ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Short Fiction] รวมเรื่องสั้นแตกหน่อ [Yayoi]

    ลำดับตอนที่ #1 : [SF] - Face to Face, Book to Love - [Yun x Jae]

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ย. 56


    [SF] - Face to Face, Book to Love - [YJ only]
    Author: bokunoniji
    Couple: Yunho x Jaejoong
    Category: Parts of Life
    Rating : PG
    Warning :
    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ไม่มีเจตนาพาดพิงหรือทำให้ตัวบุคคลในเรื่องต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ทุกอย่างเป็นเรื่องที่สมติขึ้นมา เพียงแค่ขอยืมชื่อมาใช้เท่านั้น
    ปล. ช่วยคอมเม้นท์ด้วยนะคะ

     

     

     

                    ความจริงแล้วผมก็ไม่ได้เป็นพวกไฮเทคต้องอัพเดทพวกเทคโนโลยีทางโลกไซเบอร์ตลอดเวลา หรือเป็นพวกติดแชทติดเกมส์เหมือนที่เพื่อนๆ ในคลาสชอบเล่นไอ้เจ้าเครื่องมือที่เรียกว่า สมาร์ทโฟนอะไรนั่น ยิ่งพวกโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คนี่ผมยิ่งเกลียดเข้าไปใหญ่ แต่ตอนนี้ผมกำลังติดไอ้เจ้าสิ่งนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น

                    อะไรน่ะหรือ? ก็ไอ้เฟสบุ๊คน่ะสิ ความจริงผมไม่ชอบอัพเดทข้อมูลหรือต้องมาเปิดเผยข้อมูลทุกเวลาให้คนอื่นรู้ถึงชีวิตประจำวันของผมหรอกนะ แต่เพราะว่าเดี๋ยวนี้ไม่ว่าผมจะทำอะไร จะกระดิกตัวไปไหน ใครๆก็พูดถึงแต่การติดต่อสื่อสารทางเจ้านี่กันทั้งนั้น อย่าว่ากระนั้นเลย เอ็มเอสเอ็นปีหนึ่งผมถึงจะเล่นแค่ครั้งหนึ่ง

                    แต่แล้วมันก็มีจุดเปลี่ยนที่สำคัญต่อชีวิตของผม.....ผมเคยคิดว่าผมลืมมันไปแล้ว ความรู้สึกถูกฝังไปกับกาลเวลาและการลาจาก......

     

     

                    เจ้าสัญลักษณ์สีแดงที่ขึ้นอยู่ตรงแถบเมนูบาร์เรียกความสนใจให้ผมต้องเข้าไปกดหัวข้อโนซิฟิเคชั่นดูแล้วก็ปรากฏรูปของเพื่อนที่ผมไม่ได้พบกันนานแล้วผมลองกดไปที่ข้อความนั้นดูก็พบกับบางสิ่งบางอย่าง

                    คุณได้ถูกเชิญให้เข้าร่วมกลุ่ม.......แล้วก็ตามด้วยชื่อโรงเรียนสมัยประถมของผม ความรู้สึกต่างๆ ก็ถูกปลุกขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ผมจำเพื่อนๆ แต่ละคนไม่ค่อยได้ ตอนแรกกะจะลบกลุ่มออกเพราะจำชื่อใครก็ไม่ได้ และดูท่าทางทุกคนจะรู้จักกันหมด สาเหตุหนึ่งก็มาจากบ้านของแต่ละคนอยู่ใกล้กันแต่ผมย้ายบ้านตั้งแต่ประถมห้า ผมจึงตามไม่ทันเจ้าเหล่าบทสนนาที่ดูจะคุ้นเคยดี แต่แล้วบางสิ่งบางอย่างก็ทำให้ผมต้องเปลี่ยนใจ

                    รูปดิสเพลย์ที่ผมไม่รู้หรอกว่าใครแต่ชื่อของเจ้าของนั่นเองที่ทำให้ผมสะดุดตา

                    .......Bear Yunho Jung Uknow......

                    ผมอดไม่ได้ที่ต้องคลิกไปที่ชื่อของเขาเพื่อตามไปที่หน้าหลักก็พบว่าเป็นคนที่ผมคิดอยู่จริงๆด้วย หัวใจผมเต้นตึกตักแปลกๆ หน้าตาของเขาไม่เปลี่ยนไปจากตอนเด็กเท่าไหร่ ยังคงดูดีและดูหยิ่งยโสอย่างเคย ก็แน่ล่ะพ่อเขาเป็นทนายและก็มีฐานะพอดูในบรรดาเพื่อนๆร่วมห้องคนอื่นๆ

                    ........รู้ไหมว่าฉันเกลียดนายมากกว่าเจ้าซึงฮยอนเสียอีก.......

                .......หน้าตาก็ดีนะ แต่ทำไมต้องมาชอบฉันด้วย......

                    เสียงที่ก้องอยู่ในหัวของผมเรียกเอาความรู้สึกอึดอัดในหัวใจของผมกลับมาหลังจากที่มันห่างหายไปนาน แน่ล่ะก็เขาเป็นรักแรกของผม ผมลองเข้าไปอ่านบทสนนาที่เขาได้มีส่วนร่วมในการคอมเมนท์ด้วย ผมก็อมยิ้มไปอย่างช่วยไม่ได้ เขายังคงเป็นแบบเดิมอย่างที่เขาเป็น ดูจากลักษณะการตอบกระทู้ของเขาแล้ว ผมก็ยังคงเห็นความเป็นคนเดิมในตัวเขา

                    ไม่ทันตั้งตัวก็มีข้อความในแชทตรงหัวมุมด้านล่างขวาขึ้นมาตามมาด้วนบทสนทนาหลากหลายสิบข้อความที่ผมตามไม่ทันจนต้องออกจากหน้านั้นไป.....

                    ผมคิดว่ามันจะจบลงแค่นั้นแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปที่กลุ่มสมัยประถมของผม อาจจะเพราะวันนี้เช้าอยู่ล่ะมั้ง ผมเริ่มทำอะไรบางอย่างเนื่องด้วยความว่าง ผมตั้งกระทู้ด้วยการใส่เพลง...คิดถึง....แล้วตั้งหัวข้อว่า

                    [ฝากให้เพื่อนสมัยประถมทุกคน]

                    แต่ในความเป็นจริงแล้วผมอยากจะฝากคำว่าคิดถึงไปให้ใครคนหนึ่งเพียงคนเดียวผ่านทางเพลงนี้ ไม่นานเขาก็มากดไลค์ให้ผม ผมรู้สักดีในใจลึกๆ แม้มันจะเล็กน้อยก็ตาม

                    จากนั้นผมก็เข้ากลุ่มบ่อยขึ้นตั้งกระทู้ต่างๆมากมาย เช่น ชอบกินอะไรที่โรงเรียน ครูคนไหนที่โหดที่สุด แล้วก็รู้สึกสนุกไปกับการย้อนวันวาน และก็เริ่มจำเพื่อนเก่าๆ หลายคนได้ แล้ว....

    ตึ๊ง!!!

                    เสียงข้อความเข้าพร้อมกับกล่องข้อความที่มุมขวาล่างก็ขึ้นมา มีเพื่อนอยู่สองคนที่อยู่ในแชทคนหนึ่งคือเพื่อนหญิงที่เป็นคนตั้งกลุ่มกับเขา.....

                    (ดีๆ นีน่ารายงานตัว) เพื่อนหญิงของผมเป็นคนแนะนำตัวขึ้นมาก่อน

                    (แต่เช้าเลยนะแก) เขาก็เข้ามาตอบกลับด้วยความรวดเร็ว

                    (หวัดดีนีน่า จำเราได้ป่าว?) ผมนึกสนุกจึงพิมพ์ตอบไป

                    (จำได้ แจจุงจอมป่วนไง อิอิ) ผมยิ้มตามข้อความ ผมก็ป่วนจริงๆนั่นแหละ แต่พอโตมาผมกลับเรียบร้อยอย่างไม่น่าเชื่อ

                    (ใครอ่ะ แจจุงชื่อคุ้นๆ) เขาพิมพ์ตอบกลับมา

                    (ถ้ารู้แล้วจะหนาว) ผมพิมพ์กลับไปเหมือนล้อเล่น แต่ในใจผมก็กลัวว่าถ้าเขาจำได้แล้วจะเป็นยังไง

                    (ใครหนาว? เราเหรอ?) เขาตอบกลับมา

                    (..........) ผมเลือกที่จะเงียบ

                    (ไอ้หมีนายทำไรอยู่อ่ะ?) นีน่าพิมพ์ข้อความถามเขาคนนั้น

                    (ฉันเรียนอยู่.....)

                    (เรียนอยู่แล้วมานั่งเล่นเฟสฯเนี่ยนะ เด็กไม่ดี)

                    (ก็เล่นไปพลางๆไง ว่างก็พิมพ์) ผมหัวเราะออกมากับท่าทีกวนๆของเขา

                    (แล้วนีน่าทำอะไรอยู่?) ผมพิมพ์ถามเพื่อนหญิงเพื่อหลีกเลี่ยงการคุยกับเขาตรงๆ

                    (อยู่บ้านอ่ะ....แจจุงล่ะ?)

                    (อืม....เราอยู่ที่ม.(มหาวิทยาลัย)น่ะ)

                    (ทำไร? เรียนหรอ?) นีน่ายังคงถามกลับมา

                    (ป่าวเรียนจบแล้ว....พอดีเรียนสามปีครึ่งน่ะ ว่างๆ เลยมาทำงานพิเศษที่หอสมุด)

                    (เก่งจัง เรายังต้องอ่านหนังสือสอบอยู่เลย)

                    (พอดีมันแบบฟลุคน่ะ นีน่าอ่านหนังสืออยู่เหรอ? กวนหรือเปล่า?)

                    (ก็ไม่เชิงอ่ะ แต่เดี๋ยวต้องไปแล้วล่ะ เดี๋ยวพ่อมาเห็นนะ โดนแน่)

                    (ฮ่าๆๆๆๆๆๆ อืม.....สู้ๆนะ)

                    (Are you so serious for this talking?)

                    (โอย!!! อย่ามาใช้ภาษากับฉันนะยะ ยิ่งตกอังกฤษอยู่)

                    (ก็มันพิมพ์ง่ายดีอ่ะ ขี้เกียจเปลี่ยนภาษาไปๆมาๆ.....แล้วแจจุงเรียนที่ไหนหรอ? ทำไมเรียนจบเร็วจัง?) ผมรู้สึกใจสั่นจังเมื่อต้องพิมพ์ตอบกลับไป

                    (ที่ม.เคน่ะ ก็บอกแล้วว่าฟลุค...นายล่ะ) ผมเลี่ยงที่จะพิมพ์ชื่อของเขา

                    (เรียนที่ม.เอ็มอินเตอร์น่ะ)

                    (อ๋อ....มิน่าถึงได้เก่งอังกฤษ) ผมตอบเขากลับไป

                    (ป่าวๆ แค่มันพิมพ์ง่ายกว่าน่ะ......)

                    (เราไปก่อนนะไอ้หมี....แจจุงโชคดี) นีน่าตอบกลับมาคงต้องรีบไปมั้ง

                    (จ้า....เจอกัน)

                    (เออ.) เขาตอบด้วยความห้วนสั้น

                    ผมไม่กล้าชวนเขาคุยต่อเลยเพราะว่าเพื่อนคนหนึ่งออกไปแล้วมันทำให้ผมรู้สึกประหม่า ก็ผมไม่บริสุทธิ์ใจนี่นา ก็เลยคิดระแวงไปหมด

                    ผมเข้าไปอ่านในกระทู้ก่อนหน้าแล้วก็เจอของเพื่อนคนหนึ่งที่ผมเคยสนิทมากจึงเข้าไปตอบว่า

                    [พันจา เราคิดถึงเธอมาก]

                    ไม่นานก็มีคนมากดไลค์ ไม่ใช่ใครที่ไหนเจ้าเก่าคนเดิม ผมจึงพิมพ์ถามต่อ

                    [ว่างหรอ? ได้ข่าวว่าเรียนอยู่]

                    [เล่นในมือถือไง]

                    เขาตอบมาด้วยความรวดเร็ว เหมือนกับว่าเขากลัวผมจะเข้าใจผิด ผมก็ไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาสนใจรอคอยกระทู้ของผมเพราะชนักที่ติดหลังผมเอง แต่มันก็อดคิดไม่ได้

                    [มีใครได้ข่าวจากอนบ้าง?]

