ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Soulmate ปาฏิหาริย์รัก พิทักษ์โลก

    ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 5 ฝัน

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ย. 48


    บทที่ 5 – ฝัน



    “เฮ้ย! ตื่น ๆ เฮอร์มิส ไอ้ขี้เซา”



    “อีกพักน่าแม่” เฮอร์มิสพูดพลางปัดมือของคนปลุกออก



    “ไอ้บ้า ฉันแม่แกที่ไหน แหกตาดูซะสิ” เกรกอรี่ตะคอกพร้อมกับกระชากผ้าห่มของคนขี้เซาออกมาให้มันปรือตาขึ้นมองเบา ๆ อย่างสะลึมสะลือ



    “หืม! เกรกอรี่เองเหรอ มีอะไร จะรีบไปไหน” เสียงแหบแห้งเป็นของเจ้าตัวดีที่บิดขี้เกียจอยู่บนเตียงขวาล่างในห้อง



    “นี่แกจะไม่ไปเรียนใช่ไหม!?!”



    พอคำพูดนั้นจบลง นัยน์ตาสีฟ้าก็เบิกโพลง เจ้าของนัยน์ตาคู่สวยก็รีบกระโดดเหยงขึ้นมาทันที



    “โธ่! เกรกอรี่ ทำไมนายเพิ่งมาปลุกฉัน” เจ้าตัวดีบ่นพลางเปลี่ยนเสื้อผ้าพลาง



    “ความผิดฉันหรือไงหา ไอ้ขี้เซา” ผู้ที่ถูกเจ้าเพื่อนขี้เซาว่าเข้าให้ถามขึ้นอย่างหงุดหงิด ตอนนี้เขาชักรู้สึกว่าเส้นประสาทที่หัวมันกระตุกตุ่บ ๆ ผิดปกติ



    “ก็ถ้าแกรีบปลุกหน่อยฉันก็ไม่ต้องรีบอย่างนี้นี่หว่า” คนขี้เซายังคงบ่นต่อไม่ยอมรับผิด ทั้งยังไม่วายหาวหวอด ๆ ด้วยความง่วงที่ยังค้างอยู่



    “ใครใช้ให้เมื่อคืนแกนอนดึกล่ะ หา!”



    “เออน่า เมื่อคืนแกกับฉันก็คุยด้วยกันไม่ใช่เหรอ กว่าฉันจะจัดตารางสอนเสร็จ แกจัดไว้ก่อนแล้วก็ไม่เห็นมีบอกกันบ้างเลย” เฮอร์มิสบ่นอุบอิบขณะกำลังค้นเตียงที่รกรุงรังเพื่อควานหาคทากับดาบ



    “ใครจะไปรู้ล่ะว่าแกไม่รับผิดชอบขนาดตารางสอนยังไม่ยอมจัด เมื่อวานกลับถึงหอเสร็จก็หกโมงแล้ว ใครใช้ให้แกไปนั่งคุยกับพวกเอลวินล่ะ แล้วเห็นไหม พอแกมาคุยกับฉัน ไอ้พวกนั้นก็ยังรู้หน้าที่ไปจัดของตัวเองกัน ฉันก็นึกว่าแกจัดเสร็จแล้วถึงมาชวนฉันคุย” คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างหงุดหงิดเต็มที่ นัยน์ตาสีเขียวยิ่งจ้องคนตรงหน้าซะเขียวปั้ดกว่าปกติให้คนโดนจ้องสะดุ้งโหยง



    “เออ ช่างเหอะ แล้วไอ้วอลลี่กับเอลวินล่ะ” เฮอร์มิสยิ้มแห้งขณะถามเพื่อเปลี่ยนเรื่อง



    “วอลลี่เพิ่งเสร็จเมื่อกี้ เลยออกไปกะเอลวินก่อนแล้ว ให้ฉันอยู่รอแก มันบอกว่าจะค่อย ๆ เดินรอให้เราตามไป” เกรกอรี่ตอบเซ็ง ๆ เพราะจู่ ๆ เจ้าตัวดีก็เกิดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมา ยังบ่นมันไม่สะใจเลย



    “ตายแล้ว จะแปดโมงแล้ว อย่างนี้ก็ไม่มีเวลากินข้าวอะดิ” เจ้าตัวยุ่งหาข้าวของเสร็จก็รีบวิ่งลงจากเตียงคว้ากระเป๋าแล้วรีบพุ่งไปที่ประตู



    “ไปเร็ว ๆ เกรกอรี่!!”



