ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฟาร์มรัก [Thisis LOVE]

    ลำดับตอนที่ #4 : chapter 4

    • อัปเดตล่าสุด 3 มี.ค. 57


    บทที่ 4

     

    “เชี่ยข้าว เมื่อไหร่มึงจะเก็บห้องตัวเองมั่งวะ สัสหมาเอ๊ย” ผมกำลังชี้หน้าด่าไอ้เขียวอยู่ครับ มันคือตุ๊กตากบเคโรโระสุดโปรดของไอ้ข้าวมัน มึงช่างตั้งชื่อได้ทุเรศมาก มันได้มาตอนปีหนึ่งครับ ถามก็ไม่ยอมบอกว่าใครเป็นคนให้มันมา เห็นแล้วหมั่นไส้เว๊ย จับฟาดสักทีเหอะ เอาให้ใส่หลุดเลยทีไหมวะ หึ่ย มันไม่รู้หรอก

     

    อย่าสงสัยกันนะครับ เพราะตอนนี้ท่านมิลล์สุดหล่อกำลังฟึดฟัดเต็มที่กับการทำความสะอาดบ้าน ซึ่งถือว่าหลังไม่ใหญ่มากนะ แค่บ้านสองชั้นสี่ห้องนอน และข้างล่างเป็นห้องรับแขก ซึ่งเป็นบ้านที่พ่อไอ้ข้าวท่านซื้อไว้ให้ บอกมาว่าจะทำอะไรก็สะดวกดีกว่าอยู่หอ และพ่อแม่ของเราก็มาเยี่ยมได้สะดวกอีกด้วย (ผมว่าประเด็นหลังมากกว่านะ)

     

    ถึงบ้านจะมีห้องนอนเยอะนะ แต่ว่าบ้านทั้งหลังนี้มีเพียงนิสิตหนุ่มหล่ออย่างท่านมิลล์กับไอ้ขี้เหล่นามว่าต้นข้าวอยู่กันเพียงสองคน และขอบอกเลยว่าตอนนี้ห้องรกมาก ถึงมากที่สุด แมร่งยังกับโดนโจรขึ้นแน่ะ แอ๊ะ! รึว่าโจรขึ้นมาจริงๆ กันหว่า ว่าไปเรื่อยละ แหะๆ ก็เพราะก่อนปิดเทอมเราทั้งสองคนเล่นเก็บของกลับบ้านที่เชียงรายอย่างเดียวเลย ไม่ได้ทำความสะอาดอะไร มันก็เลยรกอย่างนี้ โดยเฉพาะห้องไอ้ข้าวเน่านะ เน่าสมชื่อมันเลยแหละ

     

    ซึ่งตอนนี้ผมกำลังเก็บขยะห้องมันอยู่ ขอเน้นตัวโตๆ ว่าโครตขยะอ่ะ ทั้งเศษกระดาษ กล่องห่อตุ๊กตาที่มันขยันสั่งซื้อจากญี่ปุ่นเข้ามาอยู่เรื่อยๆ กลัวเค้าเลิกผลิตรึไงวะ ขวดเหล้าขวดเบียร์อีกเป็นลังๆ (อันนี้ไม่ว่ากัน เพราะมีส่วนได้ อิอิ) ชีทเรียนเกลื่อนเต็มเตียงเต็มโต๊ะเต็มพื้นด้วย สงสารคณูอาจารย์บ้างไหมเนี่ยที่เค้าอุตส่าห์ทำให้มึงได้เรียน แต่ที่น่าโมโหสุด คือ แมร่งมีถุงยางใช้แล้ว ทิ้งอยู่ในถังขยะด้วย “เชี่ยข้าว สัสหมาเอ๊ยกลับมาเจอตีนกูแน่ไอ้สัดข้าวเอ๊ย” ผมบ่นมันไป มือก็ยังเก็บของต่อไป แมร่งล่อกันในบ้านตอนไหนกันวะ ไม่เคยบอกกูเลย เดี๋ยวเหอะมึง สักวันกูจะแอบถ่ายคลิปไปขายเลย ฮ่าๆๆๆ

     

    อ้อ ลืมบอกไปว่าวันนี้ผมแหกขี้ตาตื่นเพื่อมาขึ้นเครื่องตอนหกโมงเช้า กว่าจะถึงบ้านที่ข้างมหาลัยก็ปาไปเกือบเก้าโมงแน่ะ และมัวแต่เก็บเสื้อผ้า เก็บข้าวของที่มันกระจัดกระจายที่ได้อธิบายมายาวเหยียดนั่นแหละ เก็บไปเก็บมาจนหมดก็ปาไปเกือบจะเที่ยงละ ลูกน้องในท้องก็พากันร้องเรียกหาอาหารกันซะเหลือเกิน เดี๋ยวขอไปหาไรเลี้ยงพยาธิในท้องก่อน แล้วค่อยมาเก็บกวาดเช็ดถูต่อ

     

     

     

     

     

    “ป้าครับ ผมเอาสปาเกตตี้พริกเผาจานนึงครับ ไม่ต้องเผ็ดเวอร์นะป้า”

    หลังจากเก็บของเสร็จมะกี้ ผมก็ปั่นจักรยานสุดเท่ห์ของผมมาทานอาหารที่ร้านหน้าหมู่บ้าน พอสั่งอาหารเสร็จก็นั่งเคาะช้อนไปพลางๆ ครับแก้เบื่อ เพราะว่ายังไม่ค่อยมีใครกลับมาเท่าไหร่เลย

     

