คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 3 : ความฝันและผู้บุกรุก
- 3 -
ความฝันและผู้บุกรุก
เสียงอะไรน่ะ... น่ารำคาญชะมัด ใครมาร้องเพลงตอนดึกดื่นแบบนี้กัน แถมยังร้องได้แย่สุดๆอีก คาซัสกำลังเดินกลับบ้านด้วยสภาพที่เหนื่อยล้า ทันทีเขาทำงานพิเศษเสร็จ เขาก็รีบมุ่งหน้ากลับบ้านเพื่อพักผ่อนทันที แต่สิ่งที่คอยกวนใจเขามาตลอดทางนี่สิ
“ใครน่ะ...”
ชายหนุ่มเอ่ยถามออกไปอย่างอดรำคาญไม่ได้ แต่บนถนนสายนี้ก็มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่ หรือใครคิดจะเล่นตลกกับเขากันนะ
“ออกมาได้แล้ว”
เขาทำทีเป็นขู่เสียงเข้มและหยุดเดิน สายตาที่เฉียบคมกวาดตามองไปรอบๆตัวอย่างเงียบเชียบ แต่เขาก็ไม่พบใครที่คาดว่าน่าจะมีเลย แล้วเสียงเพลงนั่นมาจากไหนกันล่ะ มันเป็นเสียงเพลงที่ไม่น่าฟังที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมาเลย เมื่อฟังแล้วมันทำให้เขารู้สึกง่วงนอนและปวดแก้วหูในเวลาเดียวกัน
“พี่ชาย...”
เสียงใสๆที่รู้สึกคุ้นเคยดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขา ชายหนุ่มรีบหันขวับไปหาต้นเสียงทันทีด้วยความตกใจ
“เธอ... มาทำอะไรที่นี่”
เด็กผู้หญิงที่อยู่ในห้องที่แสนจะทรมานนั่น คนที่เขามอบดอกไม้ประหลาดนั่นให้ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียวในตอนนี้ได้ล่ะ
“หนูมาลาค่ะ”
“มาลาเหรอ...”
“ค่ะ... หนูอาจจะไม่ตื่นอีกแล้ว...”
เด็กน้อยส่งยิ้มที่แสนจะเศร้าสร้อยมาให้เขา มือทั้งสองข้างของเธอกุมอะไรบางอย่างเอาไว้อย่างแนบแน่น และสิ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่เขารู้จักมันดี
“พี่ชายรู้ใช่มั๊ยคะ”
“อืม...เธอจะไปแล้วใช่มั้ย”
เด็กน้อยพยักหน้า เธอยื่นสิ่งที่อยู่ในมือของเธอให้กับเขา
“ขอบคุณมากค่ะที่ช่วยปลดปล่อยหนูออกมาจากที่นั่นและสิ่งชั่วร้ายที่พวกเขาทำกับหนู”
“ฉันไม่คิดว่าเธอจะไปเร็วขนาดนี้”
“หนูก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน... แต่ยังไงซะหนูก็ต้องไปอยู่ดี”
น้ำตาใสๆเอ่อล้นที่ดวงตาของเด็กน้อยก่อนที่มันจะค่อยๆไหลลงมาตามใบหน้าเนียนใส เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาโดยที่ไม่ยอมกระพริบตาแม้แต่น้อย ราวกลับกลัวว่าเขาจะหายไปต่อหน้าต่อตาโดยที่เธอคาดไม่ถึง คาซัสยื่นมือไปรับดอกไม้ประหลาดนั่นมาจากเธอ ดอกไม้ที่เขาเคยให้เธอด้วยมือของตัวเอง
“ฉันไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี”
“หนูดีใจค่ะ ดีใจที่ได้พบกับพี่ชาย ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงชั่วเวลาหนึ่งก็ตาม”
“ฉันก็เหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนั้น... หนูคงต้องไปแล้ว”
