพร้อมกับเขย่ากระเป๋าของเขาอีกสองสามที ปรากฏเป็นของอีกสองสามชิ้นร่วงลงมาอย่างคาดไม่ถึง
“ว้า... คราวนี้หมดแล้วจริงๆว่ะ”
เขาเงยหน้าขึ้นมาพูดกับคาซัสหลังจากที่มุดหัวเข้าไปดูลาดเลาในกระเป๋าอยู่สักพักหนึ่ง เขาโยนกระเป๋าที่ดูเหมือนจะไร้ค่าขึ้นมาอย่างกะทันหันทิ้งไปและหยิบของสองสามชิ้นขึ้นมาดูอย่างสนใจในราคา
“ของแกท่าทางจะแพงกว่าของฉันทั้งนั้นเลยว่ะ”
“ก็แน่ล่ะสิ ฉันเลือกที่จะขโมย ไม่ใช่หยิบอะไรได้ก็เอามาหมดอย่างแก”
คาซัสพูดพร้อมกับโยนกำไลข้อมือที่ทำจากหินสีเทาหม่นๆทิ้งไปหลังจากประเมินราคาของมันเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปหยิบรองเท้าหนังที่ดูมีราคาขึ้นมาดู แสงสีเงินจางๆใกล้กับกองถ้วยทองเหลืองของเบิร์นก็เรียกสายตาของเขาให้หยุดมองมัน และหยิบมันขึ้นมาดู
“นั่นมัน...”
เบิร์นเงยหน้าขึ้นมามองสิ่งของในมือคาซัสด้วยความสนใจ
“แกเสกมันขึ้นมาเหรอ”
“ใช่... ตั้งแต่เมื่อวาน”
“เมื่อวาน... ฉันเห็นแกเสกให้กับเด็กคนนั้นไปแล้วนี่หว่า”
เบิร์นพูดไปพลางเอาเช็ดเสื้อเช็ดกับถ้วยทองเหลืองไปพลางอย่างจดจ่อ
“ก็ใช่... ดอกไม้นี่เป็นดอกเดียวกับที่ฉันให้เด็กคนนั้นไปเมื่อคืน”
คาซัสวางดอกไม้สีน้ำเงินที่แสนงดงามลงกับพื้นข้างๆตัวเขา ทันทีที่ก้านดอกไม้ผละออกจากมือหนา แสงสีเงินจางๆก็พลันสลายหายไปในทันที
“แล้วมันมาอยู่ที่แกได้ยังไงฮะ เด็กนั่นเอามาคืนเหรอ”
“ใช่... เธอเอามาคืนฉันเองกับมือ”
เสียงของคาซัสที่ฟังดูสลดลงเรียกความสนใจให้เบิร์นวางข้าวของทั้งหมดลงและมองดูเพื่อนรักอย่างสงสัย
“เกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนั้นเหรอเปล่าฮะ ทำไมแกต้องทำหน้าเศร้าด้วย”
คาซัสเงียบไปแต่สายตาของเขาก็ยังคงจับจ้องไปที่ดอกไม้ดอกนั้นที่ตอนนี้สีของมันเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอ่อนแล้ว
“ฉันพอจะรู้เรื่องทั้งหมดแล้วล่ะ”
เบิร์นถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาหลังจากเห็นสภาพของดอกไม้ที่เริ่มแห้งเหี่ยว เพียงแค่นี้เขาก็พอจะเดาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กผู้หญิงคนนั้น
“แกรู้เหรอเปล่าว่ามันเป็นเพราะอะไร ฉันรู้แค่ว่าพอแกให้ดอกไม้นี่กับใครทีไร คนคนนั้นจะต้อง...”