    พูดจบก็พรวดพราดออกจากห้องไปทันที



    ไอ้นี่... ข้าวก็ไม่กิน น้ำท่าก็ไม่อาบ วันนี้ไม่เหม็นตายให้มันรู้ไป!!



    เกรกอรี่ส่ายหัวอย่างปลงอนิจจาก่อนรีบวิ่งตามออกไป



    “รอด้วยเว้ย!!”



    + + + +



    ออด!



    “ดีนะเข้าทันพอดี” เฮอร์มิสถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอก



    “วิชาแรกของวันนี้...” เอลวินพูดพลางค้นกระเป๋าหาตารางสอน “อ๊า!”



    เด็กหนุ่มตัวอ้วนอุทานเสียงลั่นก่อนจะกล่าวต่อเสียงอ่อยลงทันที “...วิทยาศาสตร์”



    “เฮอะ วิทยาศาสตร์ ฉันล่ะงงจะเรียนไปทำไม มีเวทมนตร์ให้ใช้แล้วยังจะไปใช้พวกนั้นทำไมให้ปวดหัว” วอลลี่ยักไหล่ไม่ใส่ใจ



    “เห็นด้วย!!” เจ้าของเสียงรีบยกมือใหญ่ นัยน์สีฟ้าใสแป๋วนั่นฉายแววจริงจังอย่างเห็นได้ชัด



    “พวกนายพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก พวกนายลองคิดถึงเวลาที่พวกนายใช้เวทมนตร์จนหมดพลังแล้ว สิ่งที่นายจะหาความสบายได้แทนเวทมนตร์คืออะไร ถ้าไม่ใช่วิทยาศาสตร์” คราวนี้เสียงดังมาจากคนที่ไม่รู้จักมาก่อน เป็นน้ำเสียงที่ฟังดูเย็นชาไม่เป็นมิตรเท่าไหร่



    เด็กสาวที่ดูหน้าตาแล้วก็รู้ว่าเป็นเด็กเรียน ใส่แว่นหนาเตอะ ผมสีดำขลับผูกเปียไว้สองข้าง ท่าทางเงียบขรึม ดูเผิน ๆ เหมือนเรียบร้อย แต่นัยน์ตาบ่งบอกถึงความเย็นชา และเป็นคนเอาเรื่องอยู่



    เป็นคนที่ทำเอาคนปากกล้าอย่างเฮอร์มิสชักจะเสียวสันหลังวาบ



    เหมือนไอ้เจ้าอัลรีย่าเลยแฮะ



    “ก็ได้ ก็ยอมรับว่ามันก็สำคัญเหมือนกัน” คนปากดีตอบอย่างจำใจไม่อยากต่อคำ



    “ดีแล้ว” เด็กสาวตอบแล้วหันหลังกลับทันทีอย่างไม่ใส่ใจ



    “อ้าวจะไม่แนะนำตัวกันหน่อยเหรอ เธอน่ะ” พฤติกรรมด่าแล้วหันหลังกลับโดยไม่แนะนำตัว มันชวนให้เขานึกถึงใครบางคนขึ้นมาตงิด ๆ จริง ๆ แต่เขาก็พยายามคิดว่าสาวน้อยตรงหน้าคงอาการดีกว่าไอ้คนนั้นเยอะ  



    “ฉันชื่อเฮอร์มิส เธอชื่ออะไร”



    เด็กสาวใส่แว่นหันหลังกลับมา นัยน์ตาดุ ๆ ของเจ้าหล่อนจ้องมาทางเฮอร์มิส เมื่อเห็นนัยน์ตาอันไร้เดียงสาสีฟ้าใสของเจ้าจอมยุ่ง ก็ให้รู้สึกผ่อนคลาย เด็กแว่นจึงลดความเย็นชาในแววตาลงบ้างแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาน้อยลงกว่าเมื่อครู่นิดนึง



