ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Prince Of Dark เจ้าชายปีศาจ

    ลำดับตอนที่ #6 : Chapter 5 : การเดินทางแห่งโชคชะตา

    • อัปเดตล่าสุด 6 พ.ย. 51



    - 5 -

    การเดินทางแห่งโชคชะตา

     

                คาซัสกำลังจะผลักประตูบานใหญ่เข้าไปในห้องโถง แต่เขาก็ต้องหยุดกึกเมื่อคนสองคนเดินสวนทางออกมาจากข้างใน ในมือของพวกเขาหอบหิ้วศพของทหารนายหนึ่งออกมาด้วยในลักษณะที่คนหนึ่งหิ้วแขนและคนหนึ่งหิ้วขา คาซัสพยายามสบตากับชายหนุ่มสองคนนั้นแต่ก็เปล่าประโยชน์เพราะสองคนนั้นเอาแต่จะหลบตาเขาท่าเดียว

     

                บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความเศร้าโศกเมื่อคาซัสเข้าไปถึง เสียงร้องไห้ดังระงมจากพวกเด็กๆ ทั้งที่โตแล้วและพวกที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเสียด้วยซ้ำ เขาหันไปสบตากับเบิร์นที่หันมามองเขาแวบหนึ่งก่อนจะโบ้ยสายตาไปยังเซอา หญิงสาวนั่งเหม่อลอยอยู่บนโซฟาที่ยับเยินแต่ก็ยังสามารถใช้การได้อยู่บ้าง น้ำตาของเธอไหลเอ่อออกมานองหน้าโดยที่เธอเองดูเหมือนจะไม่รู้ตัวเลยซะด้วยซ้ำ คาซัสเบือนหน้าหนีออกจากภาพตรงหน้า เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าหญิงสาวตรงหน้านั้นรู้สึกยังไงเมื่อสายตาของเขาเหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งนอนอยู่ที่พื้นอย่างเงียบสงบ รอบตัวของเขาแน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่กำลังร่ำไห้ ชายหนุ่มรับรู้ได้ทันทีว่าร่างกายของเขากำลังสั่นเทิ้มด้วยความรู้สึกสูญเสีย

     

                คาซัส ไปคุยกับเซอาซะ

                เบิร์นเดินเข้ามาหาคาซัสพร้อมกับคว้ามือข้างซ้ายของเขาที่ใส่ถุงมือเรียบร้อยแล้วเดินไปหาเซอา เขาสังเกตได้ว่าเบิร์นสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมือของชายหนุ่มสัมผัสกับมือของเขาโดยที่ไม่ทันนึก

     

                เซอา... คาซัสมีเรื่องจะพูดกับเธอ

                เบิร์นพูดพร้อมกับดันไหล่ของคาซัสไปข้างหน้าเพื่อเผชิญหน้ากับเซอาที่กำลังนั่งอยู่

     

                กีรอฟ...

                ทันทีที่คาซัสเอ่ยชื่อของกีรอฟ แววตาของเซอาก็ตวัดขวับมาจ้องหน้าเขาทันที

     

                ฉันเสียใจ...

                ชายหนุ่มเอ่ยคำขอโทษออกมาจากใจจริง แต่ทว่าแววตาของหญิงสาวกลับจ้องมองมาที่เขาราวกับว่าเขาเป็นคนผิด และไม่มีวี่แววว่าจะรับคำขอโทษนั่นแต่อย่างใด

     

                กีรอฟไม่น่าตาย ถ้าเพียงแต่ทุกคนเชื่อฉันสักนิดก็จะไม่มีใครตายทั้งนั้น

                เซอายืนขึ้นเผชิญหน้าคาซัส เธอตวาดเขาเสียงดังลั่นจนทุกคนในห้องโถงต่างหันมามองที่พวกเขา คาซัสรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกทันที

     

                นายไม่น่าทำตัวอวดเก่งเลย ฉันเกือบจะขอร้องผู้พันได้อยู่แล้ว แต่นาย...

