ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FIC HUNHAN ft.KRISLAY REBORN เกิดอีกครั้งขอรักอีกที

    ลำดับตอนที่ #1 : Intro

    • อัปเดตล่าสุด 1 ก.พ. 58


         


      
    Intro

     

     

                บนเนินเขาที่เงียบสงบ ต้นหญ้าสีเขียวขจี สายลมอ่อนๆพัดผ่านร่างสูงของชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ เนคไทสีดำ กางเกงแสลคสีดำ รวมไปถึงรองเท้าหนังที่เป็นสีดำมันวาว ดำทั้งตัว ชายหนุ่มยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่หน้าแท่นหินที่สลักชื่ออดีตคนรักที่เพิ่งจะจากไปเมื่อได้ไม่นาน

                สถานที่แห่งนี้เงียบสงบเหมาะแก่การพักผ่อนของคนรักของเขาจริงๆ คริสกลับมาที่นี่อีกครั้งหลังจากที่มาครั้งล่าสุดเมื่อเจ็ดวันก่อน

              วันฝังศพ

                ไม่ใช่ว่าชายหนุ่มไม่อยากมาที่นี่ แต่เขามีงานและหน้าที่ต้องรับผิดชอบ เขาไม่สามารถปลีกตัวมาหาคนรักของเขาได้เลย จนกระทั่งครบรอบเจ็ดวันของการจากไป

                “นายทิ้งฉันไปเจ็ดวันแล้วนะ ไม่ยอมกลับมาหากันเลย ไม่คิดถึงกันบ้างเลยเหรอ แต่ฉันคิดถึงนายนะ เคยสัญญาจำได้ไหม สัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันไปนานๆ เราจะไม่ทิ้งกันไปไหน แล้วทำไม...ทำไมนายถึงทิ้งฉันไปก่อน นายมันใจร้ายมาก นายใจร้ายจริงๆ ลู่หาน ” ทำได้แค่เว้าวอนกับหลุมศพ ชีวิตหลังจากที่ไม่มีอีกคนอยู่มันช่างป่าวเปลี่ยว อ้างว้าง และมันมืดหมนไปหมด

                ลู่หานคือ แรงผลักดันให้ชีวิตของเขาก้าวไปข้างหน้า คนที่คอยเป็นกำลังใจและเคียงข้างเขาไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข คนๆนี้จะไม่เคยห่างไปไหน คริสรักลู่หานมาก รักมากจนไม่เคยคิดว่าถ้าหากวันหนึ่งไม่มีลู่หานข้างกายจะเป็นยังไง

              ความเลวร้ายจะมาหาคุณโดยไม่บอกกล่าวเสมอ

                และวันนั้นมาถึงเร็วเกินไป คืนก่อนวันแต่งงานของคริสและลู่หาน เหตุการณ์วันนั้นคริสจำได้แม่นและไม่มีทางลืม วันที่เขาสูญเสียคนรักไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ อุบัติเหตุที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้กับคนที่มีสติรอบคอบและไม่ประมาทกับการใช้ชีวิตอย่างลู่หาน คริสกำลังรอคนรักอยู่ที่โบสถ์งานแต่งงาน เขามาถึงที่จัดงานก่อนเพื่อมาดูความเรียบร้อย ส่วนลู่หานติดประชุมงานจึงตามมาทีหลัง เวลาสี่ทุ่มครึ่งโทรศัพท์ของคริสดังขึ้นปลายสายแจ้งมาว่ารถที่ลู่หานกำลังขับมาประสบอุบัติเหตุพุ่งตกลงเขาก่อนจะระเบิดในเวลาต่อมา วินาทีนั้นคริสแทบล้มทั้งยืน แต่นั้นไม่ใช่เวลาที่จะมาตกใจ เขารีบออกไปยังจุดเกิดเหตุ ภาพที่สุดแห่งความสะเทือนใจ  ต่อให้มืดแค่ไหนก็ไม่มีทางที่จะมองไม่เห็นรถทั้งคันที่ถูกไฟครอบได้เลย