เด็กน้อยส่งยิ้มให้เขาอีกครั้ง เช่นเดียวกันกับเขาที่ส่งยิ้มตอบกลับไป
“ขอบคุณอีกครั้งสำหรับทุกอย่างค่ะ หนูขอให้พี่ชายโชคดีนะคะ”
“เธอก็เหมือนกัน”
สิ้นคำพูดของเขา แสงสีขาวสว่างๆจ้าก็ปรากฏขึ้น มันสว่างขึ้นรอบๆตัวของเขาและเด็กผู้หญิงคนนั้น คาซัสหลับตาทั้งสองข้างลงเพราะแสงที่เกิดขึ้นนั้นมันสว่างจนเกินที่ดวงตาของเขาจะรับไหว แต่เขาก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงแสงสว่างรางๆที่เล็ดรอดผ่านเปลือกตาของเขาเข้ามา
“ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ชะตากำหนดเถอะนะคะ”
เสียงของเด็กน้อยค่อยๆแผ่วเบาลงจนจางหายไปพร้อมๆกับแสงสว่าง คาซัสรู้ได้ทันทีว่าเมื่อเขาลืมตาขึ้น เด็กน้อยคนนั้นก็คงจะไม่ยืนอยู่ที่เดิมแล้ว
“จริงด้วยสินะ”
และก็เป็นไปอย่างที่เขาคิด แสงสว่างจ้าเมื่อสักครู่ได้พาเด็กหญิงที่น่ารักคนหนึ่งไปพร้อมกับมันด้วยแล้วอย่างไม่มีวันกลับมา แต่บางสิ่งบางอย่างยังคงเหมือนเดิม เสียงเพลงนั่น...
“เด็กคนนั้นไม่ได้เป็นคนร้องหรอกเหรอ”
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเมื่อเสียงเพลงที่แสนกวนใจนั่นยังไม่หายไปสักที เขากวาดตามองไปตามถนนและซอกซอยต่างๆอีกครั้ง นอกจากบรรยากาศที่เงียบสงัดและวังเวงเขาก็ไม่พบอะไรอีก
‘ช่างเถอะ’ คาซัสคิดในใจก่อนจะถอนหายใจออกมา บางทีเมื่อเขาเดินจนถึงบ้านแล้วเสียงเพลงนี่อาจจะหายไปเองก็ได้ ไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะนอนไม่หลับเป็นแน่
“เอาแต่เดินหนีอยู่นั่นแหละ”
เสียงเล็กๆดังขึ้นจนคาซัสต้องหยุดเดินกะทันหัน
“คนขี้ขลาด ทำไมไม่หาข้าให้เจอล่ะ”
เสียงนั่นดังขึ้นอีกครั้ง มันฟังได้อย่างชัดเจนเหมือนกับว่าเจ้าของเสียงกำลังกระซิบผ่านใบหูของเขา
“เธอเป็นใคร”
คาซัสกระซิบผ่านความมืดกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติธรรมดาแต่แฝงไปด้วยความรำคาญใจเล็กน้อย เขาค่อนข้างมั่นใจว่าเจ้าของเสียงที่พูดเมื่อสักครู่นี้ ต้องเป็นคนคนเดียวกับที่ร้องเพลงประหลาดๆนั่น
“เจ้าต้องหาข้าให้เจอก่อนสิ แล้วถึงจะมีสิทธิ์ตั้งคำถาม”
เสียงเดิมตอบกลับมาอย่างตำหนิเล็กน้อย ทำให้ชายหนุ่มที่ยืนอยู่คนเดียวท่ามกลางความมืดส่ายหัวไปมาอย่างหงุดหงิด เขากำลังอยู่ในอาการง่วงนอนเป็นอย่างมาก สิ่งเดียวที่เขาต้องการในตอนนี้ก็คือการนอนหลับ ไม่ใช่การเล่นซ่อนหานี่
“ฉันไม่อยากรู้หรอกว่าเธอเป็นใคร แต่ช่วยเลิกร้องเพลงบ้าๆนี่ทีเถอะ”
สิ้นสุดคำพูด คาซัสก็ก้าวเท้าเดินต่อไปอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เขาไม่ได้ต้องการจะรู้สักหน่อยว่าใครเป็นคนร้องเพลงนั่น แต่ปากมันดันเอ่ยถามไปตามสัญชาตญาณเท่านั้นเอง
“ก็ได้!”
