คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 4 : เสียงกระซิบของความมืด
- 4 -
เสียงกระซิบของความมืด
“เซอา...”
หญิงสาวเจ้าของนามเซอาหันมาจ้องคาซัสด้วยแววตาตำหนิปนหวาดกลัว เธอผลักปืนในมือของเขาให้เบี่ยงไปทางอื่นที่ไม่ใช่บุคคลเบื้องหน้า
“ขอโทษผู้พันเรเวิร์ซซะ”
เธอสั่งเขาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยและไม่หันมามองหน้าเขาเลยสักนิด เป็นผลทำให้คนที่ถูกเอ่ยถึงเผยยิ้มเยาะออกมาอย่างสะใจ
“ไม่...พวกมันจะทำลายบ้านหลังนี้”
หญิงสาวผมดำยาวปะบ่าหันมามองหน้าคาซัสเป็นครั้งแรก นัยน์ตาสีเขียวมรกตจ้องมาที่เขาอย่างขอร้อง
“ฉันไม่เข้าใจเธอเลยสักนิดเพราะฉะนั้น ถอยออกไปซะ”
คาซัสดันตัวหญิงสาวออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่สามารถทำให้เธอยอมแพ้ได้ เซอาเปลี่ยนเป้าหมายจากเขาและเดินตรงไปยังผู้พันเรเวิร์ซแทน เธอหยุดอยู่ตรงหน้าเขาก่อนจะหันมาสบตากับคาซัสอีกครั้ง ชายหนุ่มไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะยอมเป็นโล่กำบังให้กับผู้พันนั่น แต่ถ้าคิดอีกที เธออาจจะยังไม่รู้ตัวก็ได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่
“ถอยออกมาเซอา”
“ไม่... ขอโทษผู้พันซะเถอะคาซัส แล้วเราก็ยกบ้านให้เขาไป”
“เธอบ้าไปแล้วเหรอไงเซอา”
เบิร์นที่ยืนนิ่งมานานเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกหลายคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วยพร้อมกับเสียงพึมพำที่เริ่มดังขึ้น
“ผู้พันคะ คุณจะเอาบ้านหลังนี้ไปทำอะไรก็เรื่องของคุณเถอะค่ะ แต่ดิฉันขออะไรอย่างหนึ่งได้มั๊ยคะ”
“ว่ามาสิ”
เสียงที่เปล่งออกมานั้นแสดงให้เห็นว่าคนพูดนั้นอยู่เหนือกว่าและกำลังได้เปรียบอย่างเห็นๆ
“อย่าทำอะไรพวกเราทุกคน ปล่อยพวกเราไปได้มั๊ยคะ”
เสียงหัวเราะที่บ้าระห่ำดังขึ้นทันทีเมื่อสิ้นคำขอของเซอา ทหารทุกคนนับตั้งแต่พลทหารธรรมดาจนถึงผู้พันเรวิร์ซต่างหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างไร้มารยาท มือทั้งสองข้างกุมที่ท้องน้อยราวกับจะขาดใจตายเสียให้ได้ คาซัสมองภาพพวกนั้นอย่างนึกรังเกียจจับใจ
“ผู้พันคะ...”
นัยน์ตาสีเขียวเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้าเมื่อคำตอบที่ได้กลับมาไม่ได้เป็นดังที่เธอคิดไว้ และมันยังมีท่าทีจะเป็นไปในทางที่ตรงกันข้ามกันเสียด้วย
“ถอยออกไปเซอา”
คาซัสย้ำอีกครั้ง บรรยากาศเริ่มกลับสู่สภาพเดิมที่น่าอึดอัดอีกครั้งเมื่อพวกทหารหยุดหัวเราะ
“แต่ว่า...”