    อยู่ๆ ก็เอ๊ะใจขึ้นได้ว่าหอที่ผมกำลังจ้องอยู่ตรงข้ามกับร้านเนี่ย มันหอไอ้เค้กนี่หว่า “แมร่งเอ๊ย” หอโครตไฮโซเลย คือมันสวยมากและใหญ่ด้วย ยังกะคอนโดแน่ะ ผมผ่านมาทุกวันก็ไม่ค่อยสังเกตุเท่าไหร่ว่ามันจะไฮโซโครตๆ อย่างนี้ อยากมีอย่างงี้มั่งจัง ท่านมิลล์จะได้พาสาวๆ มาทัศนาจรทุกวันเลย คิคิ

     

     

    “อ่ะ ได้แล้วจ้าน้องมิลล์สุดหล่อ ชอบสั่งรสชาติโครตไทยเหมือนเดิมเลยนะ เล่นเอาเสียบรรยากาศร้านป้าหมดกันพอดี”

    “เอาน่าป้าพร นี่เมนูที่มิลล์แนะนำเลยนะครับ ถ้าไม่แจ่มจริงลูกค้าคงไม่ติดกันตรึมหรอกคร้าบบบ” ป้าพรแกรับมุขผมแล้วก็หัวเราะกันคิกคัก

     

    ร้าน “My Town” เป็นร้านที่ผมชอบมาทานอยู่บ่อยๆ เพราะมันใกล้กับบ้านผมที่สุดละ ร้านป้าพรเป็นร้านอาหารที่ส่วนใหญ่จะเน้นไปทางสไตล์ตะวันตกหน่อย บรรยากาศนี่เหมือนอยู่แอลเอเลย (ป้าบอกมางั้นนะ) แต่ซอรี่นะครับ เพราะว่าท่านมิลล์ชอบร้อยเอ็ดมากกว่า ฮ่ะๆๆๆ ผมชอบอาหารไทยๆ น่ะ อร่อยมากเลยขอบอก

     

    เวลามาทานที่นี่ผมเลยขอทำเป็นพิเศษอยู่บ่อยๆ เพราะป้าแกก็เป็นคนไทยนี่น่าเลยทำอาหารไทยเป็นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แถมให้ป้าแกลองชิมดูแล้วบอกว่ามันใช้ได้เลยแหล่ะ ป้าพรเลยใส่ไปในเมนูเด็ดประจำร้านเลย ลูกค้าที่เข้ามานี่บอกเหมือนกันว่าอร่อยสุโค่ย เห็นไหมล่ะครับว่าท่านมิลล์มีลิ้นเทพเจ้านะ ขอบอกไว้เลยว่าค่าตัวแพงด้วย ^_^

     

     

    “อ้อ ป้าพรครับ มิลล์ทำโยเกิร์ตมาฝากด้วยนะ เพิ่งหัดทำช่วงก่อนนี้เอง รับรองความอร่อยด้วยเกียรติของท่นมิลล์สุดหล่อครับ” ผมตะแบะสองนิ้วจรดคิ้ว พร้อมกับยิ้มแป้นให้ป้าแก ป้าเห็นแล้วก็เลยขำอย่างเดียวเลย ชิส์ ประดุจว่าที่ผมทำมันปัญญาอ่อนสุดๆ อ่ะรู้สึกเขิลขึ้นมาเลยอ่ะป้า

    “จ้าๆๆ ป้าเชื่อว่าโยเกิร์ตของมิลล์อร่อยจริง”

    “แต่ว่า โยเกิร์ตมันยังมาไม่ถึงนะครับ รอพรุ่งนี้ก่อน ผมฝากไว้ที่ไอ้ข้าวมันน่ะ พอดีมันขับรถมา ของอร่อยๆ ต้องอดใจรอนะคร้าบบบ”

    “จ๊ะ” ป้าแกขำ แล้วก็สะบัดบ๊อบหนีไปรับลูกค้าคนใหม่ที่เดินเข้ามาสั่งอาหาร ปล่อยให้ผมเงิบกันเลยทีเดียว งั้นก็จัดการอาหารที่อยู่ตรงหน้าละกัน ลำแต้แต้ คอนเฟิร์ม!

     

     

     

     

     

    พอทานเสร็จก็ขอตัวกลับมาทำความสะอาดบ้านกันต่อ “สู้เว๊ยยย” คือแบบว่าทำไปบ่นไปร้องเพลงไปคนเดียว คิดซะว่ากำลังบ่นให้ฝาผนังฟังละกัน เพราะไอ้ข้าวมันยังไม่มาให้บ่น เลยไม่รู้จะไปบ่นกับใคร ทำไปทำมาก็บ่ายสามกว่าๆ ละ “เย่ส บ้านสะอาดเหมือนใหม่เลยแห๊ะ” ผมพึมพำอยู่คนเดียวน่ะแหละ หลังจากทำความสะอาดบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว รู้สึกว่ามันคันๆ ร้อนด้วย แถมเสื้อเปื้อนหมดละ ทั้งๆ ที่ผ้ากันเปื้อนลายรีลัคคุมะที่ผมใส่อยู่ มันจะไม่ค่อยช่วยกันเปื้อนอะไรเลย งั้นไปอาบน้ำดีกว่า

     

     

    ซู่ววววววว......

