คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Replace I เกมที่หนึ่ง:เรื่องราวหลังเลิกเรียนของโรงเรียนม.ต้น เทย์โค Part 5
คนแปล: Omaew
คนเช็คคำ: Tori
แปลEng: mocopersonal [tumblr]
*****นิยายเรื่องนี้แต่งโดยทาง Officail เอง เราแค่นำมาแปลและปรับเปลี่ยนเล็กน้อยเพื่อความสะดวกในการอ่านเท่านั้น*****
Warning1: พาร์ทนี้ยาวมากกกกก อ่านจุใจ
Warning2: มีโมเม้ให้แอบฟินเล็กๆขอรับ
_______________________________________
เกมที่หนึ่ง:เรื่องราวหลังเลิกเรียนของโรงเรียนม.ต้น เทย์โค
Part 5
ติ๊งริ้งริ้งริ้ง ~โมโมอิคอตกอย่างเหนื่อยใจขณะได้ยินเสียงดนตรีทำนองสดใส
“ลงท้าย ก็มาจนได้..”
แม้ว่าเธอจะคัดค้านหัวชนฝา แต่โมโมอิกลับถูกเมินและโดนลากให้ตามมากับทุกคนด้วยที่เกมเซ็นเตอร์ขนาดเล็ก ซึ่งมีบรรยากาศอบอุ่นสบายๆ และ ตั้งอยู่ชั้นบนสุดของห้างใกล้ๆนี่เอง
“ถึงจะเรียกว่าเป็นเกมเซ็นเตอร์ แต่ก็มีเครื่องเล่นอยู่รวมไม่กี่เครื่องเอง”คิ เสะมองดูไปรอบๆร้าน และก็เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ ดูเหมือนว่าเดิมทีที่นี่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสถานที่ให้ลูกค้าซึ่งมากับเด็กๆ ได้ใช้พักผ่อนชั่วคราว จึงไม่มีเกมที่เน้นกีฬาหรือเน้นต่อสู้อยู่เลย
เครื่องถ่ายเอกสารที่คุโรโกะพูดถึงนั้นก็ถูกตั้งไว้เฉยๆในมุมที่ไม่มีใครให้ ความสนใจ มิโดริมะกับอาโอมิเนะทดลองหยอดเหรียญสิบเย็นลงไปพลางนึกสงสัยว่าเครื่องยัง ใช้การได้อยู่รึเปล่า ซึ่งแน่นอนว่าใช้ได้ไม่มีปัญหาอะไร โดยจำนวนหน้าที่ถ่ายได้ขึ้นกับเงินที่ใส่ไป มิโดริมะกับอาโอมิเนะจึงเริ่มถ่ายเอกสารในทันทีคลอไปกับการเถียงกันในบางที ด้วยประโยคอย่าง “นายจะช่วย เรียงให้ด้านกับมุมมันดีก่อนถ่ายหน่อยจะได้ไหม” “เออ ก็ได้ๆ ประมาณนี้คงพอแล้วใช่ไหม”
เนื้อหาที่คุโรโกะต้องการจะถ่ายเอกสารเองก็ฝากให้ทั้งคู่ถ่ายให้ โมโมอิ คุโรโกะ และที่เหลือจึงพากันไปยังเครื่องเล่นที่อยู่มุมหนึ่งของเกมเซ็นเตอร์
“ถ้าสามารถเล่นจนได้คะแนนสูงสุดในเกมนี้ก็จะได้รางวัลครับ”
คุโรโกะชี้ไปยังเกมเต้นหนึ่ง เกมเต้นนั้นคือ DDR
“เกมนี้ยังมีอยู่อีกเหรอเนี่ย”
คิเสะมองไปที่เกมนั้นอย่างประหลาดใจ
“อะไรอ่ะ เกมดังเหรอ?”
มุราซากิบาระเอียงหัวแล้วถามขณะกำลังถือถุงขนมอยู่ ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่รู้จักมันเลย
“ก่อนหน้านี้เคยฮิตกันมากๆเลยล่ะ เธอต้องมองทิศทางจากในจอแล้วเหยียบตามเซนเซอร์ที่อยู่บนพื้น ดูสิ แบบนั้นไง”
โมโมอิชี้ไปยังเครื่องเกม DDR อีกเครื่องหนึ่งซึ่งเด็กที่น่าจะอยู่ชั้นประถมกำลังเล่นอยู่ เด็กที่ว่าดูเหมือนจะเป็นเซียนเกมนี้ เพราะสามารถเหยียบเซนเซอร์ไปตามจังหวะได้อย่างชำนาญและไร้ที่ติ คุโรโกะหยอดเหรียญจำนวนหนึ่งลงไปในเครื่องเล่นก่อนอธิบาย ”ถ้าสามารถเล่นผ่านด่านในโหมดความยากระดับกลางโดยแทบไม่พลาดเลย รางวัลก็จะเป็นแท่งแครกเกอร์รสพริกเผามะเขือเทศครับ” ได้ยินดังนั้น มุราซากิบาระก็หยุดกินขนม
“อืมม ก็ได้ ถึงจะไม่มั่นใจเท่าไหร่ แต่ก็จะลองเล่นดู”
เขาเลียเศษขนมที่มือของตัวเองก่อนจะเดินเข้าไปหาเครื่องเกม
“ภาพ.. เห็นไม่ค่อยชัดเลย”
“เพราะมุคคุงสูงไปยังไงล่ะ”
โมโมอิหลุดพูด เมื่อได้ยินคำบ่นของมุราซากิบาระ จังหวะนั้น คุโรโกะก็ยืดมือและเอ่ย “เริ่มที่โหมดเบสิกก่อนครับ” ก่อนที่จะกดปุ่มเริ่ม ตามมาด้วยเสียงดนตรีดังขึ้น และหน้าจอที่แสดงทิศทางให้ขยับตาม
ทว่า.....
“มุคคุง! ขวา! เหยียบทางขวา!”
“อ้ะ? อ๋า ตรงนี้เหรอ?”
“มุราซากิบาระคุง นั่นมันทางซ้าย”
“อ๋า ตรงนี่เหรอ?”
“เกมมันสั่งให้ทำอย่างอื่นแล้ว!!”
แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่คาดการณ์ไว้อยู่แล้วสำหรับคนพึ่งหัดเล่น แต่คะแนนของมุราซากิบาระนั้นแย่มากจนไม่อยากมองเลยทีเดียว
“ยากจัง”
มุราซากิบาระว่าอย่างเหนื่อยอ่อนขณะลงมาจากเครื่องเล่น
“ต่อไป ตาชั้นละ!”
คิเสะเหยียบขึ้นบนเครื่องเล่นด้วยความมั่นใจ
“คีจัง เคยเล่นมาก่อนเหรอ?”
โมโมอิถาม คิเสะตอบพลางชูสองนิ้ว
“เล่นครั้งแรกครับ แต่ไม่น่าจะเป็นอะไรนะ”
และแน่นอนว่าสุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว
“อ่อย ไม่คิดว่ามันจะยากขนาดนี้นะเนี่ย! ถ้าโหมดเบสิกยังยากขนาดนี้ แล้วโหมดระดับกลางมันจะขนาดไหนเนี่ย!?”