“ทำตามที่คาซัสบอกเถอะเซอา ถอยออกมา”
เบิร์นเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อเห็นท่าทีของเพื่อนสาวที่ไม่ทีท่าว่าจะยอมถอยออกมาง่ายๆ
“เซอา เด็กพวกนี้ต้องการเธอนะ”
ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้น และเมื่อเซอาหันขวับไปมองเขาน้ำตาของเธอก็ไหลพรากทันที
“แล้วคาซัสล่ะ พวกนายจะปล่อยให้เขาตายอย่างนั้นเหรอ”
หลายคนถึงกับสะอึกเมื่อได้ยินคำพูดนั้น คาซัสเองก็เช่นกัน นั่นสิ... เขาไม่ได้เป็นที่ต้องการเหมือนกับเซอา ทุกคนยอมปล่อยให้เขาตายโดยไม่มีใครคิดที่จะห้ามเขาเลย แล้วเขาเป็นอะไรในบ้านหลังนี้กันนะ เมื่อคิดเช่นนี้แล้วก็ทำให้ชายหนุ่มอดใจสั่นไม่ได้
“ว่ายังไงล่ะ... ฉันไม่อยากให้ใครในบ้านเราต้องตายทั้งนั้นแหละ”
“เห็นที... พวกเราก็คงต้องบอกว่าเสียใจด้วย
”
ผู้พันเรเวิร์ซเอ่ยขึ้นพร้อมกับปืนสั้นในมือขวาของเขาที่มาจ่ออยู่ที่ด้านหลังศีรษะของเซอาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ คาซัสพลาดไปเมื่อจิตใจของเขากำลังสับสน เขากัดฟันอย่างโกรธจัด โกรธทั้งตัวเองและผู้พันนั่น
“... เพราะพวกเธอจะต้องตายกันทุกคน”
“เซอา!”
ชายหนุ่มคนที่ทำให้เซอาน้ำตาไหลวิ่งพรวดพราดออกมาจากกลุ่มของเด็กๆโดยไม่มีใครคาดคิด ปืนนับสิบเปลี่ยนเป้าหมายจากคาซัสไปที่ชายหนุ่มผู้นั้นทันที
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!!!
เสียงลูกกระสุนปืนนับสิบนัดถูกยิงออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย มันพุ่งเข้าใส่ร่างของชายหนุ่มพร้อมกันทำให้เขาต้องหยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมด ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจก่อนที่ร่างทั้งร่างจะทรุดลงกับพื้น ตามรูเล็กๆบนเสื้อผ้าของเขามีเลือดสีแดงค่อยๆไหลออกมาอย่างเชื่องช้า
“กีรอฟ!!!”
ท่ามกลางความตกใจของทุกคน เซอากรีดร้องออกมาสุดเสียงก่อนที่จะพุ่งเข้าไปหาชายหนุ่มที่นอนหมดสภาพอยู่แทบพื้นโดยที่ไม่สนใจปืนที่กำลังจ่อศีรษะของตนเลยสักนิด
“ไม่นะกีรอฟ อย่านะ... อย่าหลับนะ พูดกับฉันสิ”
เซอากรีดร้องออกมาเหมือนคนเสียสติ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าของเธอหยดลงกระทบเข้ากับร่างของกีรอฟที่นอนแน่นิ่งอยู่บนตักเธอ เธอพยายามเขย่าเขาเพื่อเรียกเขากลับมา
“เซอา...”
จู่ๆเสียงกระซิบแผ่วเบาของกีรอฟก็ดังขึ้นท่ามกลางเสียงโวยวายของเซอาราวกับปาฏิหาริย์
“กีรอฟ! นายทำให้ฉันตกใจ”
“ยะ...อย่าพึ่งเซอา ฟะ... ฟังที่ฉันพูด...”
“อะไร นายจะพูดอะไร”
กีรอฟพยักหน้าเล็กน้อยทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่เพื่อเป็นสัญญาณบอกให้เซอาเขยิบเข้ามาใกล้เขาให้มากขึ้น เซอาก้มหัวลงจนเกือบแนบกับริมฝีปากของเขาและตั้งใจฟัง
“อย่าดื้อ... ทำตามที่คาซัสบอก”
“ไม่นะกีรอฟ...”
“อย่าเถียง...ฟังฉันนะ พวกมันไม่มีทางปล่อย หะ... ให้เราเอาเรื่องชั่วๆของพวกมันไปบอกกับทางการหรอก...มะ... มันจะฆ่าทุกคนและฉัน... ”
“กีรอฟ...”
“และฉัน...”