                    ผมตั้งกระทู้เอาไว้ถามถึงเพื่อนคนหนึ่งที่ค่อนข้างหัวช้า ซ้ำชั้นตั้งสามปีจนมาเรียนห้องเดียวกับพวกเราตอนประถมสี่ ไม่นานหลังจากนั้นก็มีเพื่อนชายคนหนึ่งตอบกลับมา

                    [เห็นขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างแถวบ้านเราอ่ะ]

                    [อ้อ]

                    แล้วเขาก็ตามมากดไลค์ผมอีกแล้ว ผมไม่รู้ว่าจะรู้สึกยังไงดี ดีใจ อีดอัด สับสน

                    [คิดถึงมันเหมือนกันนะเนี่ย]

                    ผมแอบดีใจนะที่ผมเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาชอบใจและระลึกถึงสิ่งเก่าๆ ที่ดีๆขึ้นมาได้

     

     

     

                    สามวันแล้วที่ผมไม่ได้เล่นเฟสบุ๊ค ในที่สุดผมก็อดใจไม่ไหวกลับเข้ามาเล่นจนได้ ผมเข้าไปที่กลุ่มประถมทันที

    [มาแล้ว...มีใครอยู่บ้างส่งเสียงหน่อย]

                    ไม่นานก็มีคนตามมากดไลค์ผมอีก ผมรู้สึกตื่นเต้น ก็เขาอีกแล้ว ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี ผมอยากบอกใครสักคนให้รู้ถึงความรู้สึกนี้ ผมจึงตั้งกระทู้ในหน้าของผมเอง

                    [ก็มันคาใจ ข้างในลึกๆ]

                    [ท่าจะลึกมากนะเนี่ย?]

                    เพื่อนในคลาสของผมเข้ามาทัก ผมไม่ลังเลที่จะตอบกลับไป

                    [ทำไงดีแก ฉันเจอรักแรกในเฟสฯอ่ะ]

                    [จริงดิ เพื่อนเรามีคนเอาไฟมาลนแล้ว]

                    [ก็แบบ เข้าใจป่ะว่ารักแรก.....มันอึดอัดทรมาน]

                    [ฮ่าๆๆๆๆ]

                    ผมหัวเราะไม่ออกหรอก มีเพื่อนสมัยประถมหลายคนที่แอดมาขอเป็นเพื่อนกับผม ผมก็รับแอดทุกคน แล้วก็นึกขึ้นได้ จึงส่งคำขอขอเป็นเพื่อนกับเขาไป ช่างใจอยู่นานกว่าจะทำ ในที่สุดก็ส่งไป แล้วเขาก็รับแอดอย่างรวดเร็ว เขาก็คงคิดว่าผมเป็นหนึ่งในเพื่อนประถมของเขาเท่านั้น

                    .......แต่แค่นั้นผมก็สุขใจแล้ว.......

                    แล้วผมก็นึกขึ้นได้รีบเข้าไปลบกระทู้ที่คุยกับเพื่อนเรื่องรักแรกเอาไว้ เพราะกลัวว่าเขาจะมาเห็น แล้วเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้

                    .........วันนี้เงียบเหงาจัง สงสัยมีเราคนเดียวที่ว่าง......

                    ผมตั้งกระทู้เอาไว้เพราะว่าไม่มีใครมาคุยด้วยเลย รู้สึกแปลกๆ เพราะตั้งแต่ที่เรียนจบก็แทบไม่เจอเพื่อนคนไหน งานผมก็ไม่ได้หาจริงจัง ก็มาเป็นพนักงานเฝ้าห้องคอมพิวเตอร์ในหอสมุดฆ่าเวลา แล้วมันก็ว่างมากเลย

                    เมื่อไม่มีใครมาตอบกระทู้ผมจึงเลื่อนเข้าอ่านกระทู้เก่าๆ แล้วก็เจอหัวข้อหนึ่งที่ทำให้ผมกลัว....

                    [ใครเคยกิ๊กใครตอนเด็ก]

                    ผมรีบเข้าไปอ่านทันทีมีอยู่หลายสิบข้อความจากหลายคนมาตอบหัวข้อนี้ไม่เว้นแม้กระทั่งเขา แล้วก็สะดุดกับข้อความหนึ่ง

                    [เฮ้ย ไอ้หมีแกเคยกิ๊กกับเอวาเด็กที่ย้ายมาใหม่นี่หว่า]

                    [นั่นดิ ฉันกับเอวาเคยคบกันป่าววะ? หรือแค่ป็อบปี้เลิฟ]

                    [จำไม่ได้ว่ะ....ก็เอวาย้ายออกไปพร้อมแกนี่นาตอนจบป.สี่อ่ะ]

                    [เออ พันจาแกยังเจอเอวาอยู่หรือเปล่า?]

                    ผมเม้มปากแน่นเมื่ออ่านข้อความนั่น ผมโชคดีที่ไม่มีใครพูดเรื่องของผมที่ชอบเขา แต่ก็รู้สึกแน่นไปหมด เมื่อทุกคนพูดถึงเอวา เด็กหญิงหน้าตาน่ารักที่ย้ายมาตอนขึ้นป.สี่ แล้วก็ย้ายออกไปพร้อมกับเขา เธอสนิทกับพันจาเพราะสองครอบครัวรู้จักกันดี และผมก็ไม่ได้เจอทั้งเอวาและเขาอีก

                    เขายังลืมเธอไม่ได้เหมือนที่ผมก็ลืมเขาไม่ได้เช่นกัน ผมคิดว่ามันคงไม่เจ็บ ก็แค่รักแรกเอง รักแรกที่คนทั้งห้องรู้ แล้วก็เอามาล้อ ผมอายมาก ที่สำคัญเขาเคยลั่นวาจาว่าชอบเอวา แต่เกลียดผม เขาเป็นคนตรง นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ผมชอบเขา แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่นา ผมไม่ได้น่ารักเหมือนเอวา ไม่ได้เรียบร้อย ไม่ได้โดดเด่น ผมยังคงเป็นแจจุงคนเดิมที่ยังรู้สึกแบบเดิมๆ และต้องพ่ายแพ้ให้กับความรักเหมือนเดิม

                    ......รักของเด็กๆ ที่ตอนนี้มันไม่ได้เล็กแล้ว.......

     

     

     

     

                    [ทุกคนปิดเทอมกันแล้วสินะ นัดเจอกันหน่อยไหม?]

                    เขาตั้งกระทู้ทิ้งเอาไว้ ผมไม่กล้าตอบเหมือนเคย ถ้าไม่มีคนกลางอยู่ในบทสนทนาด้วย ผมก็ไม่กล้าที่จะคุยกับเขา ก็บอกแล้วว่าผมไม่บริสุทธิ์ใจ......

                    ผมอยากเจอนะ ไม่ใช่แค่เขา แต่รวมถึงเพื่อนๆ ทุกคน แต่ผมไม่รู้ว่าไปเจอแล้วจะคุยอะไรกับใครดี ผมยังไม่กล้าไปสู้หน้าเขาอยู่ดี

                   

     

     

                    ตอนนี้ผมก็ยังคงตกงานอยู่ แต่ก็มานัดเจอกับเพื่อนๆ ที่เพิ่งจบม.เคมาด้วยกัน เป็นกลุ่มเพื่อนที่คุยได้ทุกเรื่อง

                    “ลุยเลยดิ กลัวไรวะ?” เพื่อนที่ผมสนิทมากคนหนึ่งยุยงผมเมื่อผมเล่าเรื่องรักแรกในเฟสบุ๊คให้ฟัง เธอเป็นผู้หญิงที่สวย เซ็กซี่และมีความมั่นใจ แต่ไม่เคยมีแฟนมาก่อนในชีวิต

                    “ไม่เอาอ่ะ ก็บอกแล้วว่าเขาเกลียดฉัน”

                    “แก นั่นมันตอนประถมนู่น ตอนนี้เขาไม่คิดอะไรแล้ว” ผมสะท้อนใจ ผมน่ะคิด ส่วนเขาก็คิดแต่กับอีกคนที่ไม่ใช่ผม

                    “ก็ฉันไม่อยากโจ่งแจ้งนี่นา เผื่อว่าเขารู้ความรู้สึกฉันแล้ว....เขาคงแบนฉันแน่”

                    “โอ๊ย!!! ตราบใดที่แกยังไม่ได้ไปโพสท์ข้อความแสดงความเป็นเจ้าของเขา ก็ไม่เป็นไรหรอก เพื่อนเก่าจะคุยกับเพื่อนเก่าผิดตรงไหนวะ”

                    “ก็ฉันไม่ได้คิดแค่เพื่อนเก่านี่นา” ผมถอนใจออกมาอย่างเซ็งๆ

                    “แล้วเอวานั่นน่ะ น่ารักไหม?” เพื่อนอีกคนหนึ่งที่กำลังคบหาดูใจกับชายที่อายุห่างกันเป็นสิบปีถามผม

                    “ตอนประถมหรอ? น่ารักมาก  ป็อบที่สุด แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง ก็คงไม่เปลี่ยนไปหรอก” ผมตอบไปตามที่คิด

                    “แต่แกก็ป็อบเหอะ ตอนนี้แกไม่ใช่ไก่กาแล้วนะเว้ย ใช้เสน่ห์ตัวเองให้เป็นประโยชน์สิ ไปตามนัดรวมเพื่อนเก่าแล้วก็ลุยเลย” ผมยิ้มรับหน้าเซียวๆ ก็มันยากนี่นา ถ้าเอวามาด้วยผมคง...เฮ้อ.....

     

     

                    [ช่วงวันหยุดยาวเจอกันหน่อยไหม]

                    เขาโพสท์ข้อความเอาไว้แล้วก็มีเพื่อนๆ มาตอบกันยกใหญ่

                    [ฉันจะไปทัวร์อิตาลีย่ะ หนึ่งอาทิตย์]

                    [ฉันทำงานอยู่ที่ต่างจังหวัดรายได้ดีมากโดยเฉพาะช่วงนี้]

                    [ไม่อยากออกจากบ้านกลัวเปียกว่ะ]

                    [สรุป ไว้วันหลังก็ได้]

                    ผมหัวเราะไปกับแต่ละคนที่ตอบกลับมาทำเอาเขาถอดใจที่ไม่มีคนไปด้วย ผมอยากตอบเขาว่าผมว่างเสมอ อยากเจอเขา แต่ ถ้าทำอย่างนั้น เด็กหกขวบยังรู้เลยว่าผลมันจะเป็นยังไง

     

                    วันหยุดยาวเป็นวันของครอบครัว ทุกคนได้เที่ยวเล่น บางคนได้กลับบ้านเกิด บางคนไปต่างประเทศ ส่วนผมต้องนั่งเหงาๆ อยู่เมืองหลวง เที่ยวห้างแถวบ้าน

                    แต่นี่มันวันเกิดผมนะ!! ผมก็ไม่อยากได้ของขวัญหรือมีงานเลี้ยงใหญ่โต แค่ทุกคนจำมันได้ แล้วแค่พูดว่าสุขสันต์วันเกิดก็พอแล้ว ผมโชคร้ายที่เกิดในวันที่เป็นวันปิดเทอม ก็เลยไม่ได้เจอเพื่อนไม่มีเหตุผลที่ต้องเจอกัน แล้วเหมือนเป็นโชคชั้นที่สองที่ดันเกิดตรงกับวันหยุดยาว ทุกคนก็มัวแต่ไปเที่ยวช่วงเทศกาลจนลืมว่ามันเป็นวันสำคัญอย่างอื่นด้วย

                    ทุกปีผมก็ฉลองกับครอบครัวเล็กๆของผม ไม่มีของขวัญ แค่ทำบุญแล้วก็ทานอาหารมื้อใหญ่ๆ ก็แค่นั้น ผมแค่อยากมีคนจำได้ เห็นว่ามันเป็นวันสำคัญที่ไม่ใช่ของใครแต่เป็นของผม.......