                นั่นน่ะเหรอที่เรียกว่าเกือบ เธอไม่รู้สึกตัวบ้างเหรอไงว่าเธอกำลังทำอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ เธอคิดว่าพวกมันจะปล่อยพวกเราไปง่ายๆอย่างนั้นเหรอในเมื่อพวกเราเป็นพยานรู้เห็นว่าพวกมันกำลังยึดบ้านเราเป็นซ่องน่ะ

                คาซัสเถียงกลับไปอย่างเหลืออด เขาไม่ชอบให้ใครมาตะคอกใส่หน้าเขาทั้งนั้นไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร และยิ่งตะคอกใส่เขาเพราะเรื่องนี้ด้วยแล้ว ยิ่งไม่มีทางที่เขาจะยืนอยู่เฉยๆ

     

                เธอนั่นแหละที่ทำตัวยุ่งไม่เข้าท่า กีรอฟจะไม่ตายเลยถ้าเธอไม่เสนอหน้าไปยืนกับไอ้ผู้พันชั่วนั่น

     

                เพียะ!!!

     

                ฝ่ามือบางของเซอาฟาดเข้าที่ใบหน้าของคาซัสเร็วเท่าใจนึก มือของเธอสั่นสะท้ายเพราะแรงตบ แต่ทว่า ชายหนุ่มผู้ถูกกระทำนั้นกลับยืนเฉยราวกับไม่สะทกสะท้าน

     

                เซอา... มันจะมากไปแล้วนะ

                เบิร์นเข้ามายืนแทรกกลางระหว่างเพื่อนทั้งสองคน สายตาของเขาจ้องมองไปที่เซอาอย่างตำหนิ

     

                นะ... นายอยู่ข้างเขาเหรอ

                เซอาพูดเสียงสั่นๆ เธอจ้องเบิร์นกับคาซัสอย่างไม่เชื่อสายตา

     

                เธอพูดอะไรของเธอ พวกเราแบ่งเป็นข้างกันตั้งแต่เมื่อไรฮะ

                อย่าแกล้งโง่ไปหน่อยเลยเบิร์น นายก็เห็น... เขาไม่เหมือนเรา

                เซอาเน้นประโยคสุดท้ายอย่างชัดถ้อยชัดคำโดยที่ทุกคนสามารถได้ยินกันทั่ว

     

                ที่เขาทำน่ะ คนแบบเราทำไม่ได้หรอกนะ...

                หยุดพูดได้แล้วเซอา

                นายโดนเขาล้างสมองเหรอไงเบิร์น เป็นไปได้สินะ... ก็เขาทำแบบนั้นได้แล้วนับประสาอะไรกับแค่ล้างสมองของนาย

                หลายคนเริ่มพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเซอา พวกเขาหยุดการกระทำทุกอย่างแล้วเดินเข้ามายืนอยู่ด้านหลังของเธอทันที คาซัสมองคนพวกนั้นด้วยความรู้สึกสูญเสียที่เกินบรรยาย มันมากกว่าการที่เขาสูญเสียกีรอฟไปเสียอีก

     

                ทางที่ดีนายควรอยู่ให้ห่างกับเขาซะ เขาฆ่าคน แถมคนพวกนั้นยังเป็นทหารเสียด้วย อีกไม่นานทางการก็คงส่งคนมาจับกุมเขา และถ้านายยังอยู่กับเขา นายอาจจะโดนลูกหลงไปด้วยนะ ฉันขอเตือน

                เบิร์นเงียบไป คาซัสเห็นแค่แผ่นหลังของเขาที่นิ่งสงบ ชายหนุ่มไม่สามารถรู้ได้ว่าเพื่อนรักตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่อะไรบางอย่างบอกให้เขาออกไปจากที่นี่ซะ เมื่อเขาหันไปสบตากับทุกคน แววตาที่จ้องกลับมาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความแตกต่าง ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเขา...

     

                คาซัส... เดี๋ยว!”

                เบิร์นส่งเสียงร้องเรียกเพื่อนของเขาด้วยความงุนงง ที่จู่ๆก็ผลุนผันออกจากห้องไปโดยไม่บอกกล่าว คาซัสวิ่งอย่างรวดเร็วไปที่ห้องนอนของตนโดยไม่รอช้า เขาหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาหนึ่งใบก่อนที่จะเริ่มจับเสื้อผ้าที่คว้าได้ยัดเข้าไปในนั้น เขาหยิบของบางอย่างที่จำเป็นยัดใส่ไปด้วยโดยเฉพาะเงินที่มีอยู่เพียงน้อยนิด เขาอยากออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ไม่อยากอยู่อีกแล้ว... ไม่อยากที่จะเจอสายตาแบบนั้นอีกแล้ว

     

                นั่นมัน...