    “ฉันชื่อวีนัส” เจ้าหล่อนแนะนำตัวแล้วก็หันหลังกลับไป



    อุ๊บ! ฮึๆๆ



    ลำบากมากสำหรับเจ้าคนปากดีที่จะกลั้นหัวเราะไว้ได้ถึงกับหลุดหัวเราะพรืดออกมา ก็ทำไงได้ชื่อไม่ได้เข้ากับหน้าเลย ยังดีที่เอามือปิดปากตัวเองไว้ได้ทัน



    พับผ่าสิ ใครตั้งชื่อให้วะเนี่ย



    พลันเด็กสาวผมยาวดำคนหนึ่งเดินมา นัยน์ตาสีดำจ้องมองเฮอร์มิสอย่างอ่อนโยน ดวงหน้าดุจเทพธิดาจุติฉาบด้วยรอยยิ้มบางที่ค่อยขยับแย้มเบา ๆ



    “เมื่อกี้เธอคุยกับวีนัสเหรอ” เด็กสาวถาม เสียงก้องกังวานใสของเธอราวจะสะกดให้ใครต่อใครพากันหลงใหลอย่างไม่ลืมหูลืมตา



    “อืม ใช่ คุยถึงความสำคัญของวิชาวิทยาศาสตร์น่ะ” เจ้าตัวดีตอบอึกอัก ขณะที่กำลังเหม่อมองไปยังสาวน้อยคนสวยอย่างไม่ละสายตา



    สวยมาก สวยจริง ๆ น่าจะเป็นวีนัสมากกว่า



    “วีนัสก็อย่างนี้แหละ ไม่ค่อยจะพูดเล่นเท่าไหร่ ฉันพักห้องเดียวกับเขา ยังไม่ค่อยจะได้คุยกันเลย” เจ้าหล่อนพูดพลางนั่งลงข้าง ๆ เฮอร์มิส



    “อ... อืม” เฮอร์มิสตอบพลางกลืนน้ำลายเอื้อก ๆ ใบหน้าขาว ๆ เริ่มขึ้นสีระเรื่ออย่างห้ามไม่ได้



    “จริงสิ ยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ฉันชื่อ แฟรี่” เด็กสาวกล่าวพลางยื่นมือมา



    “ค...ครับ ผมชื่อเฮอร์มิส ยินดีที่รู้จัก” นัยน์ตาสีฟ้าเป็นประกายระริกก่อนจะค่อย ๆ ยื่นมือออกไปสัมผัส



    นุ่ม... นุ่มอะไรอย่างนี้



    “เฮอร์มิส!!!” เสียงตะโกนลั่นอย่างประหลาดใจเป็นของแฟรี่ “เธอทำยังไงเหรอมือเธอถึงนุ่มขนาดนี้!?!”



    เจ้าหล่อนไม่อยากจะเชื่อ...ว่าจะมีผู้ชายที่ไหนในโลกที่มือนุ่มยังกับผู้หญิง



    ไม่สิ...อาจจะนุ่มกว่าเธอด้วยซ้ำไป



    เสียงลั่นที่ทำให้คนทั้งห้องต้องหันมามองจนเจ้าคนมือนุ่มยิ่งกว่าผู้หญิงต้องรีบหลุบสายตาสีฟ้าคู่สวยลงมองพื้นด้วยความเขินอายก่อนจะรีบปล่อยมือที่จับอยู่กับเจ้าหล่อนทันที



    มันเป็นอะไรที่ทำให้เขารู้สึกเสียความรู้สึกจริง ๆ !!!



    “มือนุ่มจริง ๆ นะ บอกหน่อยสิ ทำยังไง” แฟรี่ยังคงคะยั้นคะยอที่จะถาม คนที่มีรูปเป็นทรัพย์อย่างเธอไม่เคยแพ้ผู้หญิงคนไหนมาก่อนไม่ว่าจะส่วนไหนก็ตาม แต่นี่กลับ...



    มือนุ่มแพ้ผู้ชาย!!



