ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC PRODUCE101] ตัวเล็กสเป็คหมี(เถื่อน) ♡ #แบคฮวี

    ลำดับตอนที่ #8 : EP 07 : น้องรหัส

    • อัปเดตล่าสุด 2 ส.ค. 60


    ★STAR




    LITTLE #STRONG
    EP.07 : น้องรหัส










               "วันนี้ผมอยากกินน้ำเปล่า คุณกินกาแฟปั่นแทนผมแล้วกัน"
    .         
              กูร้องเหี้ยในใจดังมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เมื่อพี่แกพูดแบบนั้น เวรแล้วไงมึงว่าจะเล่นพี่เขา แต่กลับโดนพี่เขาเล่น แบบไม่ทันคาดคิด ไงล่ะมึงทีนี้เค็มขึ้นตาแน่แดฮวีเอ้ยยยยย!!!!!!!!

              "คะ.คือ  พี่กินเถอะผมไม่กินกาแฟอ่ะ"  ผมพูดแล้วยิ้มแห้งๆ แล้วยื่นแก้วกาแฟไปให้พี่ดงโฮ

              "ทำไมล่ะ ในใบประวัติคุณก็ไม่ได้เขียนนี่ว่ากินกาแฟไม่ได้"  

              อ่ะเสือกแม่นประวัติกูอีก อยากจะรู้ว่าคนส่งใบประวัติมีกูคนเดียวปะอิห่า อะไรจะจำแม่นขนาดนั้น เพื่อนกูยังไม่ใส่ใจกูขนาดนี้เลย 


              "คือผมไม่ชอบกินกาแฟอ่ะ"  ผมหาเหตุผลมาอ้างอีก

              "แต่คุณซื้อมาแล้ว ผมเสียดายเงินเพราะงั้นคุณต้องกิน"  

              กูนี่แทบมองบนคือเงินก็เงินกูมั้ยอ่ะ หน้าที่เสียดายมันคือกูไม่ใช่พี่เขามั้ย ไม่ต้องมาจิตใจโอบอ้อมอารีเสียดายเงินแทนกูตอนนี้ได้ป้ะ อีความเสียดายเงินของพี่เขาอ่ะกำลังจะฆ่ากูด้วยอีกาแฟมหันตภัยแก้วนี้นี่แหละ

              "แต่ว่า..."

              "ไม่มีแต่ทั้งนั้นกินซะจะได้ขึ้นห้องเรียน"  

              เมื่อพี่ดงโฮสั่งคำขาด ผมเลยยกแก้วกาแฟกลับคืนมาด้วยมือสั่นๆ กระพริบตาปริบๆว่ากูจะรอดมั้ยถ้าแดกกาแฟแก้วนี้ ผมหลับตาปี๋แล้วบังคับปากให้งับหลอดแก้วกาแฟอย่างจำใจ และใช้แรงดูดน้ำขึ้นมาอย่างช้าที่สุดเท่าที่ทำได้  

              คุณพระคุณเจ้าได้โปรดส่งใครมาช่วยลูกด้วยยยยยยยยยยย

              "อ้าวแดฮวี?" 

              "ห้ะ" 

              ผมลืมตาทันทีเมื่อได้ยินคนเรียกชื่อตัวเอง  ปากที่ตอนแรกงับหลอดอยู่ก็ปล่อยออก ผมมองผู้ชายที่ยืนยิ้มกระแทกใจและถือจานข้าวอยู่ตรงหน้าโต๊ะของผมกับพี่ดงโฮ 

              จะ..จินยอง  


              โห้พระเอกมาทันเวลาพอดีเลยอ่ะ อย่างกับในหนังแน่ะเวลานางเอกเดือดร้อนทีไร พระเอกจะมาทันเวลาตลอดเลย โอเคไม่ต้องไปหาหมอดงหมอดูและ เนี่ยอ่ะเนื้อคู่กูชัดๆ ผมนี่รีบยกนิ้วก้อยขึ้นมาดู ไม่แน่มันอาจะมีด้ายแดงบาง ๆ พันอยู่ก็ได้ กูว่าแม่งใช่อ่ะจินยองแม่งต้องใช่เนื้อคู่กูแน่ๆ ต่อไปนี้กูจะคิดแล้วว่าตัวกูนั้นเป็นของจินยองคนเดียว เนื้อคู่กูเกิดแล้วโอเคถึงแม้ภายนอกเราจะโสดอยู่ในโหมดซิงโครตๆ  แต่ถ้าใจเราเป็นของเขาก็คือเราเป็นของเขานั่นแหละ บางทีสถานะแฟนเราเข้าใจคนเดียวรับรู้คนเดียว ยิ้มลำพังหัวเราะลำพังมโนลำพังก็พอมีฟามสุขจะตาย ความรักเป็นเรื่องของคนสองคนก็จริง แต่นี่มันเรื่องของกูไง ความรักกู...กูเริ่มคนเดียวคิดคนเดียวจบมั้ย

              "จะ..จินยองมากินข้าวหรอ"  ผมถามเมื่อเริ่มตั้งสติได้ 

              "อืมใช่ นั่งด้วยได้ป้ะ"  ผมพยักหน้ารัวๆ แล้วรีบเขยิบให้จินยองนั่งข้างตัวเอง โดยลืมบุคคลตรงหน้าไปเลย

              "หวัดดีครับ"  จินยองยิ้มแล้วยกมือไหว้พี่ดงโฮ พี่ดงโฮพงกหัวรับไหว้เล็กน้อย 


              "มากินข้าวกับพี่เขากันสองคนอ่อ?"  จินยองถามผมเบาๆ สายตาจินยองดูแบบตื่นเต้นหน่อยๆ 

              "ป่าว! พี่เขาใช้เราไปซื้อกาแฟให้อ่ะ ไม่มีไรเลยจริงๆนะ"  ผมรีบพูดแล้วส่ายหน้ารัวๆ อิผีความรักกูจะมาจบตรงนี้ไม่ได้ จินยองจะเข้าใจผิดไม่ได้นะอย่าคิดอะไรสยดสยองแบบนั้น 

              "ฮ่าๆเราล้อเล่น แล้วแดฮวีกินข้าวมายัง?"  จินยองหัวเราะชอบใจแล้วถามผมต่อ บางทีจินยองก็ล้อเล่นเหี้ยไรที่ทำใจกูไม่ดีเลย อยากจะบอกเหลือเกิ๊นนนว่าไม่ได้คิดอะไรกับอิพี่ตรงหน้าเลยย ที่คิดเนี่ยคือมึงเว้ยยย คือมึงคนที่หล่อแสนดี เจอกี่ทีก็ชวนกูแดกข้าวเป็นห่วงเป็นใยท้องกูเสมอคือมึงไงเข้าใจมั้ยยยย!! 

              "ยังเลยเรากินนมไปกล่องเดียวเอง"  

              "หรอ กินเตี๋ยวเป็ดกับเรามั้ยอ่ะเรากินไม่หมดหรอก" 

              "แต่ว่า"  ผมกำลังจะปฎิเสธแต่โดนจินยองห้ามไว้ก่อน

              "เอาน่า"   จินยองพูดแล้วคีบเส้นเล็กในชามขึ้นมาเปาสองสามที แล้วคีบส่งมาตรงหน้าผม พร้อมกับยกถ้วยก๋วยเตี๋ยวถือไว้ด้วย 

              "ช่วยเรากินหน่อยนะ"  จินยองพูดแล้วส่งยิ้มสดใสมาให้อีก   

              รู้มั้ยอีช่วงเวลาแบบนี้มันเรียกว่าอะไร โมเม้นต์ไง โมเม้นนนนนนนนต์  เวลาเจ็ดนาฬิกาสามสิบห้านาที อีแดฮวีมีโมเม้นต์กับแบจินยอง คุณพระนี่เราฝันไปหรือป่าว เขาชวนเรากินข้าว เขาเป่าเส้นก๋วยเตี๋ยวร้อนๆป้อนให้เรากิน เขายิ้มให้เราวันละหลายๆรอบ แม่งเอ้ยกูต้องเขินวันละกี่รอบ กูต้องอุทานคำว่าผัวในใจอีกกี่ที ขอฮาวทูทำยังไงถึงจะได้แบจินยองมาเป็นแฟนทั้งชีวิตวอนผู้รู้ช่วยตอบที อีแดฮวีคนนี้จะเป็นบ้าแล้ว! 

              "ขอบใจนะจินยอง"  ผมยิ้มกว้างแล้วยื่นหน้าเข้าไป ใช้ปากงับเส้นก๋วยเตี๋ยวที่จินยองคีบไว้ด้วยตะเกียบแบบเก้ๆกังๆ ผมเคี้ยวเส้นเล็กตุ้ยๆในปาก แม้จะรู้จากใครหลายๆคนมานานแล้ว ว่าจินยองเป็นพวกปรุงอาหารได้ครบทุกรส ขาดแค่รสเดียวคือรสชาติที่อร่อยก็ตาม... 

