คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #89 : พระของพ่อ
เรื่องสั้น “พระของพ่อ” ผลงานของ ธษมนต์ เป็นเรื่องสั้นเรื่องที่ 15 ในชุด “The Dead Poet” เปิดฉากด้วยวิญญาณของผม หรือ ทศ ที่ยืนมองร่างไร้วิญญาณของตนที่ตัดสินใจกินยานอนหลับฆ่าตัวตาย เพราะผิดหวังในความรัก แต่แล้วก็ตระหนักได้ว่ามีของสำคัญของพ่อที่อยู่กับตน นั่นคือ สร้อยพระของพ่อ จึงพยายามหาทางคืน โดยไปกระซิบฝากวัจน์เพื่อนสนิทให้นำไปคืนพ่อแทนตนและขอร้องไม่ให้บอกพ่อว่าตนตายแล้ว เมื่อนำสร้อยพระไปคืนพ่อทำให้เขาตระหนักถึงความรักของพ่อที่มีต่อเขา จนอยากที่จะย้อนเวลากลับไปแก้ไขข้อผิดพลาดที่ตนตัดสินใจโง่ๆ ด้วยการฆ่าตัวตาย แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น เมื่อพ่อนำสร้อยพระเส้นนี้ไปคล้องคอที่ศพของเขา เขาได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทั้งๆ ที่หยุดหายใจไปหลายวันแล้ว
เรื่องสั้นเรื่องนี้ไม่ได้เน้นการทดลองรูปแบบหรือกลวิธีการแต่งเหมือนเรื่องสั้นเรื่องอื่นๆ ที่นิยมในปัจจุบัน แต่ยังคงดำเนินเรื่องด้วยวิธีการธรรมดามิได้หวือหวาหรือมีเทคนิคใหม่ๆ น่าสนใจแต่อย่างใด เพราะใช้กลวิธีการเล่าเรื่องผ่านมุมของบุรุษที่หนึ่ง “ผม” ที่เป็นตัวละครเอกและตัวดำเนินเรื่องไปพร้อมกันด้วย แต่การเล่าเรื่องผ่านตัวละคร “ผม” ในเรื่องนี้กลับทำให้เรื่องมีพลังในการเล่าเรื่องและส่งผลสะเทือนต่อผู้อ่านได้อย่างมาก เนื่องจาก “ผม” ได้ถ่ายทอดเรื่องราวและประสบการณ์ที่ได้สัมผัสโดยตรงออกมาให้ผู้อ่านรับรู้อารมณ์ ความรู้สึกเดียวกับที่ตัวละครรู้สึกอยู่ตลอดเวลา ทั้งความรู้สึกเสียใจและสำนึกผิดที่ตนด่วนตัดสินใจฆ่าตัวตายโดยไม่ตระหนักถึงพ่อที่ห่วงใย รักใคร่ และทำทุกอย่างเพื่อเขาอยู่เสมอ หรือสัมผัสกับอารมณ์ปรารถนาที่ “ผม” อยากจะให้มีปาฏิหาริย์ให้เขาย้อนเวลากลับไปแก้ไขการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขาในครั้งนี้ และ สภาวะอารมณ์ของ “ผม” ที่สิ้นหวังและหมดกำลังใจที่จะมีชีวิตต่อไปอีกแล้ว หรือแม้แต่ความรัก ความห่วงใยของพ่อที่มีต่อลูก
เรื่องสั้นเรื่องนี้ ผู้แต่งเล่นกับความหมายและความรู้สึกของ “ผม” ที่มีต่อ “ความตาย” และ “การมีชีวิตอยู่” โดยมีนัยที่ย้อนแย้งกันโดยตลอดทั้งเรื่อง ตอนต้นเรื่อง “ผม” ปรารถนาที่จะตายเพราะรู้สึกว่า “หากมีชีวิตอยู่ไร้ความรัก เหมือนคนไร้หัวใจและไร้ชีวิตอยู่ดี” เมื่อเป็นวิญญาณได้กลับไปเฝ้าดูพ่อก็เกิดความรู้สึกว่า “ถ้าย้อนเวลาได้จะไม่ฆ่าตัวตาย” แต่เมื่อมีโอกาสได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง เขากลับรู้สึกว่า “ผมอยากไปจากโลกนี้แล้วครับพ่อ ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่แบบนี้อีกต่อไปแล้ว มันทรมานเหลือเกิน แม้พ่อจะอธิษฐานให้ผมมีชีวิตอยู่ แต่ผมอยากขอให้พ่อถอดสร้อยพระออกจากร่างผมปล่อยให้ผมเป็นอิสระเถอะครับ ตอนนี้แม้ต้องตายกลายเป็นวิญญาณอีกครั้ง ผมก็ยอม” และในท้ายที่สุด “ศรัทธาของพ่อนำมาซึ่งปาฏิหาริย์ ในยามที่ผมทิ้งความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ไปแล้ว”
ขณะเดียวกันสาระในเรื่องได้แสดงถึง “ความรักของพ่อ” ที่มีต่อลูก ในที่นี้อาจเป็นความตั้งใจของผู้เขียนที่จะเขียนในประเด็นนี้เนื่องในวันพ่อก็เป็นได้ เพราะเรื่องนี้โพสต์ในวันที่ 6 ธันวาคม โดยผู้เขียนแสดงให้เห็นถึงความรักอันบริสุทธิ์ของพ่อที่มีความรักและความปรารถนาดีต่อลูกอยู่เสมอ พ่อที่ยอมเลี้ยงลูกมาโดยลำพัง ขณะที่แม่ได้ทิ้งลูกไปอยู่กับชายอื่น พ่อที่ยอมเปลี่ยนความตั้งใจที่จะฆ่าตัวตาย มาเป็นการรักษาชีวิตของตนเพื่อที่จะสวมสร้อยพระของตนให้กับลูกชายคนเดียวในขณะที่เขาอายุ 20 ปี เพราะพระที่นับถือมาเตือนว่าลูกชายมีเคราะห์หนักถึงแก่ชีวิต แต่จะรอดได้หากพกพระองค์นี้ติดตัวตั้งแต่อายุ 20 ปีเป็นต้นไป พ่อที่แม้จะคิดถึงลูกชายมากเพียงใด แต่เลือกที่จะไม่ไปเยี่ยมลูกที่กรุงเทพฯ เพราะต้องทำสวนเพื่อเก็บเงินเป็นค่าเล่าเรียนให้ลูกเรียนจบและกลับบ้านเร็วๆ และพ่อที่ทุกค่ำคืนได้แต่สวดภาวนาให้ลูกมีความสุขและปลอดภัย ซึ่งอานุภาพของความรักอันยิ่งใหญ่ของพ่อนี้เองที่สามารถสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้น ถึงขนาดที่ว่า แม้ลูกตายไปแล้วก็ยังฟื้นกลับขึ้นมามีชีวิตต่อไปได้ นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นอีกว่า แม้ว่าลูกจะมีสภาพเช่นไรก็ตาม พ่อก็ยังให้สัญญาว่า “พ่อจะดูแลเขา ขอให้เขาอยู่กับพ่อเท่านั้น” และศรัทธาในความรักอันพิสุทธิ์ของพ่อที่ไม่เคยจางหายนี้เอง ที่ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ในชีวิตของลูกชายครั้งแล้วครั้งเล่า
นอกจากนี้ “พระของพ่อ” ในเรื่องนี้มิได้ทำหน้าที่เป็นเพียงเฉพาะเชื่อเรื่องเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ที่มีนัยหลายมิติ นับตั้งแต่มีความหมายตามตัวอักษร นั่นคือ พระเครื่องห้อยคอที่จะคุ้มครองให้ลูกปลอดภัย และ “พระของพ่อ” ยังกินความหมายถึง ความเชื่อ ศรัทธา และพรของพ่อที่พร่ำสวดมนตร์อ้อนวอนต่อพระทุกค่ำคืนให้ลูกชายของตน ปลอดภัย มีความสุข พบเจอกับสิ่งที่ดี และอยู่กับตนตลอดไป นอกจากนี้ยังมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ที่เกี่ยวพันถึงชีวิตของลูกด้วย