ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Harry Potter] Me and You. My Brother (FW/GW)

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1 Not see.

    • อัปเดตล่าสุด 1 ธ.ค. 57


    ป.ล.ฟิคเรื่องนี้จะมีหลายอย่างที่ไม่เป็นความจริงเพราะใครๆก็รู้จนอาจจะไม่ได้ติดใจแต่เราอยากจะแถลงนิดนึงมันมีตรงนึงที่เกี่ยวกับผมที่จะตกลงมาปิดตาของเฟร็ดซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันจะตกลงมาไม่ได้เพราะผมเฟร็ดสั้นกว่าที่จะตกลงมาปิดตาได้แต่เราอยากให้ทุกๆคนจินตนาการว่ามันเป็นอย่างงั้นขอความกรุณาด้วยนะ ( : Bloody)
    ป.ล.2ย้อนความแอบเยอะนะ(ในทุกๆตอน)
    ป.ล.ส่งท้าย ถ้าเปิดเพลง Trading Yesterday ของ Shattered ฟังบิลท์อารมณ์ไปด้วยคงจะดีมาก
     
    ------------------------------
     
     
    Chapter 1 Not See.

     
     

     
    "เฟร็ด! นายอยู่ไหนน่ะ!?"


     
    เสียงตะโกนเรียกชื่อยังคงดังต่อเนื่องหลังจากที่เขาพลัดหลงกับแฝดผู้พี่ของตน

     
    หลังจับมือกันได้ไม่นานพวกเขาต้องปล่อยมือกันเพราะดันมีฝ่ายศัตรูคนนึงร่ายเวทย์ผ่ากลางใส่ก่อนทั้งสองจะกระเด็นไปคนละทางพอจะวิ่งเข้าหากันก็ถูกโจมตีแล้วแยกกันไปคนละทางตอนนี้จึงออกตามหากันซึ่งจอร์จหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอจนเริ่มรู้สึกไม่ดีเขากับเฟร็ดไม่เคยแยกกันนานขนาดนี้ขนาดตอนที่เขาป่วยไปเข้าเรียนไม่ได้เฟร็ดก็ยังไม่ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวเลยตอนนี้เขารู้สึกแย่มาก รู้สึกแย่จริงๆ.....
    ยิ่งบวกกับความรู้สึกเมื่อกี้ที่แล่นเข้ามาด้วยแล้วละก็ เหมือนกับมีไฟฟ้ามาช็อตเปรี๊ยะในหัวแล้วความรู้สึกเย็นยะเยือกตั้งแต่หัวจรดลงเท้าก็เข้ามาต่อทันทีมันทำให้เขาหมดแรงได้ในพริบตาจนเกือบจะพิงกำแพงไว้ไม่ทันไม่งั้นคงได้ลงไปนอนวัดพื้นแน่จากที่ควรจะนอนคว่ำเลยกลายเป็นทรุดนั่งข้างกำแพงไปแทนแต่ก็ลุกขึ้นมาได้ แต่ในใจมันกลับว้าวุ่นไปหมดเพราะนอกจากความรู้สึกที่ว่าตอนแรกแล้วเขายังรู้สึกเจ็บปวดแปล๊บในอกรู้สึกเหมือนส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายถูกกระชากออกไปมันช่างทรมานในความรู้สึกของเขา เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไรรู้เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาอยากจะเจอเฟร็ดให้เร็วที่สุดเท่านั้น

     
    "เฟร็ด!"

     
    ตอนนี้พวกผู้เสพความตายเริ่มถอยกันไปตามคำสั่งของโวลเดอมอร์เมื่อกี้เขาก็ไม่แน่ใจหรอกว่าเป็นคำสั่งรึเปล่าพอจบคำพูดที่บอกให้แฮร์รี่ไปหาในป่าต้องห้ามพวกศัตรูก็เริ่มล่าถอยกันไปแต่เขายังไม่เจอแฝดของเขาเลยนี่สิ แย่ชะมัด

     
    "พี่...."

     
    เสียงเล็กๆที่เขาจำได้ว่าเป็นของน้องสาวคนเดียวในบ้านดังขึ้นอยู่ข้างหลังเขาหันไปมองทั้งๆที่หน้าเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาตามใบหน้าจากการวิ่งหาเฟร็ดก่อนจะส่งเสียงถามทันที

     
    "จินนี่...น้องเห็นเฟร็ดมั้ย? ตามหาตั้งนานแล้วไม่รู้หายไป....."เขาหยุดชะงักคำพูดหลังจากสังเกตุว่าใต้ตาของเธอมีรอยบวมแดงๆกับคราบน้ำตาติดอยู่ก่อนจะส่งเสียงถามใหม่"น้องเป็นอะไร...ร้องไห้ทำไม?"

     
    จินนี่ไม่ตอบเพียงแต่มีน้ำตาไหลลงมาอีกครั้งก่อนเธอจะเอามือปิดหน้าจอร์จขยับเข้าไปใกล้ยกแขนขึ้นกอดรอบตัวของเธอแล้วลูบหัวเบาๆมีเสียงอู้อี้ดังออกมาจากอกเสื้อของเขาที่เริ่มเปียกชื้นเขาส่งเสียงถามเพราะได้ยินไม่ชัด"น้องพูดว่าอะไรนะ?"

     
    "พี่เฟร็ด..."

     
    เขาดึงตัวน้องสาวออกก่อนจะจับไหล่ทั้งสองของเธอแล้วเอ่ยถาม"เฟร็ดเป็นอะไร?"

     
    จินนี่ทำท่าจะขยับปากพูดอะไรซักอย่างเพียงเท่านั้นเขาก็พูดขัดขึ้นมา

     
    "เฟร็ดอยู่ไหนจินนี่!?"