    การอาบน้ำหลังมอมแมมนี่มันให้ความรู้สึกสบายตัวดีจังแหะ

     

     

    “กริ๊ง กริ๊งงงงงงงงง” เสียงกริ่งดังลั่นเลย ใครวะมากดกริ่งซะไม่มีเว้นจังหวะเลย มารยาทน่ะรู้จักไหมวะ

     

    “”คร้าบบบ เลิกกดได้แล้ว” ผมตะโกนออกไป ซึ่งรู้สึกจะโดนเสียงกริ่งกลบซะหมดเลย ขณะที่กำลังใส่ผ้าเช็ดตัวเดินออกไป กะจะชะแวปดูสักหน่อย

     

    ปรากฏว่ามีชายตัวสูง ยืนหน้ารถยนต์สีดำมะเมี่ยมเงาวับเลย กำลังกดกริ่งอยู่หน้ารั้วประตู ใส่แว่นดำ ใส่หมวกแก๊ปสีดำ เสื้อยืดแขนยาวก็สีดำ กางเกงยีนก็สีดำ ดำได้ทั้งชุด อ้อ ยกเว้นรองเท้ามันนะครับสีแดงแป๊ดเลย มึงมีสไตล์การแต่งตัวโครตเอกลักษณ์เลยหว่ะ ขอยกนิ้วให้เลยละกัน  

     

    แต่ อย่ามัวแต่ไปพิจารณามันครับ คือมันเป็นใคร แล้วยืนกดกริ่งชนิดว่าไม่กลัวเจ้าของบ้านอย่างกูจะรำคาญบ้างรึไง แมร่งท่าทีโครตน่าสงสัย หรือว่าเป็นพวกไม่หวังดี มาปล้นบ้านูรึป่าววะเนี่ย สมัยนี้อย่าไปไว้ใจคนง่ายๆ นะ ถึงแม้จะแต่งตัวดูดีอย่างกะนายแบบก็เหอะ

     

     

    สักพักเสียงก็หายไป สงสัยว่าคงจะรู้ตัวละมั้งว่าควรเกรงใจกูบ้างเหอะ ผมเลยซะแง้มหัวโผล่หน้าต่างห้องผมที่มันอยู่ฝั่งหน้าบ้านพอดี เห็นไอ้ชายชุดดำยืนคุยโทรศัพท์อยู่

     

    “มาหาใคร ถ้าจะมาปล้นล่ะก็ ตำรวจอยู่ไม่ไกลหมู่บ้านนี้นะเว๊ย” ผมตะโกนออกไป ชายชุดดำเลยแหงนหน้าขึ้นมาที่หน้าต่างที่ผมอยู่ พร้อมกับชี้นิ้วมาที่ผม “เอาแล้วไง” ผมเลยรีบปิดหน้าต่างทันทีแล้วรีบกดโทรศัพท์หาป้อมตำรวจหน้าหมู่บ้าน แต่แมร่งเอ๊ย ตำรวจไทยต้องให้มันได้อย่างนี้เป๊ะเลยรึไง ละครไทยชัดๆ เพราะพี่ท่านออกงานกันไปแล้ว ไม่มีใครรับโทรศัพท์สักคน กูปริ่มมากครับท่านตำรวจ ซวยแล้วไงๆ เอาไงดีวะเนี่ย หันซ้ายหันขวาก็ไม่มีอะไรจะมาช่วยผมได้สักอย่าง รึว่าจะแหกปากขอความช่วยเหลือดีวะ

     

     

     

    “ไอ้มิลล์”

     

    เอ๊ะ เสียงคุ้นๆ กำลังเรียกชื่อกูวะ สงสัยมีสักคนที่รู้จักกูที่มาละวะ มึงมาถูกจังหวะแล้ว ช่วยกูทีนะเพื่อน กูโดนโจรบุกถึงบ้าน มึงช่วยกระทืบให้กูที “เอาละวะ” ผมบอกตัวเองพร้อมโผล่หน้าออกไปเพื่อบอกคนๆ นั้น

     

     

    “ไอ้มิลล์”

     

    กำลังจะอ้าปากตะโกนเลยครับ แต่ขากรรไกรต้องหยุดไปก่อน เพราะชายชุดดำนั่นเองที่ตะโกนเรียกผมนั่น

     

     

     

     

     

    “ชักช้านะไอ้มิลล์ มัวแต่ทำหน้าโง่ๆ อยู่ที่หน้าต่างนั่นแหละ แถมปิดหน้าต่างซะดังใส่กูอีก แถมกว่าจะลงมาเปิดประตูได้ กูอุตส่าห์รีบมาหามึงนะเนี่ย”

    “เออ ก็กูจะไปรู้ได้ไงว่าเป็นมึง แมร่งใส่ชุดดำทั้งตัวอย่างกะโจร กูตกใจเลยนะเว๊ย”

    “โจรเหี้ยอะไรวะ หล่อขนาดนี้  ฮ่ะๆๆๆ แล้วไหงไม่ใส่เสื้อผ้าล่ะ อย่าบอกว่าถอดรอกูนะ หืมมม”

    “หยุดความคิดของมึงไว้ตรงนั้นเลยนะ แล้วก็เลิกยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างนั้นด้วย เดี๋ยวกูขึ้นไปใส่เสื้อผ้าก่อนนะ หึ่ย”

     

     

    แล้วผมสะบัดตูดใว่มันแล้วก็วิ่งไปใส่เสื้อผ้าที่ห้องผมครับ ปล่อยให้ไอ้ดินมันนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขกไป ใช่แล้วครับ ชายชุดดำที่ผมคิดมะกี้ก็คือไอ้ดินนี่แหละที่มันอุตส่าห์มาหาผมวันนี้ เพราะว่าไอ้ข้าวโทรบอกมันให้มาดูแลผมด้วย กูไม่ใช่เด็กนะมึงที่จะต้องมีคนมาคอยเฝ้าเนี่ย แถมเมื่อกี้ตกใจมากด้วยเหอะ หัวใจจะวาย ลูกเมียก็ยังไม่มียังไม่อยากจะคิดเลย เอาเป็นว่าเหตุการณ์เมื่อกี้อย่าเอาไปบอกใครละกัน เดี๋ยวหนังหน้าอันหล่อเหลาของผมจะไม่มีพื้นที่ให้ได้อายกันเลยทีเดียว