ทันทีที่ลงจากเครื่องเล่น คิเสะก็ต้องเจอกับสายตาเย็นชาหลายคู่
“คีจัง เป็นนายแบบไม่ใช่เหรอ ทำไมเซนส์เรื่องจังหวะถึงได้แย่จังหล่ะ”
“ถึงจะพึ่งหัดเล่นก็เถอะ แต่นี่มันฝีมือแย่เกินไปแล้วครับ”
“นายได้คะแนนไม่ถึงที่ชั้นเล่นได้เมื่อกี้ด้วยซ้ำ”
“เฮ้! ต้องการจะสื่ออะไรกันเนี่ยพวกนาย! อย่าใจร้ายกันนักสิ!! เล่นครั้งแรกมันก็ต้องเป็นอย่างนี้ทั้งนั้นล่ะ!!”
ถึงจะทำให้คิเสะไม่พอใจ ทั้งสามคนก็หันมามองหน้ากันอย่างเงียบๆ พยักหน้าก่อนจะพูดว่า “ก็มันจริงนี่นา”
ซึ่งก็เป็นความจริง การเคลื่อนไหวของคิเสะนั้นแข็งเกินไปราวกับหุ่นยนต์ตัวหนึ่งที่เหยียบไปรอบๆจุดเดิม
และอาจเป็นเพราะนึกถึงการเคลื่อนไหวเมื่อครู่นั่นเอง มุราซากิบาระถึงกับหลุดขำเล็กๆ
คิเสะเห็นท่าทีตอบรับของทั้งสามแล้ว ก็จริงจังขึ้นมาทันที
“อา! พอกันที!! ชั้นจะเล่นได้คะแนนสูงสุดในโหมดระดับกลางให้ได้เลย พวกนายคอยดูเถอะ!!”
คิเสะป่าวประกาศ
“คีจัง กว่านายจะได้คะแนนสูงสุด เงินในกระเป๋าได้หมดก่อนพอดี”
“วางใจได้เลย! ชั้นมีวิธีน่า!”
คิเสะเชิดหน้าขึ้นก่อนที่จะชี้ไปที่เครื่องDDR อีกเครื่องที่เด็กประถมยังคงกำลังใช้เล่นอยู่อย่างใจจดใจจ่อ
“ชั้นจะสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของเด็ดคนนั้น แล้วเลียนแบบทั้งหมด
“อะไรนะ!?”
โมโมอิถามอย่างประหลาดใจ คุโรโกะและมุราซากิบาระเองก็ดูเหมือนจะคาดไม่ถึง
“เลียนแบบเรื่องนี้ได้ด้วยหรอ!?”
“ได้สิ ขอแค่ได้เห็นการเคลื่อนไหวนั่นสักครั้ง ชั้นก็จะสามารณ์เลียนแบบได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
“แต่คีจังไม่มีเซนส์เรื่องจังหวะเลยแม้แต่นิดเดียวนะ....แน่ใจหรอว่าจะเลียนแบบได้”
“ชั้นจะเลียนแบบไปถึงเซนส์ด้านจังหวะของเด็กนั่นเลย”
หลังจากนั้น คิเสะก็หันหลังให้กับทั้งสามคนราวกับจะบอกให้ทั้งหมดเลิกคุยกับเขาเสียที คิเสะจดจ้องแบบตาไม่กระพริบไปยังเด็กประถมคนนั้น ผลก็คือเด็กกลัว...
เมื่อสังเกตได้ว่าคิเสะจ้องมา เด็กคนนั้นก็ต้องใจกลัวเล็กน้อยและหยุดเต้นไปพักหนึ่ง ทว่าเกมที่เล่นไว้ยังไม่จบ และเจ้าหนูเองก็คงไม่อยากยอมแพ้เกมที่ตัวเองเริ่มเล่นไว้แล้ว เขาจึงกลับเข้าสู่เกมอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับหวังว่าตัวเองเองจะไม่เสียสมาธิไปกับการจ้องของคิเสะ ด้วยเหตุนี้ เด็กชั้นประถมก็เต้นต่อไป ในขณะที่เด็กมัธยมต้นก็จดจ้องแบบไม่กระพริบตา
“อะไรกันเนี่ย...” โมโมอิอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
“ไหนๆก็มาแล้ว คุณโมโมอิอยากจะลองเล่นดูสักหน่อยไหมครับ”
คุโรโกะชี้ไปที่เครื่องเกมแล้วพูดขึ้น
“คิเสะคุงคงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะเลียนแบบได้หมด”
“จริงด้วยสินะ..”ว่าแล้วโมโมอิจึงเหยียบขึ้นไปบนเครื่องเกมอีกคน
ถึงเซนส์การจับจังหวะของโมโมอิจะไม่ได้แย่อะไรนัก แต่ท้ายที่สุดเธอก็เป็นแค่มือสมัครเล่น หลังเกมจบลงคะแนนของเธอจึงอยู่แค่ในระดับกลางๆ
“เล่นแค่โหมดเบสิกก็มีเหงื่อได้สินะ”
โมโมอิปาดเหงื่อออกจากหน้าผากของตัวเองขณะลงจากเครื่อง
“มุคคุง ไว้รอจนรสใหม่ที่นั่นมีขายที่ร้านสะดวกซื้อก่อนแล้วค่อยซื้อดีไหม”
“อา... นั่นสินะ” ได้ยินโมโมอิว่าดังนั้น มุราซากิบาระก็ตอบเห็นด้วยแต่ด้วยโทนเสียงที่แฝงความไม่เต็มใจอยู่นิดๆ
ทันใดนั้นเองก็มีอีกเสียงหนึ่งพูดแทรกขึ้น
“ไม่จำเป็นหรอก!” เสียงคิเสะนั่นเอง
เด็กที่เล่นอยู่เครื่องข้างๆเล่นเสร็จพอดี คิเสะจึงรีบกระโดดขึ้นเครื่องนั้นก่อนตั้งท่าเตรียมพร้อม
“ไฮไลท์ มันต่อจากนี้ล่ะ!”
คิเสะกดปุ่มเริ่มเกมด้วยความมั่นใจพร้อมกับกดเลือกระดับความยาก คำสั่งในเกมให้เหยียบตาม ที่ซับซ้อนจึงปรากฏออกมา คลอตามไปกับเสียงดนตรีที่ดูมีชีวิตชีวา
“ตกลงจะเล่นโหมดระดับกลาง จริงๆหรอเนี่ย!?”
โมโมอิกระพริบตาอย่างประหลาดใจ
แต่ความน่าทึ่งไม่หยุดลงแค่นี้ ขาของคิเสะก้าวขยับอย่างช่ำชองตรงตามที่เกมสั่งให้ทำปะๆ
“แม้แต่การจับจังหวะก็เลียนแบบได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
มุราซากิบาระเองก็ช็อคและจับจ้องมาที่คิเสะเช่นกัน
“นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้นนะ!”
ราวกับเป็นไปตามคิว สิ้นเสียงตะโกนบอกของคิเสะ จังหวะดนตรีก็เร็วขึ้น การเคลื่อนไหวของคิเสะก็เร่งตามความเร็วที่เพิ่มขึ้นไปด้วย
“สุดยอดเลย....”