    “ม...ม...ไม่ได้มีอะไรหรอกน่า เราไม่ได้ไปใส่ใจอะไรกับมือมากมายสักหน่อย” เฮอร์มิสตอบโดยที่สายตายังเลี่ยงที่จะสบประสานกับเด็กสาวแสนสวยตรงหน้า



    “เหรอ น่าอิจฉาจัง นี่ขนาดไม่ได้ดูแลอะไรนะเนี่ย” เจ้าหล่อนพูดอย่างเสียดายก่อนจะกล่าวจบการสนทนา “งั้นฉันไปก่อนละกันนะ เฮอร์มิส”



    “อ...อืม” เฮอร์มิสตอบอย่างกระอักกระอ่วน



    ทันทีที่แม่สาวคนสวยกลับไปนั่งที่เจ้าเพื่อนตัวดีก็พูดแซวขึ้น นัยน์ตาสีเขียวเป็นประกายระริกอย่างสะใจไม่น้อย



    “ไง พ่อหนุ่มมือนุ่ม แกมือนุ่มขนาดสาวสวยยังเอ่ยปากชมเชียวหรือ” พูดพลางก็เอามือของเจ้าคนมือนุ่มมาจับ โดยที่อีกข้างก็มีเอลวินกับวอลลี่มาลองจับด้วย



    “เออว่ะ! ทำไมตอนแกยื่นมือให้จับตอนแนะนำตัวกันถึงไม่ได้สังเกตวะ มือนุ่มฉิบหายเลย อย่างนี้ผู้หญิงที่ไหนก็อิจฉา” ไม่แซวเปล่า เกรกอรี่ยังเอาศอกกระทุ้งท้องให้เพื่อนตัวดีถึงกับจุกไปเลยทีเดียว



    “จริงว่ะ ไม่ได้สังเกตเลย” วอลลี่พูดอย่างประหลาดใจ โดยมีเอลวินพยักหน้าหงึก ๆ รับคำ



    “แต่น่าอิจฉามากกว่าตรงที่สาวสวยขนาดนั้นมาฉวยโอกาสขอจับมือตั้งนาน” เอลวินแซวพร้อมกับทำหน้าตาเสียดายที่ผู้โชคดีคนนั้นไม่ใช่ตัว



    “เฮ้ย ๆ ! อาจารย์มาแล้วเว้ย นั่งที่ได้แล้ว” เฮอร์มิสฉวยโอกาสเปลี่ยนเรื่อง เมื่ออาจารย์เข้ามาพอดี



    ตอนแรกก็ดีอยู่หรอก แต่โวยวายขึ้นมาทีรับไม่ได้เลย!!



    อาจารย์สอนวิทยาศาสตร์คนนี้เป็นผู้หญิง ผมยาวตรงสีน้ำตาล หน้าตายังดูสาว อายุไม่น่าจะเกินสามสิบ เธอเดินเข้ามาพร้อมกับหยิบแว่นตาในกระเป๋าเสื้อขึ้นสวม มันทำให้เธอดูทรงภูมิแต่ไม่ได้ทำให้ใบหน้าของเธอดูแก่ลงเลย



    “เอาล่ะ นักเรียนทุกคน ครูชื่อซายส์ สอนวิชาวิทยาศาสตร์ เราจะให้นักเรียนได้รู้ถึงการใช้สิ่งต่าง ๆ ในโลกให้เกิดประโยชน์ โดยไม่ต้องใช้เวทมนตร์ เราจะมีการทำการทดลองเป็นบางครั้ง เผื่อนักเรียนคนไหนชอบ ก็สามารถเลือกเรียนในสายนี้ได้ตอนจะขึ้นระดับผู้เชี่ยวชาญนะทุกคน”



    คาบนั้นทุกคนต่างตั้งใจฟังเพราะเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นอย่างที่สุดสำหรับโลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ คนส่วนใหญ่ที่รู้เรื่องวิทยาศาสตร์ก็มักจะเก็บตัวเป็นนักวิจัยไม่ค่อยมีเด็กคนไหนเคยได้เห็นวิธีการทำงานของเครื่องใช้วิทยาศาสตร์สักที บางคนเพิ่งจะรู้ว่าหลอดไฟฟ้าที่ตนใช้นั้น เป็นสิ่งที่เกิดจากวิทยาศาสตร์ไม่ได้ใช้เวทมนตร์ในการทำงานแต่อย่างใด