              ผมไม่สามรถบอกได้เลยว่าไอ้ในปากเนี่ยคือก๋วยเตี๋ยว รสชาติแม่งสับสนฉิบหายเหมือนจะอร่อยแต่ก็ไม่อร่อย เหมือนรสชาติจะกลางๆแต่ก็พูดได้ไม่เต็มปากว่ามันโอเค ประเมินดูแล้วถ้าเกิดเราแต่งงานกันไปจินยองห้ามเข้าครัวเด็ดขาดนี่จะเป็นกฎเหล็กของบ้านเรา 

              "แหะๆ อร่อยดีอ่ะจินยอง"  ผมพูดแบบฝืนยิ้ม ถึงแม้มันจะไม่อร่อยแต่เราก็ต้องบอกว่ามันอร่อย  

              "เอาอีกคำมั้ย?"  จินยองพูดแล้วหันไปคีบเส้นในชามอีกรอบ กูนี่ต้องรีบเบรคความหวังดีนั้นไว้เลย 

              "ไม่เป็นไรๆ เราอิ่มแล้วอ่ะจินยองกินเถอะ"  

              "โอเคๆ งั้นแดฮวีอยากกินอีกก็บอกนะ"  ผมพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็นั่งมองจินยองกินก๋วยเตี๋ยวไปเรื่อยๆ จินยองเนี่ยทำอะไรก็ดูดีไปหมดเลย ใบหน้าเรียวเล็กแต่ก็หล่อมากๆดูสดใสและก็ผ่อนคลายเวลาอยู่ด้วย เจ้าชายอ่ะนี่มันเหมือนมีเจ้าชายมานั่งอยู่ข้างๆ

              มัวแต่สนใจเจ้าชายด้านข้าง เลยลืมว่ามีอีกเจ้าเหมือนกัน เจ้ากรรมนายเวรตรงหน้ากูนี่ไง...  พอผมหันไปเห็นสายตาพี่ดงโฮที่จ้องเขม็งมาที่ผมและจินยอง ตัวเองก็แอบสะดุ้งเล็กน้อย ไม่รู้พี่เขาจะจ้องอะไรผมกับจินยองนักหนา ตัวเองเลยนั่งตัวเกร็งไปด้วยเลย

              "เราอิ่มแล้วอ่ะ เดี๋ยวเราจะขึ้นตึกแล้วนะ"  จินยองหันมาพูดกับผม พลางวางช้อนกับตะเกียบลงในชาม

              "อืม เดี๋ยวเราจะขึ้นแล้วเหมือนกัน"

              "โอเคงั้นค่อยเจอกันใหม่นะบาย"  จินยองยิ้มจากลา พร้อมกับยกชามก๋วยเตี๋ยวเข้าไปเก็บในโรงอาหาร เวลาอันมีความสุขมันช่างน้อยนิดเท่าขี้มด ต้องวกกลับมาเจอวิบากกรรกรรมของชีวิตอีกรอบกับคนตรงหน้ากู พี่ดงโฮนั่งดูดน้ำทำสายตาสงสัยเล็กๆมาให้ผม  เหมือนเขาจะข้องใจอะไรบางอย่าง

              "ชอบมันอ่อไอ้หน้าช้อนเมื่อกี้" 

              กูแทบหงายหลังล้มตึงไปกับโต๊ะ เมื่อพี่ดงโฮเรียกจินยองคนดีของกูว่าไอ้หน้าช้อน ถึงจินยองจะหน้าเล็กมากแต่กูก็ไม่อนุญาติให้พี่แกเรียกแฟนอนาคตของกูด้วยชื่อนั้น ล้อกูกูยังทนได้แต่มาล้อหน้าแฟนในอนาคตกูกูไม่ยอม! กูต้องโกรธเผื่อไว้ก่อน ซ้อมไว้เผื่อสักวันจะได้เป็นตัวจริง ถึงจินยองจะหน้าเล็กหรือมีข้อบกพร่องตรงไหนกูก็ไม่สน กูเป็นจินยองเลิฟเว่อร์เข้าใจมั้ย! ความหล่อที่แท้จริงต้องมาจากภายในเว้ย! เห็นกูบ้าผู้ชายแบบนี้กูก็มองคนที่ภายในนะจะบอกให้ เรื่องความหล่อของจินยองถือว่าเป็นของแถม ถือว่าเป็นของสมนาคุณให้กูที่กูเลือกคนดีๆเข้ามาในชีวิต! 

              "ได้โปรดอย่าเรียกเพื่อนผมว่าไอ้หน้าช้อน"  ผมพูดพร้อมกับทำหน้าบึ้งไม่พอใจ 

              "จะสมหวังหรอดูท่าแล้วยาก"  พี่ดงโฮพูดพร้อมกับเท้าคางทำหน้าตาแบบเย้ยหยันกูสุด เห็นท่าทางแบบนั้นก็อดแอบกำหมัดใต้โต๊ะไม่ได้ แหมดูถูกดูแคลนกันนักรอก่อนเหอะถ้ากูได้จินยองมาเป็นแฟนนะ กูจะพาเดินอวดรอบคณะซักสิบรอบ กูจะฉลองแอนนิเวอร์เซอร์รี่กันทุกๆสิบวันใต้ตึกคณะเลยอิดอก หมั่นไส้แม่ง! 

              "มันก็เรื่องของผม!"  ผมพูดแล้วสบัดหน้าไปทางอื่นอย่างไม่สบอารมณ์ 

              "ก็แค่เตือน"  พี่ดงโฮยักไหล่แบบไม่ยี่หระอะไรมากนัก เหมือนมั่นใจมากๆว่ากูจะนกอ่ะ ทำไมอ่ะเอาอะไรมามั่นใจเบอร์นั้น แค่ดูจากรูปการณ์สันนิษฐานได้ทันทีเลยหรอว่ากูจะต้องนก โห้ความรักของกูเนี่ยเป็นไปได้ยากยิ่งกว่าห้องปิดตายอีกหรอ เครียดเลยเครียด

              พี่ดงโฮพูดแค่นั้นแล้วก็ลุกไปจากโต๊ะ โดยไม่หันมามองผมอีก เออแบบนี้ก็ได้ว่ะมาพูดให้กูเสียกำลังใจ แล้วเดินหนีไปเลย คนเขามีหัวจิตหัวใจป้ะแกร์ ฉันก็รักของฉันอ่ะเข้าใจบ้างมั้ย เออกูอาจจะชอบคนที่ได้มายากไปนิดนึง เผลอๆชาตินี้อาจจะไม่ได้ด้วย งั้นขอชาติหน้าก็ได้เอาแบบจินยองซักสิบคนมารุมจีบเลยงี้อ่ะ 

              ผมมัวแต่นั่งตัดพ้อและบ่นกับตัวเองอยู่ที่โต๊ะ เลยไม่ได้มองเลยว่ามีคนมายืนที่หน้าโต๊ะอีกรอบ

              "แดฮวี"   ผมหันไปมองทางต้นเสียงจากดวงตาเศร้าๆ กลายเป็นวิบวับทันทีที่เห็นว่าเป็นจินยอง อ่าวจินยองเดินกลับมาหาเราทำไมวะ จินยองอาจจะนึกขึ้นได้ว่าทำอะไรหล่นไว้ตรงนี้ เช่นหัวใจของกูอ่ะแอบปาไปหาเขาสิบรอบได้ละมั้ง ปาไปก็เหมือนยุงบินเข้าไม้ตียุง ร่วงเอาร่วงเอา...

              "มีไรป่าวอ่ะจินยองไหนบอกจะขึ้นตึกเลยไง" 

              "อืมก็ว่าจะขึ้นตึกเลยแหละ แต่เราจะไปหาคนรู้จักที่ตึกคณะแดฮวีก่อน เลยจะมาถามว่าเดินไปด้วยกันมั้ย" 

              ไม่รู้ว่าประโยคก่อนหน้าจินยองพูดว่าอะไร หูกูมันโฟกัสแค่ประโยคที่ว่าเดินไปด้วยกันมั้ย แม่งดังแอ็คโค่อยู่ในหูขวาทีซ้ายที อิฉิบหายเราจะตัดประโยคก่อนหน้าแล้วเหลือแค่ประโยคที่เราชอบได้ยังไง ใครสั่งใครสอนให้กูเป็นคนขี้มโนขนาดนี้ ใครไม่ชงกูชงเองเลยแบบนี้ก็ได้หรอ ตอนนี้คำพูดอีพี่ดงโฮจะว่ายังไงก็ชั่งหัวแม่งแล้ว กูไม่สนกูจะชงจนกว่ากูและเขาจะได้กัน! 