โมโมอิจ้องจนลืมกระพริบตา
หลังจากดนตรีจบลง คิเสะก็หยุดไปด้วย โมโมอิกับมุราซากิบาระถึงกับปรบมือให้กับความกล้าหาญในครั้งนี้ คิเสะได้คะแนนสูงสุดของเครื่องนั้นซึ่งหน้าจอได้เปลี่ยนมาแสดงผลการคำนวณ คะแนนของเขาแล้ว
“แบบนี้เราต้องได้แครกเกอร์นั่นแน่”
คิเสะยืนพิงราวจับของเครื่องแล้วหายใจหอบอย่างหนัก
“อื้ม เราได้มาแล้วแน่ๆใช่ไหมจ๊ะ เท็ตสึคุง!” โมโมอิหันมาหาคุโรโกะอย่างมีความสุข ทว่าคุโรโกะกลับหายไปไหนไม่รู้
“เอ๋? แปลกจัง” เธอมองหาไปรอบๆ คิเสะกับมุราซากิบาระเองก็มาร่วมหาคุโรโกะด้วยแต่ก็ไม่มีใครพบเขาเลย
“อืมม~ หายไปไหนน้า” มุราซากิบาระเอียงคอเอ่ยถามอย่างงุนงง ทั้งโมโมอิกับคิเสะเองก็ไม่มีใครรู้
“เท็ตสึคุง!? อยู่ที่ไหน!?”
ก่อนที่โมโมอิจะได้ออกจากเกมเซ็นเตอร์เพื่อไปตามหาคุโรโกะ เธอก็ได้ยินเสียงหนึ่งทักขึ้นมาก่อน
“มีอะไรเกิดขึ้นเหรอครับ?” คุโรโกะก็โผล่มาจากไหนไม่รู้
“เท็ตสึคุง!? ดีใจจังเลย!! จริงๆเลยนะ หายไปไหนมาเนี่ย!”
คุโรโกะเห็นโมโมอิมีทีท่าว่าจะร้องไห้เสียใจก็เกาแก้มอย่างเขินๆ
“ขอโทษด้วยครับ ผมไปเอารางวัลมา”
“เอ๊ะ? รางวัล?”
โมโมอิที่ยังไม่เข้าใจงว่าคุโรโกะหมายความว่าอะไรเอียงคอเอ่ยถาม
“นี่ครับ”
คุโรโกะชูกระเป๋าพลาสติกใสที่มีขนมอยู่ข้างในให้ดู ในนั้นมีขนมแครกเกอร์รสน้ำพริกเผามะเขือเทศอยู่
“อ๊ะ.. นี่มัน.. อย่าบอกนะว่า..”
คุโรโกะคาดเดาสิ่งที่มุราซากิบาระกำลังจะพูดได้ จึงพยักหน้าตอบ
“นี่เป็นขนมที่ใช้เป็นรางวัลในเกมครับ”
“โอ๋ คุโรโกจจิไปเอารางวัลของชั้นมาให้เหรอ?”
คุโรโกะส่ายหน้าให้กับคำถามของคิเสะ
“ไม่ใช่ครับ อันนี้เป็นรางวัลที่ผมได้เองครับ”
หนนี้เป็นทุกคนยกเว้นคุโรโกะที่มีอาการสับสน
“ผมไปเล่นDDRมารอบนึงเหมือนกันครับ”
“ว่าไงนะ!?”
ทั้งสามคนต่างพากันตกตะลึง คุโรโกะไม่พูดอะไรกับท่าทีของทั้งสามคนหากแต่ชี้ไปที่เครื่องเกมที่เคิเสะเล่นอยู่ก่อนหน้านี้
“ผมใช้เครื่องข้างๆนี้เล่น ตอนที่คิเสะคุงกำลังเล่นอยู่ครับ”
โมโมอิรู้สึกพูดไม่ออก เครื่องเล่น DDR เป็นเครื่องที่ส่งเสียงออกมาดังมากเวลาที่ใช้เล่น ต่อให้ทุกคนจดจ่อกับความสามารถของคิเสะมากขนาดไหนก็ไม่น่าที่จะไม่ทันเห็น ว่าคุโรโกะกำลังเล่นอยู่เครื่องข้างๆ มิหนำซ้ำสิ่งที่โมโมอิเสียดายยิ่งกว่านั้นคือการที่เธออดเห็นว่าตอนที่คุโรโกะเล่นเกมDDRเป็นอย่างไร เธอกอดบ่าตัวเอง อา....อยากเห็นเท็ตสึคุงตอนเล่นเกมจังเลย!
คุโรโกะที่ไม่ทันสังเกตเห็นท่าทีขัดใจของโมโมอิก็ยื่นขนมให้มุราซากิบาระและพูดอะไรเสริมขึ้นนิดหน่อยราวกับพึ่งนึกได้
“อ้อ ใช่แล้วครับ คะแนนที่คิเสะคุงได้ รางวัลสูงสุดไม่ได้เป็นขนมหรอกนะครับ”
“ว่าไงนะ!?ไม่จริงน่า!?”
ได้ยินที่คุโรโกะพูด คิเสะถึงกับพิงพาดไปกับราวจับ
“รางวัลสูงสุดสำหรับเวลาได้คะแนนสูงๆในความยากระดับกลางคือขนม แต่สำหรับคิเสะคุงที่ทำได้คะแนนสูงสุด ของรางวัลจะเป็นอย่างอื่นครับ”
“ง..งั้นที่ชั้นอุตส่าห์ลงทุนลงแรงไป...”
คิเสะล้มลงไปพาดกับราวอย่างชอกช้ำ ถึงอย่างงั้นไหนๆก็ได้รางวัลแล้ว เจ้าตัวจึงคิดได้ว่าควรจะไปเอารางวัลมาเช่นกัน คิเสะยืนขึ้นแล้วเดินไปรับของรางวัล
อีกฟากหนึ่ง มุราซากิบาระกำลังชิมแท่งแครกเกอร์อย่างอดใจไม่ไหว
“โอ้..โห..!”
ดวงตาของมุราซากิบาระเป็นประกายครั้งแรกของวันนี้
“นี่มันอร่อยเกินไปแล้ว...”
กรุบกรุบกรุบ มุราซากิบาระกินแท่งแครกเกอร์ไปพลางหยิบเพิ่มอีกชิ้น
“มุคคุง ดื่มอะไรหน่อยดีไหม เดี๋ยวคอแห้งเอานะ”
โมโมอิมองอย่างเป็นกังวล
“จริงด้วย ชั้นต้องไปเดินหาตู้ขายน้ำหยอดเหรียญละ”
“มุคคุงนี่พอเป็นเรื่องขนมทีไรก็ลืมอย่างอื่นหมดเลยน้า”
โมโมอิมองมุราซากิบาระเดินจนเลี้ยวมุมลับสายตาไปก่อนที่จะพึ่งรู้สึกถึงความจริงที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง
เมื่อครู่นี้เราอยู่กันทั้งหมด4คน มี2คนออกไป ถ้างั้นอย่าบอกนะว่าตอนนี้...เราเหลือกันอยู่แค่2คน!?
หัวใจของโมโมอิเริ่มเต้นแรงขึ้น
หากไม่คิดอะไรที่นี่ก็เป็นเกมเซ็นเตอร์แห่งหนึ่ง ทว่าสำหรับเด็กม.ต้นแล้วนี่เป็นสถานที่ปกติสำหรับ...
