ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC PRODUCE101] ตัวเล็กสเป็คหมี(เถื่อน) ♡ #แบคฮวี

    ลำดับตอนที่ #10 : EP09 : จักรยาน

    • อัปเดตล่าสุด 13 ต.ค. 60


    ★STAR







    LITTLE #STRONG
    EP.09 : จักรยาน











              "ไอ้เตี้ยกูมีเรื่องต้องคุยกับมึง"  ไอ้ฮยอนบินเดินเข้ามาในห้องเรียนแบบหน้าตาขึงขัง มันวางกระเป๋าลงที่โต๊ะแล้วหย่อนก้นลงนั่งเก้าอี้ข้างผม ผมที่เล่นเฟสบุ๊คอยู่ก็ต้องหยุดเลื่อนหน้าจอแล้วหันหน้ามาหามัน ไอ้แซมที่คุยกับไอ้หลินข้างๆผมก็หันมาเสือกด้วย

              "อะไรวะ"  ผมถาม

              "นี่อะไร ฝีมือมึงใช่มั้ย"  ไอ้ฮยอนบินพูดพร้อมกับยกไอโฟนหกขึ้นมาให้ดูตรงหน้าจอ ที่ปรากฎรูปมันตอนเผลอแต่อย่างหล่อในท่ายืนเอามือข้างหนึ่งเสยผมและมีกล้องคล้องอยู่ที่คอด้วย ใบหน้าของมันดูนิ่งมีความจริงจังเพราะตอนนั้นกำลังตั้งใจถ่ายงานกลุ่มอยู่ รูปนั้นของมันโชว์หราตรงหน้าเพจเฟสบุ๊คคณะนิเทศของเรา พร้อมแคปชั่นสะดุดตาเหนือรูปของมันว่า...

              'ฮยอนบิน หนุ่มตี๋ร่างสูงช่างกล้องที่มาเหนือกว่านายแบบ ปี1 เอกการแสดง  ผู้คัดเลือกขวัญใจนิเทศเบอร์7'

              ผมยิ้มกว้างแล้วหัวเราะเบาๆ มีความสุขกับยอดไลค์รูปของไอ้ฮยอนบินที่ปาไปเกือบหมื่นไลค์และยอดแชร์ถล่มไปหลายพัน

              "ให้ตอบไอ้สัด ไม่ใช่ให้มาหัวเราะชอบใจ"   ไอ้บินตบเหม่งผมเบาๆเพื่อเรียกสติ ผมเลยจิกตาใส่มันอย่างอารมณ์เสีย 

              "เออ กูส่งรูปมึงไปเองอ่ะ"  ผมพูดแล้วยิ้มภูมิใจกับการส่งรูปไอ้บินไปลงประกวด 'ขวัญใจนิเทศ'  มันงานคล้ายๆกับดาวเดือนนั่นแหละ แต่จากที่ผมได้ยินมาจากรุ่นพี่คนอื่นๆ เขาบอกว่าขวัญใจนิเทศอ่ะไม่มีการประกวดความสามารถแบบดาวเดือนหรอก ไม่ต้องคัดคนก่อนไปประกวด แค่เราส่งรูปไปทางอินบ็อกของเพจก็สามารถลงชื่อประกวดได้เลย ส่วนคะแนนของผู้ชนะนับจากยอดไลค์และกล่องโหวตใต้ตึกคณะ แถมรุ่นพี่ส่วนใหญ่ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันอีกด้วยว่า เดือนคณะที่ว่าแน่ยังแพ้ขวัญใจนิเทศ คนที่ได้เป็นขวัญใจนิเทศคือทุกคนทั้งคณะเห็นพ้องต้องกันแล้วว่า เขาเป็นคนที่มีสเน่ห์แตกต่างจากคนอื่นทั้งหมด รูปลักษณ์จะหล่อหรือไม่ ใช่เรื่องสำคัญอยู่ที่องค์ประกอบรวม ว่าเขาคือคนที่เด็กนิเทศทั้งหมดยกย่องว่าเป็นเพชรที่ถูกซ่อนไว้ 

              เรียกง่ายๆภาษาชาวบ้านคือ ของดีที่ยังไม่ได้รับการเปิดเภย ถ้าเปรียบต่ำแหน่งเดือนคืออั้ลบั้มสุดแพง ขวัญใจนิเทศคืออัลบั้มรุ่นอัลลิมิเต็ดที่แพงกว่าแสนล้านเท่า โอเคมะ 

              "แล้วทำไมมึงไม่บอกก่อนจะเอารูปกูไปลงประกวดวะ"  ไอ้บินถามเสียงไม่พอใจ เออก็รู้ว่าจะเป็นงี้ไงเลยไม่บอก 

              "บอกมึงก่อน มึงจะยอมมั้ยล่ะเอาน่าถ้าเกิดชนะขึ้นมาก็เป็นแค่ปีเดียวเองป้ะ"

    .          ใช่แล้วขวัญใจนิเทศเป็นตำแหน่งที่อยู่ได้แค่ปีเดียว เพราะผู้ที่ลงสมัครประกวดได้ต้องอยู่ปีหนึ่งเท่านั้น และคนที่ได้ตำแหน่งนี้ไปเมื่อขึ้นปีสองก็จะไม่ได้ถูกเรียกว่าขวัญใจนิเทศอีกแล้ว มันเป็นเพียงอีเว้นท์ช่วงสั้นๆเท่านั้น แต่มันขึ้นอยู่ว่าคนที่ได้ครองตำแหน่งในปีนั้นฮอตแค่ไหน ถ้าฮอตมากยังไงซะคนก็ยังจำภาพของเขาได้อยู่ดี เป็นขวัญใจนิเทศที่ไม่ตายอะไรแบบนี้

              "มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบประกวดอะไรแบบนี้ "  ผมยู่ปากเมื่อมันพูดแบบนั้น ก็จริงไอ้บินเป็นงี้มาตั้งแต่มัธยมละ ช่วงกีฬาสีรุ่นพี่เขาอยากได้มันเป็นคนถือไม้ดัมเมเยอร์มันก็ไม่เป็น ขนาดเพื่อนในห้องขอเอารูปมันไปลงในเพจคิวท์บอยมันยังไม่ให้เลย คือแบบไม่รู้จะหวงหน้าตัวเองไปทำไม เพื่อนกูเนี่ยบ้าป่าวหน้าตาหล่อแต่เสือกไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ 

              "เออรู้ แต่มึงต้องลองนะเว้ยแค่งานเล็กๆเอง"  แน่ะมันทำตาแข็งใส่กูอีก โอเคผิดก็ผิดจ้า

              "ไปขอถอนตัวให้กูด้วย"  ไอ้บินพูดเสียงเรียบ

              "ถ้าจะถอนตัวเขาให้ตัวจริงไปถอนตัวเองอ่ะ ฝ่ายสโมสรเขากลัวว่าถ้าให้คนอื่นมาบอกถอนตัวแทนกัน เดี๋ยวมีการกำจัดคู่แข่งกันทางอ้อม ถ้ามึงจะถอนตัวต้องไปห้องสโมสรนักศึกษาข้างล่างตึก"

              "หาเรื่องให้กูอีกแล้วนะมึง"  ไอ้บินตบหัวผมอีกรอบ ถึงแม้มันนจะโกรธแต่ไอ้หน้าตี๋คนเนี้ยใจดีที่สุดในกลุ่มแล่ว ถ้าลองเป็นไอ้แซมดิโอ้โห้ด่ากูยันเช้าพรุ่งนี้อ่ะ 

              "งั้นเดี๋ยวตอนเย็นกูพามึงไปหาพี่ที่ทำเรื่องรับสมัครแล้วกันเนอะ"  ผมพูดจบไอ้บินก็พยักหน้าหงึกหงัก 

              หึ เดี๋ยวมึงกูรู้ไอ้บินว่าสุดท้ายยังไงมึงก็ต้องลงแข่ง! 






              ตอนเย็น เวลา 15.30

              ผมผลักประตูห้องสโมสรนักศึกษาเข้ามาด้วยรอยยิ้มแป้นแล้น ให้กับคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะคอยทำเรื่องรับสมัครขวัญใจนิเทศ

              "อ้าวววว พี่มินฮยอนหลับอ่ะจะให้กูปลุกพี่เขามาแก้ชื่อมึงออกป้ะ"  ผมพูดเสียงเบา แล้วแสร้งทำหน้าลำบากใจสุดขีด

              "ไอ้เตี้ย สาบานว่าไม่ใช่แผนบังคับให้กูลงแข่ง"  ไอ้บินหันมาทำหน้ายักษ์ใส่ผม ผมได้แต่ยิ้มจนตาหยี

              "บ้ากูไม่รู้เรื่องเลยว่าพี่มินฮยอนเป็นฝ่ายทำเรื่องขวัญใจนิเทศเนี่ยเพิ่งรู้"  ทำเสียงแปลกใจม๊ากกกกมากกกกกก

              "นี่มึงเกิดที่โรงบาลหรือไร่สตอเบอรี่ ตอแหลจริงๆ"  ไอ้บินว่าแล้วผลักไหล่ผมเล็กน้อย ผมเลยยักไหล่แบบไม่แคร์ เอาซี้จะให้กูปลุกพี่เขามาแก้ชื่อมึงออกก็ได้ แต่ว่าก็จะรบกวนเวลาพักผ่อนพี่เขานะแบบนั้นจะดีหย๋ออออ

              "เอาไงจะลงแข่งหรือไม่ลง ไม่ลงจะได้ปลุกพี่เขา"

              "........."  ไอ้ฮยอนบินดูลังเล เพราะมันไม่ชอบการประกวดอะไรแบบนี้จริงๆนั่นแหละ 

              "เงียบงั้นกูปลุกนะ!"  ผมกำลังจะเดินไปปลุกพี่มินฮยอน แต่โดนไอ้บินจับหัวไว้ซะก่อน

              "หยุดเลยไอ้เตี้ย โอเคกูยอมลงแข่งก็ได้"  ไอ้บินพูดแบบจำยอมสุดๆ บอกแล้วมันไม่มีทางหนีการประกวดนี้ได้ ผมได้ยินแบบนั้นเลยหันมายิ้มกว้างให้มัน