                ในระหว่างที่กำลังเร่งรีบ สายตาของชายหนุ่มก็พลันเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างกำลังเรืองแสงอ่อนละมุนอยู่ตรงขอบเตียงนอนของเขา เขาเดินเข้าไปหามันและหยิบมันขึ้นมา

     

                ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ชะตากำหนดเถอะนะคะ

                ดอกไม้สีน้ำเงินในมือส่องแสงสีเงินสว่างวาบขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนที่มันจะค่อยๆจางหายไป เสียงของเด็กหญิงที่แสนคุ้นเคยดังขึ้นอย่างแผ่วเบาจากที่ไกลแสนไกล ส่งผลให้จิตใจของชายหนุ่มรู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาด

     

                ชะตาเหรอ...

                ชายหนุ่มส่ายหน้าก่อนที่รอยยิ้มเล็กน้อยจะปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา ชะตาของเขาจะเป็นยังไงกันนะ มันคงจะไม่เลวร้ายสักเท่าไรหรอกมั้ง คาซัสคว้าเป้ขึ้นมาพาดบ่าก่อนที่เขาจะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง ขายาวก้าวไปข้างหน้าในหนทางที่เขาไม่อาจจะรู้ได้ว่าเป็นเช่นไร หนทางที่ชะตากำหนดไว้ให้เขาแล้ว

     

                ผู้คนมากมายเดินสวนทางกันไปมาอย่างคับคั่งที่เขตชายแดนเอาท์เครท เรือโดยสารมากมายจอดเรียงรายเป็นแถวอยู่ที่ท่าเรือนับสิบเพื่อรอรับส่งผู้โดยสาร สีหน้าของผู้โดยสารแต่ละคนที่เดินลงมาจากเรือนั้นดูไม่สู้ดีเท่าไรนักเมื่อนึกได้ว่าตนกำลังจะก้าวเท้าลงเหยียบเมืองที่ไม่น่าพิสมัยนี้ ซึ่งต่างจากสีหน้ายิ้มแย้มของผู้โดยสารขาออกโดยสิ้นเชิง และเขา...ก็เป็นหนึ่งในผู้โดยสารขาออกพวกนั้น คาซัสมองตรงไปยังท้องทะเลเบื้องหน้าที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างนึกชื่นชม เขาเคยเห็นมันมาตั้งแต่ยังเด็กจากหน้าต่างในห้องนอนของตนเองทุกๆวัน เขาเคยมาสัมผัสมันอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ก็เพียงไม่กี่ครั้งในชีวิตเท่านั้น แต่ครั้งนี้... พิเศษกว่าทุกครั้ง เขากำลังจะข้ามพื้นน้ำอันกว้างใหญ่นี้ไป

     

                คาซัสเดินเข้าไปต่อแถวผู้โดยสารขาออกที่มีนับสิบแถวพอดีกับตัวเรือที่จะพาพวกเขาข้ามฟากไป ผู้คนที่ต้องการจะออกจากเมืองนี้มีมากเสียเหลือเกินซึ่งตัวเขาเองก็ไม่นึกแปลกใจเลย

     

                บัตรโดยสารล่ะ

                นายทหารยศจ่าคนหนึ่งเอ่ยถามผู้ชายที่ยืนต่อแถวอยู่ด้านหน้าของเขาด้วยน้ำเสียงกระโชกโฮกฮากที่ทำเอาผู้ชายคนนั้นตัวสั่นอย่างไม่ได้ตั้งใจ คาซัสนึกสมเพชผู้ชายคนนั้นอยู่ในใจที่กลัวพวกทหารเลวๆได้ถึงขนาดนี้ แต่แล้ว...ดวงตาของชายหนุ่มก็ต้องเบิกกว้างเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้

     

                เขาไม่มีบัตรโดยสาร...

     

                คนต่อไป!”

                เหงื่อเม็ดเล็กเม็ดน้อยเริ่มผุดขึ้นตามใบหน้าของคาซัส เขาลืมเรื่องสำคัญอย่างนี้ไปได้ยังไงกันนะ

     

                ชื่ออะไร

                นายทหารยศจ่าคนเดิมเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงแบบเดิมกับที่เคยใช้กับผู้ชายเมื่อก่อนหน้านี้

     

                คา... คาลีอัส  ซันฟิลล์

                คาซัสเอ่ยชื่อปลอมออกไปได้ทันท่วงทีเมื่อเขาพึ่งจะนึกได้ว่าตัวเองไปก็เรื่องอะไรเอาไว้ และยังคำพูดของเซอาที่ติดหูเขามาอีก เขาฆ่าคน... อีกไม่นานทางการก็จะส่งคนมาจับตัวเขา

     

                บัตร...