ใช่แล้ว... นี่มันคือการเดท สถานการณ์ในตอนนี้มองเป็นการเดทย่อมได้
นอกจากนี้เกมเซ็นเตอร์แห่งนี้ยังถือเป็นสถานที่เดทที่มีบรรยากาศค่อนข้างดี หัวใจของโมโมอิเต้นระรัว ทว่าในใจกลับคิดสวนทาง ไม่ได้สิ เธอยังไม่แน่ใจตัวเองเลยนะว่าชอบเขารึเปล่า ด้วยความที่ปล่อยให้หัวใจกับจิตใจทะเลาะกัน โมโมอิก็สามารถเรียกหลักเหตุผลของตัวเองสำหรับสถานการณ์แบบนี้กลับมาได้
คุโรโกะได้ยินโมโมอิถามขึ้นขณะที่ตัวเองกำลังมองเครื่องเกมอื่นอยู่
“เท็ตสึคุง หลังจากเล่นเสร็จแล้วไม่เป็นอะไรใช่ไหมจ๊ะ”
“หมายถึงอะไรหรอครับ”
คุโรโกะแสดงท่าทีงุนงงและถามกลับ โมโมอิเปิดปากเพื่อจะอธิบายเรื่องที่เธอคิดอยู่ในใจ
“ก็เพราะ เท็ตสึคุงน่ะ....”
“นี่ แทนคำขอบคุณ”
ขวดพลาสติกสีเรืองแสงโผล่ขึ้นมาคั่นกลางระหว่างทั้งคู่
“ขอบคุณที่อุตส่าห์ชนะเอาขนมมาให้นะ ชั้นเลี้ยงคุโรจิน”
มุราซากิบาระที่กลับมาจากตู้ขายน้ำหยอดเหรียญ ยืนแทรกกลางระหว่างทั้งคู่
“ขอบคุณครับ”
คุโรโกะรับเครื่องดื่มมา
“เหอ? โมโมจินอยากได้เหมือนกันเหรอ”
มุราซากิบาระถามอย่างใสซื่อ เจ้าตัวไม่รู้ตัวเลยว่ามาขัดช่วงเวลาอยู่ด้วยกันของโมโมอิกับคุโรโกะ
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ”
พอโดนขัดจังหวะ โมโมอิก็ไม่กล้าที่จะพูดต่อ จึงทำเพียงหัวเราะปัด อย่างไรเสียตอนนี้มีปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นมาสำหรับเธอแล้ว
“มุคคุง ขวดที่เธอซื้อมาสีมันดูแปลกมากเลยล่ะ”
“จริงหรอ? ชั้นชอบยี่ห้อนี่นะ”
มุราซากิบาระเอ่ยตอบช้าๆ พลางยกขวดเครื่องดื่มในมือตัวเองขึ้น พบว่ามีสีเดียวกันกับอันที่เขาซื้อให้คุโรโกะ ขวดเรืองแสงมีฉลากอ่านว่า “น้ำอัดลม Summer Colour Lemon Sunshine”ติดอยู่ แม้จะเป็นรสมะนาวแต่สีของมันเป็นสีเรืองแสงสีแดง
“จินตนาการไม่ออกเลยจริงๆนะว่ารสจะเป็นยังไง”
โมโมอิทำหน้าบุ้ยปากขณะที่จ้องเจ้าขวดเครื่องดื่ม ดูเหมือนอันตรายต่อสุขภาพจริงๆแหะ
“เท็ตสึคุง ไอ้นี่จะดื่มได้จริงๆเหรอ” โมโมอิเริ่มกังวล เธอมองไปที่คุโรโกะซึ่งกำลังดื่มเข้าไปอึกใหญ่ โมโมอิมองขวดนั่นด้วยความหวาดกลัว
“ท..เท็ตสึคุง? ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
ถ้าเท็ตสึคุงสลบทั้งอย่างนี้จะทำยังไงดี โมโมอิเริ่มจินตนาการถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด พร้อมกับถามด้วยความเป็นห่วง คุโรโกะพยักหน้ารับก่อนเอ่ย
“ค่อนข้างรสชาติดีเลยครับ”
“เอ๋!?”
น่าตกใจจริงๆ ทว่าสิ่งที่คุโรโกะจะพูดต่อนั้นน่าตกใจยิ่งกว่าสำหรับโมโมอิ
“นี่ครับ อยากลองดื่มไหม”
“เอ๋?”
คุโรโกะส่งขวดที่ตัวเองพึ่งดื่มให้
“ผมดื่มไปหน่อยแล้ว ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็...”
โมโมอิเบิ่งตากว้างด้วยความประหลาดใจ กรอกตาไปมาระหว่างคุโรโกะกับขวด
นี่มันหรือว่าจะเป็น... แก้มของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดง
...จูบทางอ้อม!?
และแม้ว่าข้างในเธอจะสั่นไปหมดพร้อมกับถามตัวเองซ้ำๆว่า”ทำยังไงดี? ชั้นควรจะทำยังไงดี?” แต่มองจากภายนอกจะเป็น โมโมอิยื่นมือไปรับขวดอย่างนิ่งๆ และกล่าวคำขอบคุณ
คุโรโรกะวางขวดลงที่มือของโมโมอิ
ควรดื่มดีไหม ควรดื่มดีไหม แต่ถ้าไม่ดื่มก็ชั้นคงจะรู้สึกผิดใช่ไหมล่ะ โมโมอิคิดราวกับจะแก้ตัวให้ใครก็ไม่รู้ฟัง เธอยกขวดขึ้นมาที่ริมฝีปาก....
ทว่าจังหวะนั้นเอง
“โอ้ ดูน่าดื่มจังเลยแหะ”
อาโอมิเนะที่เสร็จจากการถ่ายเอกสารพอดี คว้าขวดที่โมโมอิกำลังจะดื่มแล้วดื่มจนหมด
โมโมอิที่ถูกฉวยขวดเครื่องดื่มไปจากมือแบบกะทันหัน ไม่มีเวลาพอที่จะตอบสนองใดๆ และทำได้แค่นิ่งแข็งทื่อไปเท่านั้น
“อาโอมิเนะคุง นั่นของผมนะครับ”
“เห อะไรนะ ของเท็ตสึหรอกหรอ ชั้นดื่มหมดไปแล้วล่ะ รสชาติแปลกๆ”
อาโอมิเนะมองคุโรโรกะที่กำลังตกใจ ก่อนจะยื่นขวดเปล่าให้เป็นการพิสูจน์
ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
อาโอมิเนะเกาหัวตัวเองอย่างไม่ใส่ใจ
“ชั้นเห็นซัทสึกิถืออยู่เลยนึกว่าเป็นของยัยนั่นน่ะ... หืม? ซัทสึกิ?”
อาโอมิเนะพึ่งมองดูสีหน้าของโมโมอิแล้วสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างขาดหายไป
โมโมอิผลุบแก้มป่องแล้วจ้องทั้งน้ำตามาที่อาโอมิเนะ ทันทีที่แนวสายตามาปะกันโมโมอิก็พุดออกมาอย่างอดไม่ไหวอีกต่อไป
“อาโอมิเนะ ตาบ้า !! ตาบ้าที่มีแต่กล้ามไร้สมองซื่อบื้อ!”
“หา? ซ..ซื่อบื้อ!?”
“หึ ชั้นไม่สนใจนายอีกแล้ว!!”
อาโอมิเนะรู้สึกเหงื่อตกและสับสนกับการคำพูดระบายความโมโหอย่างกระทันหันของโมโมอิเป็นอย่างมาก
“อะไรเล่า หิวน้ำขนาดนั้นเลยรึไง? จะให้ไปซื้อให้อีกขวดไหมล่ะ?”
“หึ ไม่สนด้วยแล้ว!”
หลังจากนั้นโมโมอิก็หันหลังกลับแล้วเดินหนีไป
“เฮ้ย! อย่าพึ่งไปสิ! ซัทสึกิ!?”