    เจ้าเด็กหนุ่มที่นั่งบ่นตอนก่อนเข้าเรียน ตอนนี้นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้น ก็กลับจ้องมองอย่างตั้งใจไปยังหน้าห้องเพื่อเรียนวิชาที่น่าสนใจเช่นนี้



    ครูสอนก็ดูดี วิชาก็น่าสน เจ้าตัวดีคิดพลางนั่งฟังอย่างตั้งใจ



    + + + +    



    “ว้าว เพิ่งจะรู้ว่าวิทยาศาสตร์ก็สนุกได้เหมือนกัน” เฮอร์มิสพูดด้วยนัยน์ตาแวววาวเป็นประกายอย่างบอกให้รู้ว่าพอใจกับวิชาที่ผ่านมามากแค่ไหน



    “อืม ใช่ แถมยังดูจะมีประโยชน์มากด้วย สร้างความสะดวกสบายให้ตัวเองได้ในขณะที่ตัวเองหมดพลังเวทย์” วอลลี่พยักหน้ารับตามอย่างเห็นด้วยเต็มที่ ให้คนใกล้ตัวต้องถอนหายใจเฮือก



    “ไม่ใช่ว่าสนใจอาจารย์หรือไงกัน หา พวกแก ฉันเห็นพวกแกมองกันตาไม่กะพริบเลยนี่หว่า” คำแซวจากเกรกอรี่ที่ทำให้คนปากดีสองคนได้แต่มองตากันก่อนจะหัวเราะแห้ง ๆ ออกมา



    “อารายกัน วิชาต่อไป ประวัติศาสตร์เวทมนตร์หรือนี่” เด็กหนุ่มตัวอ้วนคนหนึ่งกำลังตะโกนโหวกเหวกขึ้นมาท่ามกลางกลุ่มเพื่อน ๆ ของเขา



    “ท่าทางจะมีคนเหมือนแกอีกคนแล้วว่ะ เฮอร์มิส” เกรกอรี่กระซิบแซวอย่างแผ่วเบา เพื่อไม่ให้ใครนอกจากคนในกลุ่มของตัวเองได้ยิน



    “อืม หน้าตาของชิวาสมันใช่หน้าตาของเด็กเรียนที่ไหนล่ะ เหมือนแกจริง ๆ” เอลวินเสริมพร้อมยิ้มอย่างยั่วประสาทคนโดนแซวให้เริ่มกระตุกอย่างคุมไม่อยู่



    “นี่พวกแก ได้ทีเอาใหญ่เชียว ฉันว่าหน้าฉันยังดูเป็นเด็กเรียนมากกว่ามันอีกนะ” เฮอร์มิสพูดพลางชี้นิ้วไปทางที่เด็กหนุ่มตัวอ้วนชื่อชิวาสอยู่



    “แล้วฉันจะคอยดู” เกรกอรี่ว่าพลางหัวเราะหึ ๆ เบา ๆ



    เมื่อถึงเวลาเรียนวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์ คำพูดของเฮอร์มิสที่ว่า “ฉันเป็นเด็กเรียนนะ” ก็ได้ถูกพิสูจน์



    เจ้าตัวดีที่พูดอวดไว้ตอนก่อนเข้าเรียนบัดนี้กำลังนั่งหาวหวอด ๆ อยู่ในห้องเรียน แทบจะสิ้นสติหลับอยู่แล้ว นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ของมือทั้งสองข้างที่เคยจับปากกาจับสมุดอยู่ บัดนี้กลับต้องมาแหกลูกตาตัวเองเพื่อไม่ให้เผลอหลับ



    “ไงล่ะ แก ไอ้ที่แกว่าตั้งใจเรียนน่ะ” เกรกอรี่พูดเย้ย



    “เฮอะ แกจะไปรู้อะไร ดูโน่น” เจ้าตัวดีพูดพลางชี้นิ้วเรียว ๆ ของตัวไปยังที่นั่งของชิวาส “เห็นไหม ไอ้ชิวาสมันหลับไปตั้งนานแล้ว ฉันยังไม่หลับเลย”



    เฮอร์มิสเอาแขนสองข้างขึ้นมาวางบนโต๊ะ แล้วเอาคางวางทับเพื่อจะดูกระดานทั้งๆที่ตาใกล้จะปิดลงแล้ว



    “ฉันยังทนได้อีกนาน” นัยน์ตาสีฟ้าเริ่มหรี่ลง “ยังทนได้...”