              "ทำถูกแล้วเพื่อน ที่กูอยากให้มึงลงสมัครก็เพราะว่าเผื่อมึงชนะพี่มินฮยอนเขาอาจจะเริ่มสนใจมึงขึ้นมาก็ได้นะ มึงต้องทำอะไรที่มันโดดเด่นหน่อยดิ จะมัวถือกล้องแบบนี้ต่อไปไม่ได้แดกพี่เขาแน่ อีกอย่างพี่เขาเป็นพี่รหัสไอ้หลินก็ให้ไอ้หลินไปชวนพี่เขามาวันประกาศผลก็ยังดี ผลออกมาจะแพ้หรือชนะก็ชั่งมันดิแค่วันนั้นคนที่ชอบมาดูก็ถือว่าตัวเองชนะแล้วป้ะวะ "  

              "ไซโคกูจริง เออกูจะลองแข่งดู"  ไอ้ฮยอนบินตอบและยิ้มนิดหน่อย แปลว่าที่ผมพูดไปเปลี่ยนใจมันได้นี่หว่า คิดถูกมากที่เอาพี่มินฮยอนมาไซโคมัน ไอ้ฮยอนบินก็พอๆกับไอ้หลินชอบใครก็จะชอบหนักมาก แต่แตกต่างตรงวิธีการมันไม่เหมือนกันแค่นั้นเอง 

              "ดีมาก! ป้ะงั้นเรากลับบ้านกันไอ้พวกหลินรอนานแล้ว"  ผมพูดแล้วเดินไปที่ประตู แต่ก็ต้องเหลียวหลังกลับมาเมื่อไอ้เพื่อนตัวสูงมันไม่ยอมเดินตามมาด้วย ยังคงยื่นมองคนที่นอนฟุบอยู่ที่โต๊ะไม่วางสายตา 

              "ไม่กลับบ้านหรือไง"  ผมถามไอ้บิน

              "พวกมึงกลับก่อนเลย กูจะอยู่มอซักพัก"  ไอ้บินพูดแบบนั้นโดยไม่หันมามองหน้าผมเลย ผมรู้ความหมายของประโยคที่ว่าจะอยู่มอซักพักของไอ้บินได้ดี เลยยิ้มด้วยความหมั่นไส้แล้วตอบกลับไปว่า

              "เออรอส่งเขากลับบ้านอ่ะ ตัวเองก็กลับดีๆล่ะไปละ"  ผมพูดแบบนั้นแล้วเดินออกมา ใช้สายตามองผ่านกระจกใสจากด้านนอกเข้าไป ก็เห็นไอ้ฮยอนบินเดินไปวางเป้ตัวเองลงที่โซฟาสีดำเล็กๆใกล้กับโต๊ะทำงานพี่มินฮยอน แล้วตัวมันก็นั่งลงเล่นเกมส์ในมือถือที่โซฟาด้วยนั่นแหละ เป็นภาพที่มองแล้วก็น่ารักเหลือเกินเพื่อนกูนี่อบอุ่นจริงไรจริงไมโครเวฟที่หอกูยังต้องยอม 

              ผมที่กำลังมองทั้งคู่อยู่นั้นก็โดนสกิดจากด้านหลังเลยต้องหันไปมองว่าใครกันที่มาสกิดไหล่ 

              "อ้าว พี่จีฮุนสวัสดีครับ"  ผมยกมือไหว้ผู้ชายหน้าหวานตาสวยตรงหน้า  

              "ดูไรอยู่หรอ"  พี่จีฮุนถามเสียงอยากรู้ จนผมต้องหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วตอบไปว่า

              "อ๋อ ก็มองไปเรื่อยแหละครับว่าแต่พี่จีฮุนมีอะไรกับผมรึป่าว"

              "ฮ่าๆป่าวหรอก แค่เห็นนายเดินเข้าห้องนี้ไปกับฮยอนบินเลยจะมาถามว่ามาทำไรกันน่ะ"

              "อ๋อ พอดีว่าตอนแรกไอ้บินมันจะถอนตัวเรื่องประกวดขวัญใจนิเทศอ่ะพี่ ผมเลยจะพามันมาถอนตัวแต่ตอนนี้มันเปลี่ยนใจลงแข่งแล้วครับ"  ผมพูดพี่จีฮุนก็พยักหน้าตาม 

              "เอ้ยจริงดิ โห้พี่ว่าฮยอนบินมีสิทธิ์ชนะอยู่นะ ทั้งสูงหน้าตาดีติสหน่อยๆคาแรคเตอร์ชัดเจนดีอ่ะพี่ว่าคนน่าจะชอบเยอะ"

              "ใช่มั้ยครับพี่คิดเหมือนผมเลย!"

              "แต่ว่าขวัญใจนิเทศคาดเดาอะไรไม่ได้หรอก มันไม่ได้อยู่ที่หน้าตาอย่างเดียวมันต้องชนะจากหลายๆอย่าง ปีที่แล้วตอนรุ่นพวกพี่คนลงสมัครเยอะมากมีแต่ตัวท็อปทั้งนั้นแหละ พวกสโมสรนักศึกษานับคะแนนกันหัวยุ่งเลยอ่ะ"

              "หรอครับ แล้วตอนรุ่นพวกพี่ปีนั้นใครได้ขวัญใจนิเทศอ่ะครับ"  พอผมถามแบบนั้นออกไปปุ๊ป พี่จีฮุนก็กระพริบตาถี่แล้วอึ้งไปแปปนึง ก่อนจะหัวเราะเบาๆออกมาเหมือนกับว่าคำถามผมมันตลกงั้นแหละ 

              "อ่าว แดฮวีไม่รู้หรอ"  พี่จีฮุนถามพร้อมหัวเราะนิดหน่อย อ่าวคุณพี่ถ้ากูรู้จะถามมั้ยแหม่

              "ครับไม่รู้เลย"  

              "ตอนรุ่นพวกพี่อ่ะ คนทั้งคณะเขาพูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่าตั้งแต่มีการประกวดขวัญใจนิเทศ ปีพี่เป็นปีที่ทั้งคณะเกิดความเป็นหนึ่งเดียวกัน เลยถูกเรียกว่าปรากฎการณ์หนึ่งใจนิเทศ"

              "ทำไมหรอครับผมไม่เข้าใจ"

              " เพราะคะแนนผู้เข้าแข่งแต่ละคนสูสีกันนะ แต่มีคนนึงที่คะแนนโดดไปไกลกว่าคนอื่นมาก และเป็นคนที่ได้เสียงโหวตเยอะที่สุดตั้งแต่มีการประกวดมา แถมตอนวันประกาศผลผู้ชนะคนที่ได้คะแนนโหวตสูงสุดกลับไม่ยอมมาร่วมงาน ที่จริงต้องสละตำแหน่งให้ที่สองนะ แต่คนทั้งงานตะโกนเป็นเสียงเดียวกันเลยว่าไม่ยอม ยังไงคนที่ได้ที่หนึ่งก็ต้องเป็นคนนี้อ่ะ คนเป็นพันตะโกนเรียกชื่อเดียวกันหมดทั้งงาน เป็นที่หนึ่งในใจของคณะนิเทศ"

              "ชื่อคนที่ชนะแต่ไม่ยอมมาร่วมงานเนี่ยนะครับ"

              "ใช่แล้วล่ะ เป็นคนที่มีอิทธิพลมากเลยน้า"

              "ใครอ่ะพี่ผมอยากเห็นหน้าจริงๆ"  ผมถามด้วยความสงสัย จากที่พี่จีฮุนเล่าแล้วคงเป็นคนที่หล่อมากแต่นิสัยคงเอาเรื่องอยู่อ่ะถึงไม่ยอมมาร่วมงาน แล้วจะลงประกวดทำไมวะงง

              "อยากเห็นหรอ ก็นั่นไงที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะนั้นอ่ะ"  พี่จีฮุนจับตัวผมให้หันไปมองผู้ชายกลุ่มหนึ่งที่กำลังเล่นเกมส์งัดข้อกันอยู่ใต้ตึกคณะ  และนิ้วชี้ของพี่จีฮุนก็ชี้ตรงไปที่ผู้ชายคนนั้น คนที่เล่นเกมส์งัดข้อและเป็นฝ่ายที่กำลังจะชนะ พร้อมกับมีเสียงเชียร์จากเพื่อนคนอื่นดังโหวกเหวกโวยวาย 

              ผมมองผู้ชายคนที่เล่นเกมส์งัดข้ออย่างสบายๆด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ตัวผมนั้นก็ได้แต่อ้างปากค้าง หัวใจมีอาการเต้นเร็วนิดหน่อยอย่างประหลาดใจเมื่อพี่จีฮุนมาพูดกระซิบข้างหูต่อว่า 

              "คังดังโฮไง คนที่ทำให้เกิดปรากฎการณ์หนึ่งใจนิเทศ ผู้ชนะขวัญใจนิเทศในปีที่แล้ว"

              "พ..พี่ดงโฮเนี่ยนะ"  ผมขยับปากพูดด้วยความอึ้งเป็นคนที่ผมคาดไม่ถึงด้วยซ้ำ พี่รหัสผมเนี่ยนะที่ทำให้เกิดปรากฎการณ์หนึ่งใจนิเทศ และเป็นคนชนะในปีนั้นด้วยโห้โคตรพีค

              "ช่ายยยยยย พี่และเพื่อนในกลุ่มแอบเอารูปมันไปลงสมัครเองแหละ ถึงแม้จะขึ้นปีสองและต้องลิกใช้ตำแหน่งขวัญใจนิเทศแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังรู้จักมันในตำแหน่งนั้นอยู่ดีจะเรียกว่าขวัญใจนิเทศฆ่าไม่ตายก็ได้ล่ะมั้ง" 

              "จริงหรอพี่ เขานับคะแนนผิดป่าวอ่ะ"  ผมถามอย่างไม่น่าเชื่อ ไอ้คนหน้าดุแบบเนี้ยนะคนในคณะเห็นด้วยที่จะให้เป็นขวัญใจนิเทศไม่อยากเชื่ออ่ะ 

              "ถูกดิ คะแนนมันนำโด่งกว่าคนอื่นเลย ไอ้ดงโฮไม่ได้ชนะเพราะหน้าตาอย่างเดียวหรอก แต่นิสัยมันใครๆก็รู้หน้าดุปากหมาแต่ใจกว้าง เห็นแบบนั้นใครขอร้องให้ช่วยอะไรมันก็ทำหมดนะ คนหล่อมักจะดูโดดเด่นในสายตาคนอื่น แต่ไอ้ดงโฮไม่ได้โดดเด่นถึงขั้นสะดุดตาในครั้งเดียว แต่ถ้าลองรู้จักขึ้นมาพี่บอกเลยว่าแอบมองวันละครั้งก็ยังไม่พอ" 

