คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Re-born 2 100%
Re-born 2
ปกติทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาเซฮุนจะพบร่างเล็กของพี่ลู่หานอยู่ในครัวเสมอ แต่วันนี้ต่างออกไป ทุกอย่างเงียบผิดปกติ เป็นไปได้ว่าอีกคนจะยังไม่ตื่นนอน หรือไม่ก็งอนไม่ทำอาหารให้กินจริงๆ เซฮุนขอให้เป็นอย่างแรก
“พี่ลู่หานพี่ตื่นรึยัง” ถึงห้องในคอนโดจะกว้างแต่เซฮุนก็รู้ว่าเสียงของตัวเองดังกระจายไปทั่วทุกสารทิศอย่างแน่นอน
กระนั้นก็ไม่มีเสียงตอบกลับ
คงจะยังไม่ตื่นจริงๆสินะ ต้องให้ไปตามถึงที่ห้องจริงๆใช่ไหม
“นี่พี่ผมหิวแล้ว ตื่นเหอะ อ้าว...หายไปไหน” บนเตียงไร้ร่างเล็กที่เคยนอนอยู่ ผ้าห่มถูกพับเก็บอย่างเป็นระเบียบ ชัดเจนว่าตื่นแล้ว แล้วหายไปไหนกัน เดินเข้าไปดูยังห้องน้ำก็พบความว่างเปล่า ตู้เสื้อผ้าก็ไม่มี
หายไปไหน
เมื่อจนหนทางจะหา เซฮุนตัดสินใจกดเบอร์โทรออกไปหาพี่ลู่หาน แต่ไหนเลยเสียงโทรศัพท์ของอีกคนกลับดังอยู่หน้าทีวี
ให้ได้อย่างงี้ เขาซื้อโทรศัพท์ให้อีกคนพก ไม่ใช่ทิ้งขว้าง หาตัวเจอเมื่อไหร่น่าดู
เซฮุนนั่งรออีกคนอยู่บนโซฟา อาจมีความเป็นไปได้ที่พี่ลู่หานจะออกไปซื้อของ สายตาคมจับจ้องเข็มนาฬิกาที่เดินไปตามวิถีของมัน จากนาที เป็นชั่วโมง ให้ตาย หายไปไหนของเขากัน นี่มันเก้าโมงกว่าแล้วนะ รอต่อไปไม่รู้จะเจอไหม ลู่หานไม่รู้จักใครนอกจากเขาและพี่หมอ ถ้าไม่อยู่กับเขาก็ต้องอยู่กับพี่หมอ คิดได้ดังนั้นก็ต่อสายหาอีกคนทันที
“พี่หมออยู่กับลู่หานรึป่าว” น้ำเสียงร้อนรนอย่างเป็นห่วง ถ้าเกิดบอกไม่อยู่นี่เซฮุนจะพังบ้านแล้วนะ
(อยู่กับพี่ ลู่หานไม่ได้บอกนายเหรอว่าออกมาหาฉัน)
“ถ้าเขาบอก ผมจะโทรถามพี่ไหม รออยู่นั้นทั้งคู่ผมจะไปหา” เชื่อเขาเลย ลู่หานคิดบ้าอะไรออกจากห้องโดยไม่บอกเขาสักคำ แถมมือถือก็ไม่พก
(เฮ้ย! เซฮุนรู้เหรอว่าพี่อยู่ไหน) น่าเสียดายที่ประโยคของหมอหนุ่มไม่สามารถส่งไปถึงอีกคนได้ เพราะเซฮุนตัดสายไปซะก่อน
ซูโฮกดวางสายตามเพราะยังไงเซฮุนก็ไม่ฟังที่เขาจะพูดต่ออยู่ดี ถ้าหาเขาสองคนไม่เจอมันคงจะโทรมาใหม่เองนั้นแหละ
หมอหนุ่มละความสนใจจากมือถือมามองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับตัวเอง ที่นี่คือร้านกาแฟที่อยู่ติดกับโรงพยาบาล ลู่หานอยากเจอเขาแต่ไม่อยากเข้าโรงพยาบาล เขาที่เข้าเวรอยู่จึงต้องหอบตัวเองออกมาเจออีกคนที่ร้านนี้
“บอกพี่มานะ ทะเลาะอะไรกันรึป่าว ทำไมเซฮุนถึงไม่รู้ว่าเราออกมาเจอพี่” ก็พอจะรู้แล้วว่าทำไมอีกคนไม่อยากเข้าโรงพยาบาล เพราะอยู่นั้นเซฮุนคงหาตัวเจอ
“ผมแค่อยากจะคุยกับพี่หมอตามลำพัง” ถ้าบอกเซฮุนอีกคนก็ต้องตามเขามา ซึ่งเขาไม่ต้องการอย่างนั้น
“ถ้าเซฮุนโกรธเรา พี่ช่วยไม่ได้นะบอกก่อน” ซูโฮรู้นิสัยเซฮุนดี ร้อนกว่าไฟก็เซฮุนนี่แหละ