                   

     

     

                    แล้ววันเกิดของผมก็ผ่านไปด้วยการไปบริจาคเลือด ไปทำบุญที่วัด แล้วก็ทานบุฟเฟ่ต์อีกมื้อ มีเพื่อนสามคนที่จำได้ส่งเอสเอ็มเอสมาอวยพร ซึ่งก็เป็นเพื่อนเจ้าเดิมทุกปี พวกเขาเป็นเพื่อนที่ดีที่จำได้ ผมขอบคุณจากใจ

                    เช้าวันต้นสัปดาห์หลังจากวันหยุดยาว ผ่านวันเกิดผมมาหลายวันหลายคืน ผมมาทำงานที่หอสมุด สิ่งแรกที่ผมเข้าไปดูก็คือเฟสบุ๊คของผมเอง

                    ข้อความมากมายที่ขึ้นมาทำเอาผมยิ้มแก้มปริเพราะจำนวนคนที่เข้ามาอวยพรยาวเป็นหางว่าวจนผมรู้สึกตื้นตันแล้วก็นึกถึงนายมาร์ค ซัคเคิลเบิร์ก ที่คิดถึงเจ้าโซเชียลเน็ตเวิร์คนี้ขึ้นมา ผมค่อยๆตอบข้อความทีละข้อความแม้ว่ามันจะมากมายแต่ผมก็ต้องขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอวยพรให้ผม....

     

                    [HBD นะครับ]

     

                    หัวใจของผมมันเหมือนกับว่ามีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง รู้สึกดีมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหนึ่งในคนที่เข้ามาอวยพรวันเกิดของผมเป็นเขา แม้มันจะเป็นเพียงข้อความธรรมดา ไม่พิเศษ แต่มันก็ทำให้คนๆหนึ่งมีความสุขขึ้นมาอย่างประหลาด

                   

                    หลังจากนั้นผ่านมาอีกสองสามวันก็มีคนมาขอเป็นเพื่อนเพิ่ม ผมก็กดดูเพื่อดูชื่อ ปกติแล้วผมจะไม่รับคนแปลกหน้าเข้ามาเป็นเพื่อน เพราะผมเคยเจอไอ้โรคจิตคนหนึ่งผมก็เลยเข็ด

     

                    .......เชวซึงฮยอน......

                    เป็นอีกชื่อที่ทำให้ผมหายใจติดขัด แต่ผมก็รับเขามาเป็นเพื่อนอย่างช่วยไม่ได้ เขาเป็นเพื่อนสมัยประถมฯของผมเอง เราเคยเรียนอยู่ห้องเดียวกันสองปีติด และก็เคยนั่งข้างๆกันตอนประถมห้า

     

                    ........ไอ้ซึงฮยอนชอบแจจุงๆๆๆๆๆๆ........

                    เพื่อนๆมักจะล้อกันอย่างนี้เสมอจนผมทนไม่ได้ อยากจะย้ายไปนั่งที่อื่นให้พ้นๆ แต่ก็ทำไม่ได้ จนวันหนึ่งผมเกิดคิดแผลงๆ ตามประสาเด็กแสบจอมป่วนที่ใครๆ ต่างก็ตั้งฉายาให้ ผมเอาเม็ดยาแก้อักเสบที่เป็นแคปซูลแกะมันออกมาเป็นสองชิ้น ภายในบรรจุผงสีขาวซึ่งเป็นตัวยาที่ผมจำได้ดีว่ามันขมมากตอนที่เผลออมไว้ในปากแล้วกลืนเอาน้ำตามไม่ทัน

                    สองเม็ดที่ผมเทลงไปในกระติกน้ำที่ซึงฮยอนเอามาโรงเรียนเป็นประจำ ผมนั่งข้างๆเขาระหว่างที่คุณครูสอนอยู่ คิดว่าตอนพักเที่ยงเขาคงดื่ม แต่ผิดแผน!!!! ไม่นึกว่าเขาดันดื่มมันตอนนี้......

                    ในใจผมเต้นแรงไปหมดกลัวโดนจับได้ เขาดูดน้ำจากหลอดไม่เท่าไหร่ก็ต้องสำลักออกมา ในใจก็นึกสงสารเขานะ มันคงจะขมมากเพราะผมเล่นใส่ไปตั้งสองเม็ด แล้วเขาก็โวยวายลั่นห้อง

                    สุดท้ายผมก็โดนคุณครูตีไปตามระเบียบ แต่ผมไม่นึกเสียใจที่ทำลงไป นึกสะใจมากกว่า ก็ผมมันแสบจอมป่วนนี่นา.....

     

                    มันเป็นเรื่องสมัยเด็กๆ ที่ผมก็นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะทำอะไรแบบนั้น เป็นเรื่องที่เมื่อนึกย้อนกลับไปแล้วมันช่างไร้สาระที่สุด ผมรับเขาเข้ามาเป็นเพื่อนแล้วเขาก็เข้ามาคุยกับผมอย่างคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน คุยเรื่องเรียน เรื่องทั่วไป แล้วเขาก็บอกว่าจะวาดรูปลายเส้นมาให้ผมเนื่องจากเขาเรียนสถาปัตย์ที่ไหนสักแห่งเนี่ยแหละ ผมไม่ค่อยได้ใส่ใจ ผมก็ตอบเหมือนกับที่คุยกับเพื่อนคนอื่นๆ ไป

                    [ถ้าฟรีก็เอา]

                    หลังจากนั้นเขาก็วาดส่งมาให้จากรูปของผมในเฟสบุ๊ค มันก็ไม่ได้ดูสวยมากมายอะไรผมก็เลยไปเขียนใต้รูป

                    [รูปใครเนี่ย?]

                    [โทษที รีบน่ะ ปากใหญ่ไปหรือเปล่า?]

                    ผมก็ไม่ตอบอะไร ทุกครั้งที่มีใครมาชอบผมผมจะรู้โดยทันที มันเป็นสัมผัสพิเศษของผมล่ะมั้งว่าคนที่เข้ามาคุยด้วยนั้นเขาต้องการสถานะอะไร ซึ่งผมเป็นคนไม่ให้ความหวังใคร ผมมันใจร้ายใครๆก็บอก

     

                    แล้วก็มีข้อความส่งมาถึงผม หัวข้อมันคือ....รำลึก....แล้วชื่อคนส่งคือ เชวซึงฮยอน ผมไม่กล้าเปิดอ่านเลย แล้วก็ไม่ผิดจากที่คิด

     

                    (อืม จะเริ่มยังไงดีล่ะ คือแบบเราตื่นเต้นอ่ะ เรามีเรื่องบางอย่างอยากจะบอกแจจุงมานาน ตั้งแต่สมัยปฐมแล้ว เป็นเรื่องที่เราเก็บมานานไม่กล้าบอก พอมาเจอกันคุยทางเฟสบุ๊คเราตื่นเต้นมาก มือยังสั่นเลย คือเราอยากจะบอกว่า เราชอบแจจุงนะ เราแค่อยากบอกอ่ะ ได้บอกก็โล่งแล้วล่ะ แบบว่าโชคดีนะเพื่อน ^^ เราไปก่อนนะ)

                    ผมอ่านข้อความจบไอ้ด้านเลวร้ายที่ผมฝังกลบไปนานมันก็ผุดขึ้นมา ผมอยากจะตอบข้อความนั้นกลับไปว่า....เราก็ไม่ว่าอะไรนะ ถ้ารับที่เราทำแท้งมาแล้วสองครั้ง มีสามีมาแล้วนับไม่ถ้วนก็แล้วแต่....

                    ผมไม่ได้ตอบแบบนั้นไปหรอกเพราะว่า ผมไม่อยากเอาความสะใจเล็กๆ มาทำร้ายตัวเองอีกเหมือนสมัยเด็กๆ ผมจึงเลือกตอบไปแบบนุ่มนวลที่สุด รักษาน้ำใจที่สุด ดูดีที่สุด ซึ่งในความรู้สึกของผมมันไม่ใช่อย่างที่บอกสักนิด

                    (ขอโทษนะ ถ้าคบเป็นแบบเพื่อนก็ได้ เราไม่ว่าอะไร แต่ถ้ามากกว่านั้นไม่ได้หรอก เพราะว่าตอนนี้เราไม่ได้คิดเรื่องนี้อ่ะนะ แค่นี้เหละที่อยากจะบอก)

                    แล้วเขาก็ตอบกลับมาประมาณว่า เข้าใจ แค่อยากจะบอก เพื่อความสบายใจอะไรประมาณนี้ ผมล่ะเซ็ง ผมรู้สึกไม่ชอบอ่ะ มันแปลกๆ ยังไงไม่รู้ ก็ผมไม่ชอบ พอไม่ชอบผมก็จะต่อต้านเสมอ อีกอย่าง คำว่าประถมน่ะ มันเขียนอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ? ยิ่งทำให้ผมไม่ชอบเข้าไปใหญ่

                    ผมอึดอัดใจมาก ไม่รู้จะปรึกษาใครจึงคุยกับเพื่อนที่ม.เคดีกว่า เพราะถ้ารู้ถึงหูเพื่อนๆ สมัยประถมคงเป็นเรื่องใหญ่ เพื่อนที่ม.เคคนนี้ไม่รู้จักใครสักคน ก็คงไม่เป็นไรถ้าจะปรึกษาเรื่องนี้นะ

                    หลังจากที่นัดแล้วล่มไปหลายครั้ง ในที่สุดก็มีตุลรี หัวโจกท์ประจำโรงเรียนมาตั้งกระทู้นัดเจออีกรอบ แต่คราวนี้มีคนมาเข้าร่วมว่าจะไปมากมาย

                    ผมตั้งใจไว้ว่าจะไปตามนัด ผมคิดว่าคงไปเจอเพื่อนเก่าน่ะ ไม่ได้หวังอะไรมากไปกว่านั้น อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย เสียดายโอกาสแย่.....