     
    จินนี่ร้องไห้สะอื้นก่อนจะชี้ไปข้างหลังจอร์จมองตามก่อนจะวิ่งไปทางนั้นไม่ได้สนใจว่าเธอจะเดินตามมารึเปล่าเพียงแต่เขาอยากจะเห็นว่าแฝดของตนนั้นปลอดภัยเท่านั้นถึงเมื่อกี้จินนี่จะยังไม่ทันได้ออกเสียงแต่เขาก็ยังอ่านปากของเธอออกและเขาขอให้ตัวเองนั้นเข้าใจผิด สิ่งที่เธอตองการจะสื่อกับสิ่งที่เขารับรู้ขออย่าให้มันเป็นความจริง

     
    เฟร็ด......

     
    เขาวิ่งมาตามทางซากปรักหักพังไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้นแม้จะมีกลิ่นเลือดคละคลุ้งอยู่รอบตัวแต่เขาก็ไม่ได้สนใจวิ่งไปทางจุดหมายที่เริ่มปรากฏแก่สายตา
     
     
    ขอให้ฉันเข้าใจผิดทีเถอะ....เฟร็ด
     
     
    "แฮ่ก..แฮ่ก...แฮ่ก....แฮ่ก"
    ตอนนี้เขามายืนหอบหายใจอยู่บริเวณหน้าประตูโถงใหญ่มีผู้คนนอนกันอยู่มากมายซึ่งเขาพอจะรับรู้ได้ว่าคนพวกนั้น ไม่หายใจ แล้ว เพียงเท่านั้นก็ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวก่อนจะมองหาร่างของคนที่เหมือนกับตัวเองภาวนาให้ยืนหรือนั่งก็ได้แต่อย่านอนเลย ขอร้องล่ะ

     
    แล้วก็เจอ....
    ลมหายใจสะดุดเมื่อเห็นว่าคนที่เขามองหานอนอยู่บนผ้าเปื้อนฝุ่นสีมอซอตามตัวเต็มไปด้วยรอยแผลกับร่องรอยของฝุ่นสีเทาที่เลอะตามตัวเปลือกตาปิดสนิทใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆเขาไม่รู้ว่าตอนนั้นตัวเองยืนอยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่หรือกระทั่งเดินเข้าไปใกล้ตอนไหนรู้ตัวอีกทีเขาก็เรียกชื่อแฝดของตน

     
    "เฟร็ด...."

     
    เสียงเรียกที่ถึงจะเบาแต่ก็ดังพอสำหรับในสถานการณ์แบบนี้ทำให้คนที่ยืนอยู่รอบๆหันมามอง ทั้งพ่อ แม่ เพอร์ซี่ บิล และจินนี่ที่เดินมาจากข้างหลังเหมือนคนไม่มีแรงเธอเดินเข้าไปยืนข้างๆแม่ที่นั่งลูบหัวของเฟร็ดตอนนี้น้องสาวของเขาหยุดร้องแล้วและทำเหมือนไม่เคยร้องมาก่อนคงเพราะไม่อยากให้ใครเป็นห่วง เขาเห็นแม่ร้องไห้ เพอร์ซี่ก็ร้องไห้ แม้แต่บิลที่ยืนกอดกับเฟลอร์อยู่ทั้งสองเองก็เหมือนกัน......
    จอร์จเดินเข้าไปหยุดที่ข้างๆคนที่นอนแน่นิ่งอยู่ก่อนจะย่อตัวลงนั่งประคองศีรษะของคนที่มีใบหน้าเหมือนตนขึ้นมาทั้งๆที่ผู้เป็นแม่ยังลูบหัวเขาอยู่แต่ก็ยอมผละมือให้จอร์จไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าแบบไหนแต่ความรู้สึกแรกที่รู้สึกได้คือ....ความเจ็บ มันแปล๊บเขามาในอกก่อนที่เขาจะถามผู้เป็นแม่เสียงแผ่ว

     
    "เฟร็ดเป็นอะไร แม่?"

     
    ไม่มีเสียงตอบรับ....
    มีแต่เสียงสะอื้นที่ถูกส่งมาให้จอร์จมองสำรวจใบหน้าซีดเซียวของฝาแฝดตนด้วยแววตาสับสนก่อนจะเงยหน้ามองคนรอบตัวที่พากันหลบตาเขา
    เขาเอ่ยถามอีกครั้ง
    "หรือว่าจะโดนคาถาอะไรที่ทำให้สลบไปกัน? แล้วแก้เลยได้มั้ยตอนนี้..."

     
    จู่ๆเสียงก็ขาดหาย.....เขายกมือข้างหนึ่งไปสัมผัสบริเวณแก้มตัวเองหลังจากรู้สึกถึงความอุ่นที่พาดผ่านเขามองมือข้างนั้นก่อนรู้สึกได้ว่าภาพตรงหน้ามันเริ่มไม่ชัดขุ่นมัวก่อนจะรู้สึกถึงน้ำสายเล็กๆที่เริ่มไหลออกมาจากดวงตามากขึ้นก่อนเขาจะขมวดคิ้วแน่นพยายามกลั้นสิ่งที่เรียกว่า'น้ำตา'รู้สึกถึงก้อนอะไรซักอย่างในลำคอเขาพยายามกลั้นไว้แล้วนะ
    แต่มันไม่ไหวจริงๆ.....

     
    ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้......

     
    ไม่ต้องมีใครบอกก็รู้จากผิวกายที่เย็นเฉียบ ไม่มีลมหายใจสะท้อนขึ้นลงที่อกอย่างที่ควรจะเป็น ไม่รู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่าชีวิตจากคนที่นอนนิ่งในอ้อมแขนเขาเลย

     
    เขารู้.....
    เฟร็ด 'ตาย' แล้ว.......

