คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2 : หัวขโมยแห่งรัตติกาล
- 2 -
หัวขโมยแห่งรัตติกาล
เพล้ง!!!
แจกันใบยักษ์สีขาวขุ่น ที่สลักไว้ซึ่งลวดลายอันงดงามของเหล่าชาวสวรรค์กำลังร่ายรำกันด้วยสีหน้าที่เต็มเปรี่ยมไปด้วยความสุขและความสนุกสนานอยู่บนก้อนเมฆสีเทาทมิฬ ภายใต้แสงสีทองสว่างจ้าของดวงอาทิตย์ที่จิตกรบรรจงวาดออกมาได้สวยงามยิ่งนัก ซึ่งทำให้ผู้ที่พบเห็นพอจะคาดเดาได้เลยว่าแจกันใบนี้น่าจะ ’ขาย’ ได้ในราคาที่ดีทีเดียว แต่ตอนนี้... แจกันใบสวยนั้นได้กลายเป็นเศษกระเบื้องชิ้นเล็กชิ้นน้อยกองอยู่ที่พื้นเบื้องหน้าซะแล้ว
โป๊ก!!!
เสียงเหมือนของแข็งกระแทกเข้ากับอะไรบางอย่างดังขึ้นหลังจากที่ความจริงอันโหดร้ายได้ซึมซับเข้าไปในเซลล์สมองของใครบางคนอย่างช้าๆ
“เขกหัวฉันทำไมวะ”
เสียงกระซิบอย่างแผ่วเบาดังขึ้นอย่างไม่พอใจท่ามกลางความมืดมิดและความเงียบสงัด
“ยังมีหน้ามาถามอีก ความหวังสุดท้ายของเราอยู่ที่แจกันใบนั้นนะ”
เสียงอีกเสียงหนึ่งกระซิบตอบกลับมาด้วยความขัดใจอย่างถึงที่สุด
“ก็ฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันแตกนี่หว่า มันล้มลงเอง”
“เพราะตีนของแกไปเตะโดนมันเข้าน่ะสิ”
“ก็มันมืดนี่ ฉันมองอะไรเห็นซะที่ไหนเล่า หน้าแกฉันยังมองไม่เห็นเลย”
พูดจบ มือหนาของเจ้าของเสียงก็ยื่นออกไปด้านหน้าพลางกวัดแกว่งไปมาเพื่อหาใบหน้าของเจ้าเพื่อนตัวดีเป็นพัลวัน
“ชูว์...อย่าขยับ”
คนที่ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรกับความมืดเอาเสียเลยเอ่ยเสียงเอ็ดก่อนที่จะคว้ามือของเพื่อนซี้ให้หยุดอยู่นิ่งๆ
“เกิดอะ...”
เสียงที่กำลังพูดจู่ๆก็ขาดหายไปทันที เมื่อหาถึงต้นตอที่ทำให้เพื่อนของเขาตกอยู่ในความเงียบพบ แสงสว่างจากดวงไฟสีเหลืองอ่อนๆสว่างพรึบขึ้นมาจากห้องอีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโถงทางเดินที่พวกเขายืนอยู่นัก แสงสีเหลืองนั่นรอดออกมาจากทางร่องของประตูไม้ที่ดูเก่าแก่และผุพังเล็กน้อยทำให้พวกเขาสามารถมองเห็นสีหน้าที่ดูตกใจของอีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างเลือนราง
เสียงฝีเท้าเริ่มดังขึ้นจากภายในห้องนั้น ทำให้สองเสียงที่ยืนอยู่เบื้องนอกยืนตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่ร่างสูงหนึ่งในนั้นจะไหวตัวทัน คว้าคอเสื้อของอีกร่างหนึ่งแล้วเริ่มออกวิ่งไปข้างหน้าอย่างแผ่วเบา ไร้เสียง ไร้ร่องรอย...