เพราะตราบใดก็ตามที่ลูกยังคล้องพระของพ่อไว้กับตัว ลูกก็ยังคงมีชีวิตอยู่ ซึ่งนัยนี้เองที่ได้อธิบายความสำคัญของสร้อยพระของพ่อที่ “ผม” กล่าวถึงในตอนต้นเรื่องว่า “เป็นของสำคัญมากที่สุดในชีวิตพ่อ” ในครั้งแรกผู้อ่านและ “ผม” อาจจะตีความสิ่งนี้ว่าเป็นเพียงพระเครื่อง ซึ่งเป็นวัตถุชิ้นหนึ่งเท่านั้น แต่คุณค่าและความหมายของความสำคัญของ “พระองค์นี้” ที่มีต่อพ่อกลับกินความกว้างและยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับชีวิตของลูกตนมาตั้งแต่ต้นแล้ว และในที่สุดผู้เขียนได้ขมวดในตอนจบไว้ว่า “แม้ภาพทรงจำบางส่วนของผมจะเลือนหายไป แต่สิ่งหนึ่งที่ผมยังจำได้ดีเสมอ คือ คำสัญญาที่ผมมีต่อพ่อ” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าท้ายที่สุดแล้ว “ผม” ก็ได้ตระหนักถึงความรักที่พ่อมีต่อเขาแล้ว แม้ว่าผู้เขียนจะไม่ได้เขียนย้ำถึ “พระของพ่อ” ในประโยคสุดท้ายของเรื่อง แต่ผู้อ่านก็เข้าใจถึงนัยประหวัดที่ผู้เขียนต้องการเสนอได้ดีว่าสัญญาที่ผมให้ไว้กับพ่อ ก็คือ การสวมพระของพ่อไว้ตลอด ซึ่งก็คือการรักษาชีวิตของตนให้ปลอดภัยอยู่เสมอนั่นเอง
แม้ว่าเรื่องสั้นเรื่องนี้ ผู้เขียนจะส่งสารความคิดอันมีความหมายลึกซึ้งผ่านสัญลักษณ์และอารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ ของ “ผม” และค่อยๆ เผยแสดงอานุภาพของความรักของพ่อที่มีต่อลูกอย่างค่อยเป็นค่อยไป และแผ่ขยายขอบเขตไปในมิติที่กว้างและลึกซึ้งขึ้น แต่ด้วยลีลาการเขียนที่เนิบช้า พัฒนาการทางอารมณ์ ความเข้มข้นและบีบกระชับของเรื่องราวและเหตุการณ์ที่พัฒนาไปสู่จุดสูงสุดของเรื่อง (climax) ไม่รุนแรง อาจทำให้ผู้อ่านบางกลุ่มไม่สามารถรับสารที่เต็มไปด้วยความละเมียดทางอารมณ์ และละมุนในความรู้สึกนี้ได้อย่างเต็มที่ เพราะหากพิจารณาในระดับผิวเผินจะพบว่าจุดสูงสุดของเรื่อง (climax) ดูจะกลืนกับเนื้อเรื่องไปทั้งหมด จนไม่อาจทราบว่าจุดสูงสุดของเรื่องที่ผู้เขียนต้องการอยู่ที่ใดกันแน่
เรื่องสั้นเรื่องนี้ดูเผินๆ จะเหมือนกับว่าเป็นเรื่องสั้นที่อ่านง่ายๆ เพราะใช้กลวิธีการเขียนที่ไม่ซับซ้อน แต่ในความง่ายนี้กลับซ้อนนัยและความลึกซึ้งไว้อย่างแยบยล ชวนให้ค้นหาและตีความหมายซ้อนเร้นต่างๆ ที่แทรกไว้เป็นระยะๆ โดยตลอดเรื่อง ขณะเดียวกันยังแสดงให้เห็นถึงอานุภาพของความรักของพ่อว่ามีมากจนทำให้เกิดปาฏิหาริย์แห่งความรักอันพิสุทธิ์ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งส่งผลสะเทือนความรู้สึกของผู้อ่านได้อย่างลึกซึ้งกินใจ
--------------------------
ความคิดเห็น