     

     

    “ไอ้ดิน ไอ้ข้าวบอกมึงว่ากูมาถึงกี่โมง” ผมเดินลงบันไดมาขณะที่มันนอนกระดิกตีนเล่นโทรศัพท์อยู่บนโซฟา

    “ประมาณเก้าโมง” มันตอบแค่นั้นแหละ แล้วก็สนใจโทรศัพท์มันต่อ มึงจะมาเพื่อเล่นโทรศัพท์เนี่ยนะ

    “นี่มันบ่ายสี่ละนะมึง ไม่มาเที่ยงคืนเลยล่ะวะ” ผมประชดมันไป ซึ่งได้ผลแหะ มันปิดโทรศัพท์แล้วลุกขึ้นมานั่งดีๆ มองมาหาผมพร้อมสายตาโครตเจ้าเลห์อ่ะ รู้สึกพลาดๆ ไงไม่รู้แห๊ะ

    “เที่ยงคืนหรอ อารมณ์กำลังพรุ่งพร่าน ดีเลยนะ ฮ่าๆๆๆ”

    “สัดดิน”

    “ตุ๊บ   โอ๊ยยยย” เสียงหมอนลอยไปฟาดหน้าหล่อๆ ของมันครับ มีช่องนิดช่องหน่อยแทะโลมกูได้ตลอด

     

     

     

    อย่างที่มันพูดน่ะแหละครับ เพื่อนคนนี้คือไอ้ดินครับ เพื่อนในชมรมผมนี่แหละ เรียนอุตสาหกรรมเกษตร บ้านมันทำไร่อยู่เชียงใหม่ครับ บอกว่ามีไร่สตอเบอรี่ด้วยนะ อยากลองไปเที่ยวมั่งจัง รูปร่างหน้าตานี่ชนิดที่ว่า โมเดลลิ่งทาบทามมันไปถ่ายแบบตั้งหลายฉบับ แต่มันบอกว่าไม่ชอบครับ ปฏิเสธไปทั้งหมด มันชอบให้ถ่ายเล่นกันเองกับเพื่อนๆ มากกว่า เพราะมันบอกว่า “เป็นคนหล่อขอให้ชาวบ้านอิจฉาเล่นๆ ก็พอ” น่าหมั่นไส้ไหมล่ะ แต่ประเด็นก็คือ มันชอบแทะโลมผมตลอดเวลานี่สิ ถึงจะเป็นผู้ชายที่เข้าขั้นว่าหล่อ สูง ขาว จมูกโด่ง ตาคมเข้ม คิ้วดก ริมฝีปากได้รูปแถมสีแดงระเรื่อๆ แบบว่ารวมๆ แล้วก็หล่อแบบเท่ห์ๆ อ่ะ ซึ่งมันมาบอกว่าตกหลุมรักผมตั้งแต่แรกพบ ตอนอยู่ปีหนึ่ง (โครตเสี่ยวอ่ะมึง) แต่ถึงมันจะหล่อชนิดไม่แบ่งปันให้ใครเลยก็เหอะ แต่ก็ไม่มีผลต่อชายชาติทหารอย่างท่านมิลล์หรอกครับ ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวอะไรทั้งสิ้นเลย ผู้ชายเหมือนกัน ผมรู้สึกแค่เพื่อนก็เท่านั้น แถมผมยังปฏิเสธมันอย่างจริงจังไปแล้วในตอนนั้น และมันก็ดูไม่ตื่นตกใจหรือสะเทือนอะไรทั้งสิ้นเลย แต่สุดท้ายก็มารู้จักกันในชมรมนี่แหละ และก็ดูจะชอบแทะโลมผมไปวันๆ ตามอารมณ์มัน มึงแมร่งไม่มีความจริงจังเอาซะเลยเหอะ และสนิทกับมันไปโดยปริยายครับ

     

     

     

    “โด่วมึง เผื่อมึงจะเกิดเผลอใจไปกับกูมั่ง ฮ่าๆๆๆ” มันนั่งขำ แล้วก็เล่นโทรศัพท์อีกครั้ง อย่าฝันเหอะ กูไม่ยอมให้มึงมาเป็นยอดชายเหนือชายทั้งปวงกับกูหรอกเว๊ย

     

    “แล้วมึงไปไหนมาเนี่ย แต่งซะเต็มเลย” ผมย้ายตัวเองมานั่งข้างๆ มัน เห็นคุยไลน์กับสาวๆ สี่ห้าคน เชี่ยดิน ทำไมเล่นทีเยอะวะ สักคนกูยังไม่มีเลย อิจฉาโว๊ย

     

     

    “ไปให้ไอ้พายถ่ายรูปเล่นมาตั้งแต่เช้าน่ะแหละ คิดบ้าอะไรของมันก็ไม่รู้ บอกว่าอยากถ่ายคอนเซปโคเรียสักอย่างนี่แหละ บอกว่าเข้ากับช่างภาพอย่างมัน แต่กูว่าอย่างมันแค่โคนมก็เหมาะแล้วว่ะ ฮ่าๆๆๆ” มันตอบผมทั้งๆ ที่พิมพ์บอกรักสาวๆ บวกกับสติ๊กเกอร์หวานแหววได้อีก เชี่ยวไปละมึง แบ่งประสาทปาก หู ตา มือ ได้โครตเทพอ่ะ