“เฮ้อ... นึกว่าจะโดนจับได้ซะแล้ว ว่าแต่... แกพาฉันเข้ามาในนี้ทำไมวะ”
“ห้องนี้ไม่มีคนอยู่”
เสียงที่ตอบกลับมานั้นทั้งหนักแน่นและมั่นใจจึงทำให้คนที่ตั้งคำถามถามพยักหน้าออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะหันไปล็อคกลอนประตูที่ขึ้นสนิมทำให้เกิดเสียงดังแกร๊ก
“แกพาฉันออกไปจากที่นี่ตอนนี้เลยไม่ได้เหรอฮะ ป่านนี้เจ้าของบ้านคงจะรู้ตัวแล้ว”
เสียงนั่นเต็มไปด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด เมื่อจินตนาการถึงสีหน้าของชายหญิงคู่หนึ่งที่ไร้ซึ่งใบหน้ากำลังวิ่งพล่านไปทั่วทั้งบ้านด้วยความตกใจเมื่อเห็นแจกันที่น่าจะราคาแพงของตนใบนั้นแตกละเอียดอยู่ที่พื้น
“รู้แล้วน่า แต่เรายังไม่ได้อะไรไปเลยสักอย่าง”
“เหอะ แกยังคิดว่าเราจะได้อะไรอีกฮะ ในเมื่อเราก็ตะเวนจนเกือบทั่วทั้งเมืองแล้วแต่ก็ไม่เจออะไรที่พอจะมีค่าเลยสักอย่าง”
“เจอสิ ก็แจกันใบนั้นไง”
น้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นเต็มไปด้วยการกล่าวโทษอย่างเต็มที่เพื่อหวังให้คนที่ผิด หัดสำนึกในความผิดของตนเองซะบ้าง
“แล้วแกจะให้ฉันทำยังไงวะ ในเมื่อแจกันใบนั้นมันก็แตกไปแล้วนี่ คนเรามันก็ต้องมีพลาดกันบ้างแหละน่า”
“ผิดพลาดเหรอ... งานแบบเราถ้าผิดพลาดขึ้นมาก็เท่ากับเชือดคอตัวเอง”
“ก็ฉันมันไม่เก่งเหมือนแกนี่หว่า ที่ชีวิตไม่เคยเจอกับคำว่าผิดพลาดเลยสักครั้งน่ะ”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบาลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อการสนทนาดำเนินมาจนถึงเรื่องที่เขาไม่อยากจะนึกถึงมากที่สุด การอิจฉาริษยา...
“ฉันน่ะเหรอไม่เคยผิดพลาด แกพูดอะไรของแกเบิร์น”
ชายหนุ่มอีกคนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่แฝงไปด้วยความเศร้า ก่อนจะละสายตาออกจากคนตรงหน้าเพื่อปรายตามองไปรอบๆห้องนี้
บรรยากาศในห้องนี้มีสภาพที่น่าชวนหดหู่ยิ่งนัก ทั้งกลิ่นที่เหม็นอับและกลิ่นชื้นของไม้เก่าผุๆ ภายใต้ความมืดมิดนี้เองชายหนุ่มสามารถมองเห็นใยแมงมุมนับไม่ถ้วนเกาะติดอยู่ตามมุมต่างๆของห้องและเฟอร์นิเจอร์ที่แสนจะน้อยนิด อีกทั้งยังไม่เข้าชุดกันอีกด้วย มันทั้งเก่าและผุจนไม่น่าจะสามารถใช้งานได้อีกแล้ว เมื่อสายตาที่เฉียบคมกวาดตามองไปรอบๆห้องจนไปจบอยู่ที่เตียงเล็กๆที่ตั้งอยู่ชิดกับฝาผนังที่สีซีดและขึ้นรา สายตานั้นก็เบิกกว้างด้วยความแปลกใจเมื่อสังเกตได้ถึงอะไรบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่บนเตียงนั่น
“ฉันขอบอกไว้เลยนะ ไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยผิดพลาดมาก่อน รวมทั้งฉันด้วย”
“หมายความว่ายังไง”