     
    ก่อนจะก้มตัวลงกอดคนที่นอนแน่นิ่งอยู่แน่นกลั้นเสียงร้องไห้ไว้ไม่อยู่น้ำตาไหลพรั่งพรูลงมาอย่างห้ามไม่ได้เขาเรียกชื่อของฝาแฝดด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเจ็บปวดรวดร้าวไว้ภายใน
     "เฟร็ด....."
     

     
    เขาไม่เคยนึกเลยว่าจะมีวันนี้ วันที่เขาจะต้องอยู่คนเดียว วันที่เขาจะไม่คอยมีคนรับส่งมุขอยู่ข้างๆอย่างทุกที วันที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับเขาคือวันนี้ วันที่เฟร็ดจากไป.....

     
    อาเธอร์ วีสลีย์มองลูกชายของตนด้วยแววตาเจ็บปวดก่อนจะวางมือไว้บนไหล่ของจอร์จที่ร้องไห้โฮขนาดคนเป็นพ่อหรือแม่ที่น่าจะเจ็บปวดที่สุดกับการสูญเสียลูกชายไปยังยอมรับเลยว่าคนที่เจ็บปวดที่สุดจริงๆไม่เชิงว่าเป็นพวกเขาหรอก
    แต่คือ 'จอร์จ วีสลีย์' ต่างหาก....
     ก่อนที่ลูกชายฝาแฝดที่เหลือเพียงคนเดียวจะวางเฟร็ดลงแล้วลุกขึ้นหันมากอดพ่อของตนเสียงสะอื้นไห้ที่เขาไม่คิดจะเก็บไว้แล้วยังคงดังอยู่ก่อนที่ลูกชายคนสุดท้องจะเดินเข้ามาพวกเขามองไปทาง โรนัล วีสลีย์ ที่ตอนนี้แสดงอาการไม่เข้าใจก่อนจอร์จจะเดินไปกอดรอนที่ยังงงๆอยู่แน่นพร้อมเสียงสะอื้นฮักแต่คนโดนกอดก็เข้าใจได้ในอีกไม่กี่วินาทีต่อมาเขาเหลือบไปเห็นร่างพี่ชายอีกคนนอนนิ่งตาปิดสนิทอยู่บนพื้นเพียงเท่านั้นไม่ต้องมีคนบอกเขาก็รับรู้ได้ด้วยตนเองรอนผละจากจากจอร์จนั่งลงมองพี่ชายก่อนจะก้มลงมือทั้งสองข้างประคองใบหน้าเปื้อนเลือดและฝุ่นของเฟร็ดก่อนเลื่อนลงมากำคอเสื้อของเขาค่อยๆร้องไห้ออกมาเหมือนคนอื่นๆน้ำตาพรั่งพรูออกมาปล่อยเสียงโฮอย่างไม่คิดจะเก็บไว้เสียงสะอื้นของเขาช่างทำให้หลายๆคนที่ได้ยินรู้สึกถึงความเจ็บปวดได้ภายใน เพอร์ซี่เดินมาจับไหล่ซ้ายของจอร์จที่ก้มหน้าร้องไห้พร้อมเสียงสะอื้นที่ยังดังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดในเวลานี้เขาพลันร้องตามน้องชายไปด้วยอีกครั้ง.....

     
    ------------------------------

     
    หลังจบสงครามกับจ้าวแห่งศาสตร์มืดและผู้เสพความตายโดยชัยชนะเป็นของพวกเขาทุกคนก็พากันเข้ามาด้านในทำแผลกันเองไปพลางๆรอคนจากเซนส์มังโกมาช่วยคนที่บาดเจ็บอีกทีพวกเขาต่างยินดีกับชัยชนะแต่ก็มีบางส่วนเหมือนกันที่แม้จะรู้สึกยินดีแต่ก็ยังเสียใจในเวลาเดียวกันจากการที่ต้องเสียคนที่รักหรือคนสำคัญไปและหนึ่งในนั้นมีเขาอยู่ด้วย จอร์จ วีสลีย์ ยังไม่อาจทำใจเรื่องเฟร็ดได้ในเวลาอันสั้นนี้

     
    เขานั่งอยู่ข้างๆร่างไร้วิญญาณของคนที่หน้าเหมือนกันอย่างกับส่องกระจกมือพลางยกขึ้นไปลูบผมของอีกคนก่อนจะค่อยๆเสยขึ้นไปด้านบนเพราะมันตกลงมาแทบจะปรกตาที่ปิดสนิทอยู่แล้วเฟร็ดดี้เองก็คงจะไม่ค่อยชอบซักเท่าไหร่เขาไม่ได้ร้องไห้แล้วในตอนนี้เพราะไม่อยากจะให้ใครเป็นห่วงแต่มันก็ยังเอ่อคลอที่ตาทุกทีแต่เขาก็เงยหน้าขึ้นพลางสูดหายใจเข้าลึกแล้วมองหน้าเฟร็ดอีกครั้งแล้วก็ทำแบบเดิมอีก

     
    แม้จะมีแผลเต็มตัวแต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บเท่ากับความรู้สึกในใจตอนนี้และภาพที่เขากำลังนั่งลูบผมของฝาแฝดพร้อมกับกลั้นน้ำตาไปด้วยอยู่ในสายตาของใครหลายคนทั้งพี่น้องคนในครอบครัวและเพื่อนพ้องพวกเขามองไปทางจอร์จด้วยสายตาเป็นห่วงแต่ก็ไม่ได้เข้าไปหาอีกฝ่ายเพื่อปลอบใจเพราะรู้ว่าเวลาแบบนี้ควรปล่อยให้เขาอยู่กับพี่ชายฝาแฝดของตนเพียงลำพัง

     
    "ฉันสงสารเขาจัง"เสียงของแองเจลิน่า จอร์นสัน พูดกับชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ

     
    "ฉันก็เหมือนกัน"ลี จอร์ดันพูดตอบเธอสายตายังไม่ละจากภาพของเพื่อนสนิท

     
     
    พวกเขาเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจการสูญเสียแต่สำหรับคนที่อยู่มาด้วยกันตลอดเกือบ 20 ปี อย่างคู่แฝด เฟร็ดและจอร์จ วีสลีย์พวกเขาก็จินตนาการความรู้สึกของจอร์จไม่ถูกว่าความเจ็บปวดนั้นจะเป็นยังไง ขนาดคนที่ไม่ใช่ครอบครัวจริงๆยังร้องไห้ได้แล้วประสาอะไรกับคนที่อยู่ด้วยกันมาทั้งชีวิต เท่าที่พวกเขาจำได้ตั้งแต่เจอสองคนนี้ตอนปี 1 ก็เห็นพวกเขาอยู่ด้วยกันมาโดยตลอด ไม่ว่าจะไปไหนทำอะไร ขนาดถูกหักคะแนนบ้านก็ยังถูกหักด้วยกัน กินข้าวก็นั่งข้างๆกัน ไปห้องน้ำยังไปด้วยกัน ไม่เว้นแม้แต่เกมควิชดิชที่ทั้งสองได้เล่นตำแหน่งบีตเตอร์ด้วยกัน ทั้งสองแทบไม่เคยแยกจากกันเลยด้วยซ้ำในเวลาปกติ พวกเขาจินตนาการไม่ออกเลยจริงๆว่าจอร์จจะรู้สึกอย่างไรในตอนนี้ มันคงจะเจ็บปวดรวดร้าวอย่างถึงที่สุดเป็นแน่.....


     
    แฮร์รี่ รอน และเฮอร์ไมโอนี่เพิ่งพากันเดินมาที่ห้องโถงใหญ่พวกเขาทั้งสามคนเดินจับมือกันโดยมีเฮอร์ไมโอนี่อยู่ตรงกลางทั้งสามส่งยิ้มให้กันก่อนจะหยุดเดินเมื่อรอนหยุดทั้งสองมองไปทางรอนที่สายตาจับจ้องไปทางๆหนึ่งแฮร์รี่กับเฮอร์ไมโอนี่มองตามสายตารอนไปในโถงใหญ่ที่ตอนนี้มีร่างของพี่ชายของเขาอยู่คนหนึ่งนั่งหันหลังให้พวกเขากับคนหนึ่งนอนหลับตาปิดสนิทไม่รับรู้สิ่งใดแววตาของรอนสั่นไหวด้วยความเจ็บปวดก่อนเขาจะรับรู้ได้ถึงแรงบีบที่มือของเด็กสาวข้างกายรอนหันไปมองเฮอร์ไมโอนี่ที่ส่งสายตามีความหมายบางอย่างมาให้ก่อนเธอจะปล่อยมือรอน เขาเองก็รับรู้ถึงสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อจึงมองหน้าของเธอกับแฮร์รี่อีกครั้งก่อนจะกลั้นใจอย่างแน่วแน่เดินเข้าไปหาพี่ชายของตน


     
    รอนมาหยุดอยู่ข้างหลังของอีกฝ่ายก่อนจะย่อตัวลงนั่งคุกเข่าใกล้ๆโอบไหล่ของเขาเข้าหาตัวริมฝีปากเม้มแน่นหลุบตาลงต่ำก่อนพยายามปลอบอีกฝ่ายด้วยการกอด จอร์จตัวสั่นเล็กน้อยก่อนสะอื้นเสียงเบาแล้วเอนตัวไปหาน้องชายมือข้างซ้ายยกกอดรอบลำคอของรอนซุกหนัาตัวเองลงกับลาดไหล่ของเขา รอนเองก็ทำหน้าที่ด้วยการบีบไหล่เขาแล้วลูบเบาๆได้ยินเสียงจอร์จพูดอะไรอู้อี้ที่เขาได้ยินไม่ชัดอยู่แต่ก็ไม่ได้คิดจะถามอะไรจนเจ้าตัวผละออกเองแล้วใช้มือลูบหน้าเช็ดน้ำตาแบบผ่านๆเสร็จแล้วจึงหันมายิ้มให้รอนแบบที่เคยทำประจำแม้เขาจะมองออกว่ามันคือการฝืนก็เถอะ


     
    "ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ ขอบใจนายมากนะ"


     
    รอนมองหน้าพี่ชายของตนนิ่งก่อนจะยิ้มบางๆให้แล้วพยักหน้าให้ตบไหล่เขาไปสองสามทีก่อนเขาจะลุกขึ้นหันหลังเดินมาทางแฮร์รี่กับเฮอร์ไมโอนี่แล้วถอนหายใจใส่ทั้งสองพยักเพยิดหน้าไปทางพี่ชายตน
     
    จอร์จยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิมก่อนที่รอนจะเข้าไปแต่เขาไม่ได้มีท่าทีกลั้นน้ำตาอีกแล้วกลับปล่อยให้มันไหลออกมาเลยทั้งที่มือก็พยายามเช็ดอย่างเอาเป็นเอาตายเขาพยายามกลั้นเสียงตัวเองเอาไว้ก่อนจะลุกขึ้นยืนเงยหน้าขึ้นมองเพดานสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเดินหันหลังให้ร่างไร้วิญญาณของคนที่หน้าเหมือนตนก่อนจะเดินก้มหน้าผ่านทั้งสามที่มองตามอย่างเป็นห่วงไป


     
    "หวังว่าเขาจะทำใจได้ในเร็ววันนะ"แฮร์รี่พูดน้ำเสียงเจือความเศร้าไว้ภายในนึกโทษตัวเองว่าถ้าไม่ใช่เพราะเขาเฟร็ดคงไม่ต้องตายจอร์จเองก็คงไม่ต้องมาเป็นแบบนี้แม้แต่รอนเองก็คงจะไม่ได้เศร้าไปด้วยเหมือนกัน