     

     

    “เอ้อมิลล์ วันนี้ไปช็อปของเตรียมตัวเปิดเทอมดีกว่าว่ะ”

     

     

    ยังไม่ได้จะตอบอะไรมันเลย ไอ้ดินก็ลุกออกไปละ แถมสตาร์ทรถละเรียบร้อย ปล่อยให้กูนั่งประมวลว่าจะไปกับมันด้วยรึป่าว แต่คงไม่ต้องประมวลให้เปลืองพื้นที่สมองละมั้ง ผมเลยเดินไปปิดประตูล็อคบ้านให้เรียบร้อย แล้วก็ขึ้นรถไอ้ดินครับ

     

     

    “เชี่ยดิน เปิดเทอมใหม่ ออกวีออสมาขับเล่นเลยนะมึง กูอยากได้สักคันมั่ง” ผมแซวมันหลังจากออกจากหมู่บ้านมา

    “มิน่าล่ะ มึงถึงจำกูไม่ได้ รู้งี้เอาคันเก่ามาหาก็ดี เผื่อจะจำได้ว่าเป็นรถกู” ที่จริงน่ะ ถึงจะเป็นรถเก่ารถใหม่มาก้เหอะ มึงเล่นปิดตัวมิดชิด เล่นเอาไม่เห็นหน้าเห็นตากันเลยทีเดียว กูคงจะจำมึงได้หรอกนะ

    “มึงก็บอกพ่อมึงให้ถอยมาขับเล่นสักคันดิวะ” นั่นแหละมึง กูเคยขอเป็นรอบที่ล้านแปดแล้ว แต่พ่อพูดซ๊ำๆ กรอกหูมาตั้งแต่ ม.ปลายแล้ว “ยังไม่ถึงเวลาที่มิลล์จะหัดขับรถหรอก” ผมก็เลยไม่มีรถขับจนถึงทุกวันนี้น่ะแหละครับ

    “เออ เดี๋ยวหัดขับรถให้เป็นก่อนเหอะ กูจะขับไปอวดพ่อซะเลย” ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เหอะ ผมก็โดนไอ้ข้าวด่ามาหลายรอบละ “มึงโง่รึไงวะ กูสอนมึงรอบที่ร้อยแปดแล้วนะ ขับยังไม่ได้อีกหรอ” มันก็เป็นฉะนั้นแหละ แถมไม่ด่าเฉยๆ ด้วย ประเคนฝ่ามือลงบนกระหม่อมเป็นรางวัลให้อีกด้วย คิดแล้วก็แค้นสุดๆ หึ่ย

     

     

     

    ผมกับไอ้ดินนั่งรถได้สักพัก มันก็เอาวีออสคันใหม่ของมันไปจอดครับ วันนี้เป้าหมายของมันคือเซนทรัลครับ ซึ่งไม่ค่อยไกลจจากมหาลัยเท่าไหร่ แต่ผมสงสัยว่ามันจะซื้อของอะไรกันวะ ทั้งๆ ที่อุปกรณ์การเรียนมันก็หาซื้อได้แถวๆ มหาลัยนั่นแหละ ไม่งั้นก็ตอแหลอยากมาเที่ยวมากกว่า

     

    “ไอ้มิลล์ หนังเรื่องนี้น่าสนหว่ะ เข้าไปดูกันเหอะ”

    “.....”

     

    ไอ้ดินพูดเสร็จก็เดินเข้าไปต่อแถวซื้อตัวหนังสองใบ เป๊ปซี่ และข้าวโพดคั่วมาเสร็จสรรพ ปล่อยผมยืนงงรอมันอยู่หน้าโรงหนัง ไหนว่ามึงจะมาซื้อของวะ

     

    สุดท้ายหนังแอคชั่นก็จบลงเมื่อพระเอกรอดจากการหนีตำรวจ ส่วนท่านมิลล์น่ะหรอ ยังยืนงงๆ อยู่ ผสมกับอาการเบลอนิดหน่อยว่าประเด็นที่ไอ้ดินมันจะซื้อของเตรียมตัวเปิดเทอมมันอยู่ตรงไหนกันฟร่ะ

     

     

     

     

    “ไหนอ่ะของที่มึงจะซื้อวะ”

    ผมเอาตะเกียบชี้หน้ามัน ใช่ครับ ของที่มันว่าจะมาซื้อหรอ ยังไม่เห็นมีอะไรติดตัวมาสักอันเลย เพราะตอนนี้เรากำลังนั่งรอเมนูที่ชาบูอยู่เลย แถมตอนเข้ามานะ สาวๆ มองกันให้พรึ่บมาทางพวกผม ผมรู้สึกประหม่าเลยอ่ะ รู้สึกทำตัวไม่ถูกแหะ ถึงผมจะชินกับความหล่อของผมก็เหอะนะ

     

    แต่ก่อนที่จะผมเขิลจนทำไรไม่ถูกก็มีเสียงกระซิบกันแบบว่า นั่งพูดกันธรรมดาก็ได้เหอะ ไม่ต้องทำท่าทางป้องปากคุยกันหรอก ผมได้ยินแล้ว “แกๆ ผู้ชายชุดสีๆ ดำๆ นั่น โครตหล่ออ่ะ” “อยากเข้าไปถ่ายรูปด้วยจัง” “นั่นมันเดือนคณะชั้นนิ นี่ๆๆๆ เฟสนี้เลย กรี๊ดดด” และอะไรอีกหลายประโยคที่คุยกันให้แซ่ส เล่นเอาผมหายเขิลเลย ดีนะที่ไม่มีใครรู้ว่า “กูหน้าแตกอีกแล้ว” เพราะที่เค้ามองกันน่ะ ไม่ใช่กู แง่มๆๆ อยากจะตะโดนบอกสาวๆ ว่าท่านมิลล์โครตหล่ออยู่ทั้งคนทำไมไม่หันมาสนใจกันมั่งคร้าบ สงสัยรสนิยมสมัยนี้จะชอบของแปลกกัน