เบิร์นหันไปจ้องดอกไม้อีกครั้ง จากที่เคยเป็นสีฟ้าอ่อน บัดนี้กลับกลายเป็นสีน้ำน้ำตาลไปเสียแล้ว
“...ตายทุกราย ถึงแม้ว่าคนที่แกเคยให้จะมีไม่มากก็เถอะ แกช่วยบอกฉันทีสิว่าแกไม่ได้ฆ่าพวกเขา ฉันจะได้สบายใจ”
คาซัสถอนสายตาออกจากดอกไม้หลังจากที่มันแตกสลายกลายเป็นฝุ่นผงไปเรียบร้อยแล้ว สายลมหอบหิ้วฝุ่นผงเหล่านั้นไปกับมันด้วยอย่างแผ่วเบา
“ฉันช่วยพวกเขา”
เบิร์นขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจในคำตอบนั่น
“แกจะหมายความว่า แกช่วยพวกเขาให้ไปสบายใช่มั้ย หมายความว่าอย่างนั้นใช่เหรอเปล่า”
“อืม...”
“โธ่...ไอ้คาซัสเอ๋ย ไอ้สิ่งที่แกทำมันไม่ใช่การช่วยเขาหรอกนะ...”
“มันไม่ใช่อย่างที่แกคิด มันมากกว่านั้น”
เบิร์นเงียบไปสักพักด้วยความงุนงง ที่ไม่สามารถเข้าใจไอ้เพื่อนคนนี้ได้สักที
“เอ้า... งั้นก็ว่ามาสิ”
คาซัสปัดข้าวของที่ขโมยมาได้ออกไปให้พ้นจากที่นอนของเขาก่อนจะเอนตัวลงนอนอีกครั้ง เบิร์นทำเช่นเดียวกันกับเขา
“ฉันไม่รู้จะบอกแกยังไงดี เพราะฉันเองก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน รู้แต่ว่าเวลาที่ฉันเจอคนพวกนั้นฉันไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความมีชีวิตในตัวของคนพวกนั้นได้เลย ฉันไม่ได้ยินเสียงหัวใจเหรอแม้กระทั่งกลิ่นลมหายใจอุ่นๆของพวกเขา มันแปลกมากใช่มั๊ย
”
“ใช่... เพราะปกติแกจะสามารถรู้ได้เลยว่าที่ไหนๆมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เหรอเปล่า ถึงว่าสิ... เมื่อคืนแกถึงพาฉันเข้าไปในห้องเด็กคนนั้น...”
“เพราะฉันสัมผัสไม่ได้ถึงความมีชีวิตของเธอ และยิ่งเวลาที่ฉันได้เห็นเธอใกล้ๆฉันเกือบจะคิดว่าเธอเป็นดวงวิญญาณเสียด้วยซ้ำ แต่เธอไม่ใช่...”
“แล้วทำไมแกถึงยื่นดอกไม้นั่นให้เธอ”
เกิดความเงียบขึ้นสักพักก่อนคาซัสจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ใครสักคนบอกฉัน... ฉันได้ยินเสียงใครไม่รู้บอกฉันว่าฉันควรทำยังไงและจะต้องทำอะไร เขาบอกฉันว่ามันจะเป็นการปลดปล่อยพวกเขาเหล่านั้นจากคำสาป”
“เขา... ผู้ชายเหรอ”
“ใช่... เขาบอกให้ฉันหลับตาลงแล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง และทุกครั้งที่ฉันทำตามเขา แกรู้มั๊ยว่าฉันเห็นอะไรตอนที่หลับตา...”
“แกคงไม่ได้เห็น’เขา’ใช่มั๊ย”
เบิร์นตอบกลับด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น
“ไม่... ฉันไม่เห็นเขาหรอก สิ่งที่ฉันเห็นคือทุ่งดอกไม้กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา อยู่ท่ามกลางแสงสีขาวของท้องฟ้าไร้เมฆ มันเหมือนกับทะเลดอกไม้เสียมากกว่าเพราะแม้แต่เส้นขอบฟ้าฉันก็ยังเห็นเป็นแสงเรืองรองของกลีบดอกไม้ ดอกไม้ทุกดอกที่นั่นเป็นสีน้ำเงินเหมือนกับดอกไม้ที่ฉันให้กับคนพวกนั้น และเสียงของเขา... มันฟังดูมีพลังมาก”
“เขาบอกอะไรกับแกบ้าง”
“เขาบอกให้ฉันมอบดอกไม้นี่ให้กับคนพวกนั้น และแค่พอฉันคิดว่าจะเอาดอกไม้พวกนี้ออกไปจากความคิดได้ยังไง ดอกไม้สีน้ำเงินนั่นก็มาปรากฏอยู่ที่มือฉันทุกครั้งไป เนี่ยแหละที่แกบอกว่าเป็นเวทย์มนต์ แต่ฉันเองกลับไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร”
เกิดความเงียบขึ้นเป็นเวลานาน ชายหนุ่มทั้งสองดูเหมือนจะจมอยู่ในความคิดของตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“คาซัส...”