อาโอมิเนะรีบเรียกเธอไว้ แต่เจ้าตัวไม่ยอมหันกลับมาเลย และเดินเลี้ยวมุมไปทางซ้าย
“ถึงจะแค่นิดเดียวก็เถอะ แต่ชั้นก็อุตส่าห์ตั้งตารอ”
โมโมอิเดินโกรธไปจนถึงตู้ขายเครื่องดื่มหยอดเหรียญระหว่างทางเดิน ไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้นและข้างหน้าเป็นทางบันได
เธอซื้อไอซ์ทีจากตู้หยอดเหรียญมาหนึ่งขวด และดื่มไปรวดเดียวครึ่งขวดด้วยความโมโห
“อาโอมิเนะคุงนี่ไม่เคยจับเค้าอะไรได้เลยจริงๆ!”
“อะไรกัน? ทะเลาะกับแฟนมาเหรอ?”
โมโมอิหันกลับไปหาเสียงที่มาจากข้างหลัง
เป็นผู้ชายสองคนซึ่งน่าจะอยู่ชั้นม.ปลาย พวกเขาสะพายกระเป๋าเป้มาถึงเอว กระดุมเสื้อหลุดลุ่ย หนึ่งในสองคนนั้น คนหนึ่งที่ไว้ผมยาวกำลังขำขณะที่เผชิญหน้ากับโมโมอิให้ความรู้สึกที่ไม่ดี นัก
“ออกมาหาที่ระบายความโกรธกับอะไรดื่ม หลังจากทะเลาะกับแฟนเหรอ? ปล่อยให้สาวน้อยน่ารักอย่างเธอต้องเจ็บปวดแบบนี้ แฟนเธอนี่ทำเกินไปจริงๆ”
“..ต้องการอะไรหรือเปล่าคะ”
โมโมอิมองพวกเขาอย่างระแวดระวัง ความโกรธที่มีต่ออาโอมิเนะคุงก่อนหน้านี้หายเป็นปลิดทิ้ง และเปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับการรับมือสถานการณ์ตรงหน้าก่อน จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของโมโมอิ ทำให้เธอรู้ว่าคนประเภทที่ชอบมาทำทีพูดจาด้วยแบบนี้มักไม่ค่อยจะเป็นคนดี
ผู้ชายอีกคนถัดจากคนผมยาว เจาะจมูก เดินไปอีกฝั่งหนึ่งของทางเดินเสียเฉยๆ ทำให้ตอนนี้โมโมอิไม่สามารถไปทั้งกลับห้องโถงเดิมที่ออกมาหรือที่บันได
“เธอควรจะให้พวกเราปลอบใจนะ คาราโอเกะหน่อยไหม? รับรองว่าเลี้ยง”
ผู้ชายคนผมยาวจับแขนโมโมอิ
อย่ามาจับตัวชั้นง่ายๆนะ!
โมโมอิรู้สึกโกรธมาก ทว่าในสถานการณ์แบบนี้หากปล่อยให้ความโกรธนำจนทำตัวไม่มีเหตุผล คงถูกพวกมันหัวเราะเยาะเอาแน่ๆ โมโมอิรีบสะบัดมือชายผมยาวออกแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า
“กรุณาอย่ามาทำตัวแบบนี้ค่ะ มีคนรอชั้นอยู่ ขอตัวก่อนค่ะ”
“เฮ้ๆ อย่าพูดแบบนั้นสิ ดูจากยูนิฟอร์มแล้ว เธอมาจากม.ต้นเทย์โคสินะ เธอนี่ถือว่าน่ารักของเด็กม.ต้นเลยนา ~”
หนุ่มคนที่เจาะจมูกเอื้อมมือมาอ้อมหลังทำทีราวกับจะโอบ
โมโมอิพยายามจะถอยหลังเพื่อหลบ แต่ก็ติดตู้เครื่องดื่มหยอดเหรียญ ทำให้หนีไปไหนไม่ได้
เธอถอยกลับ ทว่าแขนข้างนั้นกลับมาไม่ถึงไหล่ของโมโมอิ
“คุณโมโมอิ...คงไม่รู้จักพวกคุณหรอกใช่ไหมครับ”
มือของหนุ่มเจาะจมูกคนนั้นถูกจับไว้โดยใครบางคน
“อ..ไอ้เวร แกเป็นใครวะ!”
หนุ่มเจาะจมูกหันกลับมามอง และคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือ...
“เท็ตสึคุง!” โมโมอิเรียกชื่อเขาอย่างโล่งใจ
ไม่แน่ใจนักว่าคุโรโกะเริ่มยืนอยู่หลังเด็กหนุ่มเจาะจมูกคนนี้เมื่อไหร่ คุโรโกะปล่อยมือของเขา
“แก.. ตั้งแต่เมื่อไหร่..” หนุ่มเจาะจมูกนวดคลำแขนตัวเองและมองคุโรโกะด้วยสีหน้าแปลกประหลาด ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเป็นเช่นนั้นเพราะเจ้าตัวไม่รู้สึกตัวแม้แต่นิดเดียวว่ามีคนมากำลังยืนอยู่ข้างหลังตัวเอง
และหลังจากนั้นเอง
“อ้ากก!” หนุ่มผมยาวหลุดแหกปากออกมาด้วยความช็อคพร้อมๆกับร่วงลงไปกองกับพื้น ซึ่งนั่นเผยให้เห็นใบหน้าโกรธขึ้งของอาโอมิเนะ
“ทำอะไรของเธออยู่เนี่ย ซัทสึกิ”
“อาโอมิเนะคุง!”โมโมอิเรียกชื่อนั้นด้วยความแปลกใจ
“ถ้าอยากดื่มน้ำล่ะก็ ชั้นก็บอกอยู่ว่าจะเลี้ยงไง”
“ไอ้เวร แกคิดว่าแกทำอะไรของแกอยู่!” หนุ่มผมยาวลุกขึ้นอย่างฉับพลันและจ้องเขม็งมาที่อาโอมิเนะ
“ทำอะไรน่ะเหรอ?... ก็เตะข้อพับเข่าแกไง”
“ยังจะกล้าพูดออกมาอีกเรอะ ไอ้นี่ แกอยากตายนักใช่ไหม!?”
“ไม่อ่ะ ชั้นกำลังตามหายัยนี่อยู่ แต่แกดันมาขวาง ชั้นก็เลยต้องขยับแกออกไปข้างๆทางสักหน่อย”
“แกว่าไงนะ! ไอเด็กเวรเอ๊ย!”
หนุ่มผมยาวจับคอเสื้อ เป็นสัญญาณเหมือนบอกให้หนุ่มเจาะจมูกเริ่มยื่นมือเข้าใส่คุโรโกะ
“ไอพวกเด็กม.ต้นที่กล้าทำเป็นเท่” คุโรโกะถอยหลังไปหนึ่งก้าว แต่หนุ่มเจาะจมูกคนเดิมก็เดินเข้าหาเพิ่มอีกก้าว
“เหอ?”
ฉับพลันหนุ่มเจาะจมูกรู้สึกได้ว่าตัวเองขยับไปข้างหน้าไม่ได้และหน้าผากของตัวเองก็รู้สึกแปลกๆ
“นี่มันอะไรกัน?” เขาพยายามฝืนเงย หน้าขึ้น แต่ไม่ว่าจะใช้แรงมากมายขนาดไหน หัวของเจ้าตัวก็ไม่เขยื้อนเลย ในตอนนั้นเองที่เด็กหนุ่มตระหนักได้ว่ามีใครบางคนกำลังกดหัวของเขาลงอยู่
“ทั้งสามคนทำไรกันอยู่? นี่ใคร? คนรู้จักเหรอ?”