     

     

     

    “เอาน่าๆ อารมณ์ดีๆ มีแรงเยอะๆ ก่อนดี๊ ค่อยช็อป อย่ามัวแต่ทำหน้ามุ่ยสิ” คือมึงต้องบิ้วอารมณ์โดยการดูหนังเป็นชั่วโมงๆ เนี่ยนะ อยากเอาตะเกียบจิ้มหน้ามันจะได้ไหมวะ อีกอย่างกูหน้ามุ่ยเพราะเข้าใจผิดมะกี้แน่ะ หุ่ยยย ทำไมไม่มีใครสนใจกูมั่งวะ

     

    “อีกอย่างนะไอ้มิลล์ กูจะได้เช็คความหล่อด้วยไง นั่นๆๆ เห็นไหมว่าสาวกลุ่มนั้นมองกูด้วย” มันพูดไม่พอครับ ยังโปรยยิ้มให้เค้าอีกด้วย ถุย กูว่าเค้ามองดูตัวประหลาดมากกว่ามั้ง รอให้กูไปเกาหลีก่อนเหอะมึง จะเอาให้พวกที่มั่นหน้าอย่างพวกมึงเงิบเลยทีเดียว หึหึ

     

     

     

    “แล้วทำไมไม่มาพร้อมไอ้ข้าววะมึง”

    “แล้วใครจะทำความสะอาดบ้านล่ะ” ถึงจะมีบริการแม่บ้านก็เหอะ มันไม่ถูกใจผมอ่ะ อีกอย่างไม่อยากให้เห็นอะไรๆ ในห้องชายฉกรรณ์อย่างพวกผมด้วย ผมเป็นความลับนะ คุคุ

    “งั้นมึงมาทำความสะอาดห้องกูด้วยดิ” มันคีบหมูมาให้ผมด้วย แต่กูจะกินปลาอ่ะ ผมเลยเอาคืนให้มันไป แต่มันไม่ยอมให้คืน

    “ไม่เอา ห้องของมึง มึงก็ทำเองดิวะ ไม่งั้นก็ให้สาวๆ ที่มาแวะเวียนช่วยกันทำก็ได้นะมึง” กูว่าห้องมึงคงสะอาดชนิดไม่ได้มีฝุ่นเลยแหละ สาวๆ เยอะขนาดนั้น

    “โด่ว กูนึกว่าจะมีน้ำใจมาทำให้บ้าง” มันทำหน้าตาเศร้าครับ แต่มึงอินเนอร์เกินไปละ สมบทบาทขนาดนี้ไปเป็นนักแสดงเหอะ กูว่านักแสดงนักโป๊น่าจะรุ่งนะ ฮ่ะๆๆๆ

     

     

    พอทานเสร็จ อิ่มเลยครับ แมร่งสั่งนู่นนี่นั่นมาซะ มึงอดอยากมาจากไหนวะ แถมกินไม่หมดโยนมาให้กูด้วย อยากจะเอาเท้าฟาดหน้ามัน ก็เกรงใจร้านเค้า และผมต้องรักษาภาพผู้ดีไว้(หรอ) เลยคิดไว้ในใจพอครับ

     

     

    แล้วเราก็ช็อปกันจริงๆ ซะที ซึ่งมันเป็นอะไรที่งี่เง่ามาก ทั้งดินสอ ปากกา ยางลบ ไม้บรรทัด ซึ่งแมร่งต้องห่อสังขารมาถึงนี่เลยหรือวะเนี่ย ไอ้ดินมันฟังผมบ่นไปตามทาง “งั้นกูซื้อของที่ดูมีสาระก็ได้วะ” แล้วมันก็ไปเลือกเสื้อผ้ารองเท้ากระเป๋าครับ แต่ละแบรนด์แพงๆ ทั้งนั้น แล้วมันก็ได้กางเกงยีนส์มาสามตัวราคาเกือบหมื่น แมร่งมันทักด้วยอะไรกันวะถึงได้แพงกันขนาดนี้วะ หรือใช้ให้นางงามมาทักวะ ของผมนะซื้อตัวละไม่กี่ร้อยเอง พ่อบอกว่าถ้าพังเร็วเราก็จะได้ซื้อใหม่ที่มันตามเทรนด์ไง เจ๋งป่ะพ่อผม แนวคิดดีมากครับขอบอก แต่นั่นก็ตอนอยู่ที่ฟาร์มอ่ะนะ ใช้ของแพงก็ไม่คุ้มอยู่ดี ใส่ไปเดี๋ยวก็เปื้อนอยู่ดี บ่นไอ้ดินมันไปงั้นแหละครับ ผมก็ถอยมาสี่ตัวแน่ะ แหะๆ เด็กวิดวะมันต้องใส่ยีนส์เท่ห์ๆ สิ ถึงจะถูกใช่ไหมครับ นอกนั้นก็เป็นเสื้อผ้ากับรองเท้าของไอ้ดินทั้งหมดเลยครับ แมร่งจะขนไปเดินแบบที่ไหนก็ไม่รู้ ล่อซื้อมาเกือบสิบชิ้นแน่ะ แต่ที่แน่ๆ คือ วันนี้กระเป๋าเบาเลยครับ ฮือๆ