ในที่สุดเบิร์นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ และเมื่อคาซัสหันไปหาต้นเสียงก็พบว่าพวกเขากำลังสบตากันอยู่
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่แกเป็นมันคืออะไร แต่สิ่งที่ฉันรู้เกี่ยวกับตัวแกก็คือ... แกเป็นเพียงเด็กกำพร้าคนหนึ่งที่มาจากเอาท์เครทเท่านั้น ซึ่งมันก็เหมือนกันกับฉัน... เราสองคนเหมือนกัน ไม่มีอะไรที่แตกต่างกันเลยสักนิดเดียว แกยังคงเป็นเพื่อนฉันตลอดไปตราบเท่าที่แกยังคิดว่าฉันเป็นเพื่อนแกอยู่”
พูดจบเบิร์นก็หันหลังให้กับเขาทันที อาจจะด้วยความอายที่พูดอะไรซึ้งๆเกินสามคำก็เป็นได้
“แล้วของพวกนี้ล่ะ แกจะไม่เก็บมันหน่อยเหรอไง”
“ไม่มีใครกล้ามายุ่มย่ามกับของที่เราจิ๊กเขามาหรอกน่า แกหุบปากได้แล้วฉันจะนอน”
“โอเค... แต่ฉันจะนอนนับดาวอีกสักพักแล้วกัน”
รอยยิ้มผุดขึ้นจากใบหน้ายิ้มยากของคาซัส ดวงตาของเขาเป็นประกายเล็กน้อยจากการเอ่อล้นของน้ำตา หลังจากที่ผ่านเรื่องต่างๆในวันนี้มามากมายเขาควรจะร้องไห้ได้หลายครั้งหลายคราแล้ว แต่น้ำตากลับไม่ไหลออกมา แล้วตอนนี้มันกลับกำลังเอ่อล้น จะมีใครสามารถเข้าใจความรู้สึกของเขาในตอนนี้บ้างมั๊ย แต่อย่างน้อยดวงดาวบนฟ้าก็น่าจะรับรู้ได้ ไม่อย่างนั้นมันก็คงจะไม่ส่งแสงระยิบระยับตอบกลับมาเช่นนี้หรอก
อดีตกาลลาจาก... เมฆสีขาวพลัดพรากจากท้องนภา
เมฆสีดำลอยวนเวียนคอยเวลา
จวบจนฟ้าจะบรรจบ... ที่จากจะพบเจอ
ห่างแสนไกล... คล้ายรอคอยด้วยทุกข์ระทม
ความหมองหม่นในดวงจิตไม่อาจสลาย
เฝ้ารอคอยดวงดาราจักนำพาชีวาไป
ไป... ที่แสนไกล
ที่ซึ่งใคร... คอยเฝ้ามอง...
เสียงเพลงไพเราะราวกับบทเพลงแห่งสรวงสวรรค์ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา แต่มันกับทะลุทะลวงจิตใจของใครบางคนให้สะดุ้งตื่นขึ้นมาได้จากนิทราที่แสนสุข
จักนำพาดวงชีวาไป... ไม่อยากอาลัยกับความมืดมนที่ไม่ต้องการ...
คาซัสลุกขึ้นนั่งด้วยอาการสะลึมสะลือตามประสาคนพึ่งตื่นนอน ชายหนุ่มหันซ้ายแลขวาเพื่อมองหาต้นเสียงของบทเพลงอันไพเราะนี้ เขามองไปยังเพื่อนสนิทที่หลับอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวและคิดว่าควรจะปลุกเขาดีมั๊ย และในที่สุดคาซัสก็ตัดสินใจลุกขึ้นจากที่นอนเดินไปตามทางของโบสถ์เก่าเพียงลำพัง
เมื่อถึงเวลาที่ฟ้าบรรจบกับพื้นดิน... ฉันคงถวิลรีบตามหามัน
แต่ความมืดมิดกลับมาบดบัง แล้วไฉนเราจะได้เจอ...