ประโยคลากเสียงยาน ดังขึ้นมาจากเหนือหัวของหนุ่มเจาะจมูก
“ก..ก..แก!?” หนุ่มผมยาวหันหลังกลับไปมองก่อนจะตกใจจนพูดอะไรไม่ออกซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ อะไร เพราะบุคคลที่กำลังจับหัวหนุ่มเจาะจมูกราวกับเป็นลูกบอลอยู่นั้น ตัวสูงใหญ่มากกว่า 2 เมตรซึ่งก็คือ มุราซากิบาระนั่นเอง
“เฮ้ย แก ปล่อยชั้นนะโว้ย!” หนุ่ม เจาะจมูกจับมือมุราซากิบาระเพื่อให้ปล่อยตนเอง ทว่ามุราซากิบาระไม่ขยับเลยแม้แต่น้อยและหากมองจากมุมการมองเห็นของหนุ่ม เจาะจมูกก็จะมองไม่เห็นมุราซากิบาระ ซึ่งนั่นทำให้เจ้าตัวเริ่มตื่นตระหนก
“ช..ช่วยปล่อยชั้นไปที!”
“เอ๋~ ไม่อยากอ่ะ~” มุราซากิบาระว่าพลางหาว
“ทำไมนายไม่ขยี้หัวมันทิ้งไปเลยล่ะ มุราซากิบาระ” อาโอมิเนะมองมุราซากิบาระด้วยหางตาพร้อมกับยิ้มชั่วร้ายราวกับเป็นปีศาจ
คำขู่นั้นถูกพูดขึ้นมาลอยๆเฉยๆ ทว่ากลับทำให้หนุ่มผมยาวที่กำลังจับคอเสื้ออาโอมิเนะอยู่ปล่อยมือ
“อืม... งั้นชั้นจะยอมทำตามที่นายบอกแล้วขยี้หมอนี่ละกัน” มุราซากิบาระเหลือบมองมาที่หนุ่มเจาะจมูก น้ำเสียงของเขาฟังดูเด็กเล่น ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ดูไม่ออกว่าเจ้าตัวเอาจริงหรือแค่พูดเล่น
“อ...อย่านะ!” หนุ่มเจาะจมูกอ้อนวอน ส่วนหนุ่มผมยาวพยายามจะช่วย จึงเดินมาจับข้อมือของเพื่อนตัวเอง จังหวะนั้นเอง
“รึช่างมันดี~” จู่ๆมุราซากิบาระก็ปล่อยมือ ทำให้เด็กหนุ่มที่ถูกปล่อยไว้เสียการทรงตัว และเป็นจังหวะเดียวกับที่หนุ่มผมยาวพยายามจะดึงเพื่อนตัวเอง นั่นทำให้ทั้งคู้ล้มลง
“โอ้ย..”
“เฮ้ย ไปกันเถอะ”
“บ..บ้าเอ้ย ฝากไว้ก่อนเถอะ!” เด็กม.ปลายทั้งสองคนรีบลุกขึ้น ก่นด่าอีกไม่กี่คำก่อนรีบหนีไป
“อะไรของพวกนั้น” มุราซากิบาระเกาหัวตัวเอง ยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
โมโมอิถอนหายใจเฮือกใหญ่ราวกับจะปลดปล่อยความตึงเครียดจากเหตุการณ์เมื่อครู่นี้
“โล่งอกไปที...”
“โล่งอกเรอะ คิดจะทำอะไรของเธอ” อาโอมิเนะดีดหน้าผากโมโมอิอย่างอดไม่อยู่
“ก..ก็ชั้น” โมโมอิตั้งท่าจะเถียงกลับ แต่ก็หยุดกลางคันและ เปลี่ยนเป็นพูด”ขอโทษ”แทน ต่อให้เธอคิดหาจังหวะหนีหรือตะโกนขอความช่วยเหลือได้ แต่ถ้าพวกคุโรโกะไม่มาก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่เธอจะปลอดภัย อีกอย่างการที่พวกเขาเป็นห่วงและคอยเฝ้าระวังให้ทำให้เธอรู้สึกดีใจมาก โดยเฉพาะกับคุโรโกะซึ่งเป็นคนที่มาช่วยเธอเป็นคนแรก
“ขอบคุณนะจ๊ะ”
“ดีแล้วล่ะครับ ที่ไม่บาดเจ็บอะไร” คุโรโกะยิ้มตอบ
“พวกชั้นไม่ได้ตั้งใจมาช่วยเธอหรอกนะ เฉพาะหมอนี่เท่านั้นล่ะที่อยากมาของมันเอง” พูดเสร็จอาโอมิเนะก็หันหลังเดินออกไป
“ขอบคุณมุคคุงด้วยนะ” มุราซากิบาระที่ได้ยินโมโมอิพูดอมยิ้มเล็กๆ
“หืม?ทำไมต้องขอบคุณชั้นด้วยล่ะ?”
ทั้งหมดย้อนกลับไปที่เกมเซ็นเตอร์ มิโดริมะกับคิเสะรออยู่ที่นั่น คิเสะกำลังโชว์รูปชุดจากบู๊ตถ่ายสติกเกอร์ให้มิโดริมะดู ไม่รู้ว่าเจ้าตัวไปถ่ายรูปพวกนั้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่
คิเสะส่งยิ้มน้อยๆให้โมโมอิซึ่งยังประหลาดใจอยู่ก่อนเล่า
“ตอนชั้นไปเอาของรางวัลจากเกมDDR ก็โดนสาวๆกลุ่มหนึ่งที่บอกว่าเคยเห็นชั้นจากนิตยสารหยุดเอาไว้น่ะ จากนั้นพวกเธอก็ขอชั้นถ่ายรูปด้วย ชั้นไม่ได้คิดอะไรมากเลยตอบรับไป หลังจากนั้นทุกอย่างมันก็วุ่นวายไปหมด เลยต้องยอมถ่ายรูปต่อรูปไปเรื่อยๆ นี่ชั้นกำลังให้มิโดริมะดูรูปที่ถ่ายกับพวกนั้นอยุ่น่ะ”
“รกไปหมดเลย ดูไม่เห็นรู้เรื่องเลยว่าใครเป็นใคร” มิโดริมะบอกความเห็นของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา
“สาวๆอ่ะชอบตกแต่งรูปด้วยลายต่างๆกันน่ะ ใช่ไหม โมโมจจิ”
“อื้ม ก็แบบนั้นมันน่ารักกว่านี่” โมโมอิดูรูปพวกนั้นแต่ละใบอย่างตั้งใจ หลังจากดูไปจำนวนหนึ่งเธอก็หยุดชะงัก
“คีจัง พื้นหลังลายนี้หายากมากเลยล่ะ มันมีรูปห่วงบาสอยู่ซะด้วย”
“เอ๋? อันนั้นเอง... ใช่แล้วล่ะ อันนั้นหายากเลยล่ะ ลายปกติพื้นหลังจะเป็นรูปวิว อา.. ใช่ละนี่ก็นานๆทีทุกคนไม่มาไม่มาถ่ายรูปด้วยกันหน่อยเหรอ?”
“เอ๋!?”
“อะไรนะ?”
“หา....”