“แกลองมองไปที่เตียงดูสิ”
เบิร์นถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า
“บอกแล้วไงว่าฉันมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้นแหละ แม้แต่หน้าแกเข้าใจมั๊ย”
ชายหนุ่มที่สามารถมองเห็นทุกอย่างได้ดีและชัดเจนเดินตรงไปยังหน้าต่างไม้บานใหญ่ที่มีปลวกขึ้นก่อนที่จะผลักบานหน้าต่างนั้นให้เปิดออก เผยให้เห็นแสงสีนวลผ่องของดวงจันทร์ยามค่ำคืนส่องสว่างเข้ามาภายในห้องที่มืดมิดแห่งนี้ นิ้วชี้ของเขาชี้ตรงไปยังร่างเล็กที่กำลังนั่งขดตัวอยู่บนเตียงนอนเก่าๆให้เพื่อนซี้ดู เบิร์นเบิกตากว้างทันทีเมื่อสายตาของเขาพลันเห็นร่างนั้น
“แย่แล้ว! ไหนแกบอกว่าไม่มีคนอยู่ไง แล้วนี่มันอะไรกันวะ”
เบิร์นเดินตรงเข้าไปหาเพื่อนของเขาแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“เวรล่ะ แล้วยายเด็กนี่ก็เห็นหน้าเราแล้วด้วย ตายแน่ๆๆ งานนี้ฉันไม่รอดแน่”
“แกจะคร่ำครวญอะไรนักหนาฮะ”
“ไอ้บ้าคาซัส แกคิดว่าแกกำลังทำอะไรอยู่ล่ะ ทำเป็นใจเย็นอยู่ได้”
เบิร์นถลึงตามองเพื่อนด้วยสายที่แทบถลนออกมาจากเบ้าตา เจ้าเพื่อนคนนี้มันไม่รู้สึกตัวเลยเหรอไงนะ ว่าพวกเขากำลังจะถูกโยนเข้าคุก แถมเป็นคุกเอาท์เครทอีกด้วย คุกที่น่าขยะแขยงมากที่สุดในโลก
“รู้สิ...ก็กำลังขโมยอยู่ไง”
คาซัสเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ก่อนจะยักไหล่ทั้งสองขึ้น จนเบิร์นแทบอยากจะเอาหัวโขกกับกำแพงขึ้นราจนตายให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย
“พวกคุณเป็นโจรเหรอคะ”
เสียงใสๆเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบามาจากอีกด้านหนึ่งของห้อง ต้นเสียงนั้นคือ ร่างเล็กๆของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่น่าจะมีอายุประมาณเจ็ดปี ซึ่งบัดนี้ลุกขึ้นยืนอยู่ข้างๆเตียงเพื่อพยายามที่จะดูหน้าของพวกเขาให้ชัดเจนขึ้น (เบิร์นรีบหันหลังให้ทันที)
“พวกคุณมาขโมยของที่บ้านหนูเหรอเปล่าคะ”
เด็กคนนั้นถามขึ้นอีกครั้งเมื่อถามคำถามแรกไปแล้วยังไม่ได้คำตอบ
“นี่บ้านของเธอเหรอ”
คาซัสเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยตามแบบฉบับของเขา แต่มันก็ยังคงให้ความรู้สึกเย็นชาในสายตาของคนที่เพิ่งรู้จักเขาอยู่ดี รวมทั้งเด็กหญิงคนนี้ด้วยเช่นกัน
“คะ... ค่ะ”
เธอตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก และก้าวถอยหลังไปหลายก้าวจนชนกับขอบเตียงของตัวเองแล้วล้มลงเมื่อคาซัสเดินหน้าเข้าไปหาเธอ เขาเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของเด็กผู้หญิงคนนั้น สายตาคมกริบกวาดตามองไปทั่วร่างกายของเด็กน้อยอย่างไร้มารยาท
“ทำไม...”