กีรอฟเน้นเสียงให้หนักแน่นขึ้นเมื่อเซอาพยายามที่จะขัดการพูดของเขา
“...ไม่มีวันปล่อยให้พวกมันทำอะไรเธอ ดะ... เด็ดขาด”
เสียงของกีรอฟกระตุกหายไปเมื่อเขาพยายามที่จะพูดต่อ เซอาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“ฉันเกลียดการล่ำลาที่สุด ตายยากตายเย็นจริงๆนะแก”
ท่ามกลางความโศกเศร้าและสูญเสีย ผู้พันเรเวิร์ซชี้ปืนสั้นไปที่เซอาและกีรอฟอย่างไม่รอช้า หากแต่การกระทำนั้นก็ไม่อาจรอดพ้นจากสายตาของใครบางคนที่กำลังโกรธจัด คาซัสจ่อปากกระบอกปืนไปที่ผู้พันเรเวิร์ซในจังหวะที่ไม่มีใครสังเกตเห็น และ...
เสียงปืนก็ดังขึ้นอีกรอบ!
ผู้พันเรเวิร์ซเบิกตากว้างด้วยความตกใจ มือขวาของเขามีเลือดไหลออกมาเพราะการปะทะของกระสุนปืน ปืนสั้นในมือของเขาตกลงพื้นทันทีเมื่อมือเจ้ากรรมโดนรอบสังหารก่อนที่จะได้ใช้การ
“แก... ยิงมันซะ ยิงพวกมันให้ตายให้หมด”
ผู้พันหันมาจ้องคาซัสด้วยสายตาอาฆาตก่อนที่จะสั่งให้ลูกน้องทั้งหมดปลิดชีวิตของคนในห้องนี้ ทุกคนพากันวิ่งหนีกันอย่างอลม่านไปที่ประตูบานใหญ่ซึ่งเป็นทางออกทางเดียวเท่านั้น แต่ทางออกทางเดียวนั้นก็ถูกปิดตายไว้ด้วยแรงของชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่อีกฝากหนึ่งของประตู ซึ่งถูกสั่งไว้เป็นอย่างดีว่า ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรก็ห้ามเปิดออกเด็ดขาด นอกจากภายในห้องโถงนี้จะมีแต่ความเงียบแล้วเท่านั้น
“เด็กกำพร้าอย่างแกบังอาจมายิงฉันอย่างนั้นเหรอ อย่าหวังเลยว่าพวกแกจะหนีออกไปได้”
นายทหารสองคนวิ่งเข้ามาประชิดตัวคาซัสและยึดปืนในมือของเขาไปโดยที่เขาไม่ได้ขัดขืนเลยแม้แต่น้อย
“ฉันจะฆ่าแกเอง”
ผู้พันเรเวิร์ซเดินตรงเข้ามาหาคาซัสด้วยความหื่นกระหายในการฆ่าและความเคียดแค้นอย่างสุดใจ เขาหวดกำปั้นลงไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มสองทีซ้อนด้วยความรวดเร็วและรุนแรง แต่คนที่ถูกกระทำนั้นก็ยังยืนเฉย ใบหน้าก้มลงมองที่พื้นอย่างไร้จุดหมาย
“เป็นอะไรไปล่ะเกิดกลัวขึ้นมาแล้วเหรอไง เงยหน้าขึ้นมามองฉันเดี๋ยวนี้นี่เป็นคำสั่ง”
ผู้พันตวาดลั่นด้วยน้ำเสียงที่มีอำนาจตามฉบับของคนชอบออกคำสั่ง หากแต่คาซัสก็ยังคงยืนเฉยราวกับไม่รู้สึกใดๆทั้งสิ้น และมันก็ยิ่งสร้างความโมโหให้กับคนตรงหน้ายิ่งนัก
“ตายซะเถอะแก...”