                นายทหารเอ่ยห้วนๆก่อนที่จะยื่นมือขวามาข้างหน้าเพื่อรอรับบัตรผู้โดยสาร โดยที่ไม่มองหน้าเขาเลยสักนิด คาซัสมองซ้ายมองขวาเพื่อหาวิธีเอาตัวรอดทันที

     

                ว่าไง... ไหนบัตรล่ะ

                บัตรอะไรเหรอครับ

                เมื่อนึกอะไรไม่ออกแล้วชายหนุ่มก็แกล้งตีหน้าซื่อถามกลับไปเหมือนคนไม่รู้เรื่อง นายทหารคนนั้นเงยหน้าขึ้นมามองเขาทันที

     

                เจ้าโง่! บัตรผู้โดยสารน่ะสิ

                อ้อ... แล้วจะเอามันไปทำไมเหรอครับ

                นายทหารมองเขาอย่างเหลืออด ไอ้หมอนี่มันซื่อหรือมันโง่กันแน่ล่ะเนี่ย

     

                แกมาจากไหนวะเนี่ย บัตรนั่นก็มีไว้ขึ้นเรือน่ะสิ ถ้าไม่มีแกก็ขึ้นเรือไม่ได้เข้าใจหรือยัง

                อย่างนั้นเหรอครับ

                ก็ใช่น่ะสิ เพราะฉะนั้นเอาบัตรมาได้แล้วก่อนที่ฉันจะอารมณ์เสีย

                อ้าว... เล่นตัดบทกันซะอย่างนี้แล้วเราจะถ่วงเวลาต่อยังไงดีล่ะเนี่ยคาซัสคิดอย่างอับจนหนทางก่อนที่เขาจะทำเป็นแกล้งเอื้อมมือไปที่กระเป๋ากางเกงอย่างช้าๆ นายทหารมองมาที่เขาอย่างรำคาญใจเช่นเดียวกับผู้โดยสารขาออกที่ต่อหลังเขาอยู่

     

                อ้าวคาลีอัส... แกอยู่นี่เองฉันหาตั้งนานแน่ะ

                เสียงที่แสนคุ้นเคยทำให้คาซัสหันกลับไปมองที่ต้นเสียงทันที ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเดินออกมาจากฝูงชนและกำลังมุ่งตรงมาที่เขา

     

                เอาไป... แกลืมไว้ที่ฉัน

                เบิร์น... แกมาทำอะไร

                คาซัสเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ชายหนุ่มตรงหน้าแกล้งทำเป็นไม่สนใจก่อนที่เขาจะยัดอะไรบางอย่างใส่มือของคาซัสบัตรผู้โดยสารนั่นเอง

     

                นี่ครับ พึ่งนึกออกว่าฝากไว้ที่เพื่อน

                คาซัสรีบยื่นบัตรนั่นให้กับนายทหารทันทีแต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อจู่ๆเบิร์นก็แทรกตัวเองเข้ามายืนต่อแถวอยู่ข้างหลังเขา คนที่ต่อหลังเขาตั้งแต่แรกถึงกับสบถออกมาเมื่อเบิร์นทำเช่นนั้น

     

                เสร็จแล้ว ผ่าน!”

                นายทหารยื่นบัตรผู้โดยสารคืนให้เขาและบอกให้เขาไปได้ แต่เมื่อคาซัสรับบัตรคืนมาเรียบร้อยแล้วเขากลับไม่ไปไหน ชายหนุ่มเดินออกมานอกแถวและยืนมองเพื่อนรักของตนอย่างไม่เข้าใจ

     

                ชื่ออะไร

                เบิร์น  สกินเนอร์ครับ

                เบิร์นพูดกับนายทหารคนนั้นก่อนที่จะหันมายักคิ้วให้กับคาซัสที่พอจะเข้าใจแล้วว่าเพื่อนของตนกำลังทำอะไร และเมื่อเบิร์นเดินออกมาจากแถวชายหนุ่มก็รีบคว้าเพื่อนของตนให้หันมาเผชิญหน้าทันที

     

                แกจะ...