     

     

     

    วันนี้เหนื่อยทั้งวันเลยครับ ทั้งทำความสะอาดบ้านแล้วก็ไปเดินเตร็ดเตร่กับไอ้ดินซื้อข้าวของที่ผมพิจารณาแล้วว่า มันอยากไปเดินเล่นมากกว่าที่จะไปซื้อของครับ

     

    แถมตอนนี้ก็สามทุ่มนิดๆ ละ วีออสคันงามก็มาหยุดหลังรถบีเอ็มสีขาวที่จอดหน้าบ้านผม ซึ่งเป็นรถที่ผมไม่รู้จักว่าเป็นใครเป็นเจ้าของ แถมในบ้านก็เปิดไฟสว่างทั้งหลังเลย จะว่าไปไอ้ข้าวก็ยังไม่มานี่หว่า ใครมาบ้านกูวะเนี่ย

     

    “ไหนว่าไอ้ข้าวมันมาพรุ่งนี้ไงวะ” เป็นไอ้ดินที่เอ่ยคำถามขึ้นมา ซึ่งผมก็คิดอยู่เหมือนกันว่าเป็นไอ้ข้าวรึป่าว

    “แต่นั่นมันไม่ใช่รถไอ้ข้าวนะมึง” ผมชี้นิ้วไปที่รถคันที่อยู่ตรงหน้าพวกเรา

    “เผื่อมันจะถอยรถใหม่เหมือนกูไงวะ เปิดเทอมใหม่ก็งี้แหละ” แล้วไอ้ดินก็ดับเครื่องยนต์ของมัน

    “นั่นดิ ลองเข้าไปดูละกันว่าเป็นไอ้ข้าวรึป่าว” ผมตอบขณะที่กำลังเปิดประตูรถออกไป

     

    ผมสงสัยว่าไอ้ข้าวมันจะออกรถใหม่ทำไม เพราะมันน่ะรักออดี๊สีดำของมันจะตาย ผมเคยหัดขับแล้วเอาไปเฉียดนิดเดียวยังโดยด่าเละเลย ไม่น่าจะใช่รถไอ้ข้าวนะ ถ้างั้นจะเป็นใครล่ะนอกจากผม ไอ้ข้าว พ่อแม่ แล้วก็แม่บ้านเท่านั้นที่มีกุญแจ หรือว่าพวกโจรมันขึ้นบ้านกูวะ ทำไมช่วงนี้ต้องมีพวกน่าสงสัยอยู่ตลอดเวลามาป้วนเปี้ยนด้วย (นับไอ้เค้กที่บ้านเชียงราย กับไอ้ดินเมื่อเช้าด้วยนะ ถึงจะไม่ใช่โจรจริงๆ ก็เหอะ)

     

    พอเดินเข้าไปถึงก็น่าสงสัยขึ้นไปอีก เพราะมีประตูบ้านมันไม่ได้ล็อค ซึ่งผมมั่นใจนะว่าตอนออกไปล็อคเป็นอย่างดีแล้วด้วย แต่ถ้าเป็นไอ้ข้าวนะ ถึงอยู่บ้านมันก็ยังล็อคเลย น่าสงสัยๆ จริงๆ แหะ

     

     

    “ไอ้ข้าว มึงมาตอนไหนวะ ไหนว่าจะมาพรุ่งนี้ไง” เสียงตะโกนของผมดังลั่นบ้าน แต่ก็ไม่มีเสียงไอ้เชี่ยข้าวก็ไม่ตอบรับมาแต่อย่างใด

     

    “มันอยู่ที่ห้องรึป่าววะไอ้มิลล์” ไอ้ดินเดินขึ้นชั้นสอง แล้วมาหยุดที่หน้าห้องไอ้ข้าว

     

    “เชี่ยข้าว” ผมเปิดประตูห้องมันเข้าไปพร้อมเรียกมัน แต่ก็ต้องตกใจครับ เพราะว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ที่อยู่ห้องไอ้ข้าวเลย ผมเลยกวาดสายตาไปทั่วห้องไอ้ข้าว ซึ่งก็ไม่มีอะไรผิดปกติไปจากตอนที่ผมจัดห้องเลย

     

    แล้วผมก็ไปสำรวจห้องผมแล้งห้องนอนอีกสองห้องเหมือนกัน ซึ่งก็ไม่มีสิ่งผิดปกติอะไรเหมือนกัน

     

    “มึงว่ามาเปิดบ้านกูวะไอ้ดิน” ผมหันไปถามไอ้ดินที่กำลังครุ่นคิดอยู่ข้างหลัง ท่าทางสงสัยไม่น้อยกว่าผม ซึ่งถ้าเป็นโจรก็น่าแปลกนะครับว่าไม่มีอะไรหายไปเลย แล้วใครล่ะที่มาบ้านผมเนี่ย

     

    ผมเลยโทรหาไอ้ข้าว แต่ไอ้เชี่ยข้าวมันไม่ยอมรับสายผมอีก “ไอ้ข้าวมึงมันไร้ประโยชน์ว่ะ” ผมบ่นมันหลังเก็บโทรศัพท์เข้ากางเกงเหมือนเดิม

     

    “ใครมาบ้านเนี่ย บอกมานะ” ผมตะโกนลั่นบ้านเลย เพราะไม่รู้ว่าใครมันบ้ามาเปิดบ้านผมกลางค่ำกลางคืนกันเนี่ย คิดไม่ออกแล้วนะเว๊ย