ผู้พันเรเวิร์ซเปล่งเสียงออกมาด้วยความยากลำบากเพราะความโกรธที่พยายามข่มเอาไว้ มือข้างที่ไม่ได้ถูกยิงเอื้อมไปกระชากปืนยาวมาจากนายทหารคนหนึ่งโดยไม่ขออนุญาต ปลายกระบอกปืนจี้ติดเข้ากับศีรษะของชายหนุ่มเบื้องหน้าอย่างประสงค์ร้าย
“เฮ้ยยยยย”
จู่ๆนายทหารสองคนที่ล็อคตัวคาซัสเอาไว้ก็ร้องลั่นขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ พวกเขาปล่อยมือออกจากชายหนุ่มและจ้องมองไปที่เขาด้วยความหวาดระแวง ก่อนที่จะหันมาจ้องหน้ากันเองอีกทีด้วยความงุนงงปนสงสัย เมื่อสักครู่... เหมือนมีคลื่นพลังไฟฟ้าจากที่ไหนสักแห่งวิ่งผ่านร่างกายของเด็กกำพร้านั่นพุ่งตรงมายังพวกเขาจนพวกเขาไม่สามารถจับเนื้อต้องตัวเด็กนั่นได้
“ปล่อยมันทำไม”
ผู้พันตวาดลั่นก่อนจะจ้องมองไปยังคนที่ถูกพาดพิงถึง ชายหนุ่มตรงหน้ายืนแน่นิ่งราวกับรูปปั้น ใบหน้าของเขาก้มลงมองไปยังพื้นห้องโถงราวกับโดนแรงดึงดูดดูดเอาไว้ แขนทั้งสองข้างห้อยลงแน่นิ่งอยู่ข้างลำตัวราวกับคนไม่ได้สติ หรือว่ามันจะสลบไปแล้ว เป็นไปไม่ได้! ถ้าเช่นนั้นมันจะยังยืนอยู่ได้ยังไงกัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นผู้พันเรเวิร์ซจึงเอื้อมมือไปข้างหน้าหมายจะผลักที่ไหล่ของชายหนุ่มเพื่อพิสูจน์ว่าเขายังมีสติอยู่
หมับ!!!
และแล้วผู้พันเรเวิร์ซก็ต้องเบิกตากว้างพร้อมกับสะดุ้งเฮือกอย่างตกใจ เมื่อมือข้างที่ยื่นออกไปนั้น ถูกคว้าหมับเข้าด้วยมือของคาซัสที่ยังคงยืนก้มหน้าอยู่ ‘หนอยย หลอกให้ฉันเข้าไปหาอย่างนั้นเหรอ’
“ฉันไม่มีอารมณ์มาล้อเล่นกับแกหรอกนะ ไอ้พวกขยะ อ๊ะ...อั๊ก อ๊ากกกกกกกก”
เสียงร้องดังลั่นของผู้พันเรเวิร์ซเรียกความสนใจของทุกคนให้หันมามองที่เขาเป็นตาเดียว ทั้งพวกทหารที่วุ่นอยู่กับการต้อนพวกเด็กๆให้อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม รวมทั้งพวกเด็กเองที่หยุดวิ่งเอาเสียดื้อๆและยอมให้พวกทหารจับ
“แก!!! อ๊ากกก ปะ...ปล่อยสิวะ”
ใบหน้าของผู้พันบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บที่ใครมองก็รู้ได้เลยว่าทรมานขนาดไหน มือข้างที่บาดเจ็บของเขาถูกมือหนาของคาซัสบิดจนเป็นเกรียวอย่างที่แขนคนไม่น่าจะหมุนได้ถึงขนาดนั้น กระดูกของเขาส่งเสียงดังกรอบแกรบออกมาอย่างน่าหวาดเสียวเกรงว่าคงจะหักในไม่ช้านี้ ผู้พันเรเวิร์ซพยายามที่จะสะบัดมือให้หลุดอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะแรงของเจ้าของมือที่ทำร้ายเข้านั้นมีมหาศาลเสียเหลือเกิน
“พวกแกยืนเฉยอยู่ทำไม ฆ่าไอ้เด็กนี่ทิ้งซะ!!!”
พวกทหารที่ยืนอึ้งอยู่นานพลันสะดุ้งเมื่อรู้สึกตัว ทุกคนยกปืนขึ้นเพื่อสังหารศัตรูตรงหน้าที่กำลังทำร้ายหัวหน้าของตนอยู่ แต่...
“แย่แล้ว ทำไมถึงยิงไม่ได้วะ!”