“ผมจัดการเขาเองครับ จะไม่ให้เดือดร้อนถึงพี่” ลู่หานแสดงสีหน้าสำนึกผิด หมอหนุ่มก็จำยอมให้อภัย ไม่กล้าดุว่าอีกคนอีก ท้ายสุดก็เริ่มเปิดบทสนทนา
“นัดพี่ออกมานี่มีเรื่องอะไรกัน”
“พี่หมอรู้จักผมรึป่าว ผมคนก่อน ก่อนที่จะสมองเสื่อม” จากสีหน้าที่สำผิด ก็กลายเป็นจริงจังขึ้นมา
“เซฮุนเล่าให้นายฟังแล้วสินะ”
“ครับ เขาเล่าแล้ว แต่ผมอยากจะมั่นใจ ไม่ใช่ว่าผมคิดว่าเขาโกหกนะ แต่เรื่องที่เซฮุนเล่ามาผมไม่อยากจะเชื่อ ผมอยากให้พี่ช่วยยืนยัน”
“แล้วตอนที่นายฟังเซฮุนเล่า นายรู้สึกยังไง” ซูโฮตอบกลับด้วยคำถาม
“ไม่รู้สิครับ ตอนนั้นผมปวดหัว หายใจไม่ออก มันตื้อไปหมด มีภาพลอยเข้ามา เหตุการณ์มันเหมือนเรื่องจริงมาก มากซะจนผมไม่อยากให้มันเป็นจริง”
“อย่าหลอกตัวเองลู่หาน ฟังพี่นะ นายต้องเปิดรับมัน นายต้องจำมันให้ได้ ไม่อย่างนั้นนายเองที่จะแย่” หมอหนุ่มกุมมือร่างเล็กเอาไว้หลวมๆ บีบหนักเบาสลับกันให้อีกคนผ่อนคลาย
“แต่ถ้าผมคิดถึงมัน ผมจะปวดหัวเอามากๆ ผมเกลียดความความรู้สึกแบบนี้”
“นายต้องสู้ คิดสิ นึกดู นึกให้ออก วันนั้นนายขับรถตกเขา นายหนีออกจากรถ แล้วรถนายก็ระเบิด นายกลายเป็นคนตาย ทุกคนคิดว่านายตายหมดแล้ว แต่นายยังมีชีวิตอยู่” ลู่หานพยายามนึกภาพตามที่หมอหนุ่มเล่า แต่มันช่างเลือนลางเกินไป เขานึกมันไม่ออก
“ผมนึกไม่ออกพี่ ผมจำอะไรไม่ได้เลย”
“พยายามอีกนิด อีกที นายทำได้” ลู่หานหลับตานึกถึงเหตุการณ์ ความเลือนลางที่เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ มันยังไม่สมบูรณ์ เขาเห็นตัวเองขับรถ เนินเขา เขาหักหลบ แสงไฟ
ปึ้ง!
เสียงกำปั้นเล็กฟาดลงกับโต๊ะกาแฟอย่างแรงดังคับพื้นที่ ผู้คนต่างจับจ้องมายังต้นเสียง หมอหนุ่มรีบลุกขึ้นโค้งขอโทษเป็นการใหญ่ ก่อนจะดึงตัวลู่หานแล้วพาออกจากร้านไป ระหว่างทางไม่มีการพูดคุยกันเกิดขึ้น ลู่หานเดินตามการชักนำของหมอหนุ่ม จนกระทั่งทั้งคู่มาถึงห้องพักแพทย์ ร่างเล็กทรุดลงเก้าอี้อย่างง่ายดาย ส่วนคนเป็นหมอก็เข้านั่งเก้าอี้ของตัวเอง
“ลู่หานขอโทษที่ทำให้พี่ขายหน้า” พลันเสียงหวานเอ่ยออกมาเมื่อตั้งสติได้ ร่างกายเขามันไปเอง เขาไม่ได้ตั้งใจจะทุบโต๊ะ แต่ตอนนั้นมันอึดอัดจนอยากจะระบาย มือข้างที่ไม่โดนกุมมันไปไวกว่าที่คิด
“ไม่ใช่ความผิดเรา พี่ไม่ควรเร่งความจำนายในสถานที่แบบนั้น” ซูโฮไม่ควรที่จะทำอะไรบุ่มบ่ามเขาร้อนใจเอง เขาอยากให้ลู่หานหายจากความจำเสื่อม แต่ลืมนึกถึงผลที่ตามมา
“ผมควรทำยังไงต่อไปกับตัวเองดี ถ้ายังเป็นแบบนี้ผมต้องเป็นบ้าแน่ๆ”
“ไปที่เกิดเหตุดูไหม เพื่อนายจะจำมันได้บ้าง” การรักษาที่ดีที่สุดคือต้องให้คนป่วยไปอยู่ในเหตุการณ์เดิมๆ ที่เดิมๆ ซึ่งมีโอกาสหายสูงกว่าการนั่งนึกนั่งจินตนาการเอง
“แล้วผมจะไปยังไง”
ผละ!