                    แล้วสถานที่นัดก็คือห้างดังใกล้กับม.ของผม ในบรรดาคนที่มาก็จะมีเพื่อนตัวแสบมากมาย นีน่าเจ้าของกลุ่มที่ตั้งให้พวกเรามารวมตัวกัน ฝาแฝดพันจากับจีนา ตัวแสบระดับตำนาน ตุลรี คู่หู่อีกคนก็ซองจิน แล้วก็ใครที่ผมจำไม่ได้อีกสองสามคน ผมไม่ได้ตื่นเต้น แล้วก็ไม่ได้คิดอะไร แค่ตื่นขึ้นมาแต่งตัวตั้งแต่หกโมงเช้าเท่านั้นเอง เวลานัดประมาณ 11 โมงครึ่ง เพราะทุกคนกะว่าจะไปกินมื้อเที่ยงกันต่อ

                    ผมเดินเข้าไปในร้านแม็คฯชั้นหนึ่ง นีน่าเห็นผมคนแรก ก็ยกมือเรียก ผมยิ้มให้ด้วยความดีใจ ก่อนที่พันจา จีนาจะเรียกให้ไปนั่งข้างทั้งสอง พันจากับจีนาเป็นแฝดที่เคยอยู่กลุ่มเดียวกันกับผม ส่วนตุลรีเป็นคู่กัดผมสมัยก่อน ก็ความแสบไม่น้อยหน้ากันนี่นา

                    “แจจุง แอบสายนะเรา ตอนเรียนก็ชอบสาย” จีนาทักผม ผมรีบตอบกลับ

                    “ไม่สายแล้ว พอดีแว่บเข้าคณะตั้งแต่สิบโมง เจออาจารย์ รุ่นน้อง ก็เลยคุยกันเพลิน”

                    “เออ แจจุงเป็นคนเดียวในสมัยประถมนะเนี่ย ที่เข้าม.เคได้” พันจาที่ตอนนี้เป็นหญิงที่สูงยาวเข่าดีพอจะเป็นนางแบบได้เอ่ย

                    “เก่งๆ” เสียงตุลรีจอมกวนดังขึ้นมา ผมแทบจะเขกกำปั้นให้ ถ้านีน่าไม่มาห้ามก่อน

                    “กล้าพูดนะแก แกจบหรือยัง? แจจุงอ่ะจบแล้วนะ” ผมได้แต่ยิ้มแหยๆ ไม่ยากให้เพื่อนมายอผมเท่าไหร่นัก มันดูไม่ค่อยดี เรานั่งคุยจิปาถะ เล่าวีรกรรมต่างๆ ของแต่ละคนจนกระทั่ง.....

                    “เฮ้ย ไอ้หมี ทางนี้!!” เสียงใครก็ไม่รู้ตะโกนเรียก ทำเอาผมสะดุ้ง ไม่กล้าหันไปมองจนเห็น ชายหนุ่มร่างสูงเดินมาที่โต๊ะที่ต่อกันเป็นตัวยาว

                    เขาดูดีมาก ทั้งสูง ทั้งหล่อ ว่าตอนประถมเค้าดูดีแล้วนะ ยังจะหล่อได้อีก ทุกคนแซวเค้ากันใหญ่

                    “สายนะมึง” เป็นซองจินที่เอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจ

                    “โทษทีว่ะ กูวนรถหาที่จอดตั้งนาน จอดยากฉิบ” เข้าเดินมาทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามผมพอดี ผมได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ ไปให้ ทำหน้าไม่ถูก

                    “เป็นไงบ้างไอ้หมี ได้ข่าวว่าไปเรียนเมืองนอกเมืองนา”  นีน่าเอ่ยทักทุกคนด้วยความเป็นกันเองตามนิสัย

                    “แค่ไปเวิร์คฯเว้ย” เขาเคยเป็นคนขาว เป็นคนตัวไม่สูงมาก แต่ตอนนี้ผิวเขาเป็นสีแทน รูปร่างก็สูงยาว ไม่เหมือนกับผม ตัวเล็กเหมือนเดิม

                    “เอาล่ะทุกคน ยังขาดใครอีกอ่ะ” พันจามองหน้าทุกคน

                    “ขาดซึงฮยอนกับเอวา” สองชื่อที่ทำเอาผมสะดุดไป มองลอบมองใบหน้าหล่อเหลาตรงข้ามเงียบๆ เพื่อดูปฏิกิริยา เห็นเขาอมยิ้มนิดๆ

                    “แหม ทำเป็นยิ้ม กิ๊กเก่าจะมาดีใจไหมล่ะ?” ตุลรีรีบแซวใหญ่ เขาไม่ตอบอะไร แต่ดูก็รู้ว่าเขาเขินมาก ผมเริ่มทำตัวไม่ถูก ความจริงก็แค่แซวแบบเด็กๆ แต่ผมรู้สึกแย่เอามากๆ

                    “เอ่อ....เดี๋ยวฉันขอตัวเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ผมรีบเดินออกมาทันที ดูเหมือนเสียมารยาท เพราะว่าไม่ได้ชวนคนอื่นเลย ผมออกไปเดินรอบๆ ไม่ได้เข้าห้องน้ำอย่างที่บอก เพราะว่าไม่มีเงินติดตัวมาสักวอนจะเข้าห้องน้ำได้ยังไง

                    ที่ห้างนี่ผมหลับตาเดินได้แล้ว ได้แต่ถอนหายใจเซ็งๆ มือถือก็ไม่ได้พกออกมา พอดีมีมือๆหนึ่งมาจับไหล่ผมไว้ ผมหันไปมองอย่างเคืองๆ

                    “แกจะบ้าเหรอ? มาไม่ให้สุ้มให้เสียง” ผมบ่นไปอย่างนั้นในใจก็ดีใจหน่อยๆ ที่เจอเพื่อนคณะเดียวกันที่ม.เค เพื่อนคนนี้ไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกันกับผม แต่เราก็ค่อนข้างสนิทกัน กลับบ้านด้วยกันบ่อยๆ

                    “เห็นแกเดินเหมือนหลงทางอ่ะ เป็นไรป่ะ?” ผมมองหน้ามิยองก่อนจะตอบไปตรงๆ

                    “แก แกจำได้ป่ะ เรื่องรักแรกของฉัน” มิยองพยักหน้ารับ

                    “วันนี้ฉันเจอเค้าว่ะ”

                    “ก็ดีแล้วนี่แก จะมาทำหน้าเป็นหมาหงอยทำไม?” หน้าผมคงหงอยจริงๆแหละ

                    “ฉันกลัวว่ะ กลัวเค้าจำได้อ่ะ ไหนจะเรื่องกิ๊กเก่าเค้าอีก” ผมถอนหายใจออกมาดังเฮือก มิยองเข้ามาตบบ่าเบาๆ

                    “แกรักเค้าจริงหรอวะ?”

                    “ไม่รู้ว่ะ สงสัยไม่ได้เจอกันนาน ความรู้สึกเหมือนกลับมาสดใหม่อีกครั้งมั้ง?” ผมล่ะหงุดหงิดตัวเองเสียจริง

                    “แก แกยังดีนะมีคนที่แกรัก ฉันยังไม่มีใครสักคน คิดดูนะ......ถ้าแกเห็นว่ามันเป็นเรื่องเด็กๆ แกก็ทำให้มันเป็นเรื่องของเด็กดิ จะมาซีเรียสทำไม” ผมก็รู้นะ แต่คนมันไม่บริสุทธิ์ใจอ่ะ กำลังจะไปขอคำปรึกษา แต่มีโทรศัพท์เข้าพอดี

                    “เฮ้ย แม่โทรฯมาตามแล้วว่ะ ไปก่อนนะแก เจอกัน” ผมโบกมือไปมาเป็นการเอ่ยลา ก่อนจะสูดหายใจลึกๆ แล้วกลับไปที่แม็คฯใหม่

                    ที่โต๊ะพวกเพื่อนๆ ค่อนข้างจะเด่น เนื่องจากแต่ละคนหน้าตาก็ดี แถมยังเสียงดังอีก ผมค่อยก้าวขาเข้าไป แต่ก็นะ เจอโจทย์เก่า

                    “แจจุงๆ มานั่งนี่เร็ว” ผมมองตามมือจีนาที่ให้ผมนั่งลงข้างๆ ชเวซึงฮยอน!! ผมจำเป็นต้องไปนั่งข้างๆเขา เนื่องจากกระเป๋าผมวางอยู่ตรงนั้น ผมหันไปยิ้มให้

                    “สวัสดี” เขาทักผมก่อนผมก็ผงกหัวรับ

                    “ขาดแค่เอวาเนอะ......แจจุง แกดีใจป่ะ?” ตุลรีเจ้าเก่าถามออกมาทำเอาผมตกใจนิดๆ ประสาคนร้อนตัว

                    “ดะ ดีใจเรื่องอะไร?”

                    “ก็ซึงฮยอนอุตส่าห์ยกเลิกนัดเพื่อนทำโปรเจกต์นะเว้ย เพื่อมาเจอแก” เท่านั้นแหละ คนทั้งโต๊ะพากันฮิ้วทั้งหมด ผมทำหน้าไม่ถูกหันไปมองคนที่นั่งข้างที่ยกมือเกาท้ายทอยเขินๆ ก็ยิ่งเครียด ผมไม่กล้าเงยหน้าสบตากับคนที่นั่งตรงข้ามผมเลย

                    “เรื่องอะไรอ่ะ?” เป็นยุนโฮที่ถามขึ้นมากลางปล้อง

                    “ลืมไปว่ามึงออกไปตอนป.4......กูไม่อยากจะเล่าแต่คันปากว่ะ” ซองจินที่ท่าจะคันมากจริงๆ รีบพูดเหมือนมีคนจะแย่ง

                    “ไม่ต้องเลยแก ซองจิน” ผมรีบบอกมัน แต่มันไม่ฟัง

                    “ตอนป.5 เว้ย สองคนนี้เคยกิ๊กกันมาก่อน” แล้วก็อีกที่ทั้งโต๊ะพร้อมใจกันร้องฮิ้วพร้อมกัน

                    “มันเป็นเรื่องของเด็กๆน่ะมึง” ผมนึกขอบใจซึงฮยอนมากๆที่ปกป้องผม

                    “เป็นเรื่องของเด็กก็อย่าอายดิมึง......นี่จำได้ป่ะ ทำไมแจจุงถึงได้ฉายาตัวป่วน” ไอ้ซองจินไม่พูดก็ไม่มีใครว่านะ จะขุดมาเล่าทำไมก็ไม่รู้ ผมรู้ว่าตอนนี้คงกลายเป็นหัวข้อสนทนาหลักไปแล้ว เพราะท่าทางยุนโฮจะสนใจมาก

                    “จำได้ๆ เพราะแจจุงจะวางยาเสน่ห์ซึงฮยอนไง”

                    “ใช่ที่ไหนเล่า มันยาแก้อักเสบต่างหาก” ผมรีบสวนทันที ทุกคนก็หัวเราะกันใหญ่

                    “ไม่เข้าใจอ่ะ ขอรายละเอียดได้ป่ะ” ยุนโฮก็ถามอยู่นั่นแหละ ผมอายจะแย่แล้วนะ ทำไมทุกคนต้องมาประจานผมต่อหน้าคนที่ผมชอบด้วย

                    “ตอนป.5 ไอ้ซึงฮยอนมันชอบแจจุง แต่ทำอีท่าไหนไม่รู้ได้นั่งข้างกันไม่พอ ยังโดนแจจุงเอายาใส่ในกระติกน้ำ แจจุงเลยโดนครูตีก้นลายเลย” ไอ้ตุลรีเล่าไปหัวเราะไป ผมได้แต่เข่นเขี้ยว

                    “ก้นไม่ได้ลายเว้ย......ไม่ได้ตั้งใจด้วย ยาแก้อักเสบมันติดกระเป๋ามาหรอก” คนอื่นก็ยังไม่วายหัวเราะต่อ ซึงฮยอนก็นั่งหัวเราะอยู่ข้าง มองไปที่ยุนโฮ.....หัวเราะหนักเลย

                    “จริงดิ เจ๋งอ่ะแจจุง” เป็นประโยคแรกที่ยุนโฮคุยกับผม แต่ผมไม่ดีใจเลยสักนิด

                    “แจจุงเมื่อไหร่จะใจอ่อนอ่ะ ซึงฮยอนมันรักมั่นคงกับแกมากนะ ตอนม.ต้นมันยังมาถามฉันเลยว่าแกเป็นไงบ้าง” พันจาหันมาพูดขบขัน ซึงฮยอนรีบบอก

                    “ไม่ใช่ๆ” คงเพราะข้อความที่เขาส่งมาให้ผมไม่กี่วันนั้นมั้ง ที่ทำให้ผมกับเขาเข้าหน้ากันไม่ติด