              "หรอครับ"  ผมพูดโดยสายตายังคงมองผู้ชายผมสีน้ำตาลอ่อน ที่ตอนแรกผมกลัวเขามากๆ แต่พอเริ่มปรับตัวได้ผมก็ยังมองว่าเขาน่ากลัวอยู่ดีแต่น้อยลงติ๊ดนึง แต่ในความน่ากลัวบนใบหน้าหล่อดุนั่นก็ดึงดูดให้ผมหยุดมองไม่ได้ซักที ยิ่งตอนที่พี่เขางัดข้อกับอีกฝั่งด้วยท่าทีสบายๆแบบนั้น ผมเองยังแอบคิดเลยว่าพี่เขาเท่ 

              เป็นคนที่หยุดยืนมองไกลๆแบบนี้แล้วมีอิทธิพลต่อสายตาสูงมาก

              ในขณะที่ผมยังไม่เลิกมองพี่เขา พี่ดงโฮก็ดันตวัดสายตามาทางผมอย่างบังเอิญ ทำให้ผมและพี่เขาสบตากัน ผมสะดุ้งเล็กน้อยที่อยู่ดีๆพี่เขาก็หันมา จนตัวเองต้องรีบพูดกับพี่จีฮุน

              "เอ่อพี่จีฮุน พอดีผมนัดพวกหลินไว้ไปก่อนนะครับ!"  ผมไม่ฟังคำบอกลาของพี่จีฮุนด้วยซ้ำ รีบจ้ำเท้าออกจากพื้นที่ตรงนั้นอย่างไว ไม่รู้ทำไมว่าผมกลัวว่าพี่ดงโฮจะคิดไปเองว่าผมแอบมองเขาอยู่ จริงๆก็มองแหละแต่แค่มองเฉยๆไงไม่ได้คิดอะไร จริงไม่รู้สึกอะไรเลย แต่ทำไมกูเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองกลั้นหายใจด้วยตอนที่พี่เขาหันมาสบตากัน บ้าเอ้ยตกใจแน่เลยสายตาพี่เขาออกจะขวางโลกขนาดนั้นจะเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไง 

              "มาซักทีไอ้เตี้ย กูรอตั้งนาน"  เป็นไอ้หลินเองที่ทักผมขึ้น เมื่อผมเดินมายังหน้าตึกคณะซักที

              "ม..มึงรอนานแล้วหรอ"

              "เออดิ ไอ้แซมมันรอไม่ไหวกลับไปแล้ว"

              "หรอ ละ..แล้วมึงจะกลับเลยมั้ยจะได้ไปกัน"  ผมพูดและพยายามเรียกสติตัวเองกลับมา 

              "เออกลับดิ แต่ก่อนกลับมึงไปตึกศิปกรรมเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ กูจะต้องเอาของไปคืนเพื่อนที่คณะนั้น"  ผมพยักหน้าเบาๆตอบตกลง แล้วสะบัดหัวเลิกนึกถึงสายตานั่นของพี่ดงโฮซักที 

              ว่าแต่...ทำไมกูรู้สึกตะงิดกับคำว่าศิลปกรรมจังวะ.....






              
              ผมและไอ้หลินเราเดินขึ้นมาบนชั้นสองของตึกศิลปกรรม เห็นไอ้หลินบอกเพื่อนมันกำลังเรียนอยู่บนชั้นสองนี่แหละ เราเดินผ่านกันไปหลายห้องแล้ว ดูเหมือนเพื่อนไอ้หลินจะอยู่ห้องริมสุดทางเดินเลยมั้ง แต่ก่อนที่เราจะถึงห้องนั้นกลับมีห้องหนึ่งที่มีเสียงคนคุยกันเล็ดลอดออกมาจนผมและไอ้หลินเบรคเอี๊ยดเพื่อเสือกทันที 

              ผมกับมันแอบซุ่มอยู่หลังประตู และด้วยความบังเอิญว่าประตูมันมีช่องกระจกใสเล็กๆสามารถมองเห็นข้างในห้องได้ ทำให้ผมและไอ้หลินได้รู้ว่าสองคนข้างในที่กำลังสนทนากันหน้าเครียดนั้นไม่ใช่ใครนอกจาก

              พี่ซังกยุนและพี่จงฮยอน อิฉิบหายยยยยยย กูว่าแล้วทำไมตงิดกับคำว่าศิลปกรรมก็แฟนพี่จงเขาเป็นเดือนคณะนี้นี่หว่า เชี่ยลืมได้ไงวะ ผมค่อยๆหันหน้าไปมองสีหน้าของไอ้หลินที่ยืนอยู่ข้างผม สีหน้าและแววตาของมันมีความเฉยเมยมากไม่ค่อยแสดงอาการอะไรออกมาเลย แต่ดวงตามันยังคงมองสองคนนั้นข้างในแบบไม่กระพริบตาเลยซักนิด 

              เออกูก็ลืมบอกเรื่องนี้กับมันไปเลยว่ะ ไอ้เชี่ยเอ้ยตอนนี้ในใจมันอาจจะปวดร้าวอยู่ก็ได้ อาจจะจุกจนพูดไรไม่ออก 


              "ช่วงนี้จงเป็นไรอ่ะ เราโทรไปก็ไม่รับสายตลอดเลยอ่ะ"  ผมเลิกสนใจไอ้หลินเมื่อข้างในเริ่มเปิดศึกกันแล้ว 

              "ก็ป่าวไม่ได้เป็นอะไร"  พี่จงตอบเสียงนิ่งแต่พี่เขาดูอารมณ์ไม่ดีมากๆเลย คำพูดและท่าทางสวนทางกันลิบลับอ่ะ หรือจะจริงอย่างที่พี่ดงโฮเคยบอกไว้ว่าความสัมพันธ์คู่นี้เริ่มไม่ลงรอยกันมาสักพักใหญ่ๆ 

              "เฮ้ยเป็นไรก็พูดดิวะ เราไม่ชอบคนงี่เง่านะมันน่ารำคาญ"  คราวนี้พี่ซังกยุนเป็นฝ่ายเริ่มใช้น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ ทำให้แววตาพี่จงเริ่มเปลี่ยนไป สายตาพี่จงเริ่มแข็งกร้าวและมีไฟโมโหอยู่หน่อยๆ 

              "คนเรามันทำอะไรมันต้องรู้ดีแก่ใจอยู่แล้วอย่าแกล้งซื่อได้ป้ะมันน่ารำคาญเหมือนกัน"   เชรดดดดดกูไม่เคยเห็นพี่จงเวอร์เกรี้ยวกราดขนาดนี้ ปกติก็ดูเป็นคนใจเย็นนะพอมาเจอแบบนี้พี่เขาดูน่ากลัวเลยว่ะ อยากรู้จริงๆว่าเกิดอะไรขึ้นกับสองคนนี้วะนี่ขนาดยืนอยู่ข้างนอกนะกูยังอึดอัดแทน 

              "อะไรของจงวะ เป็นบ้าอะไรวะเนี่ย"  พี่ซังกยุนพูดเสียงดังพร้อมกับเสยผมสีดำของตัวเอง ยังกับพยายามระงับอารมณ์เดือดที่กำลังเพิ่มขึ้น

              "อยากรู้หรอว่าเป็นอะไร ลองกลับไปคิดนะคิดได้แล้วค่อยมาคุยกัน"  พี่จงพูดเสียงเรียบและกำลังหันหลังเดินออกมา แต่ทุกอย่างกลับดูรุนแรงขึ้นเมื่อพี่ซังกยุนคว้าแขนพี่จงไว้ แล้วกระชากให้กลับมาคุยกันเหมือนเดิมก่อน 

              "อย่ามาเดินหนีนะ เราไม่ชอบ!!"  พี่ซังกยุนพูดพร้อมกับบีบแขนพี่จงไปด้วย ทีนี้พี่จงดูท่าจะอารมณ์ขึ้นเหมือนกันถึงได้สะบัดแขนพี่ซังกยุนออกอย่างแรง 

              "ไม่ชอบก็เลิกไปเลย!! เราก็เบื่อที่ต้องมีแฟนไม่รู้จักพอ ต่อหน้าอีกอย่างลับหลังอีกอย่าง!!!!"   พอพี่จงพูดแบบนั้นผมนี่เอามือป้องปากเลย โอ้โห้พี่จงตอกกลับพี่ซังกยุนจนพี่เขาสตั้นไปเลย เป็นผมถ้ารู้ว่าแฟนมีคนอื่นก็ต้องเหวี่ยงแบบนี้แหละ

              "ใครบอกจงว่าเรามีคนอื่น จงก็อย่าไปเชื่อขี้ปากคนอื่นดิวะ"  ทีนี้พี่ซังกยุนเริ่มแก้ตัว

              "ทำไมเราต้องไม่เชื่อด้วย ในเมื่อแฟนเราสันดารมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ" 

              "จง!!!"  เอาแล้วพี่ซังกยุนขึ้นเสียงอีกแล้วอ่ะ ดูดิพี่จงโมโหจนน้ำตาเริ่มคลอ คงทั้งโมโหทั้งเสียใจอ่ะ

              "อย่าคิดดิว่าฉลาดอยู่คนเดียว เด็กที่นายคุยด้วยอ่ะเราจำชื่อไม่แทบหมดแล้วนะ!!!"  พี่จงผลักอกพี่ซังกยุนอย่างสุดจะทน ผมเห็นการกระทำนั้นก็ใจหายแว๊บกลัวว่าจะทะเลาะกันหนักกว่านี้แล้วมันจะเรื่องใหญ่ 

              "ก็แค่คุยอ่ะจะอะไรวะ"  พี่ซังกยุนพูดจาแบบน่าถีบออกมาอีกแล้ว 

              "เออ!แค่คุยก็ไปคุยดิ แล้วก็ไม่ต้องมาคุยกับเราอีก!!"  พี่จงประกาศเสียงดัง

              "เออ!ไม่คุยก็ไม่ต้องคุยเลิกกันเดี๋ยวนี้เลย! แล้วอยากไปไหนก็ไปเลยไป!!!!"  พอพี่ซังกยุนพูดแบบนั้น พี่จงเหมือนถูกตบหน้าอ่ะพี่เขาอึ้งไปราวๆห้าวิเลยล่ะ ผมเห็นแบบนั้นก็แอบเป็นห่วงพี่เขาไม่ได้โดนไล่แบบนั้นใครมันจะสตรองไม่รู้สึกเจ็บได้วะ ผมเลยหันไปหาไอ้หลินกะถามมันว่าจะเอายังไง จะทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วเดินผ่านไป หรือจะเข้าไปสงบศึกดี 

              แต่ประเด็นคือพอกูหันไปไอ้เชี่ยหลินมันหายไปแล้ว.... 