                “ถ้าวันนั้นเรามาด้วยกัน เราคงตายด้วยกัน จะได้ไม่ต้องมีใครทนอยู่อย่างทรมารอย่างงี้หรอกจริงไหม” ร่างสูงของคริสทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดแรง เมื่อภาพเหตุการณ์ในวันนั้นเด่นชัดขึ้นมาเรื่อยๆ เขาอยากให้ทุกอย่างเป็นแค่ฝัน ทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น

              ทำได้แค่หลอกตัวเองเท่านั้น  

                ร่างบางที่เฝ้ามองดูคริสอยู่ห่างๆ เมื่อเห็นร่างสูงทรุดลงไปกับพื้นก็รีบวิ่งเข้าไปหา

                “คริสลุกขึ้น อย่าเป็นแบบนี้ได้โปรด” เสียงหวานดังมาพร้อมกับแขนเล็กที่วาดโอบกอบแผ่นหลังกว้าง คริสมองหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะซบใบหน้าลงกับหน้าท้องเพื่อซุกซ่อนความเสียใจเอาไว้

                “ร้องไห้ให้พอ ปล่อยมันออกมาให้หมด ฉันจะปลอบนายเอง” ร่างบางกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น เพื่อบอกว่ายังมีเขาอยู่ตรงนี้ คริสยังมีเขาอยู่

                “ขอบคุณนะ เลย์ขอบคุณที่อยู่ข้างๆฉันในเวลาแบบนี้” คริสเหนื่อยเกินไป เหนื่อยและเจ็บปวดมากจริงๆ

                เสียงสะอื้นมีให้ได้ยินไม่ขาดสาย จากตอนแรกที่มาจากร่างสูงเพียงคนเดียว ตอนนี้กลับมีร่างบางอีกคนที่กำลังน้ำตาไหลออกมา แม้อยากจะเงียบเสียงแต่เลย์ก็ไม่สามารถทำได้ เขาเองก็เสียใจกับการจากไปของลู่หานในครั้งนี้เช่นกัน

                “คุณหนูครับ ได้เวลากลับแล้วครับ” เสียงทุ่มดังขึ้นจากทางด้านหลัง ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าคงเป็นเลขาส่วนตัวของรองประธานบริษัทอย่างเลย์ ที่ขึ้นมาตามเมื่อเห็นว่าได้เวลาที่ควรจะออกไปจากที่ตรงนี้

                “ฉันเข้าใจแล้ว นายไปรอที่รถ พวกฉันจะตามลงไป” เลย์ตอบ พลางเช็ดคราบน้ำตา

                “ครับ” เลขาหนุ่มโค้งให้หนึ่งทีก่อนจะเดินลงไปรออยู่ที่รถตามคำสั่งของเจ้านาย

                คริสผละหน้าออกมาเช็ดคราบน้ำตา ก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูง ปล่อยจิตใจให้ว่างเปล่าเตรียมกลับไปสู้กับโลกแห่งความจริงข้างหน้า

              โลกแห่งการแข่งขัน

                เลย์มองคริสที่ยืนนิ่งเพื่อปรับอารมณ์ตอนเอง แล้วพูดเสียงแข็ง “หมดเวลาอ่อนแอแล้วคริส กลับกันได้แล้ว” คริสมีสิทธิ์อ่อนแอได้ก็ต่อเมื่ออยู่หน้าหลุมศพของลู่หานเท่านั้น ถ้าแม้เพียงแค่หันหลังคริสก็ไม่สามารถใช้สิทธิ์นั้นได้อีกแล้ว ทุกอย่างต้องก้าวเดินต่อไป

              ทิ้งความเสียใจไว้เพียงข้างหลัง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                ภายในห้องสี่เหลี่ยมขาวสะอาดตา กลิ่นยาที่ฟุ่งไปทั่วอาณาบริเวณ สายระโยงระยายจากอุปกรณ์ช่วยชีวิต ร่างเล็กขาวบางในชุดผู้ป่วยนอนหายใจโรยรินเป็นเวลานานกว่าสัปดาห์ไม่มีวี่แววจะฟื้นในเร็ววัน แม้หมอที่ดูแลรักษาอาการจะยืนหยัดเป็นหนักแล้วว่า ผู้ป่วย อาการพ้นขีดอันตรายแล้วก็ตามแต่