เสียงของคนก่อกวนดังขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างสูงที่คนตรงหน้านั้นไม่มีท่าทีที่จะสนใจอะไรเลยสักอย่าง
“เจ้านี่ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ”
แสงสว่างปรากฏขึ้นวูบหนึ่งตรงหน้าของชายหนุ่ม ฉับพลันก็ปรากฏเป็นร่างเล็กๆของเด็กหญิงคนหนึ่ง แต่งกายด้วยชุดเสื้อคลุมสีแดงเลือดนกที่ยาวจนเรี่ยไปกับพื้นถนน ฮู้ดสีเดียวกันกับเสื้อคลุมถูกเปิดออกเผยให้เห็นใบหน้าใสสว่างที่กำลังบิดเบี้ยวเพราะอารมณ์หงุดหงิด ผมสีฟางที่ส่องสว่างรับกับแสงจันทร์หยักศกเล็กน้อยและสยายยาวจนเกือบจรดพื้น มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาเท้าที่เอวเล็กอย่างมีอารมณ์ นัยน์ตาสีเขียวสดใสจ้องมาที่ชายหนุ่มเบื้องหน้าอย่างเอาเรื่อง
“มาหาว่าเพลงของข้าไม่ได้เรื่องแล้วยังไม่ยอมหาข้าให้เจออีก”
เมื่อร่างเล็กเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่มีทีท่าว่าจะตกใจ หรือ รู้สึกอะไรเลยสักนิดเธอจึงจำเป็นต้องเป็นคนเปิดบทสนทนาซะเอง
“ทำไมฉันจะต้องหาเธอด้วยล่ะ ในเมื่อเธอก็ออกมาหาฉันแล้ว”
คาซัสก้มหน้าลงถามเด็กหญิงที่สูงเพียงแค่เอวของเขาเท่านั้นด้วยใบหน้าเรียบเฉยตามฉบับ ส่งผลให้อารมณ์ของเด็กหญิงร้อนขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
“เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ข้าบอกให้หาก็ต้องหาสิไม่ใช่ต้องรอให้ข้าออกมาหาเจ้าก่อนแบบนี้”
“หาว่าฉันเด็ก แล้วตัวเธอล่ะ”
“หึหึ เห็นข้าอย่างนี้แต่ข้าอายุมากกว่าเจ้าหลายเท่านัก บางทีอาจจะมากกว่าโคตรตระกูลของเจ้าทั้งหมดเลยก็ว่าได้”
เด็กหญิงยืดอกขึ้นเล็กน้อยเพื่ออวดถึงความสำคัญของตนเอง แต่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับเผยรอยยิ้มเยาะออกมาก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำสียงราบเรียบตามเดิม
“เอาเถอะ ว่าแต่เธอมีเรื่องอะไรจะพูดกับฉันฮะ”
“ฉลาดเหมือนกันนี่”
คาซัสเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อมือเล็กๆของเด็กหญิงล้วงเข้าไปในเสื้อคลุมสีแดงเพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง
“เอ๊ะ... หายไปไหน”
เมื่อผ่านไปได้สักพัก ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นได้ถึงใบหน้าของเด็กหญิงที่เริ่มมีเหงื่อเม็ดเล็กเม็ดน้อยผุดขึ้นมา ริมฝีปากเล็กเม้มขึ้นอย่างขัดใจ
“เป็นไปไม่ได้ ก็ราซเป็นคนยัดใส่เสื้อคลุมให้กับมือนี่นา”
“หายไปแล้วเหรอ”
เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นสบตากับคาซัส ชายหนุ่มที่ยืนมองกลับมาอย่างรู้ทัน
“ปะ...เปล่า”
“แล้วเธอล้วงอะไรในเสื้อคลุมนั่นตั้งนานสองนาน”
“เจ้านี่! ข้าจะล้วงอะไรมันก็เป็นเรื่องของข้าไม่ต้องมาตั้งคำถาม”
“ช่างเถอะ...ฉันไม่สนหรอกว่าเธอจะหาอะไร แต่ถ้าเธอมาดักหน้าฉันไว้เพราะต้องการจะล้วงเสื้อคลุมนั่นโชว์ล่ะก็ เห็นทีฉันคงต้องขอตัว”
“ไม่ได้นะ!”