              "ฮะ..เฮ้ยหลิน! ไอ้หลิน!มะ..มึงเดี๋ยววว"   ยังไม่ทันที่ผมจะหันกลับมาห้ามมันทัน ประตูห้องนั้นก็ถูกไอ้หลินเปิดเข้าไปเสียงดัง ไอ้หลินเดินตรงไปยืนข้างๆพี่จง พี่จงและพี่ซังกยุนดูงงเล็กน้อยที่อยู่ๆก็มีมันโผล่เข้ามาในสตอรี่พวกเขาซะได้ 


              "หลิน"  พี่จงเงยหน้ามามองไอ้หลิน แววตาพี่เขาแปลกใจมากที่มันมาอยู่ตรงนี้ได้ 

              "พี่ไม่ต้องพูดแล้วพอเหอะ"  ไอ้หลินพูดเสียงเบา มันคงจะไม่อยากได้ยินอะไรตอนนี้ล่ะมั้ง 

              "ไอ้เด็กนี่เป็นใครวะจง"  พี่ซังกยุนถามแล้วมองตาขวางไปทางไอ้หลิน 

              "..........."  พี่จงเงียบไม่ได้ตอบอะไรพี่ซังกยุนกลับไป

              "อ๋อ หรือเด็กใหม่จง ถึงว่าจงเลยเริ่มทำตัวงี่เง่าที่แท้ตัวเองก็อยากเลิกเพราะมีใหม่นี่เอง"  พอพี่ซังกยุนพูดแบบนั้นทำให้ไอ้หลินกำหมัดแน่น แต่ยังดีที่มันยังระงับอารมณ์ตัวเองได้อยู่ 

              "พี่ไม่ต้องรู้หรอกครับว่าผมเป็นใคร รู้แค่ว่าผมไม่เหี้ยแบบพี่แน่นอน"  พอไอ้หลินพูดแบบนั้นพี่ซังกยุนก็เตรียมพุ่งมาหาไอ้หลินเลย ดีนะที่พี่จงเขยิบตัวมากั้นกลางระหว่างสองคนนี้พอดี

              "หยุดนะซังกยุน! ห้ามทำอะไรหลินเลิกทำตัวแบบนี้ซักทีเหอะว่ะ!"  พี่จงพูดและพยายามดันพี่ซังกยุนออกห่างไอ้หลิน 

              "อ๋อ นี่เป็นแฟนกันแล้วดิถึงห่วงกันขนาดนี้ ร้ายเหมือนกันนี่หว่าจง"  พี่ซังกยุนยังไม่เลิกจิกกัดพี่จง ทำให้ไอ้หลินเดินไปยืนข้างๆพี่จงแล้วคว้ามือพี่เขามาจับไว้แน่น 

              "ตอนนี้ยังไม่ได้เป็นหรอกครับ"  ไอ้หลินพูดเสียงนิ่มๆแต่ดูก็รู้ว่ากำลังกวนตีนพี่เขา

              "........."

              "แต่อีกเดี๋ยวก็เป็นแล้ว"  ไอ้หลินยิ้มแล้วก้มลงไปมองพี่จง พี่จงเองก็มองหน้ามันเหมือนกัน ถึงแม้ไอ้หลินจะยังไม่ได้เป็นแฟนพี่จงและแทบไม่มีสิทธิ์ที่จะจับมือเพี่ขาด้วยซ้ำ แต่พี่จงก็ไม่ได้สะบัดมือมันออกไปไหนงี้แสดงว่าไอ้หลินยังมีหวังดิใช่มั้ย 

              "เชี่ยไรวะเนี่ยแม่ง"  พี่ซังกยุนสบถแล้วเดินไปเตะเก้าอี้แถวนั้นเพื่อระบายความโกรธ แล้วจึงเดินมาผลักประตูออกอย่างแรง จนตัวกูแทบจะหาที่หลบไม่ทัน ดีนะพี่เขาหัวเสียออกไปเลยไม่ทันมองว่ายังมีกูอีกหนึ่งตัวที่มาเสือกฟังเรื่องทั้งหมดอย่างใกล้ชิดตามติดทุกความเคลื่อนไหว  ถ้าพี่เขาเห็นกูอาจจะโดนหางเลขไปด้วย กูมาเสือกแบบเงียบๆดังนั้นกูรอดเว้ยยย 

              หลังจากที่พี่ซังกยุนเดินหายวับไปแล้ว ผมก็หันมาดูคู่พระนางในห้องใหม่ ทั้งคู่ต่างยืนหันหน้าให้กันไอ้หลินยังคงจับมือพี่จงไว้แน่น ส่วนพี่จงก็พยายามกลั้นน้ำตาเต็มที่ขนาดโดนไล่ขนาดนี้ยังไม่ยอมให้น้ำตาไหลซักหยดสตรองมาก 

              "พี่เขามีคนอื่นอีกแล้วใช่มั้ย"  ไอ้หลินถามเสียงอ่อน จากที่ฟังแล้วแปลได้ว่าไอ้หลินรู้อยู่แล้วป้ะว่าพี่จงมีแฟนอยู่แล้ว คงมีกูบนโลกใช่มั้ยที่เพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้ 

              ".........."  พี่จงพยักหน้าเบาๆตอบไอ้หลิน นี่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่ทะเลาะกันชัว คงยืดเยื้อจนพี่จงระเบิดออกมาในวันนี้

              "โอเคหรอที่จะจบแบบนี้"  ไอ้หลินถามด้วยความเป็นห่วง ถึงมันจะหวังพี่เขาเป็นแฟนแต่มันก็ไม่ได้บ้าขนาดที่ว่าจะสะใจที่เห็นเขาเลิกกันหรอก 

              "อืมเหนื่อยว่ะแต่สบายใจที่ไม่ต้องมาทนอะไรเดิมๆ"  พี่จงว่าแล้วพยายามฝืนยิ้มและสูดลมหายใจลึกๆพยายามสุดตัวเพื่อไม่ให้น้ำตาไหลลงมา 

              "ผมคงพูดปลอบอะไรพี่ไม่ได้ เพราะผมไม่อยากโกหกว่าตัวเองไม่ได้ดีใจที่พี่เลิกกับเขา"  

              อ่าวอิหลิน นี่มึงแอบดีใจหรอกูก็คิดเอาเองว่าเพื่อนกูเนี่ยพระเอกดีใจไม่ลงที่เห็นเขาแตกกัน นี่ไหนได้อิสัดกูละเมอเอง...

              "และผมจะไม่ขอให้พี่รีบลืมเขาด้วย ผมไม่ต้องการเอาตัวเองไปซ้อนทับพื้นที่ของใคร" 

              "........."

              "ถ้าใจพี่อยากเอาผมเข้าไปเมื่อไรก็ค่อยบอกผมก็ได้"    พอไอ้หลินพูดจบพี่จงก็เงยหน้ามองมัน พี่เขายิ้มบางๆและพยักหน้าให้มันดูแล้วพี่เขาคงจะสบายใจขึ้น อย่างน้อยไอ้หลินก็ไม่ได้รีบเร่งอะไรเข้าใจเรื่องของเวลาดีอยู่เหมือนกัน 

              "ถ้าหลังจากนี้เกิดมีใครมาถามพี่ว่าโดนแฟนทิ้งหรอ ก็ตอบไปว่าเออโดนทิ้ง"  อยู่ดีๆไอ้หลินก็พูดตอกย้ำฉากเมื่อกี้อีกทำไมก็ไม่รู้ พี่จงเลยมีสีหน้าเศร้าขึ้นมานิดหน่อย 

              "แล้วอย่าลืมบอกเขาล่ะ"  พี่จงเงยหน้าขึ้นมาสบตากับไอ้หลิน ไอ้หลินเลยโน้มหน้าลงมาหาพี่เขาเล็กน้อยให้ระยะสายตาพอดีกัน แล้วมันก็พูดประโยคที่ค้างไว้ว่า

              "ว่าคนที่เข้ามาจีบใหม่แซ่บกว่าเยอะ"  ไอ้หลินพูดแล้วเอามือข้างที่ว่างไปดึงแก้มพี่จงเบาๆ ทำตัวมุ้งมิ้งใส่พี่เขาเฉย พี่จงก็ดูจะไหลตามมันถึงได้เผลอหลุดยิ้มกว้างมุมปากยกสวยเหมือนทุกที 

              "ผมขอถามอะไรพี่อย่างได้มั้ย"  ไอ้หลินยังคงพูดตามใจอยากอีกแล้ว 

              "อืม ได้ดิ" 

              พอพี่จงอนุญาติให้ถามได้ อิคนจะถามกลับมีท่าทีแปลกๆ ไอ้หลินไม่กล้าสบตาพี่จง และมันเม้มริมฝีปากอย่างไม่มั่นใจเหมือนกับว่ากำลังเขินในสิ่งที่ตัวเองจะพูดต่อไปนี้อ่ะ 

              "ผมบอกคนอื่นได้แล้วใช่มั้ยว่าผมจีบพี่อยู่"

              ".........."

              "ถ้ามีคนถามว่าผมจีบใครอยู่ ผมตอบได้โดยไม่ต้องไว้หน้าใคร ไม่ต้องเก็บคำตอบที่รู้อยู่แก่ใจตลอดเวลาแล้วใช่มั้ย"

              ".........."

              "ชื่อของพี่ จะเป็นคำตอบของผมได้แล้วใช่มั้ย"

              ".........."

              "จะได้บอกซักทีว่าคนที่จีบชื่อพี่จงฮยอนอ่ะรู้จักป้ะ?"   