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
นายทหารหันมาสบตากันอย่างงุนงงเมื่อจู่ๆปืนของพวกเขาก็ไร้สมรรถภาพขึ้นมาเสียเฉยๆ ทั้งๆที่ด้านในก็บรรจุลูกกระสุนจนเต็มแล้ว แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเหนี่ยวไกสักกี่ครั้งก็ไม่มีลูกกระสุนสักนัดพุ่งออกมาเลย
“นี่มันบ้าอะไรกันวะ”
ผู้พันเรเวิร์ซร้องออกมาด้วยความหวาดวิตก แต่เมื่อจู่ๆความเจ็บปวดทรมานที่มือของเขาค่อยๆหายไปทำให้เขาหันกลับมาสบตากับคนที่อยู่เบื้องหน้าที่เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขาเช่นกัน
“ว้ากกกกกกก แก!!!”
ผู้พันเรเวิร์ซสะบัดข้อมือของตนเองอย่างแรงจนสามารถหลุดออกมาจากการจับกุมได้ เขาวิ่งพรวดพราดออกจากตรงนั้นทันทีด้วยความหวาดกลัว สีหน้าของเขาซีดเผือดเหมือนคนเป็นไข้เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาพึ่งจะได้เห็นมา
“ปีศาจ!!!”
ผู้พันตะโกนลั่นก่อนที่จะรีบวิ่งหนีไปทางประตูบานใหญ่อย่างสุดชีวิตท่ามกลางสายตาที่งุนงงของทุกคน เขาเคาะประตูอย่างบ้าคลั่งโดยที่ไม่สนใจแผลที่มือของตัวเองที่เริ่มทรุดหนักขึ้นเพราะแรงกระแทก นายทหารหลายคนวิ่งไปหาเขาด้วยความสงสัย แต่แล้วคำถามของพวกเขาก็เริ่มจะได้รับคำตอบ เมื่อจู่ๆ...
บรรยากาศภายในห้องโถงเริ่มผิดปกติ อากาศที่เย็นสบายในยามเช้ากลับกลายเป็นร้อนวูบวาบขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ยิ่งไปกว่านั้น... ทุกคนดูเหมือนจะเริ่มรู้สึกเหนื่อยมากกว่าปกติทั้งๆที่ยืนอยู่เฉยๆ ผู้พันเรเวิร์ซถึงกลับเข่าอ่อนลงไปกองอยู่ที่พื้น ใช้ประตูเป็นที่พักพิงอย่างเหนื่อยอ่อน
“คาซัส...”
เบิร์นวางร่างของเอลิสลงกับพื้นพร้อมกับถลาไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อคว้าร่างของเพื่อนรักไว้
“เกิดอะไรขึ้นไม่รู้ พวกเรารีบไปกันเถอะ”
เบิร์นคว้าเข้าที่มือของคาซัสพร้อมกับออกแรงลากให้เขาตามมา แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อจู่ๆเขาก็สัมผัสได้ถึงสิ่งปกติบางอย่างที่มือของคาซัส อะไรบางอย่างกำลังดิ้นพล่านไปมาอยู่ในมือนั้น
“คาซัส... นี่มั...”
เสียงขอเบิร์นขาดหายไปทันทีเมื่อเขาหันไปสบตากับเพื่อนรัก ฉับพลันเขาก็เผลอปล่อยมือคาซัสออกด้วยความตกใจ และสิ่งที่เขาได้เห็นก็ทำให้เขาแทบหมดสติ
“คาซัส เกิดอะไรขึ้นกับแก”
เบิร์นเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแต่สิ่งที่เขาได้กลับมาก็ทำให้เขาแทบหมดสติซ้ำสองไปเสียตรงนั้น เมื่อจู่ๆคาซัสก็เปล่งเสียงออกมา แต่ภาษาที่เขาใช้พูดออกมานั้นชายหนุ่มไม่สามารถเข้าใจได้แม้แต่น้อย และยังดวงตานั่น... ตาที่เคยดำสนิทบัดนี้ได้กลับกลายเป็นสีแดงฉานไปเสียแล้ว