เด็กหญิงตวาดขึ้นจนคาซัสต้องหันมาจ้องหน้าเธอเขม็ง เด็กอะไรเสียงดังเป็นบ้า ตัวก็เล็กแค่นี้เอง
“ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย”
คาซัสยักไหล่ทั้งสองข้างของตัวเองเล็กน้อยเพื่อบอกให้คนตรงหน้าพูดในสิ่งสิ่งอยากจะพูด ประมาณว่า ‘จะพูดอะไรก็รีบพูดเพราะฉันจะรีบไปนอน’
“เอ่อ...คือข้า...”
“มีอะไรก็รีบว่ามา ฉันไม่มีเวลาทั้งคืนมานั่งดูเด็กอย่างเธอเรียกร้องความสนใจหรอกนะ”
“ข้าไม่ใช่เด็ก!!!”
เด็กหญิงนั่นตวาดขึ้นมาอีกครั้ง จนคาซัสต้องยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหูตัวเองเอาไว้ สายตาดุจ้องไปที่เด็กหญิงเบื้องหน้าอย่างตำหนิ
“ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ แต่ถ้าเธอตวาดใส่ฉันอีกล่ะก็อย่าหาว่าฉันไม่เตือน”
น้ำเสียงเยือกเย็นเปล่งออกมาจากปากของชายหนุ่ม ที่ถ้าเป็นคนอื่นก็คงจะกลัวจนหัวหดไปแล้ว แต่เด็กคนนี้กลับไม่ใช่ เธอเงยหน้าสบตากับชายหนุ่มด้วยสายตาที่ดุดันไม่แพ้กัน
“เชอะ... ข้าล่ะเกลียดคนอย่างเจ้าที่สุดเลย เบลล่าบอกข้าแล้วแท้ๆว่าเจ้าน่ะมันทั้งหยิ่งยโส อวดดี แล้วก็บ้าอำนาจ แต่ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นมากกว่านั้นซะอีก”
เด็กหญิงเบือนหน้าหนีจากชายหนุ่มตรงหน้า ก่อนที่จะหันหลังให้เขาแล้วสาวเท้าเดินไปข้างหน้าโดยไม่สนใจคนที่ยืนงงปนรำคาญอยู่ด้านหลังเลยสักนิด
‘ คาซัส...’
เสียงกระซิบแผ่วเบาที่แสนคุ้นเคยดังขึ้นทำลายความเงียบเมื่อเด็กหญิงคนนั้นเดินหายเข้าไปในความมืดโดยที่ไม่หันกลับมามองที่ชายหนุ่มอีก
‘ เกิดเรื่องแล้ว... ไอ้บ้าเอ๊ย’
คาซัสหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาต้นเสียงที่แสนคุ้นเคยนั้น แต่เขาก็ไม่พบใคร แต่แล้วจู่ๆ ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกอะไรบางอย่างดูดเข้าที่ท้องน้อยก็เกิดขึ้นที่ตัวเขา ร่างกายเหมือนถูกกระชากไปข้างหลังอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
“ไอ้บ้าเอ๊ย ฉันนึกว่าแกตายแล้วซะอีก”
ร่างกายของคาซัสกระตุกเล็กน้อยเมื่อเขารู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง สายตาของเขาเหลือบไปเห็นชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มคนหนึ่งนั่งอยู่ทางซ้ายมือ นัยน์ตาสีเขียวมรกตกำลังมองมาที่เขาด้วยความเป็นห่วง
“เกิดอะไรขึ้น”
เสียงแหบแห้งตามประสาของคนที่เพิ่งตื่นนอนดังออกมาจากริมฝีปากได้รูปสีโอรสของคาซัส วิลสัน เส้นผมสีดำอมน้ำเงินยาวระต้นคอของเขายุ่งเหยิงอย่างไม่เป็นทรงแต่ก็ยังคงสภาพของความดูดีเอาไว้ได้ นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องมองไปที่เพื่อนรักอย่างหาคำตอบ ตามมาด้วยคิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากันตามสัญชาตญาณ
“จะเรื่องอะไรซะอีกล่ะ ก็พวกทหารเลวนั่น...”