                    “กูขอคารวะว่ะ ซึงฮยอน” ตุลรีกับซองจินคู่หูตัวแสบยกมือมาทำท่าเหมือนจอมยุทธ์ในหนังจีนให้ซึงฮยอน ผมนั่งหน้าร้อนอยู่ตรงนั้นจนทนไม่ไหว

                    “คนมันไม่ชอบ ให้ทำไงก็ไม่มีทางชอบหรอก!!!” ผมไม่รู้เลยว่าเสียงที่บอกออกไปมันดังแค่ไหน คนทั้งร้านหันมามองผม ผมรู้สึกผิดมาก เพราะผมเห็นสีหน้าเจ็บปวดของซึงฮยอน ไหนจะบรรดาเพื่อนๆที่อึ้งหมด

                    “ขอโทษนะ ฉันขอกลับก่อน พอดีต้องไปทำธุระที่คณะต่อ” พูดจบผมก็พรวดพราดจากมาเลย ตอนที่จะออกจากประตูร้าน ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งน่าตาน่ารัก ดูคุ้นตามากสวนเข้ามา แต่อารมณ์ตอนนั้นผมไม่สนใจอะไรแล้ว

     

     

                    ผมรู้ว่าผมผิด ผมทำงานนัดกลุ่มล่มไม่เป็นท่า พอมาอยู่บนรถไฟฟ้ามันทำให้ผมคิดขึ้นได้ ผู้หญิงที่สวนกับผมคงจะเป็นเอวา เธอยังดูดีเหมือนเดิม ตัวเล็ก น่ารัก ดูเป็นผู้หญิงอ่อนหวานเรียบร้อย ไม่เหมือนแจจุงตัวป่วนเลยสักนิด คิดแล้วน้ำตาก็พาลจะไหล

                    ผมไม่เคยมีแฟน คนรักอะไรก็ไม่มี คนที่ผมแอบชอบก็เป็นแค่ชื่มชมก็แค่นั้น คนที่ผมคิดว่าจะรักได้ คงมีแค่คนเดียว แต่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ผมคงไม่มีทางเข้าไปอยู่ในใจเขาได้เลย แถมยังอาจจะไปสะกิดต่อมความเกลียดขึ้นมาก็ได้

                    คืนนั้นผมเบื่อๆ ก็เลยเข้าเฟสบุ๊ค แล้วก็ตกใจที่ข้อความขึ้นมาเป็นร้อย เป็นข้อความแชทที่แอดเพื่อนที่เจอกันวันนี้มา แต่ละคนเข้ามาขอโทษที่แซวแรงไป

    (แจจุงขอโทษนะ เค้าจะไม่ทำอีกแล้ว) นีน่าส่งสติกเกอร์เป็นรูปขอโทษมา

    (เราขอโทษนะที่แซวแรงไปอ่ะแจจุง) พันจาก็เข้ามาทำหน้าเศร้าๆ

    (เราไม่เกี่ยวแต่เราก็มีส่วนร่วม) เป็นจีนาที่รีบพูด

    (แกอ่ะตัวชงเลย อย่ามา) ตุลรีก็เข้ามาตอบด้วย

    (ฉันนั่งฟังเฉยๆ ก็เลยตามน้ำไปหรอกย่ะ)

    (ถึงผมจะเล่าเรื่องเก่าอะไรก็บอกเลยว่าไม่ได้คิดร้ายใครนะครับ) เป็นซองจินที่เข้ามาตอบด้วย ตามมาด้วยสติกเกอร์อะไรอีกไม่รู้นับสิบ เหมือนแต่ละคนจะประชันสติกเกอร์อวดกันใหญ่ ผมนั่งหัวเราะอยู่หน้าคอมคนเดียวจนมาถึง.....

    (แจจุง เราขอโทษนะที่ทำให้ต้องไม่สบายใจ เราไม่น่าไปเลยวันนี้) ผมส่ายหน้าไปมา ไม่ใช่ความผิดใครเลย มันเป็นเพราะผมเอง ผมมันงี่เง่า อย่างที่มิยองบอก มันเป็นเรื่องของเด็กๆ ผมเองแหละที่คิดไร้สาระ

    (เราต่างหากที่ต้องขอโทษทุกคน เราผิดเองทั้งหมด ทุกคนแค่มาสนุกกัน แต่เราทำพังไม่เป็นท่าเลย) ผมส่งข้อความตอบกลับไป สักพักก็มีคนตอบกลับมา

    (จริงอ่ะ) นีน่าเข้ามาเป็นคนแรกเสมอ

    (ไม่โกรธแน่นะ)

    (ไม่โกรธ จริงๆนะ)

    (อืม....จะโกรธทำไมเล่า)

    (ไม่เป็นไรหรอก เพราะพอแกไปก็ได้หัวข้อใหม่อยู่ดีแหละ) ตุลรีเข้ามาตอบเสริม

    (แกไม่ต้องเลย เรื่องเก่ายังไม่ทันจะหาย หาเรื่องอีกละ) ผมได้แต่สงสัยเลยพิมพ์ตอบกลับไป

    (เรื่องอะไร?)

    (คู่รักแห่งปี ยุนโฮเอวาไง) ผมเม้มปากแน่น ละออกมาจากหน้าคอม ใครจะเข้ามาอะไรต่อผมก็ไม่สนใจแล้ว

    จะว่าบ้าก็ใช่ แต่บอกไว้เลยว่าผมร้องไห้น้ำตาคลอเบ้าเลย ไร้สาระจริงๆ ในที่สุดผมก็ผล็อยหลับไป แว่วได้ยินเสียงเข้าของข้อความแชท แต่ตอนนี้ผมง่วงไม่ไหวแล้ว รุ่งเช้าของอีกวัน ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาในสภาพเยินดูไม่ได้ น้ำก็ยังไม่ได้อาบตั้งแต่เมื่อคืน หลังจากผมจัดการชำระร่างกายจนหอมฟุ้งแล้ว ผมก็นึกขึ้นได้

    ........ผมยังไม่ได้ปิดคอมฯตั้งแต่เมื่อคืนนี่นา........

    ผมกลับไปนั่งแช่หน้าคอมฯ เอามือขยับเมาท์ให้หน้าจอคอมฯที่กำลังขึ้นเป็นกราฟฟิกเส้นเลื้อยไปมากลับมาทำงานเป็นปกติ มีช่องแชทหน้าเฟสบุ๊ค อยู่สองช่อง ช่องแรกขึ้นเตือนประมาณสิบกว่าข้อความ แต่อีกช่องมี 2 ข้อความ มันจะไม่มีอะไรเลยถ้าคนที่แชทเข้ามาไม่ใช่......

    ............Bear Yunho Jung Ukonw.............

    มือผมกำเมาท์แน่ แอบสั่นหน่อยๆ ทำใจกล้าๆกลัวๆ ตัดสินใจอยู่นานจนในที่สุดก็กดเข้าไปดูที่ข้อความแรกก่อน

    (555 แต่ยุไม่ขึ้นอ่ะดิ เอวาดันมีแฟนแล้ว)

    (แหงล่ะก็น่ารักขนาดนั้น)

    (ไอ้หมีก็ดันไม่เขินเลย หมดสนุกพอดี) แล้วก็ข้อความกับสติกเกอร์อะไรไม่รู้ตามมาอีกมากมาย ผมแอบยิ้มนิดๆ แต่พอมานึกดูอีกที

    ..........มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมาชอบผมเสียหน่อย..........

    คิดอย่างนั้นก็หงอยลงอีก เหลือบไปมองที่ช่องแชทอีกช่อง ในที่สุดก็กลั้นใจกดไป

    (แจจุง เป็นไงบ้ง?)

    (ไม่โกรธนะ) เพิ่งจะสังเกต ยุนโฮไม่ได้ถูกลากเข้าไปในช่องแชทเมื้อกี้นี่นา อุตส่าห์ตามมาขอโทษผมอีก รู้สึกผิดแฮะ ผมมองไปที่เวลาส่ง

    ..........22.04..........

    อา ตอนที่ผมเผลอหลับไปนี่เอง ยกนิ้วโป้งขึ้นมากัด พลางคิดว่าจะตอบกลับว่าอย่างไรดี เค้าจะเรียนอยู่หรือเปล่านะ แต่ก็กลั้นใจพิมพ์ตอบไป

    (เราต่างหากที่ต้องขอโทษ)

    (ทำเอาทุกคนกร่อยเลย) กดเอนเทอร์ส่งไปเสร็จ ผมก็จัดการจะปิดช่องแชทนั้น แต่ก็ต้องสะดุ้งที่ยุนโฮตอบมาแทบจะทันที

    (พวกเราคงล้อแรงไปด้วยล่ะ)

    (เรียนอยู่หรือเปล่า? ขอโทษที่ตอบช้านะ) ผมเห็นว่ามันส่งมาจากสมาร์ทโฟน เลยรู้สึกเกรงใจ

    (อืม แต่มันน่าเบื่อเหมือนกัน)

    (555+) ผมไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี หัวเราะไปก่อนนี่ล่ะ แล้วเขาก็เงียบไป อ่านแล้วแต่ก็ไม่ตอบ เขาก็คงมาถามไถ่ตามประสาเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆนั่นแหละ ไม่มีอะไรพิเศษสักหน่อย

    [รู้ตัวว่าผิด ขอโทษทุกคนจริงๆนะ]

    ผมตั้งสถานะในหน้าวอลล์ของตนเองพร้อมกับแท็กชื่อเพื่อนๆที่ไปด้วยกันเมื่อวานนี้ สักพักก็มีคนมากดไลค์ พร้อมทั้งถามว่ามีเรื่องอะไร ผมก็ตอไปทำนองว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่ไม่มีวี่แววใครบางคนเลย แน่ล่ะ ไม่ใช่เรื่องอะไรของเขาสักหน่อย กลับกันถ้าเป็นเขากับเอวาคงจะห่วงใยกันมากกว่านี้

    “ชิ ชะ เชอะ” บ่นออกมาอย่างน้อยใจ อย่างกับคนสติไม่สมประกอบ แต่ยังไม่ทันจะงอนได้เต็มที่ก็มีเสียงข้อความแชทเข้ามาอีกแล้ว แอบด่าตัวเองในใจ มานั่งงอนแล้วเขารู้เรื่องไหมล่ะ

    (แจจุงมีไลน์ไหม?) ผมดีใจมากๆๆๆๆๆ แต่ก็ต้องเหี่ยวลงเพราะว่า....

    (เราไม่ได้ใช้สมาร์ทโฟนน่ะ) ผมนี่มันควรจะไปอยู่หลังเขานะ แจจุงเอ๊ย!!!

    (ไม่เป็นไร.....งั้นขอเบอร์หน่อยนะ แลกกัน)

    “เยส!!” ผมแทบกระโดด นั่งยิ้มนั่งหัวเราะอยูคนเดียว มันต้องเล่นตัวใช่ไหม

    (0xxxxxxxxxxxxx) แต่ก็กดส่งไปแทบจะทันที ไม่นานเค้าก็ส่งเบอร์ของเขามา แต่มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเขาไม่โทรฯมา ผมก็ไม่กล้าโทรฯไปอยู่ดี แล้วเค้าก็เงียบไปอีก คิดได้ดังนั้นก็.......

    “นั่นจะไปไหนอ่ะ แจจุง”

    “ไปห้างฯอ่ะแม่” ผมตั้งใจว่าจะไปซื้อโทรศัพท์สมาร์ทโฟนสักเครื่อง เผื่อจะได้แอ๊บเล่นไลน์กับเขาบ้าง

     

     

     

    RRRRRRR

    เสียงริงโทนรุ่นโบราณดังท่ามกลางโซนขายโทรศัพท์มือถือ ผมมองเบอร์ที่ไม่คุ้นตา แต่ก็กดรับ

    “ครับ แจจุงพูด”

    (((................)))