“ไปกับฉัน” เซฮุนที่เปิดประตูเข้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่มีการเคาะ หรือขออนุญาติก่อนเข้า เอ่ยเสียงดัง แล้วฉุดข้อมือบางให้ลุกขึ้น
“เซฮุนปล่อยแขนพี่” ลู่หานตั้งตัวไม่ทัน เมื่อจู่ๆก็โดนร่างสูงฉุดให้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึงจะไม่ขัดขืนแต่ก็ใช่ว่าจะยินยอม “นายจะลากพี่ไปไหน”
“พี่อยากรู้ไม่ใช่เหรอ นี่ไงผมกำลังจะพาไปพิสูจน์”
“ใช่พี่อยากรู้” ร่างเล็กก้มหน้าหนีสายตาคม เขากังวลกับการรู้ความจริง
“แล้วพี่จะกลัวอะไรอีก”
พี่กลัวความจริง
ลู่หานลังเล เขาไม่ปฏิเสธว่าอยากจำได้ แต่เขากลัวว่าความจริงมันจะเลวร้ายเกินไป
เลวร้ายงั้นเหรอ
ทำไมถึงคิดว่ามันเลวร้ายด้วย มันก็แค่อุบัติเหตุไม่ใช่เหรอ
เลย์เข้ามาถึงบริษัทตั้งแต่เช้า ในมือถือกาแฟมาสองแก้ว แก้วหนึ่งสำหรับตัวเอง ส่วนอีกแก้วสำหรับผู้จัดการฝ่ายการตลาด ที่ยกระดับขึ้นมาเป็นคนรู้ใจ จึงไม่แปลกหากจะเห็นท่านรองประธานแวะเวียนมาที่แผนกนี้
แผนกการตลาด
“สวัสดีค่ะท่านรอง รอสักครู่นะค่ะ” เลขาสาวหน้าห้องลุกขึ้นยืนกล่าวทักทาย
“ไม่ต้องบอกเขา ฉันจะเข้าไปเลย” เลย์เอ่ยห้ามเมื่อเห็นว่าเลขาสาวกำลังจะกดโทรศัพท์
“รับทราบค่ะ” เธอโค้งก่อนจะนั่งลงทำงานตามเดิม
เลย์ผลักประตูเข้าห้องไป ก่อนจะชะงักเท้าเมื่อเสียงทุ่มเอ่ยดุ
“ผมบอกคุณกี่ครั้งแล้ว ทำไมไม่เคาะประตู” สายตาคมจดจ้องเอกสารไม่ยอมเงยขึ้นมาดูว่าใครกันที่เป็นแขก จนเข้าใจไปเองว่าเป็นเลขาสาวที่เปิดประตูเข้ามา
“ขอโทษครับผู้จัดการ ผมจะเคาะประตูเดี๋ยวนี้แหละ” เลย์ใช้ตัวเองกั้นประตูไม่ให้ปิด เพราะมือสองข้างถือแก้วกาแฟ แต่กระนั้นเขาก็ต้องเคาะประตู จึงใช้มือขวาที่ถือแก้วกาแฟขึ้นเคาะ ดีที่ดื่มจนพร่องไปเยอะแล้วไม่งั้นได้หกราดมือตัวเองแน่
แว่วเสียงที่เปลี่ยนไปทำให้คริสละสายตาจากเอกสารขึ้นมามอง ก่อนจะนิ่งไปเมื่อเห็นว่าเป็นรองประธาน “เชิญเข้ามาได้”
เลย์เบี่ยงตัวเข้าห้อง เดินตรงเข้ามาด้วยรอยยิ้มให้กับร่างสูงบนเก้าอี้ “จะพบตัวผู้จัดการนี่ยากจังนะ รองประธานอย่างผมยังต้องเคาะประตูเองเลย”
“แล้วทำไมคุณไม่ให้เลขาผมเปิดให้” คริสวางปากกาลง ยันศอกค้ำแก้มตัวเองมองร่างบางที่ถือแก้วกาแฟเต็มสองมือ
“ช่างเถอะ ผมเอากาแฟมาให้” ว่าพร้อมยื่นแก้วกาแฟไปตรงหน้า คริสรับมาก่อนจะจิบไปหนึ่งที
“ขอบคุณนะ” ว่าจบก็ก้มลงไปอ่านเอกสารต่อ ปล่อยให้เลย์มองตาอย่างเหนื่อยใจ แม้คริสจะยอมแต่งงานกับเขาแต่นั้นไม่ได้หมายความว่าเราจะรักกัน
การแต่งงานเพื่อผลประโยชน์
“เย็นนี้ เรามีนัดเลือกแหวนแต่งงานกัน” เลย์บอกจุดประสงค์ที่แท้จริงในการมาหาอีกคน
คริสเงยหน้าจากเอกสารมองเลย์ คิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา “งั้นเราไปเจอกันที่ร้าน วันนี้ผมมีงานที่ต้องทำเยอะไม่อยากให้คุณรอ”
คิดไว้แล้วว่าอีกคนจะพูดแบบนี้ ถึงจะอยากไปพร้อมกัน แต่เขาจะเรียกร้องอะไรได้
“ไว้เจอกันที่ร้าน” เลือกที่จะเดินออกจากห้องไป ถึงแม้จะอยู่ในห้องนานกว่านี้ก็ใช่ว่าพวกเขาจะมีเรื่องคุยกัน ภายนอกคนอื่นอาจจะมองว่าเขาสองคนช่างเหมาะสมกัน รักกันดี นั้นมันคนอื่นมอง ให้เขามองเองไหม แล้วจะรู้ว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้......