    “แล้วฉันจะคอยดูแก จะทนได้อีกสักกี่น้ำ”



    “โรงเรียนนี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจของท่านมู้ดดี้ เทอร์แมน เมื่อหลายพันปีก่อน ไม่มีใครทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ก็มีหลายคนเล่าสืบต่อๆกันมา บ้างว่าที่ท่านเทอร์แมนได้สร้างโรงเรียนแห่งนี้ก็เพื่อเตรียมการยับยั้งการกลับมาของจอมเวทย์ปีศาจ บ้างก็ว่าสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้แก่เจ้านายทั้งสองพระองค์ของท่าน ที่ถูกจอมเวทย์ปีศาจสังหารในระหว่างพิธีแต่งงานของคนทั้งคู่” อาจารย์กรีซ ผู้สอนวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์กำลังพูดด้วยเสียงเรียบเฉื่อยตลอดทั้งคาบ



    แต่เจ้าตัวดีบัดนี้ได้สิ้นสติลงแล้ว กำลังเข้าสู่ห้วงแห่งความฝันอยู่



    สุดท้ายก็หลับจนได้... คงไม่ได้ตื่นจนกว่าจะหมดคาบแน่ ๆ



    เกรกอรี่คิดอย่างปลงอนิจจังก่อนจะหันกลับไปจดเลคเชอร์บนกระดาน



    แมรี่... แมรี่... ไปเล่นกันเถอะ



    เด็กผู้ชายสองคนกำลังชวนเด็กหญิงคนหนึ่งไปเล่นกันตามประสาเด็ก เขารู้สึกคุ้นหน้าเด็กชายทั้งสองมาก แต่เขาไม่สามารถเห็นหน้าของเด็กผู้หญิงได้ เพราะเขาเห็นเหตุการณ์จากทางด้านหลังของเด็กหญิงทั้งหมด



    แล้วภาพของเด็กเหล่านั้นก็หายไป กลายเป็นภาพสวนหย่อมแห่งหนึ่งแทน



    แมรี่ เราแต่งงานกันนะ



    ชายหนุ่มที่มีหน้าตาคล้ายเด็กชายเมื่อครู่คนนึงยื่นแหวนให้กับหญิงสาวที่เฮอร์มิสคิดว่าคงเป็นคนเดียวกับที่เขาเห็นข้างหลังเมื่อครู่ หญิงสาวผู้มีผมยาวหยิกสีทองสวยรับแหวนมาอย่างเต็มใจ



    ฉับพลันภาพทั้งหมดก็หายไปอีกครา แต่คราวนี้เมื่อภาพปรากฏขึ้น แม้จะเป็นสวนหย่อมแห่งเดิมแต่กลับให้ความรู้สึกเยือกเย็น และหวาดกลัวแก่เฮอร์มิสที่ดูอยู่ข้างหลังยิ่งนัก



    ชายคนหนึ่งหน้าตาน่ากลัวกำลังหัวเราะร่วนอยู่ เมื่อเขาหันไปมองสิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนของหญิงสาวก็พบว่า ชายหนุ่มรูปงามคนที่ขอแต่งงานเมื่อครู่ได้สิ้นใจลงอยู่ในอ้อมแขนของเธอคนนั้น



    แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมรู้สึกเหมือนกำลังโอบอุ้มร่างของชายผู้นั้นอยู่ เขารู้สึกได้ถึงอารมณ์ของหญิงสาวผู้นั้น หล่อนเสียใจมาก และเธอก็กำลังร้องเรียกชื่อของชายในอ้อมกอดอยู่ เขารู้สึกเหมือนตัวเองได้ตะโกนร้องเรียกไปด้วย!!!