                หยุดพูดไปเลยคาลีอัส แกจะทิ้งฉันและหนีไปเที่ยวคนเดียวอย่างนั้นเหรอ มันไม่มากไปหน่อยมั้ง แล้วฉันก็พยายามแทบตายกว่าจะขโมยบัตรนั่นมาให้แกได้ เพราะฉะนั้น... สำนึกในบุญคุณหน่อย

                เบิร์นขัดขึ้นก่อนที่คาซัสจะพูดจบ เขาแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจก่อนที่จะเดินขึ้นไปบนเรือ คาซัสขมวดคิ้วเป็นปมอย่างขัดใจก่อนที่จะเดินตามเพื่อนรักของตนขึ้นไปอย่างช่วยไม่ได้

     

                เรือโดยสารที่พวกเขาขึ้นมาเป็นเรือที่ไม่มีกัปตันบังคับทิศทาง มันเดินทางเองด้วยเวทย์มนต์ คาซัสสังเกตเห็นครอบแก้วสีฟ้าใสที่ครอบคลุมเรือทั้งลำอยู่และเขาคิดว่านั่นก็น่าจะเป็นเวทย์มนต์ชนิดหนึ่งเช่นกัน

     

                ไปหาที่นั่งกันเถอะ

                เบิร์นเอ่ยกับคาซัสด้วยน้ำเสียงและแววตาที่ปิดบังความตื่นเต้นไว้ไม่มิด พวกเขาเดินฝ่าฝูงคนที่แน่นขนัดและพยายามมองหาที่นั่งดีๆสักที และในที่สุดคาซัสก็เดินนำเบิร์นไปยังที่ว่างที่หนึ่งที่ยังไม่มีคนจับจอง เมื่อสังเกตดูดีๆแล้วเรือลำนี้ดูเหมือนจะมีแต่ผู้โดยสารที่อยู่ในระดับเดียวกันกับพวกเขาทั้งนั้น นั่นก็คือพวกคนจนนั่นเอง แต่ทว่า... ในความเหมือนกันนั้นเองก็ยังมีความแตกต่างที่ปรากฏออกมาให้เห็นกันอยู่

     

                มีแต่ผู้คนแปลกๆทั้งนั้นเลย

                เบิร์นเอ่ยขึ้นเมื่อเขาสังเกตเห็นครอบครัวหนึ่งที่ทั้งพ่อ แม่ และลูกอีกสองคนแต่งกายด้วยชุดที่มีลักษณะและลวดลายเหมือนกันเป๊ะ มีหมวกทรงสูงคลุมอยู่ที่ศีรษะและพวกเขาก็ยังพูดจากันด้วยภาษาแปลกๆ แถมท่าทางก็ยังแปลกอีกด้วย

     

                พวกพ่อมดแม่มดน่ะ

                คาซัสเอ่ยตอบเพื่อนรักเมื่อเขาเองก็สังเกตอยู่นาน เขาเคยอ่านเรื่องของคนพวกนี้เจอในหนังสือที่ห้องสมุดของบ้านเด็กกำพร้า

     

                พวกที่มีเวทย์มนต์น่ะเหรอ

                ก็ใช่... แต่พวกเขาเป็นพวกพ่อมดแม่มดแท้ๆที่มาจากดินแดนของพวกเขาโดยเฉพาะ สังเกตจากภาษาที่พวกเขาพูดสิ

                งั้นเรือนี่พวกนั้นก็เป็นคนบังคับใช่มั้ย

                ฉันว่าไม่ใช่... เวทย์มนต์น่ะไม่ได้มีแค่พวกพ่อมดแม่มดเท่านั้นที่สามารถจะทำได้ พวกมนุษย์เราเองก็ทำได้ เดี๋ยวแกก็จะได้เห็นเมื่อพวกเราไปถึงฝั่งแล้ว

               

                เบิร์นเงียบไปสักครู่ก่อนที่เขาจะพลันนึกอะไรออก

     

                คาซัส... แกเคยคิดบางมั๊ยว่าแกอาจจะเป็นพ่อมดน่ะ

                คำพูดของเบิร์นทำให้คาซัสถึงกับชะงัก เขาหันไปมองครอบครัวพ่อมดนั่นอีกครั้งแล้วส่ายหน้า

     

                ไม่ใช่หรอก

                อะไรบางอย่างบอกเขาว่าเขาไม่ใช่พ่อมด

     

                งั้นเหรอ แต่ฉันค่อนข้างมั่นใจเลยนะ ว่าที่แกใช้ออกมานั่นน่ะ...