     
    "อย่าโทษตัวเองเลยแฮร์รี่ มันไม่ใช่ความผิดของเธอ"เฮอร์ไมโอนี่พูดอย่างรู้ทันความคิดของเพื่อนสนิทพลางกำมือเขาแน่น

     
    "จริงอย่างที่เฮอร์ไมโอนี่พูดนะ พวกเขาเลือกทางเดินของตัวเองแล้ว"รอนเองก็เสริมด้วยอีกคนแม้ว่าตัวเองจะยังเศร้าใจและทำใจไม่ได้กับเรื่องที่พี่ชายต้องตายอยู่ และคิดว่าขนาดเขาที่ยังทำใจไม่ได้สำหรับจอร์จเองก็คงจะไม่ง่ายเหมือนกัน.....
    แฮร์รี่ไม่ได้ตอบอะไรเขาเพียงแค่พยักหน้าก้มลงเล็กน้อยเท่านั้น... 



     
    ------------------------------



     
    ผ่านมา 3 วันหลังการต่อสู้สิ้นสุดลงและแน่นอนว่าจะต้องมีการทำอะไรบางอย่างที่ขาดไม่ได้หลังสงครามนั่นก็คือพิธีฝังศพของเหล่าผู้เสียชีวิตอากาศในวันนั้นไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่แต่พวกเขากลับคิดว่ามันก็เหมาะดีสำหรับวันที่น่าเศร้าเช่นนี้ ศพของรีมัส ลูปินถูกฝังคู่กับท็องค์ภรรยาของเขาแต่ถึงอย่างงั้นก็ยังใกล้กับที่ฝังศพซีเรียส แบล็กเหมือนกันเหตุผลนั้นคนนอกคงจะคิดว่าเพราะทั้งสองเป็นเพื่อนรักกันแต่ก็ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง.......ซึ่งมีไม่กี่คนที่รู้เหตุผลข้อนั้นว่าคืออะไรและทำไม


     
    แต่บริเวณที่น่าเศร้าที่สุดคงหนีไม่พ้นเหล่าคนในตระกูลวีสลีย์ที่ต้องสูญเสียครอบครัวไปถึง 1 คนซึ่งเป็นลูกชายคนที่ 4 นับจากทั้งหมดและบรรยากาศมันก็ยิ่งหดหู่มากกว่าเดิมเมื่อคนคนนั้นคือ 'เฟร็ด วีสลีย์' ฝาแฝดตัวป่วนประจำฮอกวอตส์ที่คอยสร้างสีสันและเสียงหัวเราะให้กับทุกๆคนทั้งในบ้านและต่างบ้านเขาถือเป็นคนที่มีคนชื่นชอบไม่น้อยเลยทีเดียวเมื่อรวมกับคู่แฝดของเขาอีกคน 'จอร์จ วีสลีย์' ที่ปัจจุบันยืนถือร่มสีดำในชุดสูทสีเดียวกันที่ไม่เรียบร้อยนักแต่ก็ไม่ได้ผิดระเบียบจนเกินไปเขายืนอยู่หน้าหลุมศพที่เพิ่งจะถูกฝังกลบดินไปเมื่อครู่ใบหน้าแสดงความอ่อนเพลียและทรุดโทรมอย่างชัดเจน ใต้ตาบวมแดงนัยน์ตาไร้ชีวิตชีวาเหมือนคนที่ไม่มีความสุขเลยในชีวิตนี้ ริมฝีปากเป็นเส้นตรงเรียบเฉย ใบหน้าขาวซีดไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมาไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เขาคิดอะไรอยู่ก่อนฝนจะเริ่มโปรยปรายหนักมากขึ้นคนอื่นๆพากันเดินกลับพร้อมกับร่มในมือเว้นแต่เพียงแค่จอร์จเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหนแม้จะมีคนเรียกแต่เหมือนเขาจะไม่ได้ยินหรือจริงๆแล้วไม่คิดจะสนใจเลยต่างหากโรนัล วีสลีย์น้องชายคนเล็กสุดทำท่าจะเดินเข้าไปสะกิดแต่เฮอร์ไมโอนี่รั้งแขนเขาให้ต้องหันมามองไว้ก่อนจึงสบกับดวงตาสองคู่ของคนรักและน้องสาวของตนที่สื่อความหมายบางอย่างเขาจึงยอมปล่อยให้พี่ชายยังยืนอยู่ที่เดิมส่วนพวกเขาก็พากันเดินออกไปก่อน


     
    จอร์จยังคงยืนมองหลุมศพของคู่แฝดด้วยนัยน์ตาว่างเปล่าก่อนมันจะสั่นวูบเขาขมวดคิ้วเพราะความรู้สึกเจ็บแปล๊บในอกมือขวาที่ว่างอยู่ยกขึ้นมาสัมผัสบริเวณแผ่นอกด้านซ้ายของตนแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆกำมือขยุ้มเสื้อบริเวณนั้นแน่นจนมันยับยู่ยี่ เริ่มรู้สึกว่าบริเวณดวงตานั้นเริ่มร้อนผ่าวแต่เขาก็ไม่ได้ร้องออกมาเพียงแค่ฝืนยกยิ้มขึ้นเหลือบตาไปมองป้ายหลุมศพของคู่แฝดของตนที่นอนสงบอยู่ใต้ดินแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