              "ไปดิๆๆๆ "  ผมรีบกระโดดออกจากโต๊ะทันที แล้วไม่ลืมหยิบอิแก้วกาแฟนรกนั่นมาทิ้งด้วย  



              ผมเดินออกจากโรงอาหารมาพร้อมกับจินยอง  เราสองคนเดินห่างกันนิดหน่อย รอบข้างที่เราเดินมีต้นไม้สูงใหญ่ตลอดทาง ลมก็แรงกำลังพอดีใบไม้แอบปลิวพอสร้างบรรยากาศ เหมือนคู่รักเดินเดทกันกลางสวนสาธารณะอะไรแบบนี้ ในขณะที่จินยองเดินไปข้างหน้าแล้วมัวแต่มองรอบข้างอย่างสบายใจ ผมก็แอบถอยหลังไปสองก้าวไม่ให้จินยองรู้ตัว จัดการใช้มือยกมือถือขึ้นมาเปิดแอพกล้อง แล้วใช้นิ้วมือข้างที่ว่างยื่นเข้ามาในเฟรมทำนิ้วเป็นรูปมินิฮาร์ทึ โดยด้านหลังมินิฮาร์คือจินยองของผมเอง ผมกดถ่ายทันทีด้วยความรวดเร็วเพราะกลัวจินยองจะหันมาเห็นซะก่อน ผมมองรูปที่ถ่ายออกมาแล้วยิ้มกว้างแอบดีใจเล็กๆถึงจะเป็นรูปที่ไม่ได้ขอเจ้าตัวถ่ายแต่ผมก็ชอบมัน

              "ทำอะไรอยู่น่ะแดฮวี"  เหมือนจินยองจะรู้ตัวแล้วว่าผมไม่ได้เดินตามมา เลยหันหลังกลับมาถามผม ตัวเองเลยรีบยัดมือถือลงกระเป๋ากางเกงแล้วตะโกนตอบไปว่า

              "ไม่มีไรหรอก เราแค่หยุดมองบางอย่างน่ะ"   ผมพูดแล้วฉีกยิ้มกว้างรีบวิ่งไปเดินข้างๆจินยองเหมือนเดิม  เช้านี้มันแฮปปี้กว่าเช้าไหนๆจังเลยแหะ  การได้เดินข้างคนที่ชอบแล้วแอบมองเขาเป็นระยะๆเนี่ย มันมีความสุขจังเลยอยากให้ระยะทางมันไกลกว่านี้จริงๆสิน่า

              จากนั้นไม่นานผมกับจินยองก็เดินมาถึงใต้ตึกคณะนิเทศ เราหยุดยืนอยู่ตรงบันไดทางขึ้น ถึงเวลาแยกกันอีกแล้วสินะ ถ้ารวยจะขอซื้อเวลาเรียนทั้งหมดมานั่งจ้องจินยองทั้งวันเลย ติดอย่างเดียวคือจนมากนี่แหละ ใดๆล้วนไม่ได้มาง่ายๆ แม้แต่ผู้ชายที่ยืนอยู่ห่างกันไม่ถึงห้าเซ็นต์ 

              "งั้นเราขึ้นห้องก่อนนะ"  ผมพูดแล้วยิ้มบางๆให้จินยองหนึ่งที จากนั้นก็เตรียมเดินขึ้นบันไดไป แต่ทุกอย่างก็ต้องหยุดลงเมื่อไหล่ของผมถูกดึงไว้ด้วยคนข้างหลัง ทำให้ตัวเองหันกลับมาหาจินยองอีกรอบ 

              "มีอะไรหรือป่าวจินยอง"  ผมถามแบบงงๆ  เมื่อจินยองยังไม่ปล่อยมือจากไหล่ของผม แหม่อยากจะบอกว่าไหล่ไม่ได้ให้ใครจับง่ายๆ จับไหล่เราเนี่ยมาเป็นกับแฟนเรามั้ย เธอจะไม่ได้จับแค่ไหล่เราแน่ๆตายคิดไรเนี่ยบ้าๆๆ 

              "อยู่เฉยๆนะแดฮวี"  ผมกระพริบตาปริบๆ เมื่อจินยองย่อตัวลงมา ใช้ใบหน้าเลื่อนเข้ามาใกล้กับใบหน้าผม จากสถานะการณ์ติดตลกเมื่อกี้นี้ของกู ตอนนี้มันเปลี่ยนเป็นติดขัด ลมหายใจกูเนี่ยติดๆขัดๆ จินยองจะเข้ามาใกล้แบบนี้ไม่ได้กูลืมวิธีหายใจเข้าแล้วนะเนี่ย หัวใจมันเต้นผิดจังหวะด้วยหรือป่าวก็ไม่รู้ 

              "พู่ววววววว"  ผมหลับตาทันทีที่จินยองเป่าลมเบาๆมาตรงแถวกลางหน้าผาก ทำให้หน้าม้าบางๆของผมแตกกันนิดหน่อย ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมามองสบกับจินยอง จินยองยิ้มใจดีส่งมาให้ผมแล้วใช้นิ้วมือเรียวนั่น จัดการจับแต่งหน้าม้าของผมให้เป็นเหมือนเดิม 

              "เมื่อกี้มีเศษใบไม้ติดผมอ่ะ เราเลยเป่าออกให้"   จินยองพูดแล้วยืดตัวตรงเต็มความสูงเช่นเดิม ทำให้ผมสามารถหายใจคล่องขึ้น แต่อาการตะลึงยังคงมีอยู่ผมเลยกระพริบตาสองสามครั้ง จินยองแน่ใจนะว่าเป่าเศษใบไม้ออกให้ ไม่ใช่เล่นของใส่กูทำไมรู้สึกเหมือนหลุดไปอีกโลก โลกที่เต็มไปด้วยสีชมพูผมมองหน้าจินยองแม่งมีแต่หัวใจลอยดึ๋งดั๋งรอบตัวจินยองไปหมด 

              "แดฮวีเป็นอะไรหรือป่าว"  จินยองถามแล้วเอียงคอมองผมหน่อยๆ 

              "ปะ..ป่าวไม่เป็นไรเลย สบายมาก"  

              สบายมากแค่รู้สึกอีกห้าวิกูจะยืนไม่อยู่แค่นั้นเอง  หายใจเข้าลึกๆแดฮวีหายใจเข้าไว้ บอกตรงๆเมื่อกี้ตื่นเต้นมากตอนจินยองเป่าลมใส่หน้านี่แบบมึงเอ้ย เหมือนได้ยินเสียงระฆังวิวาห์ดังแต๊งๆอยู่ในหัววนไปวนมา 

              "งั้นเราไปแล้วนะ แล้วเจอกัน"  จินยองยิ้มกว้างด้วยความสดใสแล้วโบกมือลา ผมก็ได้แต่ยืนยิ้มตาละห้อยเม่อลอยเหมือนคนบ้า เดินโซซัดโซพยุงร่างไร้วิญาญาณขึ้นบันได ใช้มือจับที่หน้าผากและบังคับขาตัวเองให้เดินตรงๆทาง ตอนนี้กูบอกเลยมองทางไม่ค่อยเห็น ตายจริงความรักมันบังตา 

              ในที่สุดผมก็เดินมาถึงห้องเรียน พอเปิดประตูเข้ามาแล้วมองไปที่ด้านหน้าห้อง ก็ยังไม่เจออาจารย์ประจำวิชา สงสัยท่านจะเข้าสอนเลทเหมือนทุกที ผมเลยเดินเข้ามาข้างในตรงไปที่เก้าอี้หลังสุดของห้อง ที่มีเพื่อนหล่อทั้งสามตัวที่นั่งเรียงกันอยู่ คนที่นั่งติดฝาผนังห้องคือไอ้ฮยอนบิน ถัดจากไอ้บินคือไอ้หลินและเก้าอี้ว่างถัดมาคือที่ของผม และคนสุดท้ายก็คือไอ้แซม  ผมเดินกอดอกตัวสั่นระริกเข้าไปนั่งที่ของตัวเอง พวกมันทั้งสามตัวเลยมองผมด้วยสายตาแปลกๆ

              "มึงหนาวหรอเตี้ยทำไมสั่นแบบนั้นวะ"  ไอ้ฮยอนบินท้าวคางหันมาถาม 

              "ปะ..ป่าว กูไม่ได้หนาว"  

              "แล้วมึงเป็นอะไร"   ทีนี้เป็นคำถามจากไอ้แซม

              "กู-อยาก-เป็น-แฟน-จิน-ยอง-จน-ตัว-สั่น"  พอลั่นประโยคนั้นไป ไอ้เพื่อนทั้งสามตัวหันมาเบ้หน้าใส่พร้อมกับตะโกนเสียงดังพร้อมกันว่า

              "อยากเจอตีนสั่นใส่หน้ามั้ยไอ้เตี้ย!!"  เท่านั้นแหละกูเลิกตัวสั่นเลย ก็แหมอยากเล่นนิดเล่นหน่อยคนกำลังอารมณ์ดีดี๊อ่ะ  

              "ดูท่าทางอารมณ์ดีนะมึงเนี่ย"  ไอ้แซมพูดแบบนั้น ผมเลยอวดมันเรื่องจินยองทันที

              "เมื่อเช้าจินยองมาส่งเก๊าหน้าตึกด้วยแหละ"  พูดแล้วทำเสียงแอ๊บแบ๊ว เขินจังเหมือนมีแฟนมาส่งเลย

              "ถ้าให้กูเดาเขามาหาคนรู้จักที่นี่ เลยเดินมากับมึงแล้วมึงก็มโนต่อเอาเอง"  ไอ้ฮยอนบินเเป็นคนเดาและเสือกถูกด้วย ทำไมมึงถึงคาดเดาเหตุการณ์ได้รวดเร็วแบบนี้ กูอุตส่าห์จะใส่สีตีไข่ว่าเขาอยากมาส่งกูถึงห้องเรียน แต่กูก็ปฏิเสธเพราะกลัวคนอื่นอิจฉา

              "เออน่า!มาหาใครก็ช่างเขาเดินมากับกูก็พอแล้วมั้ยยุ่ง!"  