                คาซัสหันมาสบตากับเบิร์นด้วยแววตาสงบนิ่งแล้วรอให้เบิร์นพูดออกมา

     

                ... ฉันว่ามันคือเวทย์มนต์

                เฮ้ย! พวกแกน่ะ

                คาซัสยังคงอึ้งอยู่กับคำพูดของเบิร์นจนทำให้เขาไม่ทันได้ยินเสียงของใครบางคนที่ตะโกนมาทางพวกเขาอย่างไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไร แต่เบิร์นหันขวับไปทางคนผู้นั้นทันทีแล้วเขาก็ต้องกลืนน้ำลายดังเอื๊อกเมื่อพบว่าใครเป็นเจ้าของเสียง

     

                ลุกขึ้น!”

                ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์มีหนวดเคราสีดำรกรุงรังดูน่ากลัวและน่ารังเกียจปรากฏกายขึ้นตรงหน้าของพวกเขา มือข้างซ้ายของชายคนนั้นถือขวดเหล้าใบใหญ่ที่มีน้ำเหลืออยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น คาดว่าส่วนที่หายไปก็คงจะไปหลอมรวมอยู่กับเลือดในตัวของชายผู้นี้เรียบร้อยแล้ว

     

                มีอะไรเหรอลุง

                เบิร์นเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าขยะแขยงเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นเหม็นเน่าที่ลอยออกมาจากเสื้อผ้าของชายตรงหน้า

     

                ใครเป็นลุงแก

                อ้าวลุง ผมแค่เรียกตามมารยาทหรอกน่า

                ยังจะเถียงอีก!”

                ชายขี้เมาตวาดดังลั่นพร้อมกับยกขวดเหล้าในมือขึ้นขู่ เบิร์นรีบยกมือขึ้นมาบังที่ศีรษะทันที

     

                มีอะไรกับพวกเรา

                คาซัสเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นตามแบบฉบับ สีหน้าของเขาเรียบเฉยเมื่อสบตากับชายเบื้องหน้าที่ตัวใหญ่กว่าเขามากนัก

     

                ฉันจะนั่งตรงนี้

                ชายขี้เมาพูดพร้อมกับยื่นเท้าออกมาเขี่ยไปมาตรงที่ว่างระหว่างเบิร์นกับคาซัส เบิร์นรีบเขยิบออกให้ห่างทันทีด้วยความขยะแขยง

     

                เรามาก่อน

                คาซัสเอ่ยพร้อมกับยืนขึ้น ชายหนุ่มยื่นเท้าของตนเองไปเหยียบทับเท้าของชายขี้เมาเอาไว้ท่ามกลางสายตาที่ตกใจของเบิร์น

     

                ไอ้หนุ่ม... แกรู้ตัวมั๊ยว่ากำลังทำอะไรอยู่

                ชายขี้เมาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขู่ฟ่อที่พาเอาคนที่นั่งอยู่แถวๆนั้นรีบลุกขึ้นแล้วเดินหาที่ใหม่ทันทีด้วยเกรงว่าจะโดนลูกหลง

     

                นี่แกโง่ขนาดไม่รู้ว่าฉันกำลังเหยียบเท้าแกอยู่เลยเหรอ

                ใบหน้าของคนที่ถูกกล่าวหากระตุกเล็กน้อยก่อนที่จะกัดฟันกรอดกรอด ด้วยอารมณ์ที่ต้องการระงับเอาไว้

     

                แกหาว่าฉันโง่อย่างนั้นเหรอ

                หรือแกว่าไม่ใช่ล่ะ

                คาซัสพูดพร้อมกับจ้องชายตรงหน้าด้วยแววตาดูหมิ่น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความดูถูกที่มีให้กับชายตรงหน้า

     

                แก!!! ไอ้เด็กเวร รนหาที่ตายแท้ๆ

                ชายขี้เมาตวาดลั่นด้วยความโมโห หมัดขวาถูกกำขึ้นโดยอัตโนมัติแล้วหวดไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว คาซัสก้มหลบหมัดนั่นได้อย่างหวุดหวิดท่ามกลางความหวาดเสียวของเบิร์นและคนที่อยู่ในเหตุการณ์

     

                ตายซะ!”