อีกคนฝืนใจแค่ไหน
ลู่หานนั่งนิ่งตั้งแต่ขึ้นมาบนรถ เขาพยายามคิดทบทวนเรื่องราวในอดีตของตัวเอง แต่มันยังไม่ปะติดปะต่อกันได้เลยแม้แต่นิด ถ้าได้อยู่ในเหตุการณ์แบบเดิมต้องจำได้แน่ เขาต้องจำได้
“ผมว่าพี่อย่ากังวลให้มากเลย ความจริงก็อย่างที่ผมเล่า” เซฮุนที่แม้สายตาจะจ้องถนน แต่ก็ไม่ลืมที่จะสังเกตร่างบาง อีกคนนั่งนิ่งแต่การวางสีหน้าบอกได้เป็นอย่างดีว่ากำลังเป็นกังวลอยู่มาก
“ไม่ใช่ว่าพี่ไม่เชื่อ พี่เชื่อว่าเซฮุนไม่โกหกพี่ แต่พี่อยากรู้ความจริง” ลู่หานละจากความคิดตัวเอง หันมาพูดกับอีกคน
“สุดท้ายพี่ก็ไม่เชื่อใจผมอยู่ดี”
“เซฮุนไม่เข้าใจ พี่เชื่อเรา แต่พี่อยากจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง” เริ่มจะคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว
“ผมก็เล่าไปแล้วไง”
“พี่อยากจำได้เอง” สวนกลับทันที การรู้ด้วยตัวเองย่อมดีกว่าการรับฟังอย่างเดียว “ช่างเหอะ พี่คงเครียดเกินไป” ตัดปัญหาด้วยการบอกปัด
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบเช่นเดิม ไม่มีใครอยากจะพูดอะไรออกมาตอนนี้ เพราะพูดก็พาลแต่จะทะเลาะกัน
เซฮุนเลี้ยวรถจอดเข้าข้างทางเมื่อถึงจุดหมาย ที่ตรงนี้เป็นทางโค้งวนรอบภูเขา ไม่ค่อยมีรถสัญจรเท่าไหร่ ลู่หานไม่มีปฏิกิริยาอะไรแสดงออกมา ทุกอย่างดูเป็นปกติ เซฮุนจึงเปิดประตูรถลงมา นั้นทำให้ลู่หานทำตามอีกคน
ร่างสูงดินนำอีกคนไปจนถึงราวกั้นถนน จากจุดนี้ถ้ามองลงไปข้างล่างจะเห็นได้ชัดว่ามันคือหน้าผาดีๆนี่เอง หากตกลงไปคงไม่รอด
แต่ลู่หานรอดมาได้
“ที่ตรงนี้แหละ พี่จำมันได้รึป่าว”
ลู่หานส่ายหน้าแทนคำตอบ เขาไม่มีความรู้สึกอะไรเลย เขาความจำเสื่อมเกินไปรึป่าว
“เซฮุนแน่ใจนะว่าคือที่นี่” เอ่ยถามร่างสูงข้างกาย เมื่อความรู้สึกบอกมันยังปกติดีทุกอย่าง ไม่เห็นเหมือนในซีรี่ย์ที่เขาเคยดู เวลาที่นางเอกความจำเสื่อมแล้วมารื้อความจำตัวเอง จะต้องเห็นภาพเป็นฉากๆ กรี๊ดร้อง เป็นลม ตื่นมาจำได้ แต่ไม่ ลู่หานไม่มีความรู้สึกนั้น ในตอนนี้
“ผมเจอพี่ข้างล่างนั้น” เซฮุนพูดทั้งยังชี้นิ้วตัวเองลงไปข้างล่างที่เป็นโขดหินซ้อนทับกัน “ในข่าวก็เขียนเอาไว้ว่า เกิดอุบัติเหตุที่ตรงนี้ ถ้าไม่ใช่ตรงนี้ก็แสดงว่าข่าวมั่ว”
“ในข่าว?” ลู่หานทำหน้าสงสัยมองเซฮุน
เซฮุนที่มองไปข้างล่างหันใบหน้าขึ้นมามองลู่หานก่อนจะตอบ “ข่าวหนังสือพิมพ์เขียนถึงการตายของพี่”
“ข่าวนั้นอยู่ไหน”
“ผมเก็บไว้ที่บ้าน”
“ทำไมนายไม่บอกฉัน นายควรจะให้ฉันดูมัน”
“ก็พี่เองไม่ใช่เหรอที่รีบร้อนอยากรู้ จนไม่ฟังอะไรที่ผมจะพูดเลย” เซฮุนไม่โกรธที่พี่ลู่หานหนีไปหาพี่หมอไม่บอกเขาก็ดีแค่ไหนแล้ว
“พาฉันกลับ เดี๋ยวนี้” เอ่ยอย่างเอาแต่ใจ
“ไม่อยากอยู่ที่นี้ต่ออีกสักหน่อยเหรอ เพื่อจะจำอะไรได้บ้าง” นึกอยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไป กว่าจะมาถึงนี้กินเวลากว่าชั่วโมง สงสารคนขับรถไหม เซฮุนอยากถาม
ลู่หานนิ่งไปสักพัก “ถึงจะอยู่ต่อ ฉันก็จำไม่ได้หรอก” เขาเชื่อว่าหนังสือพิมพ์นั้นจะให้ข้อมูลกับเขาได้มากกว่าในตอนนี้
ปึ้ก!