              "โด่แค่นั้นทำเป็นดีใจ"  ไอ้แซมหัวเราะเบาๆคล้ายกับเยาะเย้ยผม  ดูพวกมันแม่งดิไม่เคยเข้าข้างกูเลยอ่ะ 

              "มึงไม่รู้อะไร! มึงต้องเห็นสายตาจินยองที่มองกู เขามองกูด้วยสายตาที่อ่อนโยน"  ผมพูดแล้วกุมมือนึกย้อนไปเมื่อห้านาทีที่แล้ว ที่ผมกับจินยองอยู่ด้วยกัน ท่าทางของผมทำเอาไอ้ฮยอนบินเบะปากแล้วพยักหน้าเบาๆ อารมณ์แบบหรอๆขนาดนั้นเลย เห็นแล้วอยากถีบหน้าแม่ง 

              "ฮึ่ย อ่อนโยนหรือเวทนาเอาดีๆ อย่าสับสนนะมึง"  ผมตบหัวไอ้แซมทันทีที่มันพูดจาหมาๆแบบนั้น 

              "เวทนาพ่อง! กูรู้สึกได้ว่าจินยองต้องรู้สึกดีกับกูบ้างแหละ เขาใส่ใจกูมากนะถามกูตลอดเลยว่ากินข้าวยัง เนี่ยห่วงกูชัดๆ"  ผมพูดแล้วทำหน้ามั่นใจระดับสิบคูณล้าน

              "มันอาจจะเป็นประโยคทักทายของเขาก็ได้ ใครๆก็ถามป้ะกินข้าวยังเบสิคว่ะ"  ไอ้แซมพูดพร้อมกับยักไหล่ทั้งสองข้าง กูเลยต้องงัดโมเม้นต์อื่นมาสู้

              "แต่วันเปิดเทอมที่พวกมึงเบี้ยวนัดแดกข้าวกับกูอ่ะ จินยองเขาขอกูไปกินข้าวด้วยเลยนะเว้ย กูยังไม่ทันชวนเลยด้วยมึงจะว่าไง" 

              "ก็มึงกับมันรู้จักกัน แถมตอนนั้นมีมึงยืนอยู่คนเดียวด้วย ไอ้จินยองมันก็ต้องชวนมึงป้ะไม่เห็นแปลก" 

              ไอ้สัดแซมมึงจะขวางมึงจะทำลายทุกโมเม้นต์เลยใช่มั้ยห่าราก...

              "แต่จินยองเขาจำได้นะเว้ยว่ากูไม่กินผัก! เขาแอบมองกูตอนไปค่ายพุทธบุตรอ่ะ เขาต้องสนใจกูแน่ๆ"  ยังไงกูก็ไม่ยอม กูจะสู้ทุกโมเม้นต์และอันนี้ไอ้แซมต้องขัดไม่ได้

              "มันนั่งเยื้องกับมึงห่างกันติ๊ดเดียว ไม่ตั้งใจมองก็เห็นป้ะ แล้วที่เขาจำได้ว่ามึงไม่กินผัก มึงอาจจะเป็นเพื่อนไม่กี่คนที่กินผักไม่เป็นของเขาก็ได้แมะ"

              "ไอ้แซมมึงจะดักกูทุกทางเพื่อ! มึงจะไม่เหลือเหี้ยไรให้กูคิดเข้าข้างตัวเองเลยใช่มั้ย!"  ผมพูดเสียงดังใส่แล้วเขย่าคอไอ้แซมไปมา มันเลยใช้มือทั้งสองข้างพยายามผลักตัวผมออกไป 

              "เอ้ากูแค่ใช้เหตุและผลมาพูดกับมึงแค่นั้นเอง"  ไอ้แซมพูดแล้วใช้มือดันหน้าผากผมให้ออกไปไกลๆ

              "ใครบอกมึงว่ากูต้องการเหตุและผล! ที่กูพูดมาทั้งหมดเนี่ยมึงไม่ต้องคิดตาม! ไม่ต้องเสือกวิเคราะห์ห่าไรทั้งนั้น! กูแค่ให้มึงนั่งฟังกูโง่ๆ แล้วบอกกับกูเชิงหยอกล้อว่า เชรดดดดจินยองแม่งชอบมึงแน่เลยแสรดด แซ็วกูอ่ะแซ็วกู! ไม่ใช่ตัดทางกูไอ้ฟาย!!"   

       

                ผมกับไอ้แซมจิกหัวกันไปจิกหัวกันมา จนไอ้ฮยอนบินต้องเดินมาจับแยกออกจากกัน พอได้จังหวะไอ้แซมเลยพุ่งเข้ามาบีบแก้มผม แล้วจับให้หันหน้าไปมองคนที่นั่งข้างผมอีกคนหนึ่ง อย่างไอ้หลินที่ตอนนี้นั่งจิ้มมือถือยิ้มเล็กยิ้มน้อยอยู่คนเดียว ไม่ได้สนใจสิ่งมีชีวิตใดๆในโลกเลย 

              "ไอ้เตี้ยมึงดูเลย คนมีใจมันต้องแบบคู่ไอ้หลินเนี่ย"  ไอ้แซมพูดแล้วเลิกบีบแก้มผม ผมเลยหยุดทะเลาะวิวาทกับมันไว้ก่อน แล้วขมวดคิ้วจ้องไอ้ผู้จีนแบบสงสัยว่าในมือถือมันกำลังคุยกับใคร 

              "มึงรู้มั้ยเมื่อเช้าไอ้หลินมามหาลัยตั้งแต่หกโมง"  ผมหันขวับไปหาไอ้แซมทันทีที่มันพูดแบบนั้น 

              "มาทำเหี้ยไรตั้งหกโมงวะ"  ผมถามไอ้แซมแบบไม่เข้าใจ เรียนตั้งแปดโมงเกือบเก้าโมงมาเช้าเพื่อ

              "ถามมันเองดิ"  ไอ้แซมพูดแบบนั้น ผมเลยเขยิบเก้าอี้ไปใกล้ๆไอ้หลิน แล้วเท้าคางมองหน้ามัน ทำสายตาแบบคนอยากรู้อยากเห็น เราจะสอดเราจะเสือกทุกเรื่องของมัน 

              "อะไรของมึง"  ไอ้หลินถามทั้งๆที่ตาและนิ้วมือยังคงกดแป้นพิมพ์มือถือรัวๆ

              "เมื่อเช้ามึงมาทำอะไรตั้งหกโมงวะ"  กูสงสัยมากมันมีอะไรที่กูไม่รู้รึป่าว

              "ก็ไม่มีอะไร"  ไอ้หลินพูดแบบชิวๆ กูคงเชื่อเนอะหน้าตากูเนี่ยดูเป็นอ่อนต่อโลกมากดิ พูดไรมาก็เชื่องี้บ้าบอ

              "แล้วไอ้ไม่มีอะไรเนี่ย ตกลงมันมีอะไร"  คำถามแบบงงในงง สับสนกับตัวเองเหมือนกัน 

              "ก็ไม่มีอะไร แค่มาใส่บาตรพระหน้ามอกับพี่จงฮยอน" 

              อืมหื้ม...ไม่มีอะไรเลยจริงๆ แค่มาทำบุญด้วยกันตอนเช้า โอ้โห้คู่รักคู่สร้างคู่สมจริงๆ  มีความทำบุญด้วยกัน กูเลยอดจะถามคำถามนี้ไม่ได้เลย

              "มาทำบุญกับพี่เขา หวังชาติหน้าจะได้กับพี่เขาไง๊"  ผมแถมเสียงสูง 

              "ป่าวอ่ะ"  

             ไอ้หลินพูดเสียงปกติ เอ้ายังไงวะเนี่ยตกลงมันชอบพี่เขาหรือป่าวะ คำตอบมันทำกูสับสนนะเนี่ย

    .          "กูไม่รอชาติหน้าหรอก กูจะเอาชาตินี้"  ไอ้หลินเงยหน้าขึ้นมายิ้มมุมปากให้ผมหนึ่งที แล้วก้มหน้าลงไปแชทต่อกูนี่เบะปากใส่ด้วยความหมั่นไส้ในคำตอบอันแน่วแน่ของมันมาก เพื่อนกูมีเป้าหมายชัดเจนมากคิดจะเอาก็ต้องได้เลยไม่ชอบรอ มึงคิดว่าพี่จงฮยอนเป็นอะไรพิซซ่าหรอโทรสั่งปุ๊ปจะมาให้แดกถึงที่ปั๊ป 

              "เออเตี้ยวันนี้มึงได้ซื้อกาแฟให้พี่ดงโฮป้ะ"  อยู่ๆไอ้หลินก็ถามขึ้นมาอีก

              "อืมซื้อ ทำไมวะ"  

    .          "กูเพิ่งรู้จากพี่จงฮยอนวันนี้ ว่าในห้องพี่เขามีคนชอบกินกาแฟปั่นแค่คนเดียวคือพี่อ๋ง"  

              "แล้วทำไมวะ"  ผมถาม

              "เอาความฉลาดไปโยนทิ้งน้ำหรือไง ก็ที่มึงเล่าว่าพี่ดงโฮจะบอกใบ้มึงว่าใครเป็นพี่รหัส จากนั้นเขาก็ใช้ให้มึงซื้อกาแฟปั่นให้ทุกวันแบบนี้ ไม่ได้แปลว่าพี่เขากำลังใบ้มึงเป็นนัยๆหรอว่าพี่อ๋งคือพี่รหัสมึง"  เป็นไอ้แซมที่จิกกัดผมอีกรอบ ผมเริ่มคิดตามในสิ่งที่พวกมันพูด

              "หลินแล้วมึงไปถามพี่จงฮยอนได้ไงวะเรื่องกาแฟปั่น"  ผมถามเพราะอยู่ๆพี่จงฮยอนไม่น่าจะพูดขึ้นมาเอง