    "เหมือนอย่างที่นายบอกตอนนั้นเลยฉันนี่น่าสมเพชจริงๆเลยนะว่ามั้ยเฟรดดี้?......นายคงไม่ชอบแน่ถ้าเห็นฉันร้องบ่อยขนาดนี้"เขาว่าพลางใช้หลังมือปาดน้ำตาที่ปริ่มออกมาเล็กน้อยก่อนสูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยต่อ "แต่ถึงอย่างงั้นฉันก็จะขอบอกนายไว้ก่อนว่านี่คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายหรอก เพราะฉันไม่รู้สึกเลยซักนิดว่าจะทำใจให้ตัวเองอยู่คนเดียวได้....และเรื่องที่ไม่มีนายอยู่ข้างๆก็ด้วย แต่ถึงอย่างงั้น ฉันก็อยากจะบอกว่า ฉันรักนายเสมอ พูดแบบนี้มันกระดากปากเหมือนกันนะเนี่ย....แต่นายนี่ใจร้ายเหมือนกันนะ ไหนตอนนั้นบอกว่าจบศึกแล้วจะบอกอะไรฉัน ไหนบอกว่าพวกเราจะรอดไปด้วยกัน....นายมันโกหก...."


     
    เขาพูดก่อนจะหยุดสูดลมหายใจเข้าลึกแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีครึ้มที่มีสายฝนโปรยปรายลงมานึกไปถึงเรื่องเมื่อสามวันก่อนหลังจบศึกก่อนจะก้มหน้ามองป้ายหลุมศพที่มีชื่อของแฝดเขาสลักอยู่อีกครั้งแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเจือความเศร้าอีกครั้ง

     
    "โอเค ฉันเห็นมันแล้ว ที่นายอยากจะบอกฉัน....แต่ถึงอย่างงั้น....นายก็ควรจะบอกฉันกับปากของนายเอง"มาถึงตรงนี้เสียงเขาก็สั่นอย่างห้ามไม่อยู่แต่ก็ไม่มีน้ำตาไหลออกมา
    'สิ่งที่เฟร็ดอยากจะบอก'นั้นมันสลักอยู่บนแขนของเจ้าตัวเหมือนรอยกรีดลึกจอร์จจำได้อย่างดีว่ามันเป็นรอยแบบเดียวกันที่จะเกิดจากปากกาของยัยคางคกอัมบริดจ์ซึ่งเขากับเฟร็ดถึงกับลงทุนไปแอบขโมยมันมาจากห้องของยัยแก่นั่นเพราะเห็นว่ามันน่าสนใจดีอาจใช้ประโยชน์อะไรได้ซึ่งก็จริง
     
    เขาเดาว่าระหว่างที่เฟร็ดกำลังจะถูกฆ่าคงหาช่องว่างจากศัตรูแอบเขียนในกระดาษที่เก็บกับตัวไว้ตลอดเวลาให้มันปรากฏขึ้นที่แขนแม้เจ้าตัวรู้ดีว่าจะต้องเจ็บแน่แล้วร่ายคาถาไว้มันถึงยังอยู่จนเขาสังเกตุเห็นได้ในที่สุด ตอนนั้นที่รอนเข้ามาปลอบเขาแล้วเขาบอกว่าไม่เป็นไรแล้วรอนจึงลุกออกไปจังหวะที่เขาหันกลับมาทางแฝดของตนเขาก็สังเกตุเห็นตัวอักษรที่แขนเฟร็ดก่อนจะค่อยๆเคลื่อนมือที่ไร้เรี่ยวแรงของตัวเองดึงแขนเสื้ออีกฝ่ายขึ้นเพื่อจะได้มองให้ชัดว่าเขาไม่ได้ตาฝาดแล้วน้ำตามันก็พรั่งพรูออกมาก่อนเขาจะได้คิดอะไรต่อเมื่อตั้งสติได้จึงยกมือขึ้นปาดหน้าลวกๆแล้วลุกออกไปจากห้องโถงนั้นก็เพื่อไปตามหากระดาษที่บอกไว้ข้างต้นซึ่งเขาลงทุนเดินหาด้วยตัวเองทั้งๆที่ใช้คาถาเรียกของอย่างแอ็กซิโอได้

     
    เขาอยากจะรู้ด้วยตัวเองจริงๆว่าสิ่งที่ปรากฏขึ้นบนแขนของเฟร็ดนั้นมันคือความจริงรึเปล่า....

     
    แล้วเขาก็เจอหลังจากเดินวนไปมารอบปราสาทอยู่นานเขาเจอปากกาก่อนตามด้วยกระดาษสีฝุ่นที่เขาเกือบจะมองไม่เห็นเพราะเศษหินเศษตึกตกลงมากลบซะเกือบมิดนึกชื่นชมตัวเองที่ยังอุตส่าห์เห็นได้แม้จะแค่มุมกระดาษที่โผล่มาเล็กน้อยเขาเดินเข้าไปใกล้แล้วยกพวกเศษซากต่างๆออกเพื่อกระดาษใบเดียวก่อนจะหยิบมันขึ้นมาปัดฝุ่นออกให้พอเห็นตัวอักษรข้างใน
    สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาทำให้เขายืนตัวแข็งทื่อชาวาบไปทั้งตัวสมองประมวลความคิดแทบไม่ทันก่อนน้ำตาจะไหลลงมาอีกครั้งทั้งๆที่ใบหน้าไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรนอกจากดวงตาที่เบิกขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
     
    อา....
    เขาจำได้ดีลายมือแบบนี้....
    ลายมือหวัดๆหาความเรียบร้อยไม่ได้พันกันยุ่งเหยิงและแทบอ่านไม่ออกต่างจากลายมือของเขาอย่างสิ้นเชิง......
    ตัวหนังสือเป็นสีเลือดหมูแบบที่เกิดจากปากกาของยัยคางคกแก่อัมบริดจ์.....