เซฮุนโยนหนังสือพิมพ์จำนวนหลายฉบับลงบนโต๊ะ ลู่หานมองมันก่อนจะหยิบฉบับหนึ่งขึ้นมากางอ่าน
พระเจ้า! หน้าหนึ่ง
แทบไม่ต้องพลิกหาข่าวที่ต้องการ เมื่อหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกสำนักพร้อมใจกันลงข่าวอุบัติเหตุรถตกเขาเป็นข่าวเด่นประจำวัน
18 ธันวา
วิวาห์ล่ม! ว่าที่นายแพทย์หนุ่มซิ่งรถตกเขา!
เวลา 22:40 น. รับแจ้ง ว่าที่นายแพทย์ลู่หาน อายุ 24 ปี ขับรถมุ่งสู่โบสถ์เอ จนกระทั่งถึงที่เกิดเหตุ รถเสียหลักพุ่งตกเขา และเกิดระเบิดในเวลาต่อมา ร่างหายสาปสูญ ในขณะที่ว่าที่เจ้าบ่าวร่ำไห้แทบสิ้นใจ อ่านต่อหน้า 27
ลู่หานเปิดหน้าหนังสือพิมพ์เพื่ออ่านรายละเอียดของข่าวต่อ ทั้งชื่อทั้งภาพที่ปรากฏบนหนังสือพิมพ์ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่านั้น คือตัวเขา จริงๆ สถานที่เดียวกันกับที่เขากลับมาเมื่อชั่วโมงก่อน
เซฮุนนั่งมองดูลู่หานอ่านข่าวอย่างตั้งอกตั้งใจ คงจะช็อคกับข่าวน่าดู เพราะสีหน้าอีกคนซีดลงไปเรื่อยๆ
“ที่นี่จะเชื่อผมได้รึยัง ผมไม่ได้โกหกพี่” เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นลู่หานค่อยๆลดหนังสือพิมพ์ลง
“ทุกอย่างมันคือเรื่องจริงใช่ไหม” กล่าวลอยๆเหมือนพูดกับตัวเอง
“ทุกอย่างคือเรื่องจริง” เซฮุนยืนยันหนักแน่นให้อีกคนเชื่อ
ลู่หานหันขวับมองหน้าเซฮุน “แต่ทำไมนายไม่บอกว่าพี่เป็นหมอ” สงสัยมาตั้งแต่พาดหัวข่าวแล้ว
“ผมบอกไปพี่ก็รักษาตัวเองไม่ได้หรอก ยังไงก็ต้องให้พี่หมอดูแลอยู่ดี”
“ถึงอย่างนั้นก็น่าจะบอกพี่”
“ยังไงพี่ก็รู้แล้วนิ” เอ่ยปัดอย่างไม่อยากให้สนใจในประเด็นนี้ เพื่อเปิดประเด็นอื่นขึ้นมา “ในเมื่อพี่รู้แล้ว คิดรึยังว่าจะทำไงต่อ”
ลู่หานส่ายหัวน้อยๆ เขาจะคิดอะไรทันในตอนนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นมันนิยายเกินไปซะขนาดนั้น
“ฟังข้อเสนอผมไหมล่ะ” เซฮุนพูดอย่างมีชั้นเชิง หลอกล่อให้กวางน้อยคล้อยตาม
“ข้อตกลงอะไร” เอ่ยถามด้วยความสงสัยอย่างปิดไม่มิด
“พี่คิดว่าผมช่วยพี่เอาไว้ทำไม ทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน”
“พี่จะไปรู้ไหม เรื่องนี้พี่ก็อยากจะถามนายแต่ยังไม่กล้าถามสักที”
“เพราะพี่กลัวคำตอบใช่ไหม” รู้ทันอีกคนเสมอ
“ใช่ แต่ตอนนี้ฉันพร้อมที่จะฟังมันแล้ว บอกมาสิ”
“เพราะพี่คือแฟนของคริสไงล่ะ ผู้ชายที่เป็นอดีตว่าที่เจ้าบ่าวของพี่ แต่ตอนนี้เขากำลังจะไปแต่งงานใหม่ รู้ไหมว่าคนใหม่นั้นคือใคร” เซฮุนถามความเห็นอีกคน