              "ก็พอกูใส่บาตรเสร็จ กูกับพี่จงฮยอนก็เดินไปซื้อน้ำปั่นกิน พี่จงฮยอนเขาสั่งชาเขียวให้ตัวเองแต่เขาดันสั่งกาแฟปั่นมาอีกแก้วด้วย กูเลยถามว่าซื้อไปให้ใครพี่เขาก็บอกว่าพี่อ๋งจะฝากซื้อเข้าไปทุกวันแหละ" 

              ผมได้ยินแบบนั้นก็เริ่มมีความคิดเอนเอียง ว่าพี่รหัสผมอาจจะเป็นพี่อ๋งไม่ใช่พี่ดงโฮแล้วก็ได้ ไม่งั้นพี่ดงโฮจะให้ผมซื้อกาแฟปั่นมาให้ทุกวันทำไมถ้าไม่ตั้งใจจะแอบใบ้ เอ๊ะหรือกูจะมองพี่เขาใจดีเกินไปคนแบบนั้นอ่ะนะจะใบ้ให้กู มันจะเป็นไปได้จริงๆหรอ อิสัดรุ่นพี่คณะนี้ทำกูปวดหัวฉิบหายยยยยยย 






              วันเฉลยพี่รหัสน้องรหัส

              และวันนี้ก็มาถึง วันที่ทุกอย่างจะได้ไขข้อข้องใจแถลงการณ์ทุกข้อสงสัย  ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงนิดๆ พวกรุ่นพี่ทักมาบอกในกลุ่มไลน์ว่าให้มารวมตัวกันที่ห้องประชุมของคณะ เป็นห้องโถงใหญ่พอดูอ่ะ สงสัยเอาไว้จัดกิจกรรมด้วยอ่ะเพราะเวลาใช้ห้องต้องลงชื่อจองก่อนถึงจะสามารถใช้ได้

              ตอนนี้ผมและเพื่อนทั้งรุ่นกำลังนั่งรอพี่ๆเขาเข้ามา นั่งคุยเล่นกันแป๊ปเดียวประตูห้องประชุมก็เปิดออก พร้อมกับรุ่นพี่ปีสองค่อยๆทยอยเดินเข้ามาจนครบ หัวหน้าห้องปีหนึ่งอย่างอันฮยองซอบก็ทำการสั่งไหว้รุ่นพี่ ทุกอย่างมันก็ดูปกตินะ แต่มันดูปกติเกินไปใช่มันเหมือนมีอะไรหายไป

              อิพี่ดงโฮปากลำโพงสิบเครื่องมันไปไหนวะ ผมพยายามมองหาแล้วก็ไม่เจอ เอ๊ะรึว่าจะไม่มาวะเป็นงั้นก็ดีไม่ค่อยอยากเจอหน้าแม่งอ่ะ ยังไม่หายเคืองที่บอกความรักกูกับจินยองเป็นไปได้ยาก ไม่มาก็ดีแฮปปี้สุดๆ ยิ่งถ้าแม่งไม่ใช่พี่รหัสกูด้วยนี่กูจะจัดงานฉลองสามวันสามคืนเลยเอาดิ 

              "เอาล่ะน้องครับได้เวลาสมควรแล้ว ที่เราจะเฉลยสายรหัสกัน"  คนเปิดประเด็นของวันนี้คือพี่อ๋ง กูเพิ่งรู้ว่าพี่แกพูดจารู้เรื่องเป็นด้วยอเมซิ่งสุด ตอนพูดก็ดูปกติดีนะแต่ทำไมต้องเอาหน้ากากรูปอุลตราแมนที่ทำด้วยพลาสติกเหมือนตามงานวัดมาคล้องไว้ที่คอด้วยวะ คือมันเท่ห์หรอดูยังไงก็เหมือนคนบ้าเพิ่งหลุดจากโรงบาล 

              "เมื่ออาทิตย์ก่อนพี่บอกน้องแล้วใช่มั้ย ว่าวันเฉลยสายรหัสให้เตรียมของมาให้พี่รหัสคนละหนึ่งชิ้น ได้เตรียมมามั้ยครับน้องๆ" 

              "เตรียมมาครับ/ค่ะ!!!"  ทุกคนตะโกนตอบเสียงดังรวมถึงผมด้วย ของที่ผมเตรียมมาบอกเลยเลือกไม่นานไม่ใช่เป็นคนเลือกของเก่งนะ แต่ตังน้อยอะไรไม่เกินงบกูก็คว้ามาแบบไม่ต้องคิดอ่ะ

              "เอาล่ะครับพี่จะให้เวลาน้องๆห้านาที เมื่อพี่เป่านกหวีดให้น้องวิ่งไปหาคนที่คิดว่าเป็นพี่รหัสนะครับ"  

              แล้วกูจะวิ่งไปหาใครดีวะ ยังไม่แน่ใจทั้งคู่เลย.... 

              "หวี๊ดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!"   เสียงเป่านกหวีดจากพี่อ๋ง ทำเอาเพื่อนคนแตกตื่นกันเป็นผีบ้า วิ่งไปหารุ่นพี่ที่คิดว่าเป็นพี่รหัสของตัวเองกันใหญ่ ตัดภาพมาที่กูยังนั่นเด๋อเพราะไม่รู้จะวิ่งไปหาใคร คนที่คิดว่าเป็นพี่รหัสทั้งสองคนกูไม่ได้อยากวิ่งไปหาซักนิด กลับกันกูอยากวิ่งหนีด้วยซ้ำไปห่าราก 

              "เอาล่ะครับน้องๆวิ่งไปหารุ่นพี่กันครบยัง มีใครยังไม่เจอพี่รหัสตัวเองบ้าง"  ตอนแรกก็นึกว่ามีกูคนเดียวที่ไม่ได้วิ่งไปไหน พอหันมองขวามือเอ้าไอ้แซมยังนั่งอยู่ข้างๆผมเลย 

              "ไอ้แซมทำไมมึงไม่วิ่งไปหาพี่อ๋งวะ"  ผมถามเมื่อมันยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติงซักนิด ทั้งๆที่โค้ดมันก็อาจจะเป็นพี่อ๋งก็ได้นี่น่า 

              "กูก็อยากวิ่งแต่กูทำไม่ได้เหน็บเสือกแดกขา"  ฟังแบบนั้นกูแทบหัวเราะน้ำลายพุ่งใส่มัน อิห่านั่งยังไงให้เหน็บแดกขา แต่ก็ถือว่าดีกูจะได้ไม่นั่งเปลี่ยวอยู่คนเดียว 

              "อ่าวเหลือน้องสองคนหรอครับที่ยังไม่เจอพี่รหัส"  พี่อ๋งเดินเข้ามาถามพวกเรา พวกเราเลยพยักหน้าหงึกๆ

              "'งั้นน้องสองคนรอก่อน เดี๋ยวเฉลยคนอื่นก่อนแล้วกัน"  ผมกับไอ้แซมพยักหน้าอีกรอบ เออเฉลยตอนไหนก็ชั่งแม่งกูเลิกหวังพี่รหัสดีๆซักคนแล้วอ่ะปลงชีวิต ผมมองไปรอบๆห้องทั้งรุ่นพี่และรุ่งน้องยืนกันเป็นวงกลมซ้อนกัน พี่ปีสองอยู่วงนอกโดยวงในมีรุ่นน้องปีหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า 

              ส่วนมากเพื่อนๆของผมก็วิ่งไปหาพี่รหัสถูกคนนะ มีไม่กี่คนอ่ะที่วิ่งไปหาผิดคน แต่ก็โดนแกล้งด้วยการเขียนหน้าบ้าง ให้เต้นท่าอุบาศง้อพี่รหัสที่วิ่งไปหาผิดคนบ้าง จนในที่สุดก็ถึงคราวผมกับไอ้แซมที่จะได้รู้ว่าพี่คนไหนจะได้เป็นพี่รหัสตัวเอง 

              "ในรุ่นปีสองเหลือรุ่นพี่อีกสองคนที่ยังไม่โดนเลือก และเหลือน้องสองคนพอดีที่ยังไม่เจอพี่รหัส ผมจะให้คุณทั้งสองนั่งอยู่ตรงนี้ แล้วผมจะให้คนชูผ้าสีดำเอาไว้ไม่ให้พวกคุณเห็นว่าใครเป็นพี่รหัสของคุณ"

              ผมฟังกติกาในส่วนของตัวเองอย่างตั้งใจ เอาเหอะจะเล่นอะไรก็เล่นกูไม่มีอะไรจะเสียแล้วนี่ 

              "พวกคุณหลับตาก่อนสามวิ"  พี่อ๋งสั่งผมกับไอ้แซมเลยทำตามที่พี่เขาบอก พอนับหนึ่งถึงสามในใจก็ลืมตาขึ้น เบื้องหน้าก็เจอกับผ้าสีดำผืนใหญ่โดยคนที่ถือคือรุ่นพี่ปีสอง 

              "มีรุ่นพี่ปีสองสองคนอนั่งอยู่หลังผ้าสีดำผืนนี้"  จากตอนแรกที่พี่อ๋งเป็นคนพูดดำเนินกิจกรรม กลับกลายเป็นพี่แดนแทนแล้ว มันก็คิดได้อย่างเดียวว่าสองคนหลังผ้าสีดำผืนนี้ หนึ่งในนั้นมีพี่อ๋งอยู่ด้วยแล้วอีกคนใครวะ ก็พี่ดงโฮไม่มาไม่ใช่หรอ 