     
    ใจความของมันที่ตรงกับอักษรที่เกิดบนแขนของคู่แฝดทำให้ขาของเขาถึงกับหมดแรงทรุดลงไปนั่งคุกเข่าทั้งที่ตัวยังแข็งเป็นท่อนไม้
     
    ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสก่อนจะงอตัวกอดกระดาษแผ่นนั้นไว้แน่นปล่อยโฮออกมาไม่คิดจะกลั้นหรือเก็บความรู้สึกอีกต่อไป เพราะตอนนี้ไม่มีใครอยู่ที่นั่นนอกจากตัวเขาเองและกระดาษแผ่นบางที่กอดไว้แน่นจนมันยับเละเปื้อนไปด้วยน้ำตา

     
    ใจความของมันคือ.....
     
     
    'ฉันรักนายนะจอร์จ'........
     
    นึกถึงตรงนี้แล้วก็อยากจะหัวเราะกับตัวเองดังๆอีกซักครั้งนี่เขาเปราะบางขนาดนี้เลยเหรอ?
    ร้องไห้ง่ายเกินไปแล้ว แต่เขาก็แอบคิดไปด้วยว่าคนในครอบครัวมีคนอื่นตั้งเยอะแยะดันมาบอกรักเขาแค่คนเดียวเนี่ยนะ....

     
    เฟร็ดเคยพูดบ่อยๆ...

     
    ว่าสิ่งที่เขากับเฟร็ดแตกต่างกันน่ะคืออะไร....

     
    เพราะว่าเฟร็ดอยู่กับเขาตลอดเวลาถึงได้รู้
    'ถึงพวกเราจะเหมือนกันแต่พวกเราก็แตกต่างกันตรงที่นายน่ะเปราะบางกว่าฉันไง'
    เฟร็ดพูดพร้อมส่งรอยยิ้มขี้เล่นมาให้เขาที่นั่งงงอยู่กับกล่องทำแผลตรงหน้า

     
    '????'จอร์จไม่ได้ถามอะไรแต่ความสงสัยก็ยังปรากฏขึ้นบนใบหน้า

     
    'เคยมีคนบอกเอาไว้ว่าพวกเราเหมือนกันมากจนแทบแยกไม่ออกใช่มั้ยล่ะ ใช่แล้วถึงภายนอกพวกเราจะเหมือนกันแต่ภายในก็ไม่ได้เหมือนกันซะทั้งหมด'
    เฟร็ดยังคงถามเองตอบเองพล่ามไม่หยุดจอร์จไม่ได้พูดตอบอย่างที่ควรจะเป็นนั่งเอาแอลกอฮอลล์เช็ดรอบแผลตรงหัวเข่าตัวเองที่ได้มาจากการต่อยตี(ที่ไม่จริงจัง)กับคนตรงหน้าเพราะพลาดเรื่องยาเพิ่มอายุตอนเอาชื่อใส่ลงไปในถ้วยอัคนีเมื่อไม่กี่นาทีก่อนแต่ก็ต้องหยุดกึกเพราะมีฝ่ามือที่น่าจะเท่าๆกับเขามาจับมือข้างที่กำลังเช็ดแผลอยู่จอร์จเงยหน้าสบตาสีเดียวกันของคู่แฝดอย่างแปลกใจ

     
    'จอร์จนี่ฉันพูดจริงนะนายนะเปราะบางกว่าฉัน'แววตาที่แสดงความจริงจังแต่ก็ไม่จริงจังนักในเวลาเดียวกันนั่นอดจะทำให้คนมองหงุดหงิดใจไม่ได้

     
    เขาไม่ได้เปราะบางขนาดที่จะต้องมานั่งปั้นหน้าจริงจังใส่ขนาดนั้นซักหน่อย

     
    'ตรงไหนกัน?'จอร์จถามพลางเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง แล้วที่สำคัญไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้หรอกนะว่าคนตรงหน้าพยายามเลี่ยงคำว่า 'อ่อนแอ' อยู่

     
    'อืม.....ทางใจมั้ง?'เฟร็ดว่าพลางละมือกลับมาลูบคางตัวเองตาเหลือบมองเพดานทำสีหน้าครุ่นคิด

     
    'ขนาดนายยังไม่รู้เลยว่าฉันเปราะบางกว่าตรงไหนก็อย่าเพิ่งมาสรุปเลยดีกว่านะเฟร็ด'จอร์จกรอกตาก่อนตอบกลับใบหน้าแสดงความไม่ชอบใจเล็กๆก่อนจะเช็ดแผลต่อไม่สนใจคนตรงหน้าอีก
    จริงๆแผลแบบนี้จะใช้คาถาเสกให้หายไปเลยก็ได้แต่เขาก็ไม่ทำไม่รู้สินะบางทีเขาก็นึกไม่ค่อยชอบเวทย์มนเท่าไหร่ตรงที่มันไม่ให้เหลือร่องรอยอะไรไว้เลยนี่แหละมันน่าเบื่อมากที่ยังไม่ทันได้ทำอะไรมันก็หายไป สงสัยคงติดนิสัยชอบอะไรบางอย่างของพวกมักเกิ้ลมาจากพ่อแล้วล่ะมั้ง?
     

     
    ในจังหวะที่กำลังจะใช้น้ำยาทาแผลสีแดงคล้ำๆเข้มแบบพวกมักเกิ้ลเฟร็ดก็คว้าสำลีจากมือของเขาไป
    'ทำอะไรน่ะเฟร็ด?'จอร์จส่งเสียงถามไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นเฟร็ดก็วางสำลีลงบนปากแผลของเขาแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆไล่เช็ดแผลภายในอย่างเบามือจนแทบไม่รู้สึกจอร์จมองเสี้ยวหน้าของฝาแฝดตนที่ตอนนี้ประดับไว้ด้วยรอยยิ้มขี้เล่นผสมกับท่าทีอ่อนโยนแปลกๆนั่

     
    'ต่อไปนี้ถ้านายมีแผลก็บอกฉันนะฉันจะทำให้เอง'เขาพูดอมยิ้มเล็กๆไว้มุมปากด้วยท่าทีมีเลศนัย

     
    จอร์จตอบตกลงในใจแล้วล่ะแต่ก็ยังอุตส่าถามออกไปเพื่อความแน่ใจ
    'กับคนที่ลายมือยอดแย่ขนาดนายน่ะเหรอ แผลของฉันนอกจากจะไม่หายแล้วยังเป็นหนักกว่าเดิมซะด้วยซ้ำมั้ง?'