    “ฮัลโหล ถ้าไม่พูดจะวางแล้วนะ” ผมเริ่มจะโมโห โทรฯมาก็ไม่พูด โรคจิตป่ะเนี่ย

    (((เดี๋ยวก่อน แค่นี้จะวางเลยหรอ?)))

    “ใครอ่ะ?” ผมยืนงง

    (((ตู๊ดๆๆๆ))) แน่ะ พอถามก็กดวาง อะไรของมันเนี่ย!!! กำลังเดือดไ ก็มีคนมาสะกิดไหล่ผม กำลังจะหันไปด่าพอดี

    “ไฮ!!

     

     

     

    “มาทำไรอ่ะ แจจุง?” ผมกำลังฝันอยู่หรือเปล่าเนี่ย ใครก็ได้ตบผมให้ตื่นจากฝันที ผมกำลังเดินข้างผู้ชายที่หล่อที่สุด (อย่างน้อยก็ในสายตาผมนั่นแหละ)

    “แจจุง....”

    “หะ หา อะไรหรอ?” คนมันกำลังเคลิ้มอยู่นี่นา

    “ถามว่ามาทำอะไรที่นี่?” ผมยิ้มอายๆกลับไปในความเอ๋อของตัวเอง

    “ก็มาเดินเล่น” เดินไกลมาก บ้านอยู่อีกฝั่ง แต่มาเดินห้างฯ ใกล้มหาวิทยาลัย

    “หรอ? นึกว่ามาซื้อมือถือ” ก็มาซื้อมือถืออ่ะแหละ แต่จะให้บอกได้ไงเล่า

    “เอ่อ.....แล้วทำไมยุนโฮมาอยู่นี่ล่ะ ไม่ได้เรียนอยู่หรอ” ผมถามอย่างสงสัย

    “ก็โดดไง มันน่าเบื่อจะตาย” ผมหัวเราะกับหน้าที่ดูน่าเบื่อจริงๆ

    “แล้วจะเรียนจบไหมล่ะนั่น” ผมพูดแบบไม่คิดอะไร แต่เค้าก็ทำหน้าสลดไป

    “ก็นั่นสิ จบช้ากว่าคนอื่นมาปีนึงแล้วนะ”

    “เอ่อ.....”

    “ล้อเล่น.....เราไปเวิร์คฯมาเลยเรียนช้าไง” ผมพยักหน้าเข้าใจ

    “งี้ก็เก่งอังกฤษมากอ่ะดิ”

    “ไม่เลย เกรดไม่สวยเท่าไหร่ แต่ถ้าให้พูดอ่ะพอได้”

    “จริงอ่ะ” ผมถามแบบไม่เชื่อ แต่ก็ไม่รู้จะคุยไรต่อ

    “หิวป่ะ?” อยู่ๆยุนโฮก็ถามผม ในขณะที่เราสองคนขึ้นมาถึงชั้น 7 ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ อาจเป็นเพราะความเคยชินของผมล่ะมั้ง

    “ก็นิดหน่อย” อ้อมแอ้มตอบ ความจริงไม่รู้สึกหิวเลย แต่นี่เขากำลังชวนผมกินข้าวอยู่หรือเปล่านะ

    “ชอบกินไรล่ะ อาหารญี่ปุ่นกินได้ไหม?” เอาจริงๆนะ ถ้าให้กินกับยุนโฮ อะไรก็กินได้ทั้งนั้นแหละ เหอๆ ใครมันจะไปกล้าตอบ

    เรานั่งกินกันอยู่นานพอสมควร คุยนู่นคุยนี่ เรื่องงานของผมที่หอสมุด เรื่องการไปเวิร์คฯของเขา จนถึงตอนเช็คบิล เขาก็ควักจ่ายก่อน

    “ของเราเท่าไหร่?”

    “ไม่ต้อง เราเลี้ยง”

    “ได้ไง มากินด้วยกันนะ”

    “ก็เลี้ยงไถ่โทษเมื่อวานไง” ผมถึงกับจุก มันคงจะเป็นตราบาปไปตลอดชีวิตสินะ

    “บอกแล้วไงว่า เราผิดเอง” ผมไม่รู้จะอธิบายยังให้ยุนโฮเข้าใจว่าผมไม่เคยคิดอะไรกับซึงฮยอน แล้วก็ไม่ได้เป็นแจจุงจอมป่วน นิสัยเสียตามที่เพื่อนๆมันเผากัน

    “มื้อหน้า แจจุงต้องเป็นคนเลี้ยงนะ” เอ๊ะ! นี่ผมฟังผิดไปหรือเปล่า ทำไมยุนโฮพูดเหมือนจะชวนกินข้าวอีกนะ

    “ยุนโฮจะไปไหนต่อหรือเปล่า?” ร่างสูงทำท่านึก ก่อนจะย้อนถามผมกลับ

    “แล้วแจจุงล่ะ?” ความจริงผมกะไว้ว่าจะแยกกับยุนโฮ เพื่อที่จะได้ไปซื้อโทรศัพท์ แต่ไม่รู้ทำไมมันอยากอยู่คุยอีกสักนิดก็ยังดี

    “ไม่รู้อ่ะ ยังไม่ค่อยอยากกลับบ้านเลย เบื่อๆ”

    “งั้นไปกินไอติมกัน” พระเจ้าครับ อะไรมันจะโชคดีขนาดนี้

     

     

     

    ไม่มีอะไรจะสุขเท่านี้อีกแล้ว ผมยิ้มกริ่มประหนึ่งได้โล่ ว่าแล้วก็เปิดคอมฯ เข้าเฟสบุ๊คเสียหน่อย

    (ขอบคุณนะยุนโฮ เลี้ยงข้าวเราตั้งสองมื้อแหนะ) ถ้าจะให้โทรฯไปก็กระไรอยู่ ส่งข้อความแชทไปละกัน

    (ไม่เป็นไร ฝันดีนะแจจุง)

    (อืม.....ฝันดี) ฝันดีแน่นอนอยู่แล้ว ^^

    วันนี้ผมมาทำงานพิเศษที่หอสมุดอย่างเคย นั่งเฝ้าหน้าคอมฯ เล่นอินเตอร์เน็ตไปตามเรื่อง ในใจก็รู้สึกหงอยๆเหมือนกัน เหมือนเมื่อวานเป็นความฝันเลย

    RRRRRRR

    เสียงโทรศัพท์สุดแสนจะธรรมดาของผมดังขึ้นอีกแล้ว แต่คนที่โทรฯมา ไม่ธรรมดาเลย

    .............ยุนโฮ..............

    “ฮะ ฮัลโหล” ผมกดรับแทบจะทันทีกลัวว่าสายจะตัดไป

    (((แจจุง ว่างเปล่า?))) ผมพยักหน้ารับ จะทำทำไมก็ไม่รู้ ยังไงยุนโฮก็ไม่เห็นอยู่แล้ว

    “ว่าง ทำไมหรอ?” ผมถามด้วยความสงสัย

    (((อยู่ตรงไหนอ่ะ?)))

    “ตรงไหนอะไร” อย่าบอกนะว่า.......ผมมองไปรอบๆ แล้วก็ต้องช็อค!!!

    “หวัดดี” เสียงทุ้มทรงเสน่ห์เอ่ยทักผม

    ...............หล่ออ่ะ................

    “หวัดดี....มาทำอะไรหรอ?” ผมตกใจนะเนี่ย อย่าบอกนะว่ามาหาเรา 5555+

    ............มันจะเป็นไปได้ไง.............

    “มาหาข้อมูลทำโปรเจกท์น่ะ เล่นเน็ตได้ป่ะ?” ผมมองไปที่หน้าจอก่อน เพื่อเช็คว่ามีเครื่องไหนว่างไหม

    “เครื่องเต็มหมดเลย.....แต่ไม่เป็นไรเล่นเครื่องเราก็ได้” ผมหลีกให้ยุนโฮมานั่ง แล้วก็ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ

    “หาเกี่ยวกับอะไรอ่ะ?” ผมถามด้วยความอยากรู้ อยากจะชะโงกหน้าเข้าไปมองด้วยซ้ำ แต่ก็แอบเขินเบาๆ

    “เกี่ยวกับการบริหารจัดการน่ะ.......แจจุงจบแล้วนี่เนอะ รอดแล้ว” ผมหัวเราะ

    “ก็นะ มันฟลุคอ่ะ” จะยังไงก็ยืนยันคำเดิมอยู่ดี แอบเหลือบมองยุนโฮเป็นระยะ คนอะไรหล่อก็หล่อ ยิ่งหน้าตาตอนตั้งใจนี่ก็.....เท่ห์ฝุดๆอ่ะ พูดเบย......

    “แจจุงจ๊ะ” พี่ยูนาหัวหน้าของผมเข้ามาเรียกผมให้ผมออกไปคุย

    “ยุนโฮ เดี๋ยวเรามานะ” ร่างสูงพยักหน้ารับ

    พี่ยูนาเรียกผมไปคุยเรื่องการออกแบบเว็บไซต์ของหอสมุด ซึ่งผมก็ไม่มั่นใจว่าจะทำได้ไหม เพราะคิดว่าจะลาออกในไม่ช้า ก็ต้องไปหางานที่ตรงกับสายที่จบมานี่นะ

    “ยุนโฮ หาเสร็จยังอ่ะ?” ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมามอง

    “ใกล้แล้ว แจจุงจะใช้คอมฯหรอ?”

    “เปล่าๆ เราจะชวนไปกินข้าว ถึงเวลาพักแล้ว” ผมชี้ให้ดูนาฬิกาซึ่งบอกเวลาเที่ยงตรงพอดี

     

     

    ผมพายุนโฮมาทานที่โรงอาหารข้างๆหอสมุด คนค่อนข้างหนาแน่นทีเดียว ทำให้ไม่มีที่นั่งมากนัก จนเจอที่ที่อยู่ตรงหลืบซึ่งห่างไกลกับร้านอาหารที่สุด

    “ยุนโฮนั่งจองที่ไว้นะ เดี๋ยวเราไปซื้อให้ จะกินอะไรดีล่ะ?” ผมเสนอแต่ยุนโฮไม่ยอม

    “ได้ไง เดี๋ยวเราไปเลือกเอง”

    “ไม่ได้ มื้อนี้เราเลี้ยง จะกินไร?” ผมถามย้ำ

    “โห....จะเลี้ยงทั้งทีแค่นี้เองหรอ” ผมก็ได้แต่ยิ้มแหยๆกลับไป นั่นสิ ผมนี่ดูเหมือนคนงกเลย

    “เอ่อ.....งั้นมื้อหน้าก็ได้ จะกินไรล่ะทีนี้?” ยุนโฮเดินมาลากผมให้ไปนั่ง ผมทำหน้างงๆ

    “ชอบกินไร?” อา.....รังสีออร่าอะไรสักอย่างดั่งมนต์สะกด

    “บิบิมบับก็ได้” ผมตอบไปแบบเบลอๆ นั่งรอไม่ถึงสิบนาที ยุนโฮก็เดินถือถาดใส่อาหารมาให้

    “เร็วจัง ถ้าเป็นเรากว่าจะได้กินคงนานอ่ะ”

    “ไม่หรอก มันเป็นช่วงคนน้อยพอดี” ผมว่าเป็นเพราะความหล่อของเขามากกว่า นี่ผมท่าจะบ้าเขามากนะเนี่ย นั่งกินสักพักเขาก็ถามคำถามหนึ่ง ทำเอาผมเกือบสำลักข้าว

    “ซึงฮยอนยังชอบแจจุงอยู่หรอ?”