              
              ผมได้ยินไอ้หลินพูดประโยคนั้นพร้อมกับจ้องหน้าหน้าพี่จงใกล้ๆ ก็ทำเอาตัวเองอดใช้เล็บขูดกับบานประตูเสียไม่ได้  เพื่อนกูถามอะไรไม่เกรงใจคนโสดแบบกูเลย อิคนนอกแบบกูเนี่ยฟินจนจะกัดลิ้นตาย กูอยากรู้มากจะมีใครแต้มบุญสูงกว่าพี่จงวะ อิสัดแฟนเก่าเป็นเดือนคณะเลิกกันไปเมื่อห้านาทีแล้ว ห้านาทีถัดมาได้ผู้จีนเบ้าดีไม่แพ้คนเก่ามาขอจีบขุนพระบอกเลยชนะมาก แถบจะนั่งพับเพรียบกราบในความโชคดีนี้มาก 

              ผมคิดว่าตัวเองคงอยู่ดูฉากหวานแบบนี้ต่อไปไม่ไหว เลยเดินลงตึกมาแทนให้ทั้งสองคนมีเวลาจีบกันให้พอ และเรื่องของเรื่องคือกูก็กลับบ้านคนเดียวจ้า ตอนแรกว่าจะชวนไอ้หลินไปหาไรกินแถวมอเลิกจ่ะเลิก กลับบ้านไปอย่างโสดๆอยู่ในโหมดไม่มีใครเอามานานนับปี เพื่อนกูก็ไปมีความรักกันทุกคน อ่อเหลืออีแซมแต่ให้กูเดามั้ยอีกไม่นานเดี๋ยวกามเทพก็ลั่นลูกศรอีกแหละกูรู้กูสัมผัสได้ 

              ผมบ่นไร้สาระในใจจนมาถึงโรงรถของคณะที่เอาไว้จอดพวกจักรยานและมอไซต์รวมกัน  ผมเข้ามาปลดล็อคจักรยานตัวเองแล้วเข็นออกมาให้พอขึ้นปั่นได้ แต่พอตัวเองขึ้นไปนั่งแล้วปั่นจักรยานนั้นก็เกิดเหตุฉงนในใจว่า ทำไมปั่นแล้วมันไม่ไปว้ะ... 

              ผมเลยก้มลงไปมองว่าเกิดอะไรขึ้นกับจักรยานตัวเอง และก็ได้คำตอบเต็มสองตาว่า อิเปรตโซ่หลุดเฉย... 
              
              ผมจึงลงจากจักรยานแล้วเอาขาตั้งลง แล้วยืนท้าวเอวคิดประมวลในหัวว่ากูจะเอายังไงกับพาหนะตรงหน้า เรื่องของเรื่องคือผมซ่อมมันไม่เป็น เพราะผมไม่ได้ขี่จักรยานบ่อยนักหรอกนี่มันก็เพิ่งจะหลุดเป็นครั้งแรกด้วย  

              "นี่มึงยืนจ้องจักรยานทำไม"  ผมหันหน้าไปทางด้านข้างเมื่อมีใครบางคนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าจักรยานของผม เมื่อผมเห็นหน้าเจ้าของประโยคนั้นก็แอบกลืนน้ำลายลงคอเล็กน้อย เจอกันกี่ครั้งหน้าแม่งไม่เคยยิ้มให้กูเลยหน้าดุอีกตั่งหาก ถึงจะไม่ค่อยกลัวเหมือนตอนแรกแต่ตัวเองก็ยังเกร็งอยู่ดีอ่ะแก้ไม่หาย 

              "คือโซ่จักรยานมันหลุดอ่ะพี่"  ผมตอบพี่ดงโฮ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่พี่เขาพูดจาขึ้นมึงกูกับผม รู้ตัวอีกทีสรรพนามกูนั้นก็เปลี่ยนไปแล้ว แต่ก็เอาเถอะผมกับพี่เขาก็คิดว่าสนิทกันในระดับหนึ่ง คือจากที่ไม่สนิทเลยตอนนี้เริ่มมีนิดนึงละ 

              "..........."  พี่ดงโฮไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่ใช้มือดันให้ผมหลบไปไกลๆ แล้วก็ย่อตัวลงนั่งดูแถวๆโซ่จักรยานของผม ตัวเองเลยเดินอ้อมไปย่อตัวลงนั่นอีกฝั่ง ดูว่าพี่เขาจะทำยังไงต่อ 

              "พี่ซ่อมเป็นอ่อ"  ผมถามแต่ก็ไม่ได้รับเสียงตอบกลับ คนตรงหน้าผมเพียงแค่กำลังยื่นมือมาจับที่โซ่

              "เฮ้ยพี่ เดี๋ยวเปรอะมือนะ!"  ผมร้องห้ามเมื่อเห็นพี่ดงโฮกำลังเอามือมาจับที่โซ่จักรยาน โซ่มันเปรอะน้ำมันและอะไรอีกมากมายคือถ้าจับมันมือดำแน่นอน 

              "มึงเงียบๆเหอะ"  พี่ดงโฮสั่งแบบนั้นตัวเองเลยนั่งยองๆกอดเข่า โอเคกูไม่พูดก็ได้อยากทำไรก็เชิญ ผมมองพี่ดงโฮที่กำลังจับโซ่จักรยานให้เข้าที่ ผมมองพี่เขาทุกการกระทำเวลาพี่เขาทำสีหน้าจริงจังแบบนี้ก็แปลกดีแหะ 

              "นิสัยมันใครๆก็รู้หน้าดุปากหมาแต่ใจกว้าง เห็นแบบนั้นใครขอร้องให้ช่วยอะไรมันก็ทำหมดนะ"

              อยู่ดีๆประโยคของพี่จีฮุนก็ดังเข้ามาในหัว อาจจะจริงอย่างที่พี่เขาว่าพี่ดงโฮอาจจะเป็นคนใจกว้างกว่าที่ผมคิด ถ้าตัดเรื่องหน้าเถื่อนนิสัยหยาบไม่เคยพูดดีๆกับกู พี่เขาอาจะเป็นคนดีมากในความคิดกูเลย อยู่ดีๆผมก็แอบยิ้มขึ้นเพราะนึกได้ว่าพี่เขามาช่วยซ่อมจักรยานให้ผมทั้งๆที่ตัวเองยังไม่ได้เอ่ยปากขอร้องเลยด้วยซ้ำ 

              นี่อาจจะเป็นข้อดีของพี่เขาที่ทุกคนในคณะชอบหรือป่าวนะ 

              "คงได้แล้วมั้ง"  พี่ดงโฮพูดขึ้นมาทำให้ผมสะดุ้งหลุดจากความคิดที่เข้ามาในหัวแว๊บเมื่อกี้นี้ และตัวเองก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเหมือนกับพี่เขา เราสองคนยืนหันหน้าให้กันมีเพียงแค่จักรยานของผมที่กั้นเราไว้ 

              "ลองปั่นดูดิ"  พี่ดงโฮพูดพร้อมกับเอามือที่เปื้อนคราบดำๆจากโซ่จักรยาน ไปปาดเหงื่อที่ไหลลงแถวๆขมับ จนแถวหางคิ้วของพี่เขาเปรอะคลาบดำจากโซ่เป็นปื้นเล็กๆ 

              "พี่หน้าเปื้อนแล้ว"  ผมพูดพลางชี้หน้าพี่เขาด้วย 

              "........"  พี่ดงโฮใช้หลังมือมือเช็ดแถวหางคิ้วแบบลวกๆ ทำตัวเป็นพระเอกละครไปได้ ที่กูบอกว่าหน้าเปื้อนเนี่ยคือไม่ให้เอามือไปถูเพิ่มทำแบบนั้นมันก็ยิ่งเปอะสิ แล้วไงกูก็ต้องสวมบทนางเอกแล้วบอกคุณพี่เขามั้ยว่ามันเปื้อนมากกว่าเดิมอ่ะ 

              "พี่ผมจะบอกไรให้นะก้มลงมา"  ผมพูดแล้วกวักมือเบาๆให้พี่เขาก้มหน้าลงมา พี่ดงโฮตอนแรกก็ลังเลแต่ก็ยอมก้มหน้าลงมาหาผมจนได้ ตอนนี้ใบหน้าพี่เขาเลยอยู่ระดับเดียวกันกับผม แต่ก็ยังมีระยะห่างเว้นช่องไฟเยอะอยู่ 

              "คราบดำมันเปรอะตรงนี้"   ผมพูดแล้วก็ยื่นมือออกไป ใช้นิ้วชี้จิ้มบริเวณหางคิ้วของพี่เขา

              "........."

              "แต่พอพี่ใช้มือปาดเมื่อกี้ คราบดำมันเลยมาเปรอะถึงตรงนี้"  ผมพูดอีกแล้วใช้สายตาไล่ลงมาดูยังข้างแก้มพี่เขา โดยลากนิ้วลงมาจิ้มบริเวณแก้มที่เปอะคราบดำจางๆ นั่นด้วย ผมไม่รู้ตัวเลยว่าพี่ดงโฮกำลังจ้องผมอยู่ พอผมแพลนสายตากลับมาก็เห็นนัยตาสีน้ำตาลคู่นั้นจ้องผมแบบตาไม่กระพริบ 

              "พี่มองไรอ่ะ"  ผมถามอย่างงงใจ สายตาพี่เขามีอะไรบางอย่าง แถมมุมปากก็แอบยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย

        "ก็มองคนตั้งใจเอามือจิ้มแก้มคนอื่นอยู่" 

           พอพี่ดงโฮพูดแบบนั้นผมจึงเบนสายตาไปมองที่นิ้วชี้ของตัวเอง ที่มันกำลังจิ้มอยู่บริเวณข้างแก้มพี่เขาอย่างลืมตัว ผมมองนิ้วตัวเองสลับกับหน้าพี่เขาไปมา เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไปเลยรีบถอยหลังหนีออกมา แต่เพราะผมไม่ทันมองว่าตอนถอยหลังไปมีรถมอไซต์กำลังขับออกมาจากโรงรถด้านใน พี่ดงโฮเลยดึงข้อมือผมอย่างไวแล้วดึงให้เข้าไปหา 