คาซัสเดินไปตามทางเดินของโบสถ์ที่รายล้อมไปด้วยดอกทิวลิปสีขาวที่ไม่น่าจะมาขึ้นในสถานที่แบบนี้ได้เลย ทางเดินนี้ทอดยาวไปจนถึงต้นไม้ต้นใหญ่ที่กิ่งก้านของมันแผ่ขยายออกไปจนนับไม่ถ้วน แต่ทว่า... ต้นไม้ต้นนี้กลับไม่มีใบเลยสักใบ และนั่นก็ทำให้ชายหนุ่มเห็นสิ่งผิดปกติบนต้นไม้ต้นนั้นได้อย่างชัดเจนเมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้มันมากขึ้น
ฉันเฝ้าคอยเคียงคู่กับเงาของตนเอง คอยเฝ้ามองเธอเดินเคียงกับผู้คนมากมาย
เมื่อไรที่เธอจะพานพบกับความเหงาของหัวใจ... ของฉัน...
“หวัดดี เธอคงเป็นคาซัส เวลสัน”
หญิงสาวหยุดร้องเพลงพลางก้มหน้าลงมาจากกิ่งไม้กิ่งใหญ่แล้วยิ้มให้กับคาซัส หล่อนนั่งไขว่ห้างอยู่บนนั้นโดยไม่เกรงว่าจะตกลงมาเลยสักนิด เสื้อคลุมสีแดงเลือดนกห้อยยาวลงมาจากกิ่งไม้และพลิ้วไหวไปตามจังหวะของสายลม ใบหน้านวลดูส่องประกายแวววาวเมื่อต้องแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา เช่นเดียวกับเส้นผมสีฟางยาวที่รวบตึงไว้เป็นหางม้าลับกับใบหน้า ในภาพรวมทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เธอคนนี้ช่างเป็นคนที่งดงามที่สุดเท่าที่คาซัสเคยพบเคยเจอมาตลอดชีวิต
“ฉันขอแนะนำตัวเองก่อนแล้วกัน ฉันชื่อเบลลามีล มาคร์อดจ้ะ”
เบลลามีลส่งยิ้มหวานมาให้กับคาซัสอีกครั้งแต่สิ่งที่หล่อนได้กลับไปนั้นคือความเงียบเช่นเดิม
“มันคงจะดีเหมือนกันที่เธอไม่พูดอะไรเลย เราจะได้จัดการเรื่องสำคัญให้เสร็จโดยเร็ว”
“เรื่องอะไรครับ”
รอยยิ้มของหญิงสาวผุดขึ้นเล็กน้อยเมื่อชายหนุ่มตรงหน้าเผลอหลุดคำพูดออกมาจนได้
“เรื่องของเธอจ้ะ”
“ผม... เดี๋ยวก่อนนะ เราสองคนรู้จักกันมาก่อนเหรอเปล่าครับ”
“โอ้ไม่หรอกจ้ะ เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยไม่ว่าชาตินี้เหรอชาติที่แล้ว แต่ต่อไปนี้เราจะได้รู้จักกัน และอาจจะได้เจอหน้ากันอีกบ่อยๆด้วย”
คาซัสเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างงุนงงปนสงสัย และอีกใจหนึ่งก็ข้องใจว่าทำไมเธอถึงไม่ลงมายืนคุยกับเขาดีๆเหมือนคนทั่วไปนะ
“ฉันมีของบางอย่างจะให้เธอ ความจริงแล้วมันควรจะอยู่ที่เธอมาก่อนหน้านี้แล้วล่ะ แต่คนส่งสารของเราเกิดการผิดพลาดนิดหน่อย เธอคงไม่ว่าอะไรนะ”
เบลลามีลคว้าของบางอย่างภายใต้เสื้อคลุมของเธอออกมาแล้วยื่นให้เขา มันเป็นสารที่มัดด้วยเชือกสีแดงเข้มดูหรูหราเมื่อต้องแสงจันทร์ สารนั่นลอยออกจากมือของเบลลามีลราวกับต้องมนตร์ มันพุ่งตรงมาหาคาซัสอย่างช้าๆ จนในที่สุดมันก็หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศตรงหน้าของเขาพอดี
“รับสิจ๊ะ ไม่ต้องกลัวหรอก”
เบลลามีลเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มเช่นเดิม ในขณะที่คาซัสกำลังลังเลใจว่าจะรับมันไว้ดีเหรอไม่ ถ้าหากว่าเธอส่งสารให้เขาด้วยวิธีที่ปกติกว่านี้เขาจะรับมันไว้โดยไม่ลังเลเลย แต่สุดท้าย ชายหนุ่มก็ตัดสินใจยื่นมือขวาออกไปข้างหน้าพร้อมกับที่สารนั่นลอยเข้ามาอยู่ในมือของเขาทันทีโดยที่ยังไม่ทันตั้งตัว
“เปิดอ่านดูสิ มันเป็นสารเชิญเธอนะ”
“เชิญไปไหนฮะ”
“ออสฟาจ้ะ... ออสฟา ราเซนเทีย”
ดวงตาของคาซัสกระตุกเมื่อได้ยินชื่อโรงเรียนที่เขาคุ้นหู เขามองสารในมือสลับกับเบลลามีลอย่างสงสัย และคิดว่าคงมีการเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง
“ผมว่าคุณคงให้ผิดคนแล้วมั้งฮะ”
“ไม่นะ... ฉันไม่เคยทำงานผิดพลาดมาก่อน แต่ถ้าเป็นโรสซี่ก็ว่าไปอย่าง”
“โรสซี่...”
คาซัสเอ่ยถามอย่างสงสัย
“อ๋อ... หล่อนเป็นเพื่อนร่วมงานของฉันเอง เธอเองก็เคยเจอเขาแล้วนี่”
คิ้วของคาซัสขมวดเข้าหากันอย่างช่วยไม่ได้ เขารู้สึกมึนงงกับทุกเรื่องที่เขาพึ่งได้ยินเป็นที่สุด และคิดว่าผู้หญิงคนนี้อาจจะสติไม่ดีก็ได้
“อย่าพึ่งคิดว่าฉันบ้าสิ เมื่อเธออ่านสารนั่นแล้วเธอก็จะเข้าใจเองและจ้ะ”
อีกครั้งที่คาซัสเกือบจะสะดุ้งออกมา เมื่อเขากำลังคิดว่าผู้หญิงคนนี้อ่านใจคนได้ ชายหนุ่มทำตามที่เบลลามีลบอกคือเปิดสารนั่นออก
“ไหนลองอ่านให้ฉันฟังซิ...”
คาซัสเหลือบมองเบลลามีลแวบหนึ่งก่อนจะก้มลงมองข้อความในสารและอ่านมันออกมาให้หล่อนได้ยินด้วย
“... คุณคือผู้ใช้เวทย์ที่ได้รับสิทธิพิเศษของอีซซ์ กล่าวคือคุณสามารถเข้าเรียนที่โรงเรียนของเราได้โดยไม่ต้องผ่านการทดสอบใดๆทั้งสิ้น คุณจะเป็นนักเรียนของหอคอยอีซซ์ทันทีเมื่อคุณได้ตราประทับไปแล้ว... ตราประทับอะไรฮะ”
“... อ้อ เกือบลืมไป เธอช่วยขยับเข้ามาใกล้ๆฉันอีกนิดได้มั๊ยจ๊ะ”
คาซัสลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้าวเท้าไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว เป็นผลให้เบลลามีลอยู่บนหัวเขาพอดิบพอดี
“ยื่นแขนออกมาข้างหน้าจ้ะ แขนข้างไหนก็ได้... แต่สำหรับเธอ ฉันขอแนะนำให้เป็นข้างขวาดีกว่านะ”
คาซัสที่กำลังจะยื่นแขนซ้ายออกมาพอดีจึงต้องเปลี่ยนเป็นแขนขวาอย่างช่วยไม่ได้ เบลลามีลยื่นนิ้วชี้มาที่แขนของเขาอย่างอ่อนช้อย แสงสีทองจุดเล็กๆก่อตัวขึ้นที่ปลายนิ้วของเธอและเริ่มขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนคาซัสคิดว่าน่าจะชักแขนกลับดีกว่ามั้ง
“หากเป็นแขนซ้ายมันจะไม่สามารถประทับตราที่ผิวหนังเธอได้ เพราะเธอใส่ถุงมือนั่นไว้”
เมื่อเบลลามีลพูดจบคาซัสก็เริ่มคิดถึงรอยสักรูปร่างแปลกประหลาดที่กำลังจะเกิดขึ้นบนแขนขวาเขา
“แต่ถ้าเป็นแขนขวา...”