ถึงจะสมองเสื่อมแต่เขาไม่ใช่โง่ ลู่หานเดาทางได้ และเขาคิดว่าคนใหม่นั้นต้องเกี่ยวกับเซฮุนสักทาง “สักคนที่นายรัก ฉันพูดถูกไหม”
แปะ แปะ แปะ
เซฮุนตบมือให้กับคำตอบ “ถูกต้อง พี่นี่ฉลาดสมกับที่เรียนหมอจริงๆ เขาคือ พี่ชายผมเอง” ลู่หานเอามือป้องปากกับคำเฉลยนั้น
พี่ชาย! งั้นเหรอ
“ผมอยากให้พี่กลับไปหาแฟนพี่” เซฮุนเอ่ยต่อ
“แล้วพี่ชายนายล่ะ นายคงไม่คิดจะขัดขว้างงานแต่งพี่ชายตัวเองใช่ไหม”
“ใช่! ผมจะล้มงานแต่งนี่”
“ถ้าทำแบบนั้นพี่ชายนายต้องเสียใจแน่” ลู่หานอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน เซฮุนบ้ารึป่าว ที่จะล้มงานแต่งพี่ตัวเอง ถ้าทำแบบนั้นเท่ากับทำร้ายพี่ชายตัวเองไมใช่เหรอ
“ก็ดีกว่าให้พี่ผมเสียใจไปตลอดชีวิต”
“พี่ไม่เข้าใจ มันเรื่องอะไร คริสเขาไม่ใช่คนดีเหรอ”
“เขาดี ดีมากเลยแหละ แต่ไม่ดีพอสำหรับพี่ผม” แล้วเท่าไหร่ถึงจะดีพอ
“บอกมาเลยดีกว่าว่านายจะให้พี่ทำอะไร” ลู่หานไม่เข้าเซฮุนจริงๆ ถ้าบอกว่าดีแล้วทำไมต้องกีดกัน
“กลับเข้าไปในชีวิตของสองคนนั้น พี่ต้องเอาคนของพี่คืนไป”
“ด้วยวิธีไหน”
“ด้วยวิธีของผม แต่ฝีมือของพี่”
“แล้วถ้าพี่ไม่ช่วย”
“ผมก็ไม่อยากจะทวงเรื่องบุญคุณคนหรอกนะ แต่ผมและพี่เราต้องพึ่งพากัน จริงไหม?”
แล้วลู่หานจะมีสิทธิปฏิเสธเหรอ ในเมื่อเซฮุนพูดออกมาชัดเจนขนาดนั้น คงจะช่วยเขาไว้เพราะการนี้จริงๆสินะ แต่เขาคิดหาทางไม่ออกจริงๆที่จะกลับไปมีตัวตนอีกครั้ง โดยเฉพาะในเวลานี้ที่เขาไม่มีความทรงจำอะไรเหลืออยู่เลย เขาจะทำมันได้จริงเหรอ
ลู่หานแยกตัวจากเซฮุนออกมาเพื่อทบทวนเรื่องราวทั้งหมด เขาต้องสร้างความจำขึ้นมาใหม่ในตอนนี้ เพราะไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนเขาจะหายจากอาการสมองเสื่อม เขารอไม่ได้ เซฮุนให้เวลาเขาแค่สองเดือน มันอาจจะฟังดูนานแต่มันไม่มากพอกับอาการของลู่หานแน่
เขาต้องทำอะไรสักอย่าง
มือบางคว้าหมับเข้าที่มือถือของตัวเอง เขาไม่ได้จะโทรหาใคร แต่เขาจะใช้มันเพื่อค้นหาข้อมูล อย่างแรกที่เขาต้องรู้คือ
คริส คือใคร
ผลการค้นหาแสดงรายการที่เกี่ยวข้อง ลู่หานเลือกคลิกไปที่เว็บไซต์หนึ่ง ในหน้าเว็บปรากฏข้อมูลพร้อมทั้งรูปภาพผู้ชายคนหนึ่งในเสื้อสูทสีดำ ลู่หานนิ่งเหมือนต้องมนต์ ผู้ชายคนนี้หล่อเหลา คมคายมาก สายตาที่คมกริบ จมูกที่โด่งเป็นสัน หน้าเนียนสะอาด ไร้หนวดเครา....