สายตาคู่เดิมยังพินิจร่างเล็กด้วยความสงสัยจนคิ้วหนาร่นเข้าหากันอย่างลืมตัว
“แกมีปัญหาอะไรหนักหนาฮะ แล้วเมื่อไรจะพาฉันออกไปจากที่นี่ซะที”
เบิร์นเอ่ยอย่างอดไม่ได้ เมื่อเห็นเพื่อนซี้มีท่าทีสนใจในตัวเด็กน้อยอย่างเกินเหตุ หวังว่าเพื่อนของเขาคงไม่มีความคิดแปลกๆกับเด็กหรอกนะ
“คาซัส... แกคิดอะไรอยู่ฮะ”
เบิร์นถามออกไปด้วยน้ำเสียงจับผิด แต่เพื่อนของเขากลับไม่สนใจในคำถามเมื่อจู่ๆเขาก็ทรุดตัวลงนั่งยองๆกับพื้น สายตายังคงจับจ้องไปที่เด็กคนนั้น
“เธออยู่ที่นี่มานานเหรอยัง”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตากับเด็กน้อยที่นั่งอยู่บนเตียงเก่าๆ เด็กคนนั้นจ้องมองมาที่เขาอย่างแปลกใจสักพักก่อนที่ใบหน้าใสนั้นจะถูกแต้มด้วยสีแดงระเรื่ออย่างไม่มีเหตุผล
“ตะ... ตั้งแต่เกิด”
“เคยออกไปข้างนอกมั๊ย”
เด็กน้อยส่ายหน้า เธอเงียบไปสักพักก่อนจะก้มหน้าลงอย่างเศร้าสร้อย น้ำตาหยดเล็กๆร่วงหล่นลงมาสัมผัสกับมือของคาซัสอย่างแผ่วเบา
“แม้แต่หน้าต่างบานนั้นพวกเขาก็ไม่ยอมให้หนูเปิด หนูไม่รู้จักกับใครเลยนอกจากบาซัวร์”
“บาซัวร์... ไอ้หมอนี่เป็นใครวะ”
เบิร์นที่ตอนนี้มายืนอยู่ข้างหลังคาซัสตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยที่มีมาตั้งแต่เกิด
“เขาเป็นคนเอาข้าวกับน้ำมาให้หนูกิน และเป็นเพื่อนคุยของหนู”
“แล้วทำไมเธอถึงไม่ออกไปข้างนอกล่ะ ที่ข้างนอกเธอจะได้รู้จักกับคนอีกมากมายนอกจากบาซัวร์อะไรนั่นนะ”
เด็กน้อยเงยน้าขึ้นสบตากับเบิร์นก่อนที่น้ำตาเม็ดใสๆจะไหลออกมาเป็นทาง เบิร์นหันไปสบตากับคาซัสอย่างไม่เข้าใจว่าเขาทำอะไรผิดไป เด็กคนนี้ถึงจะต้องปล่อยโฮถึงขนาดนี้ด้วย
“เธอเคยหลับไปนานๆบ้างมั้ย”
คาซัสเอ่ยคำถามแปลกๆออกมา จนเบิร์นต้องหันขวับมาจ้องเขาอีกรอบ
“ทุกวันค่ะ... บางวันหนูก็ไม่ตื่นขึ้นมาเลยซะด้วยซ้ำ แต่... คุณถามเหมือนคุณรู้”
คาซัสส่งยิ้มบางๆที่หาได้ยากยิ่งให้แก่เด็กน้อยแทนคำตอบ ทำให้ใบหน้าใสนั้นขึ้นสีอีกครั้ง ชายหนุ่มยื่นมือขวาไปเบื้องหน้าแล้วหลับตาลง ฉับพลันก็เกิดเป็นแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นที่ฝ่ามือของเขาท่ามกลางความตกใจของเด็กน้อย และเมื่อแสงนั้นจางหายไปในที่สุด ดอกไม้รูปร่างแปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้นมาแทนที่และประจักษ์แก่สายตาของคนที่อยู่ในเหตุการณ์
“ทำได้ยังไงกัน”
เด็กน้อยร้องออกมาด้วยความประหลาดใจปนทึ่งในความสามารถของชายหนุ่ม
“ฉันให้เธอ”
คาซัสไม่ตอบคำถามของเด็กคนนั้น แต่กลับยื่นดอกไม้ประหลาดไปข้างหน้าแทน
“มันคืออะไรกันคะ”
มือเล็กยื่นออกมาคว้าดอกไม้กลับไป ก่อนจะพิจารณามันด้วยความสงสัยและชื่นชม
“ไม่รู้เหมือนกันว่ามันชื่ออะไร แต่รู้อย่างเดียวว่ามันคือสิ่งนำโชค”
ดอกไม้สีน้ำเงินปนม่วงเปล่งประกายสีเงินสุกสว่างออกมาอยู่ตลอดเวลา เกสรที่ยื่นยาวออกมานั้นมีละอองสีเงินเล็กๆลอยวนเวียนอยู่รอบๆ พร้อมกับสัมผัสที่อ่อนนุ่มราวกับน้ำเมื่อได้สัมผัสมัน เด็กน้อยมองมันอย่างปลื้มปิติและละสายตาออกจากมันไม่ได้แม้แต่น้อย
“ไปตามบาซัวร์มาเร็วเข้า”
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
“ไม่ต้องถาม ฉันบอกให้ไปตามหมอนั่นมายังไงล่ะ!”
เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นจากอีกด้านหนึ่งของฟากประตู ทำให้คาซัสลุกขึ้นยืนทันที
“แล้วทีนี้จะเอายังไงล่ะ ซวยแล้วมั้ยล่ะ”
เบิร์นตบหน้าผากตัวเองดังป้าบก่อนที่จะเดินไปมารอบๆห้องเพื่อหาทางออกที่ไม่ว่าจะคิดยังไงก็คิดไม่ออก
“ไปกันเถอะ”
คาซัสหันไปบอกเบิร์นก่อนจะเดินตรงไปยังหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดอ้าเอาไว้เพื่อรับแสงจันทร์ เบิร์นจ้องมองเพื่อนเขาด้วยสายตาที่บ่งบอกได้ว่า ‘ไม่เอาเด็ดขาด’
“งั้นแกจะอยู่ที่นี่รอให้พวกเขายัดแกเข้าคุกเหรอไง”
“ฉันไม่ชอบวิธีนี้ของแกเลย ไม่มีวิธีอื่นแล้วเหรอ”
เบิร์นถามด้วยสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เหมือนกับกลัวอะไรสักอย่าง จนทำให้เด็กน้อยที่อยู่ภายในห้องเดียวกันกับพวกเขาเกิดสงสัยขึ้นมาไม่ได้
“จะกระโดดลงไปเหรอคะ”
คาซัสหันมามองหน้าเธอก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย
“ก็ไม่เชิง”
“แต่นี่มันสูงมากนะ ตกลงไปเดี๋ยวก็ตายกันพอดี”
“ไม่ต้องห่วง จะไปกันได้เหรอยังเบิร์น”
ประโยคสุดท้ายเขาหันไปพูดกับเพื่อนรักของตนที่กำลังยืนหันซ้ายหันขวาอยู่ระหว่างประตูกับหน้าต่าง แต่ในที่สุดเบิร์นก็ตัดสินใจเดินตรงมาหาเขาด้วยสีหน้าที่ซีดยิ่งกว่ากระดาษ
“ลาก่อนนะคะ”
เด็กน้อยโบกมือให้กับพวกเขาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มและดูมีความสุขอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
คาซัสพยักหน้าเพียงเล็กน้อยส่วนเบิร์นก็ยิ้มแหยๆไปให้ก่อนที่ทั้งสองคนจะหันมามองหน้ากัน
“สักวันแกจะชินเอง”
“ฉันก็หวังอย่างนั้น...”