                “ผ่านมากว่าสัปดาห์แล้วนะพี่หมอ ทำไมเขายังไม่ฟื้น” เจ้าของไข้ถาม

                “เขาคงอยากพักผ่อน ถ้าเขาเบื่อเมื่อไหร่คงจะฟื้นขึ้นมาเอง” คนที่ถูกเรียกว่า พี่หมอตอบ ก่อนจะตบบ่าให้กำลังใจ แล้วเดินออกจากห้องไป ภายในห้องจึงเหลือแค่หนึ่งลมหายใจที่โรยรินและหนึ่งคนที่สีหน้าเครียดขรึม

                “ฟื้นสักทีเถอะพี่ ผมอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพี่” เจ้าของไข้ใช้มือลูบผมสีน้ำตาลอ่อนของคนป่วยบนเตียงช้าๆอย่างทะนุถนอม “รีบตื่นขึ้นมานะ ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินแก้”

                “คุณเซฮุนค่ะ คุณหมอเชิญที่ห้องค่ะ” เสียงพยาบาลสาวที่เปิดประตูเข้ามาบอกกล่าว เซฮุนพยักหน้ารับทราบ แล้วเดินตามหลังเธอคนนั้นออกไปจนถึงห้องๆหนึ่งที่มีป้ายขึ้นชื่อชัดเจน

                นายแพทย์ คิม จุนมยอน

                พยาบาลสาวเคาะประตูหนึ่งทีก่อนจะส่งเสียงบอกหมอที่อยู่ข้างใน “คุณหมอค่ะ คุณเซฮุนมาแล้วค่ะ”

                “เชิญเข้ามาเลย”

                “ค่ะ” พยาบาลสาวเปิดประตูพายมือเชิญเซฮุนเข้าไปด้านใน เมื่อเห็นว่าร่างสูงพ้นประตูแล้วจึงดึงประตูให้ปิดสนิทดังเดิม

                “พี่หมอเรียกผมมาทำไมอีก เราพึ่งแยกกันเมื่อกี้นี่เอง” เซฮุนเอ่ยท้วง

                “ก็พี่ไม่ได้เอาเอกสารติดมือไปด้วย เลยเรียกมาฟังที่นี่ เดินแค่นี้ทำบ่น” หมอหนุ่มว่าให้ในความเป็นคุณชายเกินไปของลูกชายเจ้าของโรงพยาบาล

                “เอกสารอะไร” เซฮุนเบี่ยงประเด็น ถึงภาพลักษณ์เขาจะดูเป็นคุณชาย แต่ถ้าสนิทกับเขาจริงจะรู้เลยว่าเขานะติดดินกว่าที่คนอื่นคิด และพี่หมอเองก็รู้อยู่แก่ใจยังจะมาแขวะเขาอีก

                “ฟิล์มเอกซเรย์สมองของ คนไข้พี่พึ่งได้มา” หมอหนุ่มพูดพลางยื่นซองสีน้ำตาลขนาดใหญ่ให้คู่สนทนา เซฮุนรับมาพลางดึงของของภายในออกมากางดู ก่อนจะขมวดคิ้วให้กับภาพที่เห็น รูปกะโหลกคนสีขาวๆดำๆสลับกันเต็มแผ่นฟิล์ม

                “ผมจบบริหารมา ไม่ได้จบหมอ พี่ควรอธิบายให้ผมฟังสิ”

                “ใจเย็นคุณชาย พี่กำลังจะบอกเราอยู่นี่แหละ รีบจริง คืองี้นะ พี่สงสัยว่าคนไข้อาจจะ อาจจะนะ อาจจะสมองเสื่อม” หมอหนุ่มหยุดพูดดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย เซฮุนคิ้วขมวดหนักกว่าเดิม แต่ยังไม่โวยวายอะไรหมอหนุ่มเลยพูดต่อ “คนไข้อาจจะจำเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้เลย พี่อยากให้นายเพื่อใจ”

                “รักษาได้รึป่าว” เซฮุนเอ่ยเสียงนิ่ง

                “ขึ้นอยู่กับคนป่วยว่าจะอยากหายหรือไม่ ถ้าเขาอยากจำได้ก็ใช้เวลาน้อยลง”

                “ถ้าพี่เขาความจำเสื่อมจริงๆ ผมนี่แหละจะสร้างความจำใหม่ให้พี่เขาเอง”

     

               

               

              

     #hunhanreborn




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×