“พวกมันมากันแล้วเหรอ”
คาซัสเอ่ยขัดขึ้นก่อนจะผลักเบิร์นออกไปให้พ้นทาง ร่างสูงกระโดดลงจากเตียงใหญ่อย่างรวดเร็วก่อนจะมุ่งตรงไปยังตู้เสื้อผ้าใบ ชายหนุ่มควานหาเสื้อผ้าอย่างลวกๆและหยิบมันขึ้นมาเปลี่ยนอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ทันดูซะด้วยซ้ำว่าชุดอะไรเป็นชุดอะไร ประตูตู้เสื้อผ้าถูกปิดอย่างรวดเร็วและรุนแรงตามมาด้วยประตูห้องนอนที่ถูกเปิดขึ้น ร่างสูงทั้งสองร่างออกวิ่งพรวดพราดไปยังระเบียงทางเดินอย่างไม่รอช้า
เสียงเอะอะดังขึ้นเมื่อพวกเขากำลังวิ่งอยู่บนระเบียงทางเดินชั้นสามของบ้านเด็กกำพร้า ร่างสูงทั้งสองออกแรงวิ่งไปข้างหน้าเร็วขึ้นเมื่อได้ยินเสียงขว้างปาข้าวของ และเสียงร้องไห้ดังมาจากห้องโถงใหญ่ชั้นล่าง
“อย่าเอาของฉันไปนะ...”
“ตุ๊กตาของหนู ฮือๆๆ”
“ทำอะไรน้องผมน่ะ”
เมื่อคาซัสและเบิร์นก้าวข้ามบันไดสามขั้นสุดท้ายลงมาอย่างเร่งรีบ พวกเขาก็รีบผลักบานประตูบานใหญ่ให้เปิดออกทันที เป็นผลทำให้นายทหารสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่อีกด้านหนึ่งของประตูหันปลายกระบอกปืนยาวมาทางพวกเขาโดยอัตโนมัติ
“พวกเราเป็นคนของที่นี่”
เบิร์นเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ที่มาจากความกลัวผสมผสานเข้ากับความโกรธ
คาซัสกวาดสายตามองไปรอบๆห้องโถงด้วยความโกรธเช่นกัน ข้าวของในห้องนี้ถูกพวกทหารหลายสิบคนทำลายเสียจนหมดไม่เหลือเค้าโครงเดิมให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ของเล่นเด็กๆก็ยังถูกขว้างปาจนแตกละเอียด ยับเยินไปหมด ฝาผนังยังถูกกรีดจนเป็นรอยคมมีด แม้กระทั่งเด็กบางคนก็ถูกคนพวกนี้ทำร้ายจนบาดเจ็บ
“คนของที่นี่อย่างนั้นเหรอ งั้นพวกแกก็คงจะเก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้วสินะ”
ทหารนายหนึ่งในจำนวนคนที่จ่อปากกระบอกปืนมาทางพวกเขาเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มเยาะบนใบหน้า คาซัสหันขวับไปทางผู้ชายคนนั้นทันที
“ทำไม แกมีปัญหาอะไรกับฉันฮะ ไอ้เด็กกำพร้า”
นายทหารคนนั้นลดปืนลงก่อนจะเดินตรงมายังคาซัสและเบิร์นด้วยท่าทางหึกเหิม ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยและเหยียดหยาม เบิร์นมองไปที่เพื่อนของเขาสลับกับนายทหารคนนั้น ต่อให้มองยังไงปืนในมือของทหารคนนั้นก็น่ากลัวกว่าเพื่อนของเขาเป็นไหนๆ
“ปล่อยนะ เอามีลคืนมา”
เสียงเด็กผู้หญิงกรีดร้องดังขึ้นเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคนให้หันไปมอง รวมถึงคาซัสและนายทหารคนนั้นด้วย
“ไอ้เด็กบ้าเอ๊ย... ปล่อยสิวะ”
ทุกคนมองภาพเบื้องหน้าอย่างหวาดเสียวเมื่อเด็กผู้หญิงคนหนึ่งพยายามสุดฤทธิ์ยื้อแย่งตุ๊กตาตัวเก่าๆกับนายทหารคนหนึ่ง ที่มือข้างขวากำตุ๊กตาเอาไว้และพยายามจะฉีกมันทิ้ง ส่วนมือข้างซ้ายของเขาถือปืนยาวเอาไว้แน่น
“โธ่โว้ยยยย”
ในชั่วพริบตาเดียวทหารคนนั้นก็เหวี่ยงตุ๊กตาในมือทิ้งอย่างไม่ใยดี พร้อมๆกับที่เขาฟาดด้ามกระบอกปืนไปที่ศีรษะของเด็กผู้หญิงเต็มแรง เด็กนั่นทรุดตัวลงกับพื้นและนอนสลบแน่นิ่งอยู่ข้างๆตุ๊กตาของตนเองทันที เลือดสีแดงสดค่อยๆไหลซึมออกมาท่ามกลางความตกใจของทุกคน
“เอลิส!!!”