พูดจบเบิร์นก็เหวี่ยงแขนขวาขึ้นมาคล้องที่คอของคาซัส ก่อนที่ทั้งสองกระโดดขึ้นไปยืนหมิ่นเหม่อยู่ที่ขอบหน้าต่างที่ผุจนใกล้จะพังเต็มที่แล้ว เบิร์นพยายามไม่มองลงไปยังเบื้องล่างที่บัดนี้ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดแต่ขาของเขาก็ยังคงสั่นอยู่ดีเมื่อสายลมที่เย็นยะเยือกพัดมาปะทะกับผิวหนังของเขา ซึ่งต่างกับคาซัสโดยสิ้นเชิง
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์อย่างไร้ควายหมายก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆด้วยความรู้สึกที่อิ่มเอิบอย่างประหลาด เบื้องล่างในความมืดมิดและไร้แสงไฟนั้น เขาสามารถมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจนเหมือนกับตอนกลางวัน และเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงทำได้แต่คนอื่นทำไม่ได้
“แกจะไปเมื่อไรก็ไม่ต้องบอกฉันนะ เข้าใจมั้ย”
เบิร์นตัดสินใจหลับตาปี๋ ในขณะที่คาซัสย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อทุ่มน้ำหนักทั้งหมดของเขาลงไปที่ข้อเท้า ก่อนที่เขาจะใช้แรงเพียงเล็กน้อยสปริงตัวเองและเพื่อนให้ลอยตัวขึ้นไปบนอากาศยามค่ำคืนที่แสนหนาวเย็น ทั้งสองรู้สึกได้ถึงบริเวณท้องน้อยที่วูบลงทุกครั้งเมื่อตัวของพวกเขากระโดดขึ้นไปและตกลง ขึ้นไป...และตกลงอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ เท้าของคาซัสสัมผัสเบาๆที่หลังคาบ้านหลายหลังด้วยกันที่ปิดไฟเงียบเงียบเพื่อแสดงให้รู้ว่าทุกคนในบ้านได้เข้าสู่ช่วงนิทราแล้ว
“อากาศดีชะมัด แกว่ามั้ย”
“อือ... แกไม่ต้องมาชวนฉันคุยเลย”
“ไม่เอาน่า แกกำลังทำตัวน่าเบื่ออยู่นะ”
“เออ นั่นมันก็เรื่องของฉัน แกโดดๆไปเถอะ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นเข้าใจมั้ย”
เบิร์นแนบใบหน้าลงที่อกของคาซัสโดยไม่คิดเลยว่าเพื่อนของตนจะรู้สึกเช่นไรที่มีผู้ชายเหมือนกันมาทำแบบนี้ด้วย
“แกลืมตาเถอะน่า”
“ไม่เอา แกก็รู้ว่าฉันกลัวความสูงงงงงงงง”
คำพูดของเบิร์นจบลงด้วยการที่คาซัสกระโดดอย่างเต็มกำลังจนตัวพวกเขาสามารถลอยตัวขึ้นไปอยู่เหนือหลังคาบ้านที่สูงที่สุดในแทบนี้ ตัวของพวกเขาลอยอยู่กลางอากาศสักพักก่อนที่จะตกฮวบลงมาอย่างรวดเร็ว
“อ๊ากกกกกกกก”
เบิร์นแหกปากดังลั่น จนกระทั่งพวกเขาตกลงมาสู่ระเบียงของบ้านหลังหนึ่งเรียบร้อยแล้ว
“ไหนแกบอกว่ามองไม่เห็นอะไรเลยไง แล้วแกจะเห็นได้ยังไงว่ามันสูงหรือไม่สูง”
คาซัสพูดขึ้นเมื่อบัดนี้ขาทั้งสองข้างทั้งของเขาและเพื่อนได้ลงเหยียบอยู่บนพื้นอย่างสงบแล้ว เบิร์นปรือตาขึ้นเล็กน้อยและเมื่อเห็นว่าปลอดภัยดีแล้วเขาจึงผละตัวออกจากเพื่อนทันที
“ของแบบนี้มันรู้สึกกันได้เว้ย ถึงจะมองไม่เห็นก็เถอะ”
เบิร์นเดินไปยังประตูบานเดียวที่เปิดอ้าอยู่เหมือนกับว่ามันกำลังรอคอยใครสักคนอย่างนั้น เขาเดินผ่านบานประตูนั้นเข้าไปยังห้องห้องหนึ่งที่ไม่เล็กและไม่ใหญ่ ภายในห้องดูเยือกเย็นอย่างน่าประหลาดจนเขาต้องยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาโอบตัวเองเอาไว้โดยอัตโนมัติ
“ห้องแกนี่มันช่างวังเวงสมกับแกจริงๆเลยว่ะ”
“ขอบใจ...”