              "ผมจะให้พวกคุณสองคนตัดสินใจว่าจะสลับที่กันมั้ย ถ้าสุดท้ายเปิดผ้าดำออกมาแล้วคุณนั่งตรงกับพี่รหัสตัวจริงของคุณแล้วล่ะก็ คุณจะไม่โดนทำโทษใดๆเลยเรียกว่าเป็นการวัดดวงก็ได้ พวกคุณเอาไงจะสลับที่กันมั้ย ถ้าเลือกผิดก็โดนทำโทษสถานหนักนะเพราะพวกคุณหาพี่รหัสไม่เจอ"   พี่แดนพูดพร้อมกับยิ้มชั่วร้าย กูว่าบทลงโทษที่พวกพี่ปีสองเตรียมไว้มันต้องไม่ธรรมดา ตั้งแต่เข้าคณะนี้มากูเจอมาเยอะเจ็บมาเยอะ กูรู้บทลงโทษมันต้องพีคในพีค 

              "เอาไงจะเปลี่ยนมั้ยไอ้แซม"  ผมหันไปถามความเห็นจากไอ้แซม

              "ไม่อ่ะขี้เกียจย้าย"  ดูเหมือนไอ้แซมไม่ได้คิดเยอะหรือกังวลห่าไรเลย เพื่อนกูเนี่ยสตรองสัดอ่ะ เอาวะดวงวัดดวง! ซวยมาตั้งแต่ต้นจะซวยอีกมันจะเป็นอะไรล่ะ! 

              "ไม่เปลี่ยนครับเปิดผ้าได้เลย"  ผมตะโกนบอกพี่แดน พี่แดนเลยยิ้มและพยักหน้าให้กับคนที่จับผ้าดำไว้ เป็นการให้สัญญาณว่าปลดผ้าทิ้งได้เลย จังหวะที่ปล่อยผ้าลงนั้นผมหลับตาสวดภาวนาลูกเดียวเลย จะเป็นใครก็ชั่งขอให้ทายถูกทีเถอะ หลังจากนั้นผมก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาดูพี่รหัสตัวจริงของผม 

              พอดวงตาทั้งสองข้างเปิดเต็มตา ก็ได้เห็นอุลตราแมนกับสไปเดอร์แมนนั่งอยู่ตรงหน้า...

              อิสัดนี่มึงจะปิดผ้าดำเพื่อออออ เมื่อมึงเอาหน้ากากงานวัดมาปิดหน้าอยู่แล้ว มึงจะซ่อนในซ่อนไปถึงเมื่อไร จะเอาให้กูหัวใจวายตายเลยใช่มั้ยห๊ะ!! 

              ผมขมวดคิ้วจ้องมองผู้ชายที่นั่งขัดสมาธิ และสวมหน้ากากอุลตราแมนตรงหน้าผม สงสัยจริงว่าเป็นใครกัน และไอ้ข้างๆอุลตราแมน ยังมีสไปเดอร์แมนอีกตัวที่นั่งตรงหน้าไอ้แซมด้วยนะ ซุปเปอร์ฮีโร่มากแต่เปิดมาอาจจะเป็นซุปเปอร์เหี้ยมากกกกก็เป็นได้ กูต้องมานั่งลุ้นอีกแล้วใช่มะรุ่นพี่กูเนี่ยติดเล่นเนอะ 

              เดี๋ยวนะอิหน้ากาอุลตราแมนนี่มันคุ้นๆ มันอันเดียวกับที่ตอนแรกพี่อ๋งแขวนอยู่ที่คอไม่ใช่หรอวะ สรุปพี่รหัสกูคือพี่เขาถูกมั้ย แล้วอิสไปเดอร์แมนตรงหน้าไอ้แซมล่ะใครวะ 

              "เอาล่ะทั้งสองคนเข้าไปเปิดหน้ากากรุ่นพี่ตรงหน้าได้แล้ว"

              สิ้นคำสั่งของพี่แดนผมก็ลุกขึ้นอยู่ในท่าคุกเข่า แล้วค่อยๆเขยิบไปหาพี่อุลตราแมนตรงหน้า ผมพยายามมองผ่านหน้ากากเข้าไป แต่ไม่ว่าจะมองยังไงก็มองไม่เห็นใบหน้าภายใต้หน้ากากเลยซักนิด 

              ผมจึงใช้มือเล็กของตัวเองยื่นไปจับ ที่ปลายหน้ากากอุลตราแมนนั่น แล้วค่อยๆเปิดหน้ากากขึ้นอย่างช้าๆ เพราะผมอยู่ในท่าคุกเข่า แล้วรุ่นพี่คนนั้นนั่งขัดสมาธิอยู่จึงทำให้ผมสูงกว่าเขานิดหน่อย ตัวเองเลยจำเป็นต้องก้มหน้าลงมาเล็กน้อยเพื่อดูว่าใครกันที่อยู่ภายใต้หน้ากาก ถึงแม้จะคิดในใจแล้วว่าเป็นพี่อ๋งแน่ๆ

              เมื่อหน้ากากเริ่มเปิดขึ้นมาให้เห็นริมฝีปากและปลายจมูก หัวใจของผมก็เต้นแรงด้วยความตื่นเต้น แค่เห็นส่วนประกอบบนใบหน้าเพียงนิดเดียว ก็ทำให้รู้แล้วว่าคนๆนี้มีหน้าตาหล่อจนแทบยั้งหัวใจไม่ให้หวั่นไหวไม่ได้  และเมื่อเปิดหน้ากากมาถึงส่วนสุดท้ายของใบหน้านั่นก็คือดวงตา มันทำให้ผมตกตะลึงจนดวงตาทั้งสองของผมเบิกกว้างทันที เมื่อผมได้สบสายตาเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววแข็งกร้าว แต่มีความซื่อตรงในเวลาเดียวกันของคนภายใต้หน้ากากอุลตราแมน  

              ผมยังคงก้มมองใบหน้าเข้มแต่ดูดีจนตัวเองก็ปฎิเสธไม่ได้ ว่าตอนมองไกลๆพี่เขาหน้าดุมาก แต่พอได้มองระยะประชิดในมุมที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน มันทำให้ผมค้างไปราวๆสิบวินาที หัวใจผมมันกำลังรู้สึกแปลกมาก มันไม่ได้เต้นเร็วอะไรแต่ผมกลับรู้สึกปั่นป่วนคล้ายกับว่า พี่เขากำลังแกล้งให้ผมเกิดอาการบางอย่างที่เรียกว่า ตอนแรกไม่รู้สึกอะไร แต่พอมาจ้องใกล้ๆกลับหล่อใจหายไปเลย 

             อาจจะเป็นเพราะสีผมพี่เขาเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนเข้ากับดวงตา และมีหน้าม้าปรกหน้าผากนิดๆ เลยเป็นลุคที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน วันนี้พี่ดงโฮเลยดูแปลกตาสำหรับผมมาก 

              สรุปแล้วหน้ากากอุลตราแมนคือพี่ดงโฮ ผมถูกหลอกเข้าอย่างจังไปแบบจุกๆเลยอึ้งจนพูดไรไม่ออก พี่ดงโฮเลยจัดการถอดหน้ากากอุลตราแมนวางไว้ที่พื้นด้วยตัวเอง แล้วยืดตัวยืนเต็มความสูง ทำให้ผมเริ่มตั้งสติได้จึงยืนขึ้นตามพี่เขา

              "ยื่นมือมา"  พี่ดงโฮพูดเสียงเรียบ ผมยังคงตั้งสติไม่ค่อยได้เท่าไร แต่ก็ยอมยื่นมือข้างขวาไปให้พี่เขา 

              "สร้อยคอมือนี้แสดงถึงสายรหัสและคุณคือน้องรหัสผมเพียงคนเดียวรหัส101อีแดฮวี"   นี่คงเป็นการเฉลยจากปากพี่เขาเองสินะ ผมก้มมองสร้อยข้อมือสีเงินที่มีจี้เป็นรูปหมีห้อยอยู่ เราจะไม่พ้นกับอิหมีเลยใช่มั้ย

              "ผมให้คุณแล้ว คุณห้ามทำหายเด็ดขาด"  ผมได้ยินแบบนั้นก็เข้าใจทันทีเลยว่า ถ้าหากผมทำสร้อยข้อมือนี้หาย พี่เขาอาจจะเลาะกระดูกผมเป็นชิ้นๆ แล้วโยนให้หมาแก่หน้ามอแดกก็ได้  

              "แล้วของที่คุณเอามาให้พี่รหัสล่ะอยู่ไหน"  ในเมื่ออะไรมันชัดเจนขนาดนี้แล้ว ผมก็ต้องจำใจหยิบสร้อยเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกงนักศึกษา ผมยื่นออกไปตรงหน้าพี่ดงโฮแล้วปล่อยจี้ลงมาให้พี่เขาเห็น จี้ของสร้อยคือแหวนสีเงินที่สลักเลข101ไว้ตรงกลาง พี่ดงโฮมองมันอยู่พักนึงแล้วจัดการคว้ามันไปสวมที่คอทันที เท่ากับว่าพี่รหัสกับน้องรหัสได้แลกของกันเรียบร้อย  ตอนแรกผมนึกว่าการเฉลยพี่รหัสสิ้นสุดลงแล้วแต่มันไม่ใช่

              เมื่อรุ่นพี่ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าน้องรหัส รวมถึงคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมด้วย พวกพี่เขาทำการถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วตั้งท่าเดิมคือการเอามือซ้ายไขว้หลัง มือขวากำหมัดแล้ววางลงบนอกข้างซ้าย เหมือนตอนที่ทำครั้งที่แล้วจะแตกต่างก็ตรงประโยคที่พูดถูกดัดแปลงนิดหน่อย

              "ผมดีใจที่ได้อีแดอวีเป็นน้องรหัส"   พี่ดงโฮพูดเสียงดังฟังชัด พร้อมกับรุ่นพี่คนอื่นที่พูดเหมือนกัน แตกต่างตรงที่เปลี่ยนเป็นชื่อน้องรหัสของตัวเองก็เท่านั้น 

              "ผมจะดูแลน้องอย่างไม่มีเงื่อนไข ผมจะใช้ใจแลกใจร่วมทุกข์ร่วมสุขในมหาวิทยาลัยอันเป็นที่รักยิ่ง ผมปีสองคณะนิเทศศาสตร์ สาขาเอกการแสดง"

              "........."