                ชายขี้เมาเขวี้ยงขวดเหล้าของตัวเองมาที่คาซัสที่หลบได้อย่างหวุดหวิดอีกเช่นกัน และเมื่อหมัดพิฆาตของเขากำลังจะพุ่งมาที่คาซัสอีกรอบ เหตุการณ์ผิดปกติบางอย่างก็เกิดขึ้น

     

                จู่ๆร่างกายของชายผู้นั้นก็แข็งทื่ออยู่ในท่าที่เตรียมจะปล่อยหมัด ดวงตาของเขาจ้องมองไปข้างหน้าด้วยความโกรธ และปากที่บิดเบี้ยวก็ชวนขันยิ่งนัก คาซัสมองภาพตรงหน้าด้วยความงุนงงก่อนที่ชายคนหนึ่งจะก้าวเท้าเข้ามาเพื่อเฉลยข้อข้องใจให้กับทุกคน

     

                ไม่เป็นอะไรใช่มั๊ย

                คาซัสเงยหน้าขึ้นสบตากับชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีฟ้าอ่อนกับหมวกสีเดียวกัน ชายคนนั้นส่งยิ้มที่แสนอ่อนโยนมาให้กับเขาและเบิร์น  

     

                ฉันว่าฉันไม่ได้ร่ายเวทย์ใส่พวกเธอนะ ทำไมถึงตัวแข็งกันล่ะ

                ชายปริศนาคนนั้นเอ่ยออกมาก่อนที่จะยิ้มเล็กน้อยเพราะความขันกับอาการของเด็กหนุ่มทั้งสองเมื่อเห็นเขา

     

                คุณเป็นทหาร

                คาซัสเอ่ยขึ้นหลังจากที่เงียบไปนาน คำพูดของชายหนุ่มทำให้ผู้มาใหม่ถึงกับงงเล็กน้อย เพราะเขาคิดว่าคำถามแรกที่เขาจะต้องได้ยินจากชายหนุ่มน่าจะเป็นการถามว่า เขาเป็นใครและ ชื่ออะไรเสียมากกว่า

     

                ใช่ ฉันเป็นทหาร

                เขาตอบกลับไปด้วยความงุนงง และคำตอบนั่นก็ส่งผลให้คาซัสถึงกลับเบือนหน้าหนีทันที เบิร์นเห็นท่าไม่ดีเลยแทรกตัวเองเข้ามามีส่วนร่วมในบทสนทนาของทั้งคู่

     

                ขอบคุณมากนะครับท่าน เอ่อ...

                เรียกฉันว่านายพลบีวารอฟ

                ครับท่านายพล... พวกเราต้องขอบคุณท่านจริงๆนะครับ ที่เข้ามาช่วยพวกเราจากไอ้ขี้เมานั่น

                เบิร์นส่งสายตารังเกียจไปทางชายขี้เมาที่ยืนแข็งทื่อราวกับถูกสาปให้เป็นหิน

     

                เอ่อ... ท่านทำอะไรกับเขาหรือครับ

                เบิร์นอดถามออกไปด้วยความสงสัยไม่ได้

     

                ฉันแค่ใช้เวทย์ธรรมดาทำให้เขาเป็นหินสักพักน่ะ

                โอ้โห... ทำได้ด้วยเหรอครับ

                คำตอบของนายพลทำให้เบิร์นร้องออกมาอย่างตื่นเต้น และส่งผลให้คาซัสหันหน้ากลับมาหาเขาอีกครั้ง

     

                ได้สิ... ถ้าเป็นคนที่เรียนจบจากออสฟา ราเซนเทีย

                เบิร์นกับคาซัสหันมาสบตากันอย่างไม่เข้าใจ

     

                พวกเธอไม่รู้จักโรงเรียนนี้หรอกหรือ

                เบิร์นส่ายหน้าส่วนคาซัสทำสีหน้าเรียบเฉย

     

                พวกเธอมาจากที่ไหนกันล่ะ

                เอาท์เครทครับ

                เบิร์นตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่เต็มเปรี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม

     

                ว่าแล้วเชียว... ถ้าอย่างนั้นพวกเธอก็คงจะไม่รู้จักจริงๆ

                มัน... คือโรงเรียนอะไรหรือครับ

                นายพลบีวารอฟถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนที่จะสายส่องสายตาไปที่ชายหนุ่มเบื้องหน้าอย่างนึกขัน คาซัสเห็นสีหน้าแบบนี้แล้วไม่ชอบใจยิ่ง

     