เสียงที่เรียบเฉยของคาซัสตอบกลับมาอย่างไร้อารมณ์ก่อนที่ร่างสูงของเขาจะก้าวเข้ามาในห้องอย่างสง่างามโดยไม่รู้สึกถึงความเยือกเย็นที่มีอยู่ในห้องเลยสักนิด
“แล้วพรุ่งนี้... เราจะเอายังไง”
คาซัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงตามแบบฉบับของเขาแต่คราวนี้คนฟังกลับรู้สึกได้ชัดเจนถึงความตรึงเครียดที่แฝงเข้ามาด้วย
“ก็คงต้องปล่อยไปก่อน”
เบิร์นตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงดี
“อย่าลืม เรามีเวลาแค่วันพรุ่งนี้เท่านั้น”
“ฉันรู้แล้วน่า แต่แกก็น่าจะเห็นนะว่าที่นี่มันเป็นยังไง ทั้งยากจน ทั้งสกปรก ยอมรับเถอะน่าว่าที่นี่มันไม่มีคนรวยหลงเหลืออีกแล้ว”
“เรื่องนั้นฉันก็รู้ แล้วเรื่องบ้านล่ะ”
“เฮ้อ...”
เบิร์นเดินเข้าไปหาคาซัสก่อนจะยื่นมือไปตบไหล่เพื่อนเบาๆเพื่อปลอบใจ
“บางที... เราคงต้องปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของทุกคน”
มือหนายกออกจากไหล่ของเพื่อนก่อนที่จะเหยียดตรงไปข้างหน้าเพื่อบิดขี้เกียจ ปากของเขาเผยอ้าออกโดยไม่คิดที่จะปกปิดเลยสักนิด
“ฉันไปนอนก่อนล่ะ อย่าคิดมากเลยคาซัส... เราทำเท่าที่เราทำได้แล้ว”
เบิร์นเปิดปากหาวอีกครั้งก่อนที่จะหันหลังให้เขาแล้วเดินตรงไปยังประตูอีกบานหนึ่งที่ปิดสนิทอยู่
“แล้วก็...”
เบิร์นหยุดอยู่ในท่าที่กำลังจะผลักบานประตูออกไป เพื่อหันมาพูดกับคนที่กำลังยืนนิ่งอยู่ในห้อง
“ถ้าแกเสกไอ้ดอกไม้นั่นได้ แกจะไม่ลองเสกทองดูบ้างเหรอไงวะ”
“ก็บอกเป็นร้อยครั้งแล้วนี่ว่า...”
“
ว่าทำไม่ได้”
เบิร์นเอ่ยประโยคที่เหลือออกมาอย่างรู้ใจ
“ฉันรู้ แต่ก็พูดไปอย่างนั้นแหละเผื่อแกจะทำได้ขึ้นมาสักวันหนึ่ง”
พูดจบร่างของเขาก็หายไปพร้อมกับบานประตูที่ปิดลง ทิ้งให้ชายหนุ่มอีกคนยืนอยู่เพียงคนเดียวท่ามกลางความมืดมิด คาซัสเดินไปยังหน้าต่างบานใหญ่ของเขาที่เปิดอ้าไว้ตลอดเวลา เขากระชากผ้าม่านสีซีดให้เปิดออกเพื่อมองออกไปยังทิวทัศน์เบื้องนอกที่ชวนรัดทนใจยิ่งนัก ‘เอาท์เครท’ ดูสวยงามกับเขาได้บ้างก็คงจะเป็นยามค่ำคืนนี่ล่ะมั้ง เพราะความมืดมิดนี่เองที่ช่วยปกปิดสิ่งที่ดูน่ารังเกียจของเมืองนี้ สายตาของชายหนุ่มกวาดตามองไปทั่วรอบๆเมืองจนไปจบอยู่ที่แสงไฟจุดเล็กๆจุดหนึ่งติดเขตทะเล พวกทหารนั่นเอง
‘ไอ้พวกทหารชั่ว’
คาซัสคิดอย่างเคียดแค้นพลางจ้องดูกลุ่มคนเหล่านั้นกำลังนั่งผิงไฟที่อบอุ่นไป หัวเราะไปด้วยความสนุกสนาน เขาเกลียดสีหน้าที่ดูมีความสุขของคนพวกนั้นยิ่งนัก และเร็วเท่าความคิด...
“อ๊ะ...”