    .          "คังดงโฮ ขอสัญญา"

              ที่พวกพี่เขาทำมันแสดงถึงความจริงใจที่ออกมาจากข้างใน ถึงผมจะยังไม่ค่อยปลื้มที่สรุปแล้วพี่ดงโฮคือพี่รหัสของผมก็ตาม แต่คำสัญญาที่พี่เขาได้พูดออกมา ผมกลับรู้สึกได้ถึงความจริงใจจากประโยคพวกนั้น หลังจากนี้ผมจะมีพี่รหัสที่ชื่อว่าคังดงโฮ คนที่ผมไม่ชอบหน้าตั้งแต่มาวันแรก และสุดท้ายผมก็หนีไม่พ้นอีกตามเคย 










              วลาผ่านไปหลายวันหลังจากเฉลยพี่รหัส สรุปแล้วเป็นไปตามการคาดเดาผมได้พี่ดงโฮเป็นพี่รหัส ไอ้แซมได้พี่อ๋ง ไอ้ฮยอนบินได้พี่จงฮยอน และไอ้หลินได้พี่มินฮยอนมาอย่างงงๆเหมือนกัน  ในวันที่เฉลยพี่รหัสผมนึกว่าพี่ดงโฮเขาไม่ได้มา แต่สุดท้ายก็ได้คำตอบมาจากพี่จงฮยอน ว่าวันนั้นพี่ดงโฮมัวแต่หาหน้ากากสไปเดอร์แมนมาให้พี่อ๋ง เลยลงมาช้ากว่าคนอื่น นี่ก็หลายวันแล้วผมไม่ได้คุยหรือทำอะไรที่จะสานสัมพันธ์ พี่รหัสกับน้องรหัสอย่างคู่อื่นเขาทำกัน 

                ผมไม่รู้เลยว่าผมกับพี่เขาจะไปกันรอด พี่รหัสดุอย่างกับหมา น้องรหัสก็กลัวจนเก็บไปด่าในใจ กูยังไม่เห็นคลื่นความสัมพันธ์ที่ดีตรงไหนเลยซักนิด 
          
               อ่ออีกอย่างเรื่องกาแฟปั่นปริศนานั่นได้คำตอบแล้วว่า คนที่ชอบกินและฝากพี่จงซื้อทุกเช้าคืออีพี่ดงโฮนั่นแหละ แต่กลุ่มพี่เขารวมหัวกันหลอกผม โดยใช้อิหลินเป็นเหยื่อไอ้ผู้จีนนี่ก็หลงชื่อแม่งทุกคำของพี่จง ไม่ได้ไตร่ตรองห่าไรซักนิดเดียวสุดท้ายโดนพี่จงหลอก แล้วยังไงล่ะคนโดนหลอกอย่างไอ้หลินก็มาบอกกูต่อ โดนหลอกกันมาเป็นทอดๆ กูชักกลัวอิรุ่นพี่คณะนี้เข้าไปทุกวัน แผนแม่งต้องมีแผนซ้อนแผนตลอด มึงควรเลิกเรียนนิเทศแล้วไปอยู่พวกเอฟบีไออะไรเทือกนั้นอ่ะ 


              "เตี้ยมึงเลือกได้ยังว่าจะเข้าชมรมไหน"  ผมมัวแต่คิดเรื่องอื่น เลยลืมไปว่าตอนนี้ผมกับแก๊งเพื่อน กำลังเลือกเข้าชมรมกันอยู่ ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสองโมงกับการเข้าร่วมกิจกรรมเลือกชมรม พวกสโมสรนักศึกษาเขากำชับมาด้วยว่าให้ส่งก่อนบ่ายสาม นี่บ่ายสองกว่าแล้วผมยังเลือกชมรมไม่ได้เลย 

              "ไม่รู้นี่หว่ามันมีเยอะอ่ะ"  ผมพูดแล้วมองบูธชมรมที่พี่ๆ แข่งกันเรียกเราเข้าชมรมกันใหญ่ 

              "หลับตาเลือกไปเหอะน่า"  เป็นไอ้แซมเองแหละที่พูด ไอ้แซมมันเลือกเข้าชมรมกีฬา ส่วนไอ้ฮยอนบินแน่นอนว่าชมรมถ่ายภาพ ส่วนไอ้หลินชมรมดนตรี และพวกมันก็ส่งใบสมัครเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ไอ้เตี้ยเรื่องมากอย่างผมนี่แหละ

              "อย่าเร่งกูดิวะ กูคิดอยู่น่า"  

              "มึงจะคิดถึงเดือนหน้าเลยมั้ยล่ะ พวกกูจะได้กลับบ้านไปนอนรอ"  ไอ้แซมพูดประชด ผมเลยเอาใบกรอกชมรม ไล่ตีหัวมันซะเลยประชดกูอยู่ได้ แดดก็ร้อนชิบหายจัดกิจกรรมในร่มก็ไม่ได้ ต้องมาลำบากลำบนจัดกลางสนาม เหงื่อผมไหลออกมาไม่หยุุดยังกะก๊อกแตก และก็เริ่มรู้สึกหิวน้ำแล้วด้วย 

              "พวกมึงไปซื้อน้ำกับกูป้ะ"  ผมหันไปถามสมาชิกในกลุ่ม ทุกคนส่ายหน้ากันรัวๆ ไม่มีใครสนใจเดินไปเป็นเพื่อนผมเลย ก็เข้าใจว่าแดดมันร้อนจนไม่อยากทำเหี้ยไรทั้งนั้นอ่ะ 

              "เอองั้นกูไปซื้อน้ำก่อนแล้วกัน" 

              "เผื่อกูขวด"    พวกมันสามตัวพูดพร้อมกัน อิเลวแบบนี้ก็ได้หรอให้กูเดินต๊อกแต๊กตากแดดตากลม ร้อนจนหน้าแทบไหม้ ยังต้องขนน้ำมาประเคนพวกมึงอีก หน้ากูเหมือนคนเสิร์ฟน้ำที่บ้านพวกมึงหรอหงุดงหงิด! 

              ผมยัดกระดาษชมรมลงกระเป๋ากางเกง แล้วเดินหน้าบูดไปซื้อน้ำเปล่าเย็นๆมาทั้งหมดสามขวดที่โรงอาหาร เงินก็ไม่ได้แถมเหนื่อยฟรี คบอิสามตัวนี้กูเคยได้อะไรดีๆตอบแทนบ้าง ไม่เคยมีอ่ะเบี้ยล่างตลอด ผมเดินกลับมาหาพวกมันที่กลางสนาม แล้วโยนถุงน้ำเปล่าไปให้พวกมัน 

              "เตี้ยมึงเลือกชมรมได้แล้ว นี่มันบ่ายสองห้าสิบแล้วนะ อีกสิบนาทีเขาจะเลิกรับใบสมัตรเข้าชมรมแล้วนะ หน่วยกิตไม่ได้ขึ้นมาฮาไม่ออกนะมึง" ไอ้ฮยอนบินเตือนผมขณะที่มันดูดน้ำเอื๊อกๆ 

              "เออรู้แล้วน่าเขียนเดี๋ยวนี้แหละ"  ผมพูดแล้ววางขวดน้ำในมือลง ใช้มือล้วงเข้าไปที่กระเป๋ากางเกง ความจริงมันควรเจอกระดาษที่ผมพับใส่ไว้ แต่ไง๋มันถึงว่างป่าวพิกลใจเริ่มไม่ดีละอ่ะ... 

              ผมใช้มือล้วงกระเป๋ากาเกงนักศึกษาทั้งสองข้าง แต่กลับไม่พบกระดาษชมรมที่พับไว้เลย มันคงไม่ใช่ว่าตอนล้วงเงินจ่ายค่าน้ำกระดาษมันล่วงหล่นลงหายไปหรอกนะ แต่มาคิดๆดูแล้วถ้ามันไม่ใช่แบบนั้นมันจะเป็นแบบไหนได้อีกวะ!!  