     

     

     

     

     

    “กูไง ไอ้เตี๊ย”

     

     

    ผมหันไปตามเสียงที่ประตูหน้าบ้านที่กำลังเปิดออกมา ปรากฏให้เห็นชายหนุ่มร่างสูง กำลังยิ้มอยู่และชูลูกกุญแจบ้านให้ดู

     

    “มะมะ มึง”

    ผมยืนอ้าอึ้งอยู่หน้าประตู เพราะไอ้โจรที่ผมว่าก็คือ ไอ้เค้กนั่นแหละครับ ที่กำลังปิดประตูและเดินผ่านผมไปอัญเชิญตัวเองไปนั่งที่โซฟาห้องรับแขกเรียบร้อยละ ปล่อยให้ผมยืนงงอยู่หน้าประตู คือมึงมาได้ไง มาบ้านกูทำไม มาตั้งแต่ตอนไหน มากับใคร และอีกหลายๆ คำถามที่ตีขึ้นมาพร้อมๆ กันในเวลานี้

     

     

    “ไม่ต้องงไอ้เตี๊ย กูมานอนเป็นเพื่อนมึงนั่นแหละ กูบอกพ่อมึงแล้ว” มันพูดเสร็จก็เดินไปเปิดหาอะไรกินในตู้เย็น เอ๊ะ ในตู้มันมีอะไรให้กินด้วยหรือวะ กูจำได้ว่ามันเพิ่งล้างเมื่อเช้าและยังไม่ได้หาอะไรมาใส่เลยนะ

     

    ส่วนไอ้ดินมองหน้าผมแล้วทำท่าเข้าใจแล้วพยักหน้า คือกูยังไม่ได้ส่งซิกอะไรให้มึงเลยนะ

    “ไอ้มิลล์ กูกลับก่อนนะ ไอ้พายโทรตามละ”

    “มีเพื่อนมึงมานอนเป็นเพื่อนแล้ว วันนี้ไม่ต้องห่วงแล้วล่ะ”

    “เจอกัน บายย”

    แล้วไอ้ดินก็เดินออกบ้านไป ปล่อยให้กูงงอีกคน เพื่อนหรอ กูยังไม่ได้ไปนับเพื่อนกับไอ้เชี่ยนั่นเลยนะ มึงกลับมาก่อน

     

    “หะ....เห้ยยย” ผมตะโกนตามหลังไอ้ดินไป แต่ช้าไปละ มันไม่ได้ยิน แมร่ง ทิ้งกูเลยนะไอ้ฟายย

     

     

    แล้วผมก็หันกลับมาในบ้านที่มีไอ้โจรหน้าหล่อนั่งดูสารคดี next step อยู่บนโซฟา ดูท่าทางชิวมากนะมึง ขอโทษนะมึง นี่มันบ้านกูนะ หนอยยย ต้องเคลียร์กันหน่อยละครับ

     

     

    “มึง ไอ้เค้ก” ผมกำลังชี้หน้ามันอยู่ครับตอนนี้ แต่หาได้สนใจกูเลย มันมัวแต่นั่งดูงูเห่าที่กำลังแดกกบในทีวีอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวกูจะแดกหัวมึงซะเลย

     

     

    “มานั่งนี่ เดี๋ยวบอกให้ก็ได้”

    “เห้ยย”

    ไอ้เค้กมันพูดไม่พอครับ ดึงมือผมให้ไปนั่งบนโซฟาข้างมัน อูย เบาๆ หน่อยก้ไม่ได้วะแมร่งแรงยังกะควาย เล่นเอากูกระแทกโซฟาซะเต็มแรงเลย

     

     

    แล้วเราก็นั่งดูงูสองตัวกำลังแบบว่า พันกันซะเป็นเกลียวเลย เอ๊ยยย นั่นมันกำลังทำไรกันวะ “นี่เป็นลักษณะของการผสมพันธุ์ของงูนะครับ” แล้วเสียงพิธีกรก็แทรกขึ้นมาไขข้อสงสัยของผม

     

    แต่เอ๊ะ ทำไมกูมานั่งดูงูปี้กันวะ มันใช้เรื่องที่ไหนเนี่ย ผมฟึดฟัด แล้วก็หันหน้ามาหาไอ้เค้กที่นั่งข้างๆ ผม แต่ต้องรีบหันกลับมาเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว เพราะว่า ไอ้เชี่ยเค้กมันจ้องผมอยู่ก่อนแล้ว

     

    เชี่ยแมร่งกูตกใจหมด ไม่ใช่เพราะว่าตกใจว่ามีคนหล่อมาอยู่ใกล้ๆนะ เพราะไอ้ดินชอบทำบ่อยๆ แต่ตกใจที่มันจ้องหน้าแล้วทำสายตาโครตเจ้าเล่ห์ ไม่กล้าสบตามันเลยแมร่ง พร้อมเสียงที่แทบจะเหมือนการกระซิบว่า

     

     

    “มิลล์ ป่ะขึ้นห้องกันเหอะ”

     

    จู่ๆ ผมรู้สึกว่าทำไมอากาศมันร้อนชิบหายเลยวะ แถมอึดอัดด้วย ลืมเปิดแอร์รึป่าววะ แต่เอ๊ะ มันไม่ได้ร้อนที่ตัวสักหน่อยนี่นา แต่ว่ามันกลับร้อนที่หน้า เหมือนราดน้ำมันแล้วจุดไฟบนหน้ากูเลยวะ เชี่ยเอ๊ย เป็นไรเนี่ย

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×