คาซัสเผยยิ้มที่มุมปากที่ชวนให้รู้สึกเยือกเย็นจนน่าขนลุก หลังจากที่เขาพูดอะไรสักอย่างที่ฟังไม่เข้าใจเสร็จสิ้นแล้ว ชายหนุ่มหันหลังให้กับเบิร์นก่อนที่จะค่อยๆย่างเท้าไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า จุดหมายคือพวกทหารเป็นแน่ ส่วนพวกทหารที่เริ่มสังเกตเห็นคาซัสถึงกับช็อกไปตามๆกัน พวกเขาพยายามตะเกียกตะกายเคาะประตูและทำทุกวิถีทางเพื่อเปิดมันออกเฉกเช่นที่หัวหน้าของพวกเขาเคยทำแต่ไม่เป็นผล เด็กในบ้านเด็กกำพร้าทุกคนมองไปยังภาพเบื้องหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนที่บางคนถึงกับเข่าอ่อนและเป็นลมไปเลย
เสียงหวีดหวิวของลมดังขึ้นท่ามกลางเสียงร้องตะโกนของเหล่าทหาร ต้นเสียงดังมาจากฝ่ามือของชายหนุ่มที่กำลังสาวเท้าเข้าไปหาพวกเขาอย่างเชื่องช้าจนน่าใจหาย และเสียงนั่นก็ดังขึ้นเรื่อยๆพร้อมๆกับสิ่งของรอบๆตัวที่เริ่มสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว
‘ขอ... ให้ข้า’
เสียงแปลกประหลาดที่ไม่มีใครฟังออกดังออกมาพร้อมกับสายลมที่แสนน่าสะพรึงนั่น เสียงนั่นแหบแห้งราวกับไม่ใช้งานมาเป็นเวลานาน
“งั้นก็เอาไปสิ”
คาซัสยกมือซ้ายของตนไปเบื้องหน้าพร้อมกับที่เขาพูดอะไรบางอย่างออกมาเป็นภาษาที่เขาและเสียงแหบแห้งนั่นสามารถเข้าใจกันได้เพียงแค่สองคนเท่านั้น ก่อนที่เสียงนั่นจะหัวเราะออกมาด้วยความปลื้มปิติปนดีใจอย่างสุดซึ้ง
‘ทำตามที่ใจท่านอยากเถิด... นายท่าน’
สิ้นเสียงอันแหบแห้งนั่น อะไรบางอย่างก็พลันปรากฏขึ้นที่มือของชายหนุ่ม สิ่งของมากมายรวมไปถึงซากปรักหักพังต่างๆ ค่อยๆลอยตัวขึ้นอย่างช้าๆเหนือพื้นดิน สร้างความตกใจให้กับทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ยิ่งนัก
กลางฝ่ามือของคาซัสนั้นเอง เนื้อของชายหนุ่มกำลังถูกแหวกออกด้วยอะไรบางอย่างที่พลุกพล่านอยู่อีกด้านหนึ่งของฝ่ามือ และเมื่อรูนั้นขยายตัวให้ใหญ่ขึ้น มิติมืดก็ปรากฏขึ้นแก่สายตาของทุกคน เสียงร้องของทหารดังขึ้นกว่าเดิมเป็นหลายเท่าตัวเมื่อเริ่มรับรู้ถึงชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตนเอง ผู้พันเรเวิร์ซมองมือนั่นด้วยความรู้สึกหวาดกลัวอย่างจับใจ แต่เขากลับเปล่งเสียงร้องออกมาไม่ได้แม้สักนิด ตาของเขาเบิกกว้างจนลูกตาดำเหลือกขึ้นไปข้างบนจนเหมือนว่าเขากำลังจะช็อก
“เบิร์น... นั่นมันอะไร”
เซอาเอ่ยถามเบิร์นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือที่ไม่ใช่มาจากการร้องไห้ หากแต่มันมาเพราะความหวาดกลัวต่างหาก
“ไม่รู้...”