              "ไอ้เหี้ยมึง!! กูทำกระดาษสมัครชมรมหาย!!"  พอผมตะโกนบอกพวกมัน ทำเอาทั้งสามตัวสำลักน้ำหน้าแดงกันทุกตัวตน 

              "อะไรของมึงเนี่ยเตี้ย มุขนี้ไม่ตลกนะ"  ไอ้ฮยอนบินเป็นคนพูดพร้อมกับเช็ดน้ำที่ปาก

              "มุขเหี้ยไรล่ะ!! หายจริงเว้ย!!"  ผมพูดแล้วดึงไส้กระเป๋ากาเกงออกมาให้ดูว่ามันว่างป่าว

              "เอ้าฉิบหายแล้วมั้ยมึง รอตรงนี้กูจะรีบวิ่งไปดูที่ร้านน้ำให้"  ไอ้ฮยอนบินพูดแล้วรีบร้อนวิ่งไปที่โรงอาหารทันที ส่วนไอ้แซมบอกว่าจะดูตามทางที่มาสนามหญ้า เลยเหลือผมกับไอ้หลินที่อยู่แถวๆบูธชมรม ตอนนี้ผมได้แต่เดินไปเดินมาด้วยจิตใจว้าวุ่น อีกไม่กี่นาทีเขาจะปิดรับให้ส่งใบสมัครชมรมแล้วด้วย ถ้าเกิดผมไม่ได้ส่งล่ะก็มีหวังอดได้หน่วยกิต ชีวิตปีหนึ่งจะมีปัญหาไปอีกผมแย่แน่ๆ ซวยอะไรขนาดนี้วะแดฮวีเอ้ย!!  

              มหยุดเดินแล้วใช้มือเกาหัวตัวเองแรงๆ โอ้ยเครียดจนน้ำตาจะไหล พวกรุ่นพี่สโมสรที่มาแจกใบสมัครก็กำชับอย่างดีแล้วว่าห้ามทำหาย แต่ผมก็ยังสะเพร่าทำมันหายจนได้ รู้งี้ฝากไอ้พวกหลินไว้ก่อนก็ดีหรอก

              "พวกมันโทรมาบอกไม่เจอเลยว่ะ"  ไอ้หลินหันมาบอกกับผมเมื่อวางสายจากไอ้แซมและไอ้ฮยอนบิน ยิ่งฟังแบบนั้นผมยิ่งใจเสียเข้าไปใหญ่ เรื่องหน่วยกิตมันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผมนะ ผมไม่อยากให้มีผลเสียอะไรตามมา 

              "ใจเย็นมึงเดี๋ยวกูถามอีกคนให้"  ไอ้หลินว่าแบบนั้นแล้วต่อสายหาใครอีกคน คุยกันอยู่แป๊ปนึงมันก็ส่งมือถือมาให้ผมคุย

              [น้องแดฮวีนี่พี่จงฮยอนนะ]

              "ครับพี่"  ผมพูดเสียงอ่อน ตอนนี้หัวมันตึบคิดไรไม่ออก ไม่อยากคุยกับใครทั้งนั้นอ่ะ

               [ไม่ต้องเครียดนะตอนนี้ไอ้ดงโฮกำลังรีบลงไป]  ผมได้ยินที่พี่จงฮยอนพูด ก็ทำให้ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมานิดหน่อย ถึงไม่อยากจะเชื่อก็ตามเถอะว่าพี่ดงโฮอ่ะนะ จะรีบลงมาเพราะเรื่องของผม พี่เขาอาจจะลงมาด่าผมก็ได้

              [พอหลินโทรมาบอกพี่เรื่องแดฮวีทำใบชมรมหาย พี่บอกไอ้ดงโฮว่าน้องรหัสมันเกิดเรื่อง ไอ้ดงโฮรีบวิ่งออกจากคลาสทันทีเลยล่ะไม่ต้องกังวลนะ]  ในขณะที่ผมกำลังฟังในสิ่งที่พี่จงฮยอนพูด เบื้องหน้าผมก็มีใครซักคนวิ่งมาหาผมด้วยความรีบร้อน เหงื่อหลายเม็ดไหลตามกรอบหน้า ผมแอบตกใจเล็กน้อยที่คนตรงหน้ารีบร้อนขนาดนี้ 

              พี่ดงโฮยืนหอบแฮ่กๆต่อหน้าผม ที่ยังคงยืนเอามือถือแนบหูไว้ เวลาไม่กี่นาทีที่พี่จงฮยอนบอกว่าพี่ดงโฮกำลังรีบลงไป ผมไม่คิดว่าพี่เขาจะรีบวิ่งมาหาผมเร็วขนาดนี้ ดูพี่เขาร้อนรนยิ่งกว่าผมซะอีก 

              "พี่มาไวจัง"  ผมพูดพร้อมกระพริบตาปริบๆมองดูพี่ดงโฮ ที่กำลังปาดเหงื่อออกจากหน้า 

              "คุณนี่มันจริงๆเลย ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นผมจัดการส่งใบชมรมให้คุณแล้ว"  พี่ดงโฮพูดและยังหอบหายใจหนักอยู่ ดูแล้วคงวิ่งมาแบบลืมตายเลยอ่ะ 

              "พะ..พี่เขียนส่งให้ผมเลยหรอ"  ผมถามออกไปพี่ดงโฮก็พยักหน้านิดนึง สายตาพี่เขาผมมองดูก็รู้ว่าพี่แกคงอยากจะด่าผมใจจะขาด ติดตรงหายใจไม่ทันนี่แหละ 

              "เอามือถือคุณมา"  พี่ดงโฮพูดแล้วแบมือขอมือถือจากผม ผมที่ไม่กล้าขัดใจอะไรพี่เขาตอนนี้ เลยส่งมือถือไอ้หลินคืนมันไป แล้วล้วงเอามือถือของตัวเองออกมาจากกระเป๋าเป้ แล้ววางแหมะบนมือพี่เขาอย่างจำยอม พี่เขาวิ่งมาช่วยผมแบบนี้หากผมยังทำตัวเรื่องมาก ไม่ยอมให้มือถือดีๆล่ะก็ถูกฝังลงสนามหญ้าเป็นฟรอสซิลแน่ 

              พี่ดงโฮใช้นิ้วกดติ๊กๆบนมือถือผมซักแป๊ปนึง แล้วยื่นมันกลับมาให้ผม ตรงหน้าจอมือถือของตัวเองตอนนี้ มันกำลังปรากฎหน้าสายโทรออกที่เป็นเบอร์ที่ผมไม่ได้เมมไว้ ผมรับมันมาจากมือพี่ดงโฮแล้วค่อยๆเอามือถือตัวเองยกขึ้นแนบหู ไม่นานนักเสียงริงโทนที่ไม่ใช่เสียงริงโทนมือถือไอ้หลินแน่นอนก็ดังขึ้น ถ้าไม่ใช่ของไอ้หลินมันก็มีคนเดียวเท่านั้นแหละก็พี่ดงโฮไง พี่ดงโฮล้วงเอามือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดรับสาย 


              "ต่อไปนี้คุณต้องเมมเบอร์ผมเอาไว้"  พี่ดงโฮพูดกรอกใส่มือถือ และเสียงของพี่เขาก็ส่งตรงมาถึงปลายสายอย่างผม ที่กำลังตั้งใจฟังทุกๆคำพูดของเขา  

              "คุณลืมแล้วหรือไงว่าผมเป็นพี่รหัสคุณ"  

              "..........."  

              "ผมอนุญาติให้คุณโทรหาผมได้ตลอดเวลาถ้าคุณมีปัญหา"   ผมมองสบตากับพี่ดงโฮ ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดมากไปมั้ยแต่ประโยคที่พี่เขาพูดมา ยังกับว่าเบอร์พี่เขามันมีไว้สำหรับผมโดยเฉพาะอย่างงั้นแหละ และสิ่งที่พี่เขาสัญญาเมื่อตอนเฉลยสายรหัส ว่าจะดูแลผมอันนี้มันจะเรียกว่าเริ่มได้รึยังนะ  

              "อย่าลืมว่าผมมีหน้าที่ดูแลคุณ เพราะฉะนั้นจำไว้ด้วยว่า.."

              "..........."

              "ทุกเรื่องของคุณก็เท่ากับทุกเรื่องของผม เข้าใจมั้ยแดฮวี"











    ______________________________________
    talk: กลับมาแล้ววววววT___T ร้องไห้ฮืออออ
    ขอชี้แจงเรื่องที่หายสาบศูนย์ไปนะคะ คือช่วงสิบกว่าวันที่หายไป
    ไม่ได้เลิกแต่ง ไม่ได้ทิ้งเรืออะไรทั้งนั้น แต่แม่ไรท์ป่วยค่ะไรท์เลยต้องออกไปทำงานแทน
    ไม่มีเวลามาอัพแทบลงแดงตายเหมือนกันค่ะ55555 อัดอั้นมากไม่รู้จะระบายตทางไหน555
    ตอนนี้ก็หวังจะชอบกันนะคะ หนึ่งเม้น=หนึ่งกำลังใจค่ะ 
    อดหลับอดนอนแต่งกันเลยทีเดียว555 
    ขอบคุณทุกเม้นและทุกแท็กในทวิตค่ะมันคือพลังฟื้นคืชีพของเราค่ะ555
    สุดท้ายนี้ใครอยากหวีดหวีดจิ้มแท็กโลดด  #ฟิคหวีลิตเติ้ล ขอบคุณฮะะ
    ปล.หากมีคำผิดต้องขออภัย ฟิคมีการอัพเดทบ่อยนะตัวเอง


    :: HIGH LIGHT ::

    "ชอบมันอ่อไอ้หน้าช้อนเมื่อกี้"
               by : คังดงโฮ



    **ขอโทษเมนน้องจิน 55555555555555555555




              



              

     



              









    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×