                ออสฟา ราเซนเทีย เป็นโรงเรียนไม่กี่แห่งในราเซนเทียที่สอนเวทย์มนต์และวิชาอื่นที่เกี่ยวข้องไปพร้อมๆกัน ตั้งอยู่ที่ใจกลางเมืองของราเซเวียส ที่นี่เป็นอันดับหนึ่งเชียวนะ เด็กที่อายุครบ 16 ปีแล้วส่วนมากเมื่อถึงช่วงเดือนสิงหาคม เดือนนี้แหละ จะพากันมากรอกใบสมัครและเข้ารับการทดสอบเพื่อเป็นนักเรียนของโรงเรียนนี้ ทุกคนจะเดินทางมาจากดินแดนที่แตกต่างกันและแต่ละคนก็ต้องได้รับการทดสอบว่าเป็นผู้มีเวทย์ในตัว เมื่อเรียนจบแล้วนักเรียนทุกคนจะได้รับสิทธิพิเศษได้เข้าทำงานในหน่วยราชการต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่ในพระราชวังเอง

                พวกเราก็อายุ 16 ปีแล้วนี่

                เบิร์นร้องออกมาเมื่อนายพลบีวารอฟเล่าจบ

     

                อย่าหาว่าฉันตัดความฝันหรือดูถูกอะไรพวกเธอเลยนะ แต่เด็กที่มาจากเอาท์เครทไม่สามารถเข้าเรียนที่นั่นได้หรอก เพราะเอาท์เครทเป็นดินแดนที่ไร้เวทย์มนต์

                เบิร์นสลดลงทันที แต่แล้วจู่ๆดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้น ชายหนุ่มหันไปสบตากับเพื่อนรักของตนที่กำลังทำสีหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่

     

                แต่ถ้ามีเวทย์มนต์ ก็สามารถเข้าเรียนที่นั่นได้ใช่มั๊ยครับ

                ใช่... แต่พวกเธอไม่มี

                แค่ผมคนเดียวเท่านั้นแหละครับ

                คาซัสสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเบิร์นพูดจบ เขาหันไปสบตากับเพื่อนรักที่มองมาที่เขาอย่างเจ้าเล่ห์

     

                เธอหมายความว่ายังไงกัน

                ก็เพื่อนผมคนนี้...

                ไม่มีอะไรหรอก

                คาซัสเอ่ยขัดเบิร์นเมื่อรู้ว่าเขากำลังจะพูดอะไรออกไป นายพลบีวารอฟมองพวกเขาด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร

     

                เอาล่ะ... ฉันต้องขอตัวก่อนนะยินดีที่ได้รู้จักพวกเธอ แต่เอ๊ะ... ฉันยังไม่รู้ชื่อของพวกเธอเลยนี่

                ผมเบิร์น  สกินเนอร์ฮะ

                เบิร์นตอบพร้อมๆกับที่นายพลพยักหน้า หลังจากนั้นเขาจึงหันไปหาคาซัสที่แสร้งทำเป็นมองทิวทัศน์นอกเรืออย่างกะทันหัน เบิร์นมองเพื่อนของตนทีสลับกับนายพลทีอย่างอึดอัดใจก่อนที่เขาจะตัดสินใจพูดแทน

     

                เพื่อนผมเขาชื่อ คา... คาลีอัส ครับท่านนายพล

                เบิร์นชะงักเล็กน้อยเมื่อเกือบเผลอพูดชื่อจริงของเพื่อนต่อหน้านายทหาร หากแต่ชื่อปลอมก็ยังทำให้นายพลถึงกับสะดุ้ง

     

                ใครเป็นคนตั้งชื่อให้เธอเนี่ย

                นายพลบีวารอฟเอ่ยถามอย่างแปลกใจ เกิดความเงียบขึ้นสักพักจนเบิร์นตัดสินใจว่าเขาจะต้องเป็นผู้ตอบแทนอีกครั้ง

     

                พ่อ...

                ตั้งเอง

                ปากของเบิร์นอ้าค้างเพราะเมื่อจู่ๆคาซัสก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

     

                พวกเราขอตัวก่อน ลาก่อนครับท่านนายพล

                คาซัสกล่าวลานายพลบีวารอฟก่อนที่เขาจะเดินออกมาจากที่ตรงนั้นโดยไม่รอเบิร์นที่กำลังวิ่งตามหลังมาเลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นทหารมียศสูงขนาดไหนเขาก็รู้สึกไม่ชอบใจทั้งนั้นที่จะต้องสนทนาด้วย นายพลบีวารอฟจ้องมองชายหนุ่มทั้งสองที่เดินจากไปอย่างสนใจ โดยเฉพาะคนที่ชื่อเหมือนกับท่านคนนั้น... คาลีอัส

    เริ่มเขียนเมื่อ 3/05/2551

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×