น้ำเสียงของเบิร์นฟังดูเลือนลอยราวกับคนไม่มีสติ เพราะภาพเบื้องหน้าทำให้เขาขาดสติไปเสียแล้ว
“สังเวยวิญญาณชั่วๆของพวกเจ้าให้กับสหายของข้าเถิด”
คาซัสเอ่ยออกมาพร้อมกับที่มิติมืดในมือของเขากำลังขยายออกมาเป็นวงกว้าง รัศมีของมันใหญ่เกินฝ่ามือของเขาเป็นเท่าตัว สิ่งของต่างๆที่กำลังลอยล่องอยู่เหนือพื้นดินสั่นสะเทือนอีกครั้งก่อนที่จะพร้อมใจกันพุ่งตรงมายังมิติมืดกลางฝ่ามืออย่างรวดเร็ว และแทนที่ของพวกนั้นจะพุ่งชนเข้ากับฝ่ามือของชายหนุ่ม มันกับลอยละลิ่วเข้าไปในมิติมืดนั้นราวกับด้านในเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ที่รองรับพวกมันได้
“อ๊ากกกกกกกกก”
ทหารนายหนึ่งกรีดร้องอย่างโหยหวนราวกับถูกอะไรบางอย่างทรมาน ร่างของเขาผุดลุกขึ้นยืนอย่างฉับพลันจนน่าแปลกใจ ดวงตาของเขาเบิกกว้างเช่นเดียวกันกับปากของเขา ร่างของเขาลอยขึ้นเนื้อพื้นดินท่ามกลางสายตาของทุกคน และในที่สุดเขาก็หยุดร้อง ร่างของเขาหล่นลงกระแทกกับพื้นโดยฉับพลัน ตายสนิทและไร้ลมหายใจ แต่ทว่าดวงตาและปากก็ยังคงเบิกกว้างอยู่เช่นเดิม
เสียงกรีดร้องดังขึ้นระงมจากพวกทหารที่เริ่มลอยตัวขึ้นเหนือพื้นดินและตกลงมาตายสนิท เส้นใยบางๆสีเทาถูกกระชากออกจากร่างของพวกเขาด้วยมือที่มองไม่เห็น มันถูกดูดกลืนเข้าไปในมิติมืดนั่นอย่างรวดเร็วและไม่มีทางที่มันจะกลับออกมาได้
เด็กในบ้านกำพร้าถึงกับตัวสั่นและใบหน้าขาวซีด บางคนก็หมดสติไปเรียบร้อยแล้วเมื่อร่างของผู้พันเรเวิร์ซลอยตัวขึ้นจากพื้นเป็นรายสุดท้าย เสียงกรีดร้องที่ฟังดูโหยหวนและทรมานดังออกมาจากปากของเขาก่อนที่วิญญาณของเขาจะถูกกระชากออกไปและตายสนิทก่อนที่ร่างจะร่วงลงสู่กองซากศพของเหล่าทหารที่ตายไปก่อนหน้านั้น
เสียงหวีดหวิวของลมหายไปพร้อมๆกับมิติมืดที่ค่อยๆสลายไปเช่นกัน จนในที่สุดฝ่ามือของคาซัสก็หลงเหลือเพียงแค่รอยสัญลักษณ์ที่แปลกประหลาดเท่านั้นเมื่อเนื้อหนังของเขากลับมาประสานกันดังเดิม ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมือกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว ดวงตาสีดำกลับมาอีกครั้งและฉายแววงุนงงปนประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อสังเกตเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นภายในห้องนี้
“นี่มัน... นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
คาซัสหันไปทางพวกเด็กๆที่ยืนรวมกลุ่มกันอยู่ที่มุมห้อง คนพวกนั้นสะดุ้งสุดตัวเมื่อคาซัสหันมาโดยเฉพาะเซอาที่หมดสติไปทันที
“ฉัน... ฉันทำใช่มั๊ย”
ชายหนุ่มถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาไม่อยากจะเชื่อต่างหากว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ เขาคิดว่ามันเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น คาซัสก้มลงมองที่มือซ้ายของตัวเองด้วยแววตาว่างเปล่าก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นหวาดกลัว เขาเงยหน้าขึ้นมองทุกคนอีกครั้งและก็ต้องรู้สึกแย่หนักกว่าเดิมเป็นหลายเท่าเมื่อได้สบตากับสายตาทุกคู่ที่มองกลับมาอย่างหวาดกลัว
“อย่างน้อย... พวกเราก็ไม่ต้องไปไหน”
ชายหนุ่มพูดเสียงสั่นก่อนที่จะหันหลังให้ทุกคน เขาเดินเหยียบกองซากศพของพวกทหารด้วยความรู้สึกแปลกๆ ไม่ใช่ความกลัวและไม่ใช่ความสงสารแต่อย่างใด เขากำมือทั้งสองข้างแน่นเมื่อรับรู้ได้ว่าความรู้สึกนั่นคืออะไร... ความสุข
คาซัสทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอนทันทีที่เขาเปิดประตูห้องนอนของตัวเองเข้ามา เขาเพิ่งเดินผ่านศพห้าศพของชายร่างใหญ่ที่ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของประตูห้องโถงก่อนที่เขาจะเดินขึ้นมา เขาไม่รู้เลยซะด้วยซ้ำว่ามีคนพวกนั้นอยู่ แล้วทำไมเขาถึงฆ่าพวกมันได้ล่ะ หรือเป็นเพราะ...