เบิร์นตะโกนดังลั่นก่อนที่ร่างของเขาจะถลาไปหาเด็กคนนั้น เขาค่อยๆช้อนร่างของเด็กน้อยนามว่าเอลิสขึ้นมาและเอนตัวเธอเข้าสู่อ้อมแขน นายทหารคนที่ก่อเรื่องนั้นหัวเราะออกมาอย่างสะใจก่อนที่เขาจะกระหน่ำฝีเท้าใส่เบิร์นที่เข้ามาสอดอย่างไม่ยั้ง เบิร์นดึงเอลิสให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขาแน่นขึ้นเพื่อปกป้องเธอไม่ให้โดนลูกหลง
“ไอ้บ้าเอ๊ย อย่าทำเขานะ”
เด็กชายคนหนึ่งซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเอลิสตะโกนลั่น ก่อนที่มือเล็กๆทั้งสองข้างของเขาจะกระหน่ำปาข้าวของที่แตกกระจายแล้วใส่ทหารคนที่กำลังทำร้ายเบิร์น ทหารนายหนึ่งที่กำลังทำลายข้าวของอย่างมันมือหันมาตามเสียงของเด็กคนนั้นก่อนจะเดินเข้าไปและจับตัวเขาไว้
คาซัสที่ยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่นานรู้สึกปั่นป่วนอย่างถึงที่สุด มือทั้งสองข้างกำแน่นด้วยความโมโหก่อนที่เขาจะตัดสินใจกระชากคอเสื้อของนายทหารคนที่อยู่ใกล้ตัวเขาที่สุด ซึ่งก็คือคนที่หาเรื่องเขาเมื่อก่อนหน้านี้นั่นเอง นายทหารคนนั้นตกใจจนสบถออกมาดังลั่นและพยายามจะยกปืนในมือขึ้นมายิงชายหนุ่ม แต่ไม่ทันเสียแล้ว คาซัสใช้มือข้างที่เหลือบิดแขนของทหารคนนั้นจนเป็นเกรียวทำให้เขาไม่มีแรงที่จะยึดปืนไว้ในมือได้อีกต่อไป เมื่อปืนตกถึงพื้นคาซัสก็ใช้มือทั้งสองข้างผลักทหารที่ไร้ปืนไปข้างหน้าอย่างแรงจนเขาหงายหลังล้มลงไปกองกับพื้น ชายหนุ่มก้มลงหยิบปืนที่หล่นขึ้นมาก่อนจะยิงมันไปที่โคมไฟระย้าซึ่งห้อยอยู่เบื้องบนใจกลางห้องโถงแห่งนี้ ทุกสรรพสิ่งในห้องหยุดการกระทำต่างๆทันทีที่เสียงปืนสงบลง
“ใครให้ปืนมันวะ”
นายทหารคนหนึ่งเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบเมื่อเขาหันมาทางต้นเสียงและพบว่าใครเป็นคนทำ เมื่อเขาพูดจบ นายทหารนับสิบที่อยู่ในห้องนี้ต่างก็จ้องมาที่คาซัสด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตร ปืนนับสิบจ่อมาที่เขาเป็นทางเดียวเพื่อข่มขู่
“ทิ้งปืนลงซะไอ้หนู ถ้าแกมีสมองหน่อยคงไม่คิดว่าปืนกระบอกเดียวจะสู้ปืนเป็นสิบกระบอกได้หรอกนะ”
นายทหารคนหนึ่งก้าวเท้าออกมาด้านหน้า ในมือของเขาไม่มีปืนเหมือนกับคนอื่นๆแต่คาซัสเห็นได้ว่าเขามีปืนสั้นเหน็บอยู่ที่เอว เมื่อดูจากเครื่องแต่งกายที่ดูแตกต่างจากทหารคนอื่นๆแล้ว ทำให้คาซัสมั่นใจได้เลยว่าไอ้คนนี้แหละคือ หัวหน้าของพวกมัน
“ฉันจะนับหนึ่งถึงสามเพื่อให้โอกาสแกนะไอ้หนู... หนึ่ง!!!”