คนนี้เหรอที่เป็นแฟนผม
ก็ไม่แปลกใจแล้ว ถ้าผมตายแล้วเขาจะมีแฟนใหม่ทันที ผู้ชายหน้าหล่อโปรไฟล์ดีขนาดนี้จะโสดได้นาน
ก็อก ก็อก ก็อก
ประตูห้องนอนลู่หานถูกเปิดจากคนที่คุณก็น่าจะรู้ว่าใคร คอนโดนี้เซฮุนเป็นเจ้าของและมีลู่หานเป็นผู้อาศัย
“ผมมาตามพี่ไปทำกับข้าว” เซฮุนผู้จริงจังเมื่อครู่นี้หายไป ตอนนี้กลายมาเป็นเด็กน้อยเหมือนเดิม จนอยากที่จะเชื่อว่าคือคนเดียวกัน
ลู่หานลดมือถือลงก่อนจะหันไปคุยกับร่างสูง “วันนี้โทรสั่งอาหารไม่ได้เหรอ พี่ไม่อยากเข้าครัว”
“แต่ผมอยากกินฝีมือพี่ เพราะฉะนั้นไปเข้าครัว” เอาแต่ใจตัวเองกว่านี้มีอีกไหม แล้วทำไมลู่หานต้องยอมน้องมันตลอดด้วย
“เอ่อๆ แต่ต้องไปมาร์เกตก่อน ของสดหมดหลายอย่างแล้ว”
“ได้ครับ ไปกันตอนนี้เลยนะ เพราะผมจะไม่ทนหิวนาน”
“เซฮุนอยากกินอะไร” ลู่หานเอ่ยถามร่างสูงข้างกาย ที่ตอนนี้มีหน้าที่เข็นรถเข็น
“สเต็กเนื้อ แล้วก็ขอสลัดผักด้วย”
“แล้ววันนี้พี่หมอจะเข้ามาไหม?” ถามเพื่อที่จะได้กะวัตถุดิบได้พอตามจำนวนคน
“ทำเพื่อเลย พี่หมอไม่มาผมก็จะกินเอง”
ลู่หานส่ายหัวให้กับความตะกละของอีกคน พลางเดินเลือกสินค้าไปเรื่อยๆ อย่างสนใจ จนไม่ทันสังเกต ว่ามีมือคู่หนึ่งยื่นมาจับเนื้อในถาดเดียวกันกับเขา
“เอ่อ...คุณเอาไปละกัน” อีกฝ่ายเป็นผู้ชายตัวเล็กขาวๆในชุดสูทสีดำ เป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อน เมื่อพบว่าเนื้อที่หยิบเหลือชิ้นสุดท้าย ไม่เขาก็อีกคนที่ต้องได้มันไป
ลู่หานยื่นมือไปรับ “ขอบคุณนะครับ จริงๆแล้วผมเอาชิ้นอื่นก็ได้”
“ผมแค่จะหยิบมันขึ้นมาดูเฉยๆ ยังไม่ได้คิดว่าจะซื้อดีรึป่าว”
“แล้วคุณจะทำอะไรมื้อเย็น เพื่อชิ้นนี้น่าจะจำเป็นกับคุณมากกว่า” ลู่หานหมายถึงชิ้นเนื้อในมือของตัวเอง ถึงจะไม่ได้ชิ้นนี้เขาก็หาชิ้นใหม่แทนได้
“ผมยังไม่ได้คิดเมนูเลยครับ”
“อ๋า....ให้ผมช่วยคิดดีไหมครับ” แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันทั้งที่เขาไม่ใช่คนที่จะไปยุ่งกับคนแปลกหน้า แต่กับคนนี้เขาดันถูกชะตา อยากจะรู้จักขึ้นมาซะอย่างนั้น
“จริงๆแล้วผมทำอาหารไม่เป็น แต่กำลังลองทำอยู่” อีกฝ่ายพูดออกมาอย่างอายๆ
“ไม่อยากครับ ให้ผมช่วยสอนเอาไหม ผมถนัดมากเรื่องครัวเนี่ย” ลู่หานเสนอตัว
“จะดีจริงเหรอครับ” อีกฝ่ายมีท่าทีลังเล อยากจะมีคนสอน แต่เราไม่รู้จักกัน มันจะดีเหรอ
“ผมชื่อ ลู่หาน ครับ เราควรรู้จักกันก่อนคุณว่าจริงไหม” ลู่หานแนะนำตัวเองทั้งรอยยิ้มแสดงความจริงใจของตัวเอง
“ละ..เลย์ ชื่อของผม ยินดีที่ได้รู้จัก” เลย์พูดติดขัด แต่กระนั้นก็ยิ้มให้ลู่หานตอบกลับ ที่พูดติดขัดเพราะเขากำลังตั้งคำถามกับตัวเอง ว่า.......