“เพราะเจ้าสินะ...”
เขาก้มลงมองมือซ้ายของตัวเองด้วยความรู้สึกตื่นเต้น แล้วทำไมเขาถึงรู้สึกแบบนี้นะ ในเมื่อเขาพึ่งจะฆ่าคนไปหยกๆ ไม่ใช่แค่คนเดียวด้วย
“ชิ่งหนีออกมาก่อนเลยนะแก ข้างล่างเขากำลังเก็บกวาดกันอยู่แน่ะ”
เบิร์นเดินเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เขาเดินเข้ามานั่งข้างๆคาซัสบนเตียงก่อนที่ทั้งสองจะสบตากันโดยไม่พูดอะไร
“เยี่ยมมาก”
เบิร์นเอ่ยขึ้นหลังจากที่ตกอยู่ในความเงียบมานาน เขาเอื้อมมือไปตบไหล่เพื่อนอย่างชื่นชม แต่คาซัสกลับจ้องเขาอย่างประหลาดใจ
“รู้มั๊ย... ฉันเคยคิดอยู่หลายครั้งเลยว่าแกมันไม่ใช่คนธรรมดา”
“ฉัน... เป็นอะไร”
ปากของคาซัสเอ่ยถามออกไปทั้งๆที่ในใจเขาไม่ได้อยากจะรู้เลย
“ทำไมต้องทำเสียงสั่นด้วยวะ รู้มั๊ยว่าแกน่ะเท่ห์มากเลย”
“เสียงแกก็สั่น”
“เอ่อ... เออใช่ ทั้งเท่ห์ทั้งน่ากลัว”
คาซัสเบือนหน้าหนีจากเพื่อนรัก คนสุดท้ายที่เขาไม่อยากจะให้กลัวเขาเลยก็คือผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขานี่แหละ แต่มันสายไปแล้ว...
“แกกำลังคิดว่าฉันกลัวแกใช่มั๊ย” เบิร์นเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้
“แล้วใช่มั๊ยล่ะ”
“หนอยแน่ะ แกคิดว่าแกเก่งหน่อยแล้วฉันจะต้องกลัวแกอย่างนั้นเหรอ”
“ก็แกพูดเอง...”
โป๊ก!!!
และโดยที่คาซัสคาดไม่ถึง เบิร์นกำมือแน่นและเขกศีรษะของเขา ทำให้เขาต้องยกมือขึ้นกุมศีรษะตัวเองทันที
“อย่าได้ใจนักเลย ฉันไม่กลัวแกเลยสักนิด”
“แก...”
“ไม่ต้องพูดมาก ฉันจะลงไปข้างล่างก่อนแล้วแกต้องตามลงไปด้วย เข้าใจมั๊ย อย่าชักช้าล่ะ”
เบิร์นกล่าวทิ้งท้ายไว้ก่อนที่ตัวเขาจะเดินออกจากห้องไปทิ้งให้คาซัสลูบศีรษะอย่างมึนงง และในที่สุดเขาก็ยิ้มออกมา ถึงทุกคนจะหวาดกลัวเขามากแค่ไหน แต่ขอแค่มีเพียงหมอนั่นคนเดียวเท่านั้น เขาก็ไม่สนใจอะไรแล้ว
คาซัสลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะเดินไปที่ประตูห้อง และจู่ๆเขาก็ต้องหยุดชะงักเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ ชายหนุ่มเดินกลับไปที่เตียงอีกครั้งพร้อมกับหยิบของบางอย่างขึ้นมาจากข้างเตียง
‘ต่อไปนี้ต้องใส่ตลอด’
เขาคิดในใจก่อนจะหยิบถุงมือนั่นขึ้นมาใส่ปิดบังรอยสัญลักษณ์นั่นเอาไว้เหมือนเดิม
เริ่มเขียนเมื่อ 30/04/2551
ความคิดเห็น