พวกทหารทั้งหมดค่อยตีวงล้อมรอบชายหนุ่ม แต่ละคนจ้องมาที่เขาอย่างไม่วางตา แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ไม่สนใจทหารพวกนี้ สายตาของเขาจับจ้องไปที่คนคนเดียวเท่านั้น มือทั้งสองข้างที่ถือปืนอยู่กำแน่นและเตรียมเหนี่ยวไก
“... สอง”
“ปืนกระบอกเดียวคงจะยิงพวกแกทั้งหมดไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะฉันก็คงโดนพวกแกยิงตายก่อน”
“ฉลาดมากนี่ไอ้หนุ่ม ถ้างั้นแกก็ทิ้งปืนลงซะแล้วเดินไปรวมกลุ่มกับพวกของแกโน่น”
“ทำไมฉันจะต้องทิ้งด้วย”
นายทหารที่ดูท่าจะยศสูงพอสมควรจ้องมาที่คาซัสด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ปนสงสัย
“ฉันไปบอกแกเมื่อไรว่าจะยิงพวกแกทั้งหมด ต่อให้ฉันต้องตายแต่ฉันก็ขอพาใครสักคนไปนรกเป็นเพื่อนก็พอแล้ว”
พูดจบชายหนุ่มก็ยกปืนขึ้นให้อยู่ในระดับสังหารศัตรู ปลายกระบอกปืนจ่อไปที่คนตรงหน้าอย่างตั้งใจและเด็ดเดี่ยว
“แกจะให้ฉันไปนรกเป็นเพื่อนแกอย่างนั้นเหรอ”
นายทหารยศสูงเอ่ยขึ้นพลางหัวเราะ
“แกกล้าพอที่จะยอมเสียสละตัวเองเพื่อคนพวกนี้เชียวเหรอฮะ”
เขาจ้องไปที่คาซัสด้วยแววตาขบขัน แต่อีกใจหนึ่งก็หนึ่งหวั่นอยู่เหมือนกันว่าคนต้องหน้าจะเอาจริง เพราะลูกกระสุนไม่เคยปรานีใครในสงคราม
“ฉันจะช่วยให้จังหวะการตายของแกนะ... หนึ่ง!”
เมื่อชายหนุ่มเอ่ยนับอย่างกะทันหันทำให้คนตรงหน้าถึงกลับสะดุ้ง
“สอง...”
เสียงครั้งนี้ที่เอ่ยออกมานั้นแผ่วเบาและเหมือนจะนุ่มนวล แต่มันกลับบีบหัวใจของคนบางคนยิ่งนัก
“ถ้าแกยิ่งฉัน ลูกน้องของฉันทั้งหมดจะกระหน่ำยิงมาที่แกอย่างแน่นอน”
เพื่อตอบสนองคำพูดของหัวหน้าให้ดูขลังยิ่งขึ้น พวกลูกน้องทั้งหมดต่างขยับตัวเล็กน้อยเพื่อประกาศให้ทุกคนรับรู้กันโดยทั่วว่าพวกเขาพร้อมที่จะเหนี่ยวไกปืนได้ทุกเมื่อ ทุกคนในบ้านเด็กกำพร้าต่างมองมาที่คาซัสด้วยสายตาหวาดหวั่นโดยเฉพาะเบิร์นที่ยืนอุ้มเอลิสไว้ในอ้อมแขน
“สาม...”
“หยุดนะ!!!”
มือข้างหนึ่งของคาซัสกำลังจะเหนี่ยวไกปืน แต่แล้วเขาก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อใครคนหนึ่งส่งเสียงห้าม พร้อมกับก้าวเท้าเข้ามาขวางหน้าเขาเอาไว้
เริ่มเขียนเมื่อ 22/04/2551
ความคิดเห็น