“คิดอะไรของนายอยู่เนี่ย” แต่ละคนมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกับคำชวนนั้น
“คิเสะคุง นี่เป็นความคิดที่ดีเลยครับ”
“ก็เพราะปกติ พวกเราแทบไม่เคยมาเที่ยวเรื่อยเปื่อยแบบนี้เลย อีกอย่างมีอยู่คนนึงในพวกเราไม่เคยถ่ายรูปในบู๊ตถ่ายสติกเกอร์มาก่อนด้วย”
“ผมไม่เคยถ่ายมาก่อนเลยครับ” คุโรโกะยอมรับอย่างซื่อตรง
“จริงเหรอ? งั้นไปถ่ายกันเถอะ!” โมโมอิเกิดสนใจขึ้นมาในทันที
คิดดูแล้ว โอกาสที่น่าจะได้ถ่ายรูปสักรูปกับคุโรกะนั้นต่ำมาก ต่อให้เป็นรูปรวมกับคนอื่นก็ตามที แล้วโอกาสดีขนาดนี้ จะปล่อยให้พลาดไปได้อย่างไร
“ชั้นไม่เอาด้วยหรอกนะ”
“ไหงงั้นเล่า เป็นเรื่องที่นานๆทำทีเอง โมโมจจิไม่มาด้วย ผู้ชายอย่างเราก็ไม่มีโอกาสได้ลองถ่ายรูปสติกเกอร์หรอกนะ” คิเสะโน้มน้าวอย่างไม่หยุดหย่อน แต่อาโอมิเนะก็ยังคงรู้สึกว่ามันยุ่งยากและไม่ยอมตกลงอยู่ดี
โมโมอิจึงเรียกใช้ท่าไม้ตาย
“อาโอมิเนะคุงพึ่งยืมสมุดจดของชั้นไปไม่ใช่เหรอ คิดซะว่านี่เป็นค่าชดใช้บุญคุณละกัน”
“ว่าไงนะ!? เล่นพูดกันขนาดนี้เลยเรอะ.... เออ เข้าใจแล้วน่า! แค่ถ่ายก็พอใช่ไหม!”
ท่าไม้ตายส่งผลอย่างดีเยี่ยม และแล้วอาโอมิเนะก็ยอมจำนน
“ถ้าอย่างนั้นชั้นก็ไม่ถ่ายไม่ได้เหมือนกันสินะ” มิโดริมะทำตัวเหมือนเฉยๆ ซ่อนอยู่ภายใต้ผมที่ปรกหน้า
“เอ๋ ทุกคนจะถ่ายเหรอ งั้นชั้นเอาด้วยก็ได้”
เมื่อมุราซากิบาระยอมถ่ายด้วยอีกคน ทุกคนจึงพากันตรงไปที่บู๊ตถ่ายสติกเกอร์
ถึงแม้ว่าบู๊ตนี้จะเป็นรุ่นล่าสุด แต่หลังจากกลุ่มคนตัวสูงๆเข้าไปอยู่ในเครื่อง ทุกคนก็ต้องย่อและบีบตัวเองให้เล็กลง
“เบียดกันจะตาย พวกผู้หญิงทนอยู่ในที่แคบๆแบบนี้ได้ยังไงกัน...” อาโอมิเนะนั่งลงบนขั้นบันไดด้านหลังอย่างไร้ชีวิตชีวา
“อย่างนี้นี่เอง พื้นหลังต่างๆจะถูกฉายอยู่บนหน้าจอสินะ” มิโดริมะมองไปรอบๆด้วยความสนใจ
“......” มุราซากิบาระซึ่งไม่ได้สนใจอะไร กินขนมของตัวเองอย่างเงียบๆ
“โอเค เรียบร้อย! จะถ่ายละน้า~” โมโมอิที่วุ่นอยู่กับการใช้เครื่องบอกให้ทุกคนเตรียมพร้อม
“เอาล่ะ ทุกคนยิ้ม!”
หลังจากเสียงบอกวิธีการใช้งานจากเครื่องหยุดลงก็มีเสียงกริ๊กจากชัตเตอร์ตามมา หน้าจอตรงหน้าพวกเขาแสดงรูปที่พึ่งถ่ายเมื่อครู่
“พวกนายถ่ายรูปแบบนี้ได้ยังไงกัน!” คิเสะผู้ที่เดินไปเช็ครูปแหกปาก
“อาโอมิเนจจิ ทำไมนายถึงเอียงหัวหนีกล้องล่ะ!”
“เพราะทำแบบนั้นมันน่าสนุกกว่าน่ะสิ” อาโอมิเนะตอบด้วยสีหน้าจริงจัง โมโมอิหันไปหามิโดริมะซึ่งอยู่ข้างหลัง
“มิโดริน เธอก็อีกคน ยิ้มเวลาถ่ายรูปหน่อยสิ”
“ชั้นจะทำหน้าแบบนี้อย่างเดียวเวลาถ่ายรูปน่ะ”
“หน้าแบบนี้เอาไว้ถ่ายรูปทำพาสปอร์ตจ้า แล้วก็มุคคุงด้วยทำไมถึงเอาถุงขนมขี้นมาบังหน้าล่ะ”
“งืมมม ก็ชั้นอยากถ่ายรูปกับถุงขนม”
”งั้นก็ถือเอาไว้ระดับอกก็พอแล้ว”
“โอเค เราจะถ่ายกันอีกรอบละนะ!” โมโมอิป้อนคำสั่งเครื่องอีกครั้งเพื่อถ่ายอีกรูป
“เอาล่ะ ยิ้ม~” หลังจากนั้นเสียงชัตเตอร์ก็ดังขึ้น
“อืม…ไม่เลวเลยนะ” คิเสะมองดูรูปที่แสดงขึ้น ก่อนหันไปหาโมโมอิเพื่อขอฟังความคิดเห็น
สิ่งที่แตกต่างกันสองอย่างระหว่างการถ่ายครั้งแรกกับครั้งที่สอง อย่างแรกคือ อาโอมิเนะมองกล้องแล้วแม้จะเป็นเพราะถูกบังคับก็ตามที อย่างที่สองคือ มุราซากิบาระเอาถุงขนมมาไว้ข้างๆใบหน้าตัวเอง
โมโมอิจ้องมองรูปใบนั้น
“อืม…ก็ไม่เลวเลยล่ะ” เธอยิ้มน้อยๆแล้วยื่นมือออกไปข้างหน้าเพื่อที่จะกดปุ่มคอนเฟิร์มรูป
“เดี๋ยวก่อน” มิโดริมะหยุดเธอไว้
“มีอะไรเหรอ มิโดริมัจจิ อยากจะถ่ายอีกรูปเหรอ?”
“พวกเรากำลังลืมเรื่องสำคัญมากๆไปเรื่องนึงไม่ใช่รึไง?”
“เรื่องสำคัญมาก?” โมโมอิกับคิเสะมองไปที่รูปอีกครั้งหนึ่ง
ด้านหน้าเป็นโมโมอิกับคิเสะที่กำลังยิ้มอย่างสดใส ส่วนด้านหลังเป็น มิโดริมะ อาโอมิเนะ และมุราซากิบาระ
“มิโดริมัจจิอยากให้ทุกคนโพสต์ท่าด้วยกันเหรอ?“
“ไม่ใช่! นี่ยังไม่รู้อีกเรอะ? คุโรโกะไม่ได้อยู่ในรูป”
“อ๋า!!” คิเสะกับโมโมอิส่งเสียงออกมา ในขณะที่จับจ้องอยู่ที่หน้าจอภาพ
“คุโรโกจจิ !?” คิเสะรีบเปิดผ้าม่านของเครื่องออก แต่ก็ไม่มีใครอยู่ข้างนอก
“ผมอยู่นี่ครับ”
“อ๊ะ!?” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างหลังของมุราซากิบาระ
“เอ๋? “ มุราซากิบาระขยับหลบไปข้างๆเล็กน้อย เผยให้เห็นคุโรโกะซึ่งอยู่ข้างหลังเจ้าตัว
“คุโรโกจจิ! ทำไมไปอยู่ตรงนั้นได้ล่ะ?!”