              ผมที่ถูกแรงดึงมหาศาลนั่นอย่างแรงทำให้ตัวถลาไปหาพี่เขา ยังดีที่มือข้างที่ไม่ถูกดึงเอาไปยันไว้กับอานนั่งตัวเองเลยไม่ชนกับจักรยานแรงมากนัก แต่แรงดึงกระทันหันนั่นก็ทำให้ผมเอาหัวไปกระแทกกับอกกว้างของพี่ดงโฮจังๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมากจนผมเองก็แทบไม่รู้ตัวเลย 

              พอรถมอไซต์คันนั้นขับผ่านไปแล้ว ผมถึงค่อยๆเอาหัวตัวเองออกจากอกแกร่งนั่นแล้วเงยหน้ามองพี่ดงโฮ  พี่เขายังคงจับข้อมือผมไว้อยู่ แม้รู้ว่าข้อมือของผมจะเปรอะคราบดำๆจากมือพี่ดงโฮก็เถอะ แต่ตัวเองกลับรู้สึกโล่งอกและปลอดภัยเมื่อรู้ว่าตัวเองไม่เป็นอะไร ถ้าหากมือพี่ดงโฮไม่มาคว้าข้อมือผมไว้ตอนนี้ผมอาจจะกระเด็นไปนอนกับพื้นแล้วก็ได้  

              "อยากตายอ่อถึงถอยพรวดไปแบบนั้น"  พี่ดงโฮต่อว่าผมทันทีที่สบตากัน

              "ก็พี่นั่นแหละทำผมตกใจ!"  ผมตะโกนตอบกลับไปอย่างหัวเสีย ไม่รู้ตัวเองหัวเสียไรเหมือนกัน หรือแค่กำลังกลบเกลื่อนความรู้สึกแปลกๆในใจก็ไม่รู้ 

                   "กูยังไม่ได้ทำอะไรเลย"  พี่ดงโฮพูดตอบกลับมา 

                   " ก็พี่ล้อผมที่เอามือไปจิ้มหน้าพี่อ่ะ ผมตกใจเลยถอยหนี!"  ผมพูดไปตามความเป็นจริง ถ้าตอนนั้นพี่แกไม่จ้องผมแล้วพูดแบบนั้นออกมา ผมเองก็คงไม่ต้องถอยหนีหรอก 

                   "แค่นั้นอ่ะนะ"  พี่ดงโฮพูดและหัวเราะในลำคอเบาๆ

                   "เออ! แค่นั้นแหละ!"  ผมโวยวายยังไงก็ไม่ยอม ถึงจะเป็นการตกใจด้วยเหตุผลแปลกๆ ฟังไม่น่าขึ้นก็เถอะ... 

                   "มันจะตกใจแค่ไหนกันวะ"   พอพี่ดงโฮพูดจบ พี่เขาก็ย่อตัวลงมาให้หน้าเราสองคนอยู่ในระดับเดียวกัน จากนั้นก็ยื่นมือข้างที่ว่างอีกข้างขึ้นมา ใช้นิ้วชี้จิ้มบริเวณข้างแก้มของผมเหมือนกับที่ผมทำกับพี่เขาเมื่อกี้เลย มืออีกข้างก็ไม่ยอมปล่อยข้อมือของผม แถมยังเอานิ้วมาจิ้มแก้มผมอีก มันยังไงกันวะไอ้ผู้ชายหน้าเถื่อนคนนี้ 

         
               "โรคจิ้มแก้มแล้วตกใจขนาดนั้นอ่ะ เป็นกับกูคนแรกป้ะ? "

                             
              หัวใจผมแอบเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อยเมื่อพี่เขาถามแบบนั้นออกมา ใจจริงก็อยากว่ากลับไปแรงๆแต่ติดตรงที่ว่า ที่พี่เขาพูดมามันเป็นเรื่องจริง นี่ก็เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าตัวเองจิ้มหน้าคนอื่นแล้วจะตกใจ หรือที่จริงแล้วมันจะเป็นกับพี่เขาคนเดียววะ... 

              "ช่างผมเถอะน่า!"  ผมพูดแล้วปัดนิ้วพี่ดงโฮออกไปจากใบหน้า และก็ดึงข้อมือตัวเองกลับมาด้วย พี่ดงโฮมองผมนิดหน่อยแต่ไม่ได้ว่าอะไร จากนั้นพี่เขาก็เดินล้วงกระเป๋ากางเกงเข้าไปในโรงรถด้านใน ก่อนที่พี่เขาจะเดินห่างไปไกลกว่านี้ผมเลยตะโกนพร้อมกับเอามือกำแฮนด์จักรยานไว้แน่น

              "พี่ดงโฮ...เมื่อกี้ขอบคุณที่ช่วยผมครับ!"  หลังจากที่พูดออกไปแบบนั้น ตัวเองก็รีบกระโดดขึ้นนั่งบนอานจักรยานแล้วรีบปั่นหนีออกไปทันที จะให้ทำไงอ่ะปั้นหน้าไม่ถูกอ่ะเมื่อกี้เถียงกันอยู่แล้วกูมาพูดขอบคุณพี่เขาตอนหลัง พี่เขาคงคิดในใจอิเด็กเปรตเพิ่งนึกได้หรอ แต่ยังไงก็ต้องพูดอ่ะพี่เขาช่วยผมทั้งซ่อมจักรยานทั้งช่วยไม่ให้ผมโดนมอไซต์ชน ระดับความอคติกับพี่เขาลดลงสองเปอร์เซ็น 


              แต่การที่พี่เขาเอามือที่เปรอะคราบดำจากโซ่จักรยานมาจิ้มหน้ากูเนี่ย แกล้งกูป้ะว้ะอันนี้ก็ลืมคิด...





              [HYUNBIN PART] 

              ผมเล่นเกมส์ในมือถือพร้อมกับหันไปมองคนที่นอนฟุบอยู่ที่โต๊ะทำงานเป็นระยะๆ ผมนั่งเฝ้าพี่มินฮยอนมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ถ้าให้ผมเดาพี่เขาคงอดหลับอดนอนมาหลายวัน ถึงได้สลบไปทั้งที่ทำงานอยู่บนโต๊ะแบบนั้น ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องมานั่งเฝ้าพี่เขาด้วยแแต่ความรู้สึกบางอย่างสะกดให้ผมต้องอยู่ที่ห้องนี้ ตามจริงแล้วตอนผมเจอพี่มินฮยอนครั้งแรกก็ยอมรับว่าสนใจพี่เขาเหมือนกันแต่ยังไม่ได้มากมายอะไร อาจจะตื่นเต้นบ้างเวลาเจอกันแต่ผมมั่นใจว่าใครๆก็ตื่นเต้นทั้งนั้นเวลาคุุยกับพี่เขา คนอะไรจะดูดีโดยธรรมชาติมันพอดีไปหมดซะทุกอย่าง และพอพี่เขาเอาคิทแคทมาให้ผมหลังจากนั้นในหัวผมก็เริ่มมีพี่เขาแว๊บเข้ามาตลอดเวลา 

              จากที่ไม่เคยมีใครเข้ามาในความคิดผมได้ แต่ตอนนี้กลับมีพี่เขาแทรกเข้ามาในทุกๆวัน ผมไม่เคยคิดถึงหน้าใครเวลาไม่ได้เจอกัน ไม่เคยคาดหวังว่าวันนี้จะเจอใครซักคนหรือป่าว มันเป็นความรู้สึกที่ผมเองก็เพิ่งได้รู้จักเมื่อตอนมาเจอพี่เขาเนี่ยแแหละ 

              "อืออ.."  ผมได้ยินเสียงครางเบาๆมาจากพี่มินฮยอน ทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่าพี่เขากำลังจะตื่นแน่ๆ ผมถึงรีบโยนมือถือใส่กระเป๋าเป้แล้วคว้ามันขึ้นมารีบเดินออกจากห้อง ก่อนที่พี่มินฮยอนจะตื่นขึ้นมาแล้วเจอผมนั่งอยู่ 

              จะให้ผมตอบยังไงถ้าพี่เขาถามผมว่ามานั่งทำอะไรในห้องนนี้ ผมเป็นอะไรกับพี่เขาล่ะถ้าจะตอบว่ามานั่งเฝ้าพี่ไง เราก็แค่พี่น้องในเอกเดียวกัน มันไม่มีเหตุผลอะไรเพียงพอที่จะตอบได้เลยด้วยซ้ำ 

              ผมแอบมองคนในห้องผ่านกระจกใสด้านนอก พี่มินฮยอนลุกขึ้นมานั่งขยี้ตาเบาๆ และมองไปรอบห้องพี่เขาคงไม่รู้ตัวจริงๆนั่นแหละว่าฟุบหลับไปตอนไหนกัน ผมเผลอยิ้มเมื่อพี่เขากำลังเกาหัวยุ่งเมื่อรู้ว่าเอกสารบนโต๊ะยังไม่เสร็จดี  พี่มินฮยอนเลยเก็บเอกสารบนโต๊ะเรียงกันให้เป็นระเบียบแล้วยัดลงกระเป๋าคงจะเอากลับไปทำต่อที่บ้าน  ผมเห็นพี่เขากำลังลุกจากเก้าอี้เพื่อเดินออกมาจากห้องตัวเองเลยรีบถอยหลังไปให้ห่างห้องนี้ 

              ทำให้ดูเหมือนว่าผมแค่เดินลงมาจากตึกและกำลังเดินผ่านหน้าห้องเท่านั้นเอง.