    “แค่ก แค่ก.....อะ อะไรนะ?” ผมมองยุนโฮแบบคนหาความคิดตัวเองไม่เจอ

    “ขอโทษนะ เราไม่ได้ตั้งใจ แต่ซึงฮยอนทักมา เลยเผลอกดเข้าไปในข้อความน่ะ” เขาไม่ได้ขอโทษด้วยความสำนึกผิดสักนิด แต่ผมก็ไม่ยักโกรธ เพียงแต่รู้สึกอายมากกว่า ไม่อยากให้เขาเห็นอะไรในนั้นเลย ให้ตายเถอะ

    “หรอ.......แล้วทักมาว่ายังไงล่ะ?”

    “มันบอกว่าเห็นแจจุงที่ห้างแถวบ้านน่ะ แต่ไม่กล้าไปทัก” ยุนโฮตอบเสียงเรียบๆ เหอๆ แล้วผมจะต้องตอบยังไงล่ะ นี่เป็นคำถามใช่ไหม?

    “ก็คงทักตามประสาเพื่อนเก่าอ่ะแหละ” ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าซึงฮยอนจะคิดอะไรอยู่หรือเปล่า แต่ผมไม่ได้คิดอะไรแน่นอน ล้านล้านเปอร์เซ็นต์ แล้วเราสองคนก็ต่างนั่งกินกันเงียบๆ

    “ว่าแต่ยุนโฮเถอะ......ยังชอบเอวาอยู่ใช่ม๊า เห็นยังเขินที่โดนแซวอยู่เลย” ผมกะว่าจะเล่นเอาขำๆ แต่ยุนโฮแสดงสีหน้าไม่พอใจมาก ผมตกใจทำอะไรไม่ถูกเลย

    “ทำไมหรอ ถ้าชอบแล้วทำไม?” คำตอบเขาทำเอาลมหายใจผมขาดช่วง ผมคงให้ความหวังกับตัวเองมากไปสินะ

                    หรอ 5555” ผมพูดบ้าอะไรออกไปเนี่ย ดูท่ายุนโฮจะไม่สบอารมณ์จริงๆล่ะ ผมก็เลยรีบเปลี่ยนเรื่อง

                    อิ่มยังล่ะ กินไรอีมะ.....อ๊ะ เรายังไม่ได้จ่ายตังค์ค่าข้าวเลยผมกำลังจะควักเงินออกมาจากกระเป๋าสตางค์ แต่อยู่ๆ ยุนโฮก็ลุกพรวดขึ้น

    อิ่มแล้วล่ะ ฉันกลับก่อนนะผมพูดอะไรไม่ออกเลย

    ............แจจุงบ้า นายทำอะไรไม่คิดอีกแล้วนะ.............

                    คืนนั้นไม่มีข้อความแชทเข้ามาเลย ผมรู้สึกแย่มาก ยุนโฮโกรธผมแล้ว คงต้องตื่นจากฝันแล้วสินะ ก็รู้ว่าสักวันมันก็ต้องมาถึง แต่มันเร็วจนผมใจหายเลยล่ะ

     

     

     

                    เฮ้อ!!!ผมถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วเนี่ย มานั่งนึกๆดู มันก็เหมือนตอนที่ผมเป็นเด็ก ก่อนที่ยุนโฮจะย้ายโรงเรียนไป เราก็จากกันด้วยความรู้สึกที่ไม่ดี ถึงโชคจะเข้าจ้างผมที่เขาจำเรื่องตอนนั้นไม่ได้ แต่สุดท้ายมันก็จบลงแบบเดิมอยู่ดี

    แจจุงๆ

    ยะ ยุนโฮผมตกใจระคนแปลกใจที่เห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า คิดว่าเขายังโกรธผมอยู่ซะอีก เรื่องเมื่อวานเราขอโทษนะ เราไม่รู้ว่านายยังรู้สึกแบบนั้น ขอโทษจริงๆยุนโฮส่ายหน้าไปมาก่อนจะชี้ไปที่คอมฯของผม

    เราลืมแฟลชไดรฟ์น่ะที่แท้ก็ลืมของนี่เอง

    อ้อ.....เดี๋ยวเรารีมูฟออกให้นะ แป๊บนึงท่าทางเขาร้อนรนมากตอนรับของของเขาไป เหงื่อซึมเต็มหน้าเขาเลย สงสัยกลัวข้อมูลหายล่ะมั้ง ยังไม่ทันจะเอ่ยอะไรเราก็พรวดพราดออกไป

    ............เราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว...............

    ผมไม่รู้แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นอีก ชีวิตคนเราที่บอกว่ามีขึ้นมีลงมันเป็นอย่างนี้นี่เอง ก่อนหน้านี้ผมเคยเป็นคนที่ถูกเกลียด จากนั้นก็กลายมาเป็นเพื่อนที่ดี จบลงที่ถูกโกรธ.........

    โอ๊ย!!!ผมไม่รู้จะเอาอารมณ์ที่กำลังเสียอยู่นี่ไปลงที่ไหนดี พลางคิดขึ้นมาได้ก็กดเข้าไปที่ข้อความแชทที่ซึงฮยอนส่งมา กะจะพิมพ์ไปต่อว่าเสียหน่อย แต่ก็ต้องแปลกใจกับข้อความล่าสุด

    (แจจุง วันก่อนเราเห็นแจจุงที่ห้างด้วย)

    (แต่เราไม่กล้าเข้าไปทักหรอกนะ)

    (ขอโทษนะซึงฮยอน......แต่เรามีแฟนแล้ว) หา!!! ผมนึกไม่ออกเลยว่าไปตอบซึงฮยอนตอนไหน ข้อความนี้เพิ่งผ่านตาผมครั้งแรกด้วยซ้ำ มองไปที่เวลาส่ง

    .............เมื่อวานนี้..............

    เมื่อวาน? แล้วผมก็นึกขึ้นได้ โดยที่ไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองหรอกนะ อยู่ๆ หน้าผมก็ร้อนขึ้นมา คงไม่ใช่อย่างที่ผมคิดหรอก.....มั้ง......นะ

    พี่แจจุงครับผมเงยหน้าไปมองรุ่นน้องที่ชอบมาใช้บริการอินเตอร์เน็ตที่นี่เสมอ

    ว่าไง?” แล้วน้องคนนั้นก็ส่งบัตรนิสิตมาให้ผม ผมกดรหัสแล้วบอกเลขเครื่องให้เขา

    ผมขอเบอร์พี่ได้ป่ะ? เผื่อว่าจะโทรฯมาจองเครื่องก่อนตอนนี้ในหัวผมคงจะเบลอๆว่าตัวเองไปมีแฟนตอนไหน เลยตามเด็กนี่ไม่ค่อยทัน

    ไม่ต้องโทรฯจองก็ได้ ปกติคนก็เล่นไม่เยอะอยู่แล้วนี่เด็กหนุ่มคนนั้นทำท่าอึกอัก

    ความจริงแล้ว.......ผมอยากจะคุยกับพี่น่ะครับเขาเกาท้ายทอยไปด้วยขณะพูด หน้าก็แดงเป็นลูกตำลึง ผมเพิ่งจะเก็ท.......ที่แท้ก็มาจีบ

    มะ ไม่ได้หรอก.....พะ พี่มีแฟนแล้วไม่รู้ทำไมถึงตอบออกไปแบบนั้น น้องคนนั้นดูสลดไป แต่ก็ถามต่อ

    ใช่พี่ผู้ชายที่ตัวสูงๆ หล่อๆ ผมตั้งๆป่ะครับ?” ผมได้แต่งง แฟนผมมีตัวตนที่ไหนเล่า แล้วก็นึกขึ้นได้ สงสัยน้องเขาคงเข้าใจว่าเป็นยุนโฮล่ะมั้ง

    อืมผมตอบไปส่งๆ เพื่อตัดรำคาญ

    มิน่าล่ะ...เค้าเหมือนพูดลอยๆ ออกมา

    มิน่าอะไร?”

    ก็เห็นเขามาเฝ้าพี่อยู่หน้าหอสมุดเป็นเดือนๆ ละผมยิ่งงงหนัก น้องมั่วเปล่าเนี่ย

    “.......” ผมไม่ตอบอะไร พอถึงตอนพักเที่ยงน้องคนเดิมก็เข้ามาเอาบัตรคืน พร้อมบอกทิ้งท้าย

    เป็นผมก็ต้องมาเฝ้าพี่อยู่แล้วล่ะ ถ้ามีแฟนสวยขนาดนี้ผมพยายามไม่ใส่ใจอะไรน้องเขามาก คิดว่าคงคิดไปเอง แต่มันเป็นผลดีกับผม ผมก็คงไม่แก้ไขอะไร

    ผมเดินลงมาแบบเซ็งๆ มาคิดดูอีกทีผมอาจจะตอบซึงฮยอนไป แต่จำไม่ได้ก็ได้ แล้วพอยิ่งมานึกดูดีๆอีก ผมเข้าใจความรู้สึกยุนโฮหน่อยๆ กรณีเขาคล้ายๆกับผมเลย โดนล้อเหมือนกัน......คงไม่ชอบสินะ

                    .............ต่างกันตรงที่ผมไม่ได้ชอบซึงฮยอน...............

                    ............แต่ยุนโฮชอบเอวา............

                    หมดอารมณ์กินข้าวขึ้นมาเลย ผมมานั่งที่ม้านั่งข้างๆ มินิเซเว่นฯ ซื้อไอศกรีมมากินแล้วก็นั่งมองอะไรไปเรื่อยเปื่อย แล้วก็นึกถึงคำพูดของรุ่นน้อง

                    ............ใคร?............

                    ผมสะบัดหัวไปมา มันจะไปมีได้ไงเล่า แฟนเฟินอะไรนั่น อาจจะเป็นใครสักคนที่มานั่งรอแฟนก็ได้ ผมเหม่อจนไอศกรีมมันไหลเลอะมือ เลอะเสื้อหมด ผมจึงต้องรีบไปล้างมือที่ห้องน้ำในหอสมุด

                    ระหว่างที่ก้มหน้าล้างมือ ขยี้ปลายเสื้ออยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเปิด-ปิดของประตู แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร จนตามมาด้วยเสียงล็อคนี่ล่ะที่ทำให้ผมเงยหน้าขึ้น แล้วผมก็เห็นร่างสูงที่สะท้อนในกระจก ผมรีบหันกลับไปมองอย่างไม่เชื่อสายตา

                    นะ นึกว่ากลับไปแล้วซะอีกยุนโฮไม่ตอบอะไรแต่เดินเข้ามาประชิดผมที่หลังชนกับขอบอ่างล้างมือ มือหนาคว้าหมับเข้าที่เอวผม พร้อมกับใช้สายตาดุดๆคมๆนั้นจ้องมาอย่างเคืองๆ

                    สองครั้งแล้วนะ นิสัยไม่ดีผมที่กำลังจับต้นชนปลายไม่ถูก

                    เปล่าน้า....ได้แต่ปฏิเสธ ทั้งๆที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นเรื่องอะไร ยุนโฮเบียดจนผมจะหงายอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดว่าเขาเอามือรวบเอวผมไว้นะ แต่เอ๊ะ!!

                    .......รวบเอวหรอ?!.........

                    “(-///-)” หน้าผมคงแดงมากใช่ไหม รู้สึกว่ามันร้อนๆไงก็ไม่รู้ ยุนโฮยังคงใช้สายตาดุๆ ส่งมาให้ ตาคมๆแบบนี้มันทำเอาผมหวั่นไหวจะแย่อยู่แล้ว

                    แจจุง!!

                    คะ ครับผมตอบรับโดยอัตโนมัติจนร่างสูงตรงหน้าหัวเราะออกมา

    “555 น่ารักผมได้แต่งง นี่เขาชมผมใช่ไหม?