มือข้างซ้ายของเขาก็ปวดตุบตับขึ้นมาโดยอัตโนมัติ มันมักตอบสนองกับอารมณ์ของเขาเสมอและโดยเฉพาะตอนนี้ ตอนที่เขากำลังโกรธอยู่ คาซัสยื่นมือซ้ายออกมาเบื้องหน้าเผยให้เห็นถุงมือหนังหนาสีดำที่มันวาว ตรงส่วนที่น่าจะครอบคลุมนิ้วทั้งห้าของเขาถูกตัดออกเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการหยิบจับสิ่งของให้มากขึ้น ปลายถุงมือยาวไปจนเกือบถึงข้อศอกของชายหนุ่ม ไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้ว่าถุงมือนี่คงจะราคาแพงใช่ย่อย และคงไม่ต้องบอกอีกก็น่าจะรู้นะว่าชายหนุ่มไปได้มันมาจากไหน ถ้าไม่ใช่ไปขโมยเขามาอีกที
มือขวาของชายหนุ่มค่อยๆดึงถุงมือออกจากมืออีกข้างอย่างช้าๆ อะไรบางอย่างที่ฝ่ามือของเขากำลังเต้นอย่างดุเดือด และเมื่อมือหนาเผยโฉมออกมาให้เห็นท่ามกลางแสงจันทร์ ชายหนุ่มก็ทำหน้าเบ้ทันที ‘เอาอีกแล้ว’ เขาก้มลงมองที่ฝ่ามือของตัวเองด้วยสีหน้าพะอืดพะอม สิ่งที่เขาขยะแขยงลองลงมาจาก ‘เอาท์เครท’ เมืองที่เขาอาศัยอยู่ตอนนี้ก็คือ มือข้างซ้ายของเขานี่แหละ ที่ฝ่ามือของเขามีรอยสัญลักษณ์บางอย่างที่ติดตัวเขามาตั้งแต่เกิด มันมีจุดตรงกลางฝ่ามือสีแดงทมิฬเหมือนสีเลือด มีเส้นสี่เส้นสีเดียวกันแยกออกไปคล้ายรูปกากบาท ที่มีลักษณะอ่อนช้อยราวกับรัศมีของดวงอาทิตย์ และเมื่อสังเกตดูดีๆ... จะมีเส้นแบบเดียวกันนี้อีกสี่เส้นด้วยกันที่ไขว้กันอยู่กับสี่เส้นแรก แต่มันไม่ได้ปรากฏชัดเจนแบบสี่เส้นนั้น มันดูจางๆจนแทบจะเป็นสีเดียวกับเนื้อของเขาซะด้วยซ้ำ หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมเขาจะต้องรังเกียจมันถึงขนาดนั้นด้วย ใช่... ถ้ามันเป็นแค่รอยสัญลักษณ์แปลกๆแค่นั้นเขาก็คงไม่อะไรกับมันมากนักหรอก แต่ดูสิ... สัญลักษณ์ที่ฝ่ามือของเขากำลังเต้นตุบๆเหมือนกับว่ามันมีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น และมันก็เป็นเช่นนี้บ่อยมากเสียจนเขาต้องออกไปหาถุงมือมาใส่เพื่อปกปิดมันไว้
คาซัสยังยืนอยู่ที่เดิมสักพักจนความรู้สึกขยะแขยงที่มือของเขาค่อยๆจางหายไปพร้อมกับความโกรธ เขาหันหลังให้กับหน้าต่างก่อนจะเดินมายังเตียงที่นุ่มสบายและมีขนาดใหญ่ถึงขนาดนอนได้สี่คนด้วยกัน ความจริงเมื่อครั้งก่อนเตียงนี้ก็มีเจ้าของถึงสี่คนด้วยกัน แต่พอเขาเข้ามาเป็นเจ้าของร่วมกับคนพวกนั้น สิ่งแปลกประหลาดมากมายก็มักจะเกิดขึ้นกับคนพวกนั้นจนใครๆก็พากันหวาดกลัวเขากันหมด จนในที่สุดห้องนี้จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเขาแต่เพียงผู้เดียวโดยไม่มีใครกล้ายุ่ง
ชายหนุ่มเอนตัวลงนอนลงไปบนเตียงนุ่มโดยไม่คิดที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า เปลือกตาของเขาค่อยๆปิดลงพร้อมกับสติของเขาที่หลุดลอยไปพร้อมๆกัน
เริ่มเขียน 18/04/2551
ความคิดเห็น