ลำแสงสีทองพุ่งตรงออกมาจากปลายนิ้วชี้ของหญิงสาวเข้าใส่แขนขวาของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว จนเกิดเป็นเส้นยาวคล้ายหางของดาวตก สักพักเส้นนั้นก็หายไปเหลือทิ้งไว้เพียงแสงสีทองสว่างรอบๆแขนของคาซัส เมื่อแสงสีทองค่อยๆทอแสงอ่อนลง ก็กลับกลายเป็นเส้นตาข่ายสีทองเล็กๆรัดรอบแขนของเขา มันรัดแขนเขาจนแน่น
“นี่มัน...”
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก เดี๋ยวมันก็หายไปเอง”
และก็เป็นไปอย่างที่เบลลามีลพูด เส้นตาข่ายสีทองค่อยๆหายไปราวกับว่ามันจมลงไปในผิวหนังของเขาอย่างนั้นแหละ
“นี่คือสัญลักษณ์ของคนที่ถูกเลือกทั้งสี่คน และเธอก็เป็นหนึ่งในนั้น วันเสาร์นี้จะเป็นวันรับสมัครนักเรียนปีหนึ่งของออสฟา เธอจะต้องเดินทางไปราเซเวียสเพื่อไปลงเบียนเรียนที่นั่น”
“ดะ... เดี๋ยวก่อน ผมยังไม่เข้าใจ”
“เดินทางพรุ่งนี้เช้าคงจะทัน...”
“เดี๋ยวสิฮะ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ผมไม่เข้าใจเลย แล้วไหนจะเรื่องเบิร์นเพื่อนผมอีกล่ะ เขาไม่ได้รับเลือกเหรอฮะ”
“เปล่านี่... แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องเพื่อนของเธอหรอกนะ ไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้เช้าเธอจะได้เตรียมตัวออกเดินทาง”
“แต่ผม...”
“อ้อใช่... โรสซี่ฝากความคิดถึงมาให้เธอด้วยแน่ะ ฉันไปก่อนนะ”
เบลลามีลยิ้มให้คาซัสอีกครั้งก่อนที่ร่างของเธอจะหายวับไปต่อหน้าต่อตาเขา เหลือไว้เพียงกิ่งไม้ที่ไร้ใบเท่านั้น
“ผู้หญิงหายตัวได้ นักเรียนเหรอ แล้วยังอีซซ์อีก คนที่ถูกเลือกอะไรก็ไม่รู้ แล้วยังมีหน้ามาบอกให้ไปราเซเวียสให้ทันวันเสาร์อีก นี่มันเรื่องอะไรกันฮะ”
คาซัสสบถออกมายาวเหยียดด้วยความข้องใจ ก่อนที่จะถือสารในมือกลับไปยังที่นอนของตนด้วยความรู้สึกงุนงง ปนกับความอยากรู้อยากเห็นที่มีอยู่เต็มเปี่ยม แล้วใครจะมาเฉลยทุกอย่างให้เขาเข้าใจได้ล่ะถ้าไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น ช่างเถอะ... บางทีหล่อนอาจจะเป็นเพียงแค่นางในฝันของเขาก็เป็นได้
เริ่มเขียนเมื่อ 4/05/2551
ความคิดเห็น