    เอ่อ....ปล่อยเราได้ยัง?” ยุนโฮหุบยิ้มลง แล้วกอดผมแน่นกว่าเดิม หน้ามันจะชนกันอยู่แล้ว!!! อ่อย จะเป็นลม

    หัดรู้ตัวซะบ้างสิว่ามีแฟนแล้วผมส่ายหน้าปฏิเสธจนผมกระจาย

    ไม่มีสักหน่อยแล้วยุนโฮก็ทำหน้าดุอีก

    ก็เนี่ย ยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคน

    หะ หา!!นี่มันอะไรกันเนี่ย? ผมตามไม่ทันแล้วนะ

    ต้องให้ย้ำไหม.....แฟนแจจุงน่ะชื่อยุนโฮจริงอ้ะ? ทำไมผมไม่รู้เรื่องเลย ไม่พูดเปล่า ยังจะขยับหน้ามาใกล้อีก

    ตะ ตอนไหน ไม่เห็นรู้เรื่องเลยผมรีบโพล่งออกมา ก่อนที่ยุนโฮจะเอาปากมาจ่อแก้มผม

    ไม่รู้อย่างนี้....ต้องโดนทำโทษแล้วเขาก็ก้มลงมาฉกแก้มผมไปเลย

    เฮ้ย!!!ผมตกใจเอามือมากุมแก้มเอาไว้ หน้าแดงจัดแน่ๆ ต้องแดงแน่ๆ

    แจจุงนี่ตลกดีนะ ฮ่าๆๆๆๆหัวเราะด้วย ในหัวผมมันคงจะมีแต่ ?!?! วิ่งเต็มไปหมด

    เอ่อ.....เราขอถามได้ไหม?” ยุนโฮทำหน้านึกก่อนพยักหน้าให้

    ว่ามา

    เราสองคน......เป็นแฟนกันตอนไหน?” ก็ไม่รู้จริงๆ นี่นา ถึงจะแอบดีใจมากๆก็เถอะ

    เดือนที่แล้ว

    เดือนที่แล้ว?” ยุนโฮพยักหน้าก่อนจะยิ้มให้ผม ยิ้มที่มันอ่อนโยนอ่อนหวานที่สุด

    อยากรู้เปล่า?” ผมพยักหน้าทันที ขอจูบทีนึงก่อน แล้วจะบอกบุง!!! กลายเป็นโกโก้ครั๊นซ์ มันคงรู้สึกอย่างนี้สินะ ตอนที่ช็อคโกแลตไหลลงมาท่วมทุ่งข้าวสาลี.......ผมคงยืนนิ่งนานไปหน่อยมั้ง ยุนโฮทำท่าจะจูบผมจริงๆ ผมรีบเอามือปิดปากเขาไว้

    เดี๋ยวก่อน ให้เราทำใจก่อนได้ไหม?.....เรางงไปหมดแล้ว

    ได้ เท่ากับแจจุงติดจูบเราสองทีแล้วนะยุนโฮชูสองนิ้วขึ้นมาอย่างน่ารัก สัญญาสิยกนิ้วก้อยแทนแล้ว ผมได้แต่กระพริบตาปริบๆ ก่อนจะยกนิ้วก้อยตัวเองไปเกี่ยวตาม

    เราว่า.....ออกไปคุยกันข้างนอกดีกว่าใช่แล้ว อยู่ในนี้เป็นอันตรายต่อหัวใจผมมากๆ ตอนแรกยุนโฮทำท่าจะไม่ยอม แต่ผมพยายาม(คิดว่านะ)ทำหน้าอ้อนสุดๆ เขาเลยยอม

     

    ในที่สุดเราสองคนก็กลับมานั่งใต้ต้นไม้ข้างๆหอสมุด เลยเวลาพักเที่ยงไปนานแล้ว ผมพยายามไม่มองหน้ายุนโฮตรงๆ เนื่องจากตอนนี้ผมเขินมาก แต่ยุนโฮก็ยังจะเอาร่างหนาๆมาเบียดจนผมจะตกเก้าอี้อยู่แล้ว

    คือ.....เราขอบคุณเรื่องเลี้ยงข้าวนะผมเอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบ ยุนโฮยักไหล่

    มันเป็นหน้าที่ของแฟนอยู่แล้วหรอ......

    แล้วก็ขอโทษเรื่องเอวาด้วยทีนี้ยุนโฮหันขวับ มองผมอย่างเคืองๆ

    “ก็แน่ล่ะ มีที่ไหนเอาชื่อคนอื่นมาล้อแฟนตัวเองหรอ.......

    จะเล่าได้ยังล่ะ?” ผมอึดอัดไม่ไหวแล้ว อยากรู้มาก

    แล้วยุนโฮก็เล่ารื่องตลกๆ ให้ผมฟังเรื่องหนึ่ง ซึ่งผมไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นเรื่องจริง มันก็มีอยู่ว่า เมื่อประมาณหนึ่งเดือนก่อน ยุนโฮโดดเรียน(อีกแล้ว) มาเดินเล่นแถวๆนี้ แล้วเขาก็เจอกับผมที่กำลังกลับบ้านพอดี แล้วเขาก็บอกว่า

    ............เขาตกหลุมรักผม(-///-)..............

    แต่วันนั้นดูผมรีบมาก เขาไม่กล้าเข้าไปจีบ นึกว่าจะต้องกินแห้วซะแล้ว ถ้านีน่าไม่อัญเชิญเขาเข้าไปในกลุ่ม แล้วเขาก็จำรูปโปรไฟล์ของผมได้ เค้าเลยติดสินใจว่าผมเป็นแฟนเขาตั้งแต่ตอนนั้น......

    งั้น....ที่นายตามกดไลค์เรา

    ก็อยากให้ประทับใจแฟนคนนี้มากๆไงยุนโฮเฉลยให้ ผมนี่ทั้งบิดทั้งม้วนเป็นเลขแปดไปสองสามรอบแล้ว

    แล้วเรื่องเอวาล่ะยังไงก็อดสงสัยไม่ได้อยู่ดี ยุนโฮชอบเอวามากนะตอนเด็กๆ แล้วก็เกลียดผมมากๆด้วย

    ก็แค่ป็อบปี้เลิฟมั้ง อีกอย่างไม่ใช่สเป็คสักหน่อยอย่างเอวานี่นะ จ้างให้ก็ไม่เชื่อ

    แต่เอวาทั้งน่ารัก ทั้งนิสัยดี เรียบร้อยแล้วก็.....ยุนโฮหันมาทำหน้าจริงจังใส่ผม

    ที่พูดนี่หึงเรา หรือว่านายจะเชียร์เรากับเอวาแล้วแจจุงจะหนีไปคบกับซึงฮยอน?”

    เปล่าๆ เราเห็นว่ายุนโฮเขินเอวาตอนที่เพื่อนๆ แซวกัน เลยคิดว่า..... แต่เราไม่ได้คิดอะไรกับซึงฮยอนเลยนะ ไม่เคยคิดยุนโฮยิ้มที่เห็นผมปฏิเสธเป็นพัลวัน

    รู้แล้ว ก็เล่นตะโกนซะลั่นร้านขนาดนั้น..........อีกอย่างเราไม่ได้เขินเอวาหรอนะ แต่เป็น......ผมหันไปมองลุ้นๆ ไม่บอกดีกว่า

    หูย....ไม่อยากรู้แล้วก็ได้ผมตั้งท่าจะลุก แต่ยุนโฮก็ฉุดผมกลับมานั่งแล้วยังวาดแขนโอบไหล่ผมกลายๆ

    เป็นนายนั่นแหละเขากระซิบข้างหูผม เสียงแหบๆ เซ็กซี่ที่สุด ผมหน้าแดงเป็นรอบที่ร้อยแล้วมั้ง

    เรื่องข้อความแชทตอบซึงฮยอน ก็ฝีมือยุนโฮใช่ไหม?” เขาพยักหน้า แล้วอย่าบอกนะว่า นายมาคอยตามคอยเฝ้าเราตลอดอ่ะเขาก็พยักหน้าอีก

    ก็แฟนสวยนี่ คนจีบตรึม

    มีที่ไหนเล่า อย่ามาเวอร์

    แน่ใจ? ถ้าโกหกจะเพิ่มโทษนะเงียบ.....ก็เพิ่งโดนจีบมาเนี่ย สดๆร้อนๆเลย

    นี่ก็เลยเวลาพักเที่ยงมานานแล้วนี่ เราต้องรีบกลับขึ้นไป......

    ไม่ต้องทำแล้ว

    ทำงั้นได้ไงเล่าผมเริ่มรนแล้วนะ

    ไปบอกพี่เค้าว่า จะลาออกไปช่วยแฟนทำโปรเจกท์

    ไม่เอาอ่ะ เราไม่เก่งเรื่องที่ยุนโฮเรียนซะหน่อยนี่จะคบผมเพราะจะให้ช่วยงานหรอเนี่ย - -

    แค่ไปช่วยนั่งให้กำลังใจก็พอ มีค่าตอบแทนให้ด้วยนะ

    ค่าตอบแทน?” ยุนโฮกวักมือเรียกให้ผมเข้าไปใกล้ๆ

    เราชอบแจจุงนะตู้ม!!! เหมือนผมอยู่กลางสมรภูมิรบอะไรสักอย่าง แต่ตอนนี้ผมเป็นต่อในสถานการณ์นี้นะ

    ยุนโฮจำได้ไหม นายเคยบอกว่าในห้องเรียน นายเกลียดเราที่สุดผมกอดอกแกล้งทำเสียงงอนๆ

    แต่ตอนนี้ไม่เกลียดแล้ว ตอนนี้ชอบมากๆ อยากได้มาอยู่ด้วย อยากได้มานอนกอดตู้ม!!! ถ้าเมื่อตะกี้เป็นสมรภูมิตอนนี้คงจะเป็นสงครามโลกสินะ

    ขอคิดก่อนนะยุนโฮจับผมให้เผชิญหน้ากัน

    ไม่ให้คิดแล้ว เลือกเอาว่าจะเป็นแฟหมีหรือแฟนยุนโฮ

    อ่ะ....เลือกไม่ถูกเลือก มันต่างกันไหมอ่า

    เร็ว....นับหนึ่ง.....นับสอง.....

    โอเคๆ ยอมแพ้แล้วผมชอบเขามาตั้งนาน ยังไงเขาก็สู้ข้อนี้ของผมไม่ได้หรอก

    ดีมาก มาให้หอมทีสิจ๊ะ

    ไม่เอา ยุนโฮบ้า ไม่เล่นนะ!!!ยุนโฮเข้ามาจี๋เอวผมใหญ่ จนเข้ามากอดผมนี่แหละ ดีนะไม่มีคนอยู่แถวนี้ ผมหันซ้ายหันขวา ก่อนจะหันหน้าเขย่งปลายเท้าหอมแก้มยุนโฮซะเลย

    คิๆดูหน้าหล่อๆ เวลาเอ๋อๆ ก็น่ารักดีนะ

    ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมจะโชคดีขนาดนี้ จะมีสักกี่คนที่จะได้รักกับรักครั้งแรก ที่แอบซ่อนมานาน ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ดลบันดาลให้มันเป็นแบบนี้

    .............ขอบคุณจริงๆครับ............

    --THE END--

     

     

    จบไปแล้วนะคะ มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับไรท์เตอร์เอง

    แต่เป็นความจริงเพียงส่วนหนึ่ง แต่ไม่บอกว่าส่วนไหน

    ห่างหายจากการแต่งฟิคไปนาน บอกเลยว่ามันไม่ไหลลื่นเหมือนเมื่อก่อน

    นั่งคิดหัวแทบแตก แถมยังต้องฟังเพลงหลายๆ เพลงเพื่อเป็นแรงบันดาลใจอีก

    แต่ก็ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ถ้าผลตอบรับดีอาจมีตอนต่อของเรื่องนี้

    ไปแล้วค่ะ พบกันโอกาสหน้า

     รักคนอ่าน ปลื้มคนเมนท์ เซ่นคนชม

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×