คนชื่อลู่หานไม่ได้มีแค่คนเดียวหรอก
เพราะมัวแต่ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ทำให้ลู่หานลืม ลู่หานลืมเซฮุน และตอนนี้เซฮุนหายไป เมื่อกี้ยังเดินตามเขาอยู่เลย ไปหลงกันตอนไหน
“ลู่หานหาอะไรเหรอ” เลย์ถามเมื่อเห็นลู่หานหันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังตามหาอะไรสักอย่างอยู่
“เพื่อนนะ คือมาด้วยกันแต่ตอนนี้ไม่รู้หายไปไหนแล้ว”
“คงจะเดินไปดูของโซนอื่นอยู่มั้ง”
“เดี่ยวผมลองโทรตามก่อนดีกว่า” ลู่หานว่าก่อนจะควักมือถือออกมาโทรหาเซฮุน
เซฮุนหลบตัวเองออกมาตั้งแต่ที่เห็นพี่ชายของตัวเอง เขายังไม่อยากคุยกับอีกคนตอนนี้ แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เขาดึงลู่หานออกมาไม่ทัน และตอนนี้ทั้งคู่กำลังคุยกัน โดยมีเขาลอบมองอยู่ห่างๆ
ครืด ครืด
ขอบคุณตัวเองที่ปิดเสียงมือถือไม่งั้น คนโทรมารู้แน่ว่าเขาอยู่ห่างไม่ไกล
(อยู่ไหน) ปลายสายเอ่ยถาม
“พี่เลือกของไปเลย ผมจะรอที่แคชเชียร์” ไม่ตอบว่าตัวเองอยู่ไหน แต่บอกว่าเจอกันที่ไหน
(เอ้า...ไงงั้นล่ะ)
“เหอะน่า อย่านานนะ ผมรออยู่”
(แต่พี่เจอคน.....) พูดยังไม่ทันจบก็โดนเซฮุนสวนขึ้นมาก่อน
“ผมไม่ชอบรอ รีบด้วย”
(เข้าใจแล้ว)
เซฮุนตัดสายไป จะยังไงก็แล้วแต่ ไม่ใช่ตอนนี้ที่พี่น้องต้องมาเจอกัน
ลู่หานเก็บมือถือก่อนจะกลับไปคุยกับเพื่อนใหม่ “ผมขอโทษด้วย พอดีผมต้องรีบไป”
“ลู่หานคงไม่ว่าง ไว้เราเจอกันคราวหลังก็ได้ นี่นามบัตรผม” เลย์พูดทั้งยังยื่นนามบัตรตัวเองให้ลู่หาน “จริงๆวันนี้ผมเองก็มีนัดแล้ว แต่เขายังมาไม่ถึง ผมเลยมาเดินดูของรอ”
“ไว้ผมจะโทรหาเลย์แล้วกันนะ” ลู่หานว่าก่อนจะเดินจากมา ที่ๆเขาต้องไปคือแคชเชียร์ เซฮุนเกิดอินดี้อะไรขึ้นมาอีกแหละ นึกอยากจะหายไปก็หายไปเลย
เลย์มองตามลู่หานที่เดินจากไป ก่อนจะสะดุ้งเมื่อมือถือในกระเป๋ากางเกงสั่น
คริส
“ว่าไงครับ”
(คุณอยู่ไหน)
“ผมอยู่มาร์เกต แล้วคุณล่ะ”
(ถึงห้างแล้ว รอนั้นแหละผมจะไปคุณเอง)
“อืม”
คริสวางสายก่อนจะก้าวตัวออกจากรถ ไปหาว่าที่เจ้าสาวที่อยู่มาร์เกต เขามาสายจากเวลานัดกว่าครึ่งชั่วโมง แต่ฟังจากเสียงของเลย์แล้วน่าจะไม่โกรธเขา ซึ่งนั้นถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ก็ใช่ว่าเขาจะเดินเอื่อยๆได้ วิ่งได้ก็วิ่ง
“นายเกิดบ้าอะไรขึ้นมาอีกล่ะ”
แว่วเสียงหวานที่ผ่านเข้าหูของคริส ทำเอาเขาหยุดฝีเท้าที่รีบลง
“พี่อ่ะเลือกของลีลา ผมเบื่อเลยมารอที่แคชเชียร์”
และอีกเสียงที่ดังเข้ามา เหมือนคนกำลังคุยกัน
“มาหลีสาวแคชเชียร์ก็บอกมาเหอะ”
หันซ้ายขวาเพื่อมองหาต้นตอของเสียง
“แล้วแต่จะคิด กลับหันเหอะ”
ก่อนจะพบกับแผ่นหลังของคนสองคนที่เดินสวนผ่านเขาไป คนตัวสูงกับคนตัวเล็กที่....
เสี่ยวหน้านั้น
กลิ่นตัวแบบนั้น
ใช่เจ้าสาวในอดีตของเขารึป่าว............
#hunhanreborn
........................................................
แต่ละตอนความยาวไม่เท่ากันจริงๆ
สัปดาห์นี้โดนยกคลาสไปสองตัวก็ว่างเลยสิครับ อัพฟิคๆ
ตรงไหนพิมพ์ตกอ่านให้ถูกเอาเนอะ ฮิฮิ
ความคิดเห็น