     
    'โธ่ ยกเรื่องลายมือมาทำไมกัน แล้วก็นะถ้าอยากรู้ว่าจะหนักกว่าเดิมหรือหายก็ต้องลองดูก่อน'เขาว่าอย่างเหนื่อยใจแต่เปลี่ยนมาเป็นยิ้มกวนๆแทน
    ถ้าอะไรอีกซักอย่างจะทำให้คู่แฝดวีสลีย์ต่างกันคงจะเป็นเรื่องลายมือนี่แหละ.....

     
     
    "ฮะๆ"จอร์จเผลอหัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงตรงนี้ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกครั้งคราวนี้ในแววตาของเขานั้นส่องประกายสดใสขึ้นมากกว่าเดิมพร้อมกับรอยยิ้มกว้างอันเป็นเอกลักษณ์สลัดเค้าความเศร้าออกไปมันคงจะจริงว่าถ้าเฟร็ดเห็นเขาก็คงจะไม่ชอบใจเท่าไหร่ถ้าคนที่มีอารมณ์เฮฮากวนประสาทอย่างคู่แฝดมาทำท่าทางเศร้าๆแบบนี้แล้วเขาเองก็เบื่อแล้วที่จะต้องมาทำท่าเหมือนซอมบี้เดินไปมา คิดกับตัวเองว่าเขาเป็นถึงลูกชายคนที่ 5 ของบ้านแทนที่จะมานั่งเศร้าเอาเวลาไปทำกิจการในร้านของเขาเองเหมือนเดิมดีกว่าเกิดยอดตกขึ้นมาเพราะเจ้าของร้านเอาเวลาอันมีค่ามานั่งร้องไห้เฟร็ดคงจะไม่พอใจเท่าไหร่แน่
    แต่ในประกายความสดใสนั้นก็แสดงความขมขื่นออกมาก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มบางๆตามเดิมมองป้ายหลุมศพแล้วพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงแฝงความเจ็บปวด


     
    "ฉันทำใจเรื่องของนายไม่ได้ เฟร็ดดี้....."


     
    ยืนอยู่อีกไม่กี่วินาทีก็หันหลังกลับเดินห่างหลุมศพออกไปไม่ได้รู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมาตั้งแต่ในตอนแรก.....

     
    'จอร์จ...'

     
    เจ้าของชื่อหันขวับกลับมาข้างหลังรู้สึกเหมือนได้ยินใครเรียกชื่อเป็นเสียงที่เขาจำได้ดีว่าเป็นของใครแต่ก็ไม่คิดว่าจะจริง และเมื่อหันหลังไปก็ไม่เจอใคร.....ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นนอกจากหลุมศพที่สลักชื่อ 'เฟร็ด วีสลีย์' เขามองมันด้วยแววตาเลื่อนลอยแปลกๆก่อนจะหันกลับที่เดิมก้มมองพื้นแล้วพึมพำเสียงเบากับตัวเอง
     
    "คิดไปเองงั้นเหรอ...."
     
    ก่อนจะก้าวเดินไปอีกครั้งออกไปนอกระยะบริเวณของสุสานแห่งนั้น......
     
     
     
     
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    "ชีวิตช่างน่าสงสารเสียจริง คงไม่ดีนักถ้าเสียงหัวเราะของเขาจะหายไป"

     
    "เรื่องแบบนี้มันเปลี่ยนแปลงกันได้เสียที่ไหนล่ะ คงต้องทำใจ"

     
    "ไม่มีวิธีช่วยเลยจริงๆหรือ?"

     
    "ข้าเองก็ชอบพวกเขานะถึงจะแสบ ซ่า น่าเตะไปหน่อยแต่ข้าก็ยังชอบพวกเขามากๆอยู่ดี มันน่าจะมีวิธีอยู่"

     
    "ถ้างั้นคงต้องเริ่มขั้นแรกเสียกระมัง?"

     
    "อย่างไรกันล่ะ?"
     
     
    "เอาเป็นให้เด็กคนนั้นเห็นตัวเจ้านั้นก่อนท่าจะดี ไม่งั้นคงกลายเป็นหมาหงอยคอตกไปอีกนาน"

     
    "เป็นความคิดที่ไม่เลว ลงมือเลยเถอะ"
     
     
     
     
     
    .
    .
    .
    .
    .
     
    "ส่งฮอลคูลไป!!!"
     
     
    ผั๊ววว!!
     
     
    "เลิกเล่นเจ้างั่ง"

     

     
    ------------------------------
     
    Body :: บทที่ 1 เอาสั้นๆไปก่อนเนอะคิดบ่ออกล่ะ-_-^
    ไว้จะมาต่อบทที่ 2 จ้า~
    Bloody :: คิดได้ไงฟ่ะมุขฮอลคูล
    Body :: มันโผล่ขึ้นมาในหัวแน่ะบลัดดี้ที่รัก อ่ะ!! อย่าพยายามเปลี่ยนบทตอนหลังเราตกลงกันแล้วว่ามันจะต้องมี
    Bloody :: ก็แล้วแต่
     
    Akiya :: หมดเรื่องหมดราวกันซักทีนะ ทีหลังอย่ามาฝากตูอีกล่ะ

    Body :: โอเค ขอบคุณคร้าบบบบ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×