              ผมแกล้งเอามือถือมากดเลื่อนๆดูขระที่เดินไปด้วย เพียงสองก้าวเท่านั้นก็เกือบจะถึงหน้าประตูห้องสโมสร พี่มินฮยอนก็เปิดประตูออกมาทันที ทำให้ผมและพี่เขาหันมามองกันและกันพอดี 

              " อ้าวฮยอนบินเพิ่งกลับบ้านหรอ"  พี่มินฮยอนเอ่ยปากถามทันทีที่เจอหน้าผม ถึงเราจะยังไม่ได้สนิทกันเท่าไรแต่พี่มินฮยอนเป็นคนที่คุยด้วยง่าย ใครๆก็พูดทั้งนั้นว่าพี่เขาเป็นคนที่ตอนแรกนึกว่าจะคุยด้วยยากกว่านี้ แต่ไม่ใช่เลยพี่เขามักจะเป็นฝ่ายเข้าหาคนอื่นก่อนเสมอ 

              "ครับพอดีวันนี้อาจารย์ที่สอนปล่อยช้าน่ะครับ"  ผมตอบโดยธรรมชาติ ไม่ให้มีท่าทางผิดปกติเด็ดขาด

              "อ๋อ งั้นเดินออกไปพร้อมกันมั้ย?"  พี่มินฮยอนถามแล้วยิ้มบางๆให้ผม  ผมบรรยายไม่ถูกเลยว่าคำถามธรรมดานั่นความพิเศษมันมาจากไหนกันถึงทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นซะได้ 

              "ครับ ผมก็...กำลังจะชวนเลย"  ผมยิ้มและเกาหัวนิดหน่อย ให้ตายสิผมว่าตัวเองเริ่มจะมีท่าทางแปลกๆไปอีกแล้ว 


              ผมกับพี่มินฮยอนเราเดินอยู่ข้างกัน ผมไม่รู้เลยว่าจะเริ่มพูดอะไรดีความรู้สึกตอนนี้คืออยากพูดอะไรซักอย่าง ไม่ให้บรรยากาศรอบข้างมันอึดอัดเกินไป แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งนึกคำถามไม่ออกเลยซักประโยคเดียว ได้แต่ใช้สายตาเหล่มองคนข้างๆเป็นระยะเท่านั้น 

              "ดูเหมือนฝนกำลังจะตกเลย"  จนในที่สุดพี่มินฮยอนก็เป็นคนเปิดประเด็นสนทนาจนได้ พี่เขามองตรงไปที่ท้องฟ้าข้างนอกตึก ตอนนี้บรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนอย่างบอกไม่ถูก เปอร์เซ็นที่มันจะตกสูงนั้นสูงมากๆ 

              "นั่นสิครับ ดูเหมือนจะตกแรงด้วย"  ผมพูดและมองไปรอบๆ ทำเป็นสนอกสนใจฟ้ามากกว่าคนข้างตัว

              "ถ้าตกจริง คงต้องอยู่ที่มอจนกว่าฝนมันจะซาลงแล้วล่ะ"  ประโยคนั้นพอผมได้ยินก็พอจะเดาได้ว่า

              "พี่มินฮยอนไม่มีร่มหรอครับ?"  ผมหันไปถามทันที 

              "อืม ไม่เคยพกร่มเลยตั่งหาก"  

              "ทำไมล่ะครับ แล้วพี่ไม่กลัวว่าฝนจะตกลงมาหรอ"  

              "เคยซื้อร่มมาไว้ที่บ้านนะ แต่พอจะเอามาใช้ก็ลืมพกมามหาลัยทุกทีหลังจากนั้นเลยเลิกซื้อ รำคาญเวลาซื้อมาแล้วลืมหยิบมาใช้บางทีพกร่มมามันไม่ตกงี้ยิ่งหงุดหงิดจากนั้นเลยไม่พกร่มมามหาลัยอีกเลย แต่ว่านะถึงฝนจะตกพี่ก็อยู่ในห้องสโมสรจัดเอกสารจนกว่าฝนมันจะหายก็ได้"  พวกเราเดินคุยกันจนมาถึงหน้าตึกคณะและฝนก็ตกลงมาทันทีอย่างไม่น่าเชื่อ ผมฟังที่พี่มินฮยอนพูดก็แอบคิดไม่ได้เลยว่าพี่เขาคนแปลกๆเหมือนกันนะเนี่ย เป็นคนสบายจริงๆนั่นแหละ คนอื่นรำคาญเวลาฝนตกแต่พี่เขารำคาญตัวเองเวลาฝนตกแล้วลืมหยิบร่มมา ยิ่งฟังก็ยิ่งอยากรู้จักด้านอื่นๆของพี่เขามากกว่าเดิมอีก   

              "พี่มินฮยอนครับ"  ผมเรียกพี่มินฮยอนในขณะที่พี่เขากำลังเงยหน้ามองฝนอยู่ 

              "อะไรหรอ"  พี่มินฮยอนหันมามาถามผม 

              "คือผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายืมร่มเพื่อนมาพี่มินฮยอนเอาไปใช้ก่อนเลยก็ได้นะครับ"   ผมยื่นร่มสีฟ้าที่แอบเอาออกมาจากกระเป๋าเป้แล้วยื่นให้พี่มินฮยอน แค่จะบอกว่าให้ใช้ร่มตัวเองยังไม่กล้าเลยจนต้องลากคนอื่นมาซะได้ 

              "เฮ้ยบ้า นายยืมมาแล้วจะให้พี่ได้ไงนายเอาไปใช้เถอะ"  พี่มินฮยอนโบกมือปฎิเสธทันที แต่ยังไงผมก็ต้องให้พี่เขาให้ได้อ่ะ

              "คือว่าร่มมันเล็กน่ะครับกันผมไม่หมดหรอกพี่เอาไปเถอะ ผมมีหมวกอยู่ในกระเป๋าเดี๋ยวใส่กันผมเปียกก็พอครับ"   ผมเอาร้อยเหตุผลมาอ้าง พี่มินฮยอนเห็นผมพูดจาหว่านล้อมทุกวิธีจึงรับร่มไปจากมือผมจนได้ 

              "ก็ได้ ขอบคุณมากนะฮยอนบิน"  พี่มินฮยอนพูดพร้อมกับกางร่มในมือไปด้วย ผมเลยพยักหน้าให้เบาๆ พี่มินฮยอนยิ้มบอกลาให้ผมหนึ่งทีแล้วจึงเดินออกไปด้านนอกตัวตึก ผมยืนมองแผ่นหลังนั้นใต้ร่มสีฟ้าที่คนถือไม่รู้เลยว่ามันเป็นคนผมเอง ได้แต่หวังว่าซักวันหนึ่งจะเป็นวันที่ผมกล้าบอกว่าร่มคันนั้นเป็นของผม และผมนี่แหละจะเป็นคนถือร่มคันนั้นด้วยตัวผมเองจริงๆ 

               ผมที่กำลังตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนออกไป ก็ต้องแปลกใจจนยืนอึ้งเมื่อพี่มินฮยอนวิ่งกลับมาหาผม แล้วใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือร่มดึงแขนเสื้อนักศึกษาของผม ให้ตัวผมนั้นเข้าไปในร่มสีฟ้าคันเดียวกับพี่เขาด้วย  ผมได้แต่กระพริบตาด้วยความงงว่าพี่มินฮยอนทำอะไรของเขาเนี่ย 

              "พอมาคิดๆดูแล้ว"  พี่มินฮยอนยังคงจับแขนเสื้อของผม พร้อมกับเงยหน้ามาพูดกับผมด้วยรอยยิ้มที่ซัดเข้ามาใส่ใจผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันแรงมากกว่าฝนที่ตกตอนนี้เป็นไหนๆ อากาศรอบข้างมันเย็นขึ้นเพราะฝนตกแต่ใจผมตอนนี้กับร้อนระอุเพียงแค่เห็นรอยยิ้มละมุนนั่น   

              ".........."

              "ร่มนี้มันพอสำหรับสองคนนะฮยอนบิน"  

              
              ตึกตัก....ตึกตัก

              ฝนจะตกหนักแค่ไหนแต่ผมได้ยินคำพูดนั้นของพี่มินฮยอนได้อย่างชัดเจน  ถ้าเกิดไม่เป็นการแสดงความรู้สึกของผมตอนนี้มากเกินไป ผมสามารถเดินไปพร้อมกับพี่เขาในร่มคันนี้ได้ใช่มั้ย 

              มันคงไม่มากเกินไปสำหรับเราสองคนตอนนี้ใช่มั้ย ไม่รู้ว่าการที่ฝนตกครั้งนี้มันเป็นโชคดีของผมหรือ โชคดีที่พี่มินฮยอนไม่พกร่มมากันแน่นะ   

              แต่มันเป็นครั้งแรกเลยที่ผมรู้สึกว่า  เวลาฝนตกแล้วไม่มีร่มมันก็ดีไปอีกแบบ 






              "นายแน่ใจนะว่าจะขับรถออกไปได้จริงๆ"  พี่มินฮยอนถามผมเมื่อพี่เขาเดินกางร่มมาส่งถึงโรงจอดรถใกล้ตึกคณะ  

              "แน่ใจครับ ฝนเริ่มซาแล้วด้วยพี่ไม่ต้องกังวลหรอก"   ผมบอกพี่มินฮยอนเพราะสีหน้าพี่เขาดูไม่อยากให้ผมขับออกไปตอนนี้

              "งั้นนายเอาร่มคืนไปเลยก็ได้ พี่ไปขึ้นรถเมลล์แค่ตรงนี้เองวิ่งฝ่าฝนไปคงไม่เปียกเท่าไร"  พี่มินฮยอนว่าแล้วกำลังจะหุบร่มลง

              "ไม่ต้องหรอกครับ! พี่ใช้มันไปเถอะเพื่อนผมมันบอกว่าคืนเมื่อไรก็ได้มันไม่รีบใช้ครับ"  ผมรีบห้ามพี่มินฮยอนไว้เลย ยังดีที่พี่เขาก็ยังยอมทำตามที่ผมบอกโดยการกางร่มนั้นไว้อยู่

              "งั้นหรอ ขอบคุณนายและก็ฝากขอบคุณเพื่อนนายด้วยนะ"

              "ครับ"  ผมพูดตอบและมองหน้าพี่มินฮยอน ก่อนที่จะถึงเวลาแยกกันจริงๆ 

              "ถ้านายและก็เพื่อนนายอยากให้ช่วยอะไรก็บอกนะพี่เต็มใจช่วยทุกอย่าง งั้นพี่ไปนะ"  พี่มินฮยอนพูดแล้วหันหลังกลับไปและเดินออกไปนอกโรงจอดรถเรื่อยๆ ผมยืนกัดริมฝีปากด้วยใจที่ลังเลว่าจะเอายังไงดี ถ้าไม่ให้ตอนนี้อาจจะไม่มีโอกาสอื่นแล้วนะ 

              ผมรีบหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเป้แล้วรีบวิ่งไปหาพี่มินฮยอน ก่อนที่พี่เขาจะเดินออกไปจากโรงจอดรถซะก่อน

              "เดี๋ยวครับพี่มินฮยอน!"  เมื่อผมวิ่งถึงตัวพี่เขา ผมจึงเรียกพี่เขาไว้ก่อนทำให้พี่มินฮยอนหันกลับมา 

              "อะไรหรอ"  พี่มินฮยอนถามผมอย่างแปลกใจ

              "ผมพึ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ขอบคุณที่พี่เดินกางร่มมาส่งผมถึงที่นี่" 

              "......."