“เป็นมุราซากิบาระคุงต่างหากล่ะครับ ที่มานั่งอยู่ข้างหน้าผม”
“หืม? อ๊ะ อย่างนั้นเหรอ!?” มุราซากิบาระเอ่ยอย่างไม่มีท่าทีว่าจะขอโทษเลยสักนิด
“จริงด้วยแหะ ถ้าตั้งใจมองดีๆ ชั้นว่านายมองไหล่ของเท็ตสึออก” อาโอมิเนะเพ่งมองหน้าจอพลางมองหาร่องรอยของคุโรโกะในภาพ
“เท็ตสึคุง มาตรงนี้เลย! มาข้างหน้าเลยจ้า!” โมโมอิเรียกให้คุโรโกะมาอยู่ข้างหน้าระหว่างเธอกับคิเสะ โมโมอิทำราวกับว่าเธอไม่ถือสาอะไรที่จะให้เด็กหนุ่มมายืนข้างๆเธอ
“ดีล่ะ อยู่ข้างหน้าแล้วเห็นชัดขึ้น”ได้ยินคิเสะช่วยพูดส่งให้ โมโมอิก็นึกตะโกนในใจว่า”ทำได้ดีมาก!”
“อา...ใช่ละ ถือนี่ไว้สิ จะได้ดูเด่นขึ้นกว่าเดิม! ขอรางวัลที่ชั้นได้มาน่ะ” ว่าแล้วคิเสะก็เอากระปุกออมสินแมวกวักออกมาจากกระเป๋าของเขาเอง
เท็ตสึคุงถือแมวกวัก ทำได้ดีมาก คีจัง โมโมอิตะโกนในใจอีกรอบหนึ่ง
“โอเค เราจะถ่ายกันแล้ว~ ทุกคนพร้อมนะ?”
“เดี๋ยว!!” มิโดริมะหยุดเธอเอาไว้อีกครั้ง เขามองไปที่คุโรโกะด้วยสีหน้าจริงจังมากก่อนเอ่ย
“คุโรโกะ... สิ่งที่นายกำลังถืออยู่มันคืออะไรน่ะ!?”
“ทาโร่ คิตตี้?”
“ทาโร่คิตตี้!?”
“ชื่อที่ผมพึ่งตั้งให้เมื่อกี้ครับ มันเป็นแมวกวัก”
คุโรโกะยังถามต่ออีกว่า “อยากดูไหมครับ” ก่อนยื่นมือเพื่อส่งมันให้กับมิโดริมะ
มิโดริมะรับแมวกวักทาโร่คิตตี้มา แล้วมองมันตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ซึ่งในขณะที่แมวกวักแทบจะติดไฟจากดวงตาที่ลุกเป็นกองเพลิงนั่นเอง เจ้าตัวก็พูดขึ้น
“คุโรโกะ ยกเจ้านี่ให้ชั้นเถอะ!!”
“เอ๋? ได้สิครับ”
“อะไรนะ!” คิเสะกับโมโมอิถึงกับหลุดโดดผาง
“มิโดริน เกิดอะไรขึ้น? นายกำลังสะสมของรูปแมวอยู่เหรอ!?”
“อย่างแรกเลยนะ แมวนั่นมันของชั้น! สอง พวกลูกแมวไม่เหมาะกับนายเลยสักนิด มิโดริมัจจิ”
“อย่าพูดเรื่องเสียมารยาทออกมาง่ายๆแบบนี้สิ คิเสะ” มิโดริมะจ้องเขม็งมาที่คิเสะ
“ชั้นไม่ได้มีรสนิยมสะสมของรูปแมว แต่แมวตัวนี้เป็นกรณีพิเศษ”
“หรือจะเป็นเพราะมันเป็นlucky item สำหรับวันนี้ใช่ไหมครับ?” ได้ยินคำถามของคุโรโกะมิโดริมะก็พยักหน้าเพื่อตอบรับ”ใช่”
“ประกาศคำทำนายราศี วันนี้ตอนช่วงเช้าบอกไว้ว่า สำหรับราศีกรกฏ lucky item ของวันนี้คือ แมวกวัก ชั้นหาทั่วทั้งบ้านก็ไม่เจอแม้แต่ตัวเดียว วันนี้ชั้นเลยไม่ได้พก lucky item ติดตัวมา”
“จริงด้วย ทั้งวันมานี้ มิโดริมัจจิมือว่างตลอดเลย” คิเสะใช้มือขวาเท้าคางขณะนึกย้อน
“เท็ตสึคุงนี่สุดยอดไปเลยนะ รู้ด้วยว่าวันนี้มิโดรินไม่ได้พก lucky item มา” โมโมอิรู้สึกประทับใจมาก แต่คุโรโกะกลับตอบกลับอย่างเรียบง่ายว่า
“นั่นเป็นเพราะผมชอบสังเกตคนน่ะครับ”
เนื่องจากมันเป็น lucky item คิเสะจึงไม่มีทางเลือกใดนอกจากยกทาโร่คิตตี้ให้มิโดริมะ หลังจากได้ lucky item ของตัวเองมาแล้วก็ดีใจหน้าตาชื่นมื่นราวกับกระดี่ได้น้ำ
“ชั้นกะว่าจะต้องแวะร้านขายของเก่าระหว่างทางกลับบ้าน นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้มันมาในที่แบบนี้!!”
“ดีจังเลยนะ มิโดริน“
”เอาล่ะ เอาล่ะ มารีบถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึกกันเถอะ”คิเสะป้อนคำสั่งเครื่องอย่างอดใจรอไม่ไหว
หลังจากเสียงชัตเตอร์ดังขึ้น หน้าจอก็ปรากฏให้เห็นภาพตัวอย่างของรูป
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมิโดริมะเขินหรือเปล่า เจ้าตัวถึงได้หันข้างให้กล้อง แต่ในความคิดของโมโมอิแล้ว สิ่งที่แสดงออกบนใบหน้าของเขานั้นเป็นหนึ่งในสิ่งที่เรียกว่า”ความสุข”อย่างแน่นอน
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Freetalk: ขอโทษที่ช้าจ้าาา Omaew เองขอร้าบบบ ตอนนี้ยาวมาก และตอนหน้าจะยาวประมาณนี้เหมือนกัน ช่วงนี้คุณTori เปิดเทอมแล้วถ้าเลยว่างน้อยลง ดองโทษเลยคับ///หลบตีน ที่สำคัญคือ ตอนนี้มีindirect kiss คู่ฟ้าดัำขอรับ >w< #แม่ยกเปิดเผยตัว ถ้าคิดว่านี่คือที่สุดของโมเม้นที่ officialจะให้ท่านได้ท่านคิดผิดแล้ว หึหึหึ ไว้เจอกันคราวหน้าจ้าา เม้นให้กำลังใจกันหน่อยเน้อ คนแปลจะได้มีกำลังใจแปล
ความคิดเห็น