              "ยังไงก็ รับนี่ไว้แทนคำขอบคุณด้วยครับ"  ผมพูดแล้วยื่นซองคิทแคทหนึ่งซองไปให้พี่มินฮยอน พี่เขายื่นมือมารับไว้แล้วมองหน้าผม ไม่รู้เลยว่าพี่กำลังคิดอะไรอยู่จะหาว่าผมโอเว่อร์รึป่าวแค่เดินมาส่งต้องเอาขนมบ้าบอนี่ให้พี่เขาด้วย 

              "นี่ นายชอบกินคิทแคทหรอ"  พี่มินฮยอนอยู่ๆก็ถามผมขึ้นมา เล่นเอาผมไปไม่เป็น

              "เอ่อ..ก็ใช่มั้งครับ"  ใช่ผมชอบกินมันมาก และไม่คิดด้วยว่าจะมีวันที่ต้องการแบ่งให้ใครซักคนได้กินและชอบมันเหมือนผม

              "ถึงว่าตอนที่พี่ให้คิทแคทนายวันนั้น สีหน้านายดูดีใจมากเลย"  พี่มินฮยอนพูดพร้อมกับก้มมองคิทแคทในมือตัวเอง

              "ครับดีใจมากจนคิดว่า...ตอนนี้ผมคงหลงรักมันเข้าแล้วล่ะ" 

           ในที่สุดคิทแคทอันแรกผมก็ส่งมันไปถึงพี่เขาซักที อีกเก้าอันก็ขอให้มันเป็นแบบนี้จนกว่าจะถึงอันสุดท้ายด้วยเถอะ...



              [ HYUNBIN PART END] 





               [ DAEHWI PART ]

              วันต่อวันต่อมา 

              "สรุปมึงก็รู้อยู่แล้วใช่มั้ยหลินว่าพี่จงฮยอนเขามีแฟนอยู่แล้ว"  ผมถามไอ้หลินขณะที่ตัวเองและเดอะแก๊งค์กำลังเดินลงบรรไดพร้อมกับคุยกันไปด้วย วันนี้เป็นวันศุกร์เลยวางแผนกันว่าจะไปเดินเที่ยวห้างหาไรกินกันหน่อย 

              "อืม ตั้งแต่ไปขอลายเซ็นแล้วได้ไลน์พี่เขามา กูก็แอดไปคุยกับพี่เขาเลยพี่จงเขาก็ไม่ได้ปิดบังอะไรกูเรื่อแฟนเขาหรอก เขาบอกกูไว้ก่อนเลยด้วยซ้ำว่าเขามีแฟนแล้ว" 

              "แล้วมึงก็ดึงดันจะจีบพี่เขาเนี่ยนะ"  ผมถามกลับ 

              "กูรู้ไงว่าความสัมพันธ์พี่เขากับแฟนไม่ค่อยดี ถึงจะจีบแต่ก็ไม่ได้จีบต่อหน้าคนอื่นเวลาไปหาพี่เขากูถึงต้องลากมึงไปด้วยไง"

              "ให้คนอื่นเขาไม่เข้าใจผิดงี้"

              "ใช่ พี่เขาบอกว่ายังไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่ากูจีบพี่เขาถึงแม้ตัวเองกำลังจะเลิกกับแฟนก็เหอะ"  

              "อ่อ แปลว่าพี่จงตั้งใจจะเลิกกับพี่ซังกยุนอยู่แล้วอ่อวะ"  ผมถามด้วยความตื่นเต้น 

              "อืม พี่เขาก็ระบายกับกูตลอดแหละเรื่องแฟนเขามีคนอื่น"  ผมพยักหน้าตามที่ไอ้หลินเล่า ก็ดีนะที่พี่จงเลิกกับคนแบบนั้นผมเห็นเหตุการณ์เมื่อวานยังทนไม่ได้เลย  ตอนแรกก็กังวลอยู่หรอกว่าไอ้หลินจะไปจีบคนที่มีแฟนอยู่แล้วกลัวมันจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่หากพี่จงตัดสินใจเลิกกับพี่ซังกยุนเพราะพี่เขาเป็นคนหน้าหม้อขนาดนั้นก็ถูกแล้วแหละ ให้พี่เขามาคบกับไอ้หลินซะยังดีกว่าอย่างน้อยผมก็มั่นใจว่ามันไม่ไปมีคนอื่นลับหลังแน่นอน

              "เฮ้ยๆๆ ไอ้เตี้ยแฟนมโนมึงนี่"  เป็นไอ้แซมที่เขย่าแขนผมแล้วชี้ลงไปบริเวณโต๊ะไม้ที่ใกล้กับทางลงบรรไดที่เรากำลังลงอยู่ตอนนี้ จินยองกำลังนั่งเล่นมือถืออยู่ใต้ตึกคณะผมนี่ จะว่าไปช่วงนี้ก็เจอจินยองแถวๆตึกคณะบ่อยเหมือนกัน 

              รึว่าเขาอยากมาวนเวียนใกล้ๆเรา ชิบหายเขิน! 

              "มึงๆๆไปหาจินยองกันเหอะ"  ผมพูดแล้วดึงแขนพวกมันไปด้วย

              "ทำไมพวกกูต้องไปวะ"  ไอ้บินถามหน้าตามันแบบเหม็นเบื่อมาก ที่พอเจอจินยองทีไรกูก็ดี๊ด๊าขึ้นมาทันที

              "เออไปเหอะน่าไปคนเดียวมันก็เขินๆป้ะวะ"  ผมพูดแล้วลากพวกมันมาถึงโต๊ะจินยองจนได้  

              "จินยองงงงงงงง มาทำไรใต้ตึกคณะเราหรอ"  ผมพูดเสียงสดใสทักจินยอง ใบหน้าหล่อที่ผมชอบมองเงยขึ้นมาส่งยิ้มให้กัน

              "อ๋อเรามารอคนรู้จักน่ะ"  จินยองตอบ ผมขมวดคิ้วนิดหน่อยกับคำว่าคนรู้จัก ทำไมอิคนรู้จักเนี่ยมาหากันบ่อยจังวะ 

              "นั่นไง มาแล้ว"  ผมมองไปทางสายตาของจินยอง ก็เห็นจินยองกำลังมองใครบางคนที่เพิ่งลงมาจากบรรไดทางเดียวกันกับที่ผมลงเมื่อกี้นี้เลย และถ้าผมมองไม่ผิดนั่นมันกลุ่มพี่ดงโฮไม่ใช่หรอวะ แล้วไอ้คนรู้จักของจินยองคือคนไหนกัน 

              "เอ่อจินยอง ใครคือคนรู้จักของจินยองอ่ะ"  ผมหันไปถามจินยอง แล้วผมก็ต้องหวั่นในใจเมื่อพอถามคำถามนั้นไป จินยองก็มีท่าทีแปลกๆยังกับเขินที่จะพูดชื่อคนๆนั้นออกมา 

          "คือเรามารอพี่ยงกุกอ่ะ"


              พี่ยงกุกคือผู้ชายเชื้อชาติจีนที่อยู่ในกลุ่มพี่ดงโฮใช่มั้ยถ้าจำไม่ผิด เป็นคนที่ผมไม่ค่อยได้คุยด้วยเท่าไรพี่เขาดูเงียบๆและเข้าถึงยาก ผมมองตรงไปที่กลุ่มพี่ดงโฮที่ตอนนี้กลุ่มพี่เขาเดินเข้ามาถึงโต๊ะตัวที่ผมยืนอยู่แล้วด้วย ผมสบตากับพี่ดงโฮแปปนึงก็ต้องแพลนสายตาไปยังคนที่เดินมานั่งลงตรงข้ามจินยองอย่างพี่ยงกุก และวินาทีต่อมากูแทบยืนไม่อยู่จนต้องถอยหลังไปเกาะแขนไอ้บินอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง  

              เมื่อพี่ยงกุกยื่นมือไปลูบหัวจินยองเบาๆ แล้วพูดด้วยประโยคที่กูว่าแค่คนรู้จักกันแม่ไม่น่าจะถามแบบนี้อ่ะ!



          "ไงรอพี่นานมั้ยจินยอง เดี๋ยววันนี้พี่ขับรถไปส่งที่บ้านนะ"

              คนรู้จักกันเขาพูดกันแบบนี้หรอ อิผีเพิ่งรู้!!!!!  ตอนนี้เหมือนหัวใจผมมันเหมือนกำลังหักดังเป๊าะ! เป๊าะ! เป๊าะ! 
    แล้วยังมีเสียงพรายกระซิบตามมาซ้ำเติมอย่างไอ้แซมอีกว่า

              "ไอ้เตี้ยวันนี้มึงได้ไปร้านเหล้าแทนห้างแน่เลยว่ะ.."

     


           



    100 %









    ____________________________________________________

    talk : ว่างเราก็มาอัพ555555555555 คือแบบนานขนาดนี้เลิกอัพมั้ยคะพี่
    ไม่ค่ะไม่เลิก555555555 จะยุ่งแค่ไหนก็จะอัพค่ะ55555555555 
    ตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไร คือเราก็ไม่รู้ว่าคู่หลักยังจำเป็นอยู่มั้ยถ้าหลินจงจะมาขนาดนี้5555
    ขอบคุณทุกคนที่ยังคิดถึงฟิคเรื่องนี้นะคะ ขอบคุณจากใจเลย 
    ขอบคุณแฟนอาร์ตในทวิตเตอร์ด้วย เราเห็นแล้วแบบน้ำตาแทบล่วง

    เป็นกำลังใจให้เขาได้ที่แท็กเหมือนเดิม #ฟิคหวีลิตเติ้ล 


    tlak 2:  มาแล้ววววครบแล้วววววววอิอ งานเข้าแล้วจ้าาาาานุ้งหวี5555
    ติดตามรอตอนหน้าได้เลยนะคะ ขอบคุณทุกคนที่ติดแท็กให้กำลังใจ
    ขอบคุณคอมเม้นที่ยังคิดถึงกันนะคะ ซึ้งใจมากๆค่ะ
    จะพยายามมาอัพให้จบให้ได้ค่ะ! 







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×