    “ซึ่งคนทั้งคู่นี้ได้มีการบันทึกไว้ว่าเป็นเจ้าหญิงแห่งเวสท์ชื่อแมรี่ กับเจ้าชายแห่งนอร์ธชื่อ...” อาจารย์กรีซกำลังสอนอยู่ตามปกติ



    “เฟอดินาน!!!...” เสียงละเมอเรียกชื่อของเฮอร์มิสดังขึ้นมาโดยฉับพลัน บัดนี้เจ้าตัวดีรู้สึกตัวตื่นขึ้นแล้ว



    เขากำลังยืนอยู่ท่ามกลางสายตาของทุกคนในห้องกำลังจับตามองมา



    “ถูกต้อง นาย... อะไรนะ” อาจารย์กรีซพูดแล้วหรุบหน้าลงไปดูใบรายชื่อ “อ้อ! ใช่ นายเฮอร์มิส เก่งมาก”



    “แต่คราวหน้าคราวหลังไม่ต้องตะโกนขนาดนี้ก็ได้นะ อยากตอบก็ตอบดี ๆ ก็ได้ ยกมือขึ้นแล้วครูจะอนุญาตเองนะ” คำพูดพร้อมสายตาเฉียบคมที่ส่งมาให้อย่างสื่อถึงความไม่พอใจ ทำให้เฮอร์มิสรู้สึกเสียววาบผิดปกติ



    พูดจบอาจารย์กรีซก็กลับไปสอนต่อ ทุกคนก็หันกลับไปยังกระดาน ส่วนพวกที่กำลังหลับอยู่แล้วตื่นขึ้นมาเพราะเสียงของเฮอร์มิสนั้นก็กลับไปหลับต่อ



    เจ้าตัวดีนั่งลงอย่างงง ๆ ว่าทำไมตัวเองไม่โดนด่า คิดเองอยู่เป็นนานสองนาน พลันหันไปเห็นเพื่อนข้าง ๆ ที่นั่งเรียนตลอดอยู่ เลยถามขึ้น



    “เฮ้ย! เมื่อกี้มันอะไรอะ ทำไมฉันไม่โดนด่า แล้วยังจะอะไรถูกต้องอีก” เจ้าตัวถามงง ๆ พลางเกาหัวแกร่ก



    “ฉันต้องถามแกมากกว่า” เกรกอรี่ถามกลับกลั้วเสียงหัวเราะเบา ๆ เฮอร์มิสรู้สึกแปลกใจ “ทำยังไงถึงละเมอถูกชื่อตามที่อาจารย์กำลังสอนเลยอะ”



    เฮอร์มิสเริ่มงงหนักขึ้นไปอีก มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จึงถามย้ำกลับไปอีกที คราวนี้จึงได้คำตอบมาจากเพื่อนที่ตั้งใจเรียนสักที



    “ก็เมื่อกี้เนี้ย อาจารย์กรีซกำลังสอนเรื่องประวัติของการก่อตั้งโรงเรียนนี้อยู่ กำลังพูดถึงชื่อคู่แต่งงานที่ถูกจอมเวทย์ปีศาจในตำนานสังหารน่ะ เขากำลังจะพูดชื่อฝ่ายชายพอดี นายก็ดันละเมอพรวดพราด สวนขึ้นมาว่า ‘เฟอดินาน’ เสือกถูกอีก เขาก็เลยว่าแกไม่ได้ไง” เกรกอรี่เล่าพลางหัวเราะพลางอย่างกลั้นไม่อยู่



    คราวนี้เจ้าตัวดีก็เข้าใจแล้วว่าทำไมไม่โดนด่า แล้วกำลังนึกถึงความโชคดีของตนที่ฝันเห็นเรื่องนั้นพอดี



    “เออ ใช่ แล้วแกฝันเห็นอะไรวะ ทำให้แกตอบถูกด้วย ดีจัง” เอลวินที่นั่งฟังทั้งสองคุยกันอยู่ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย หน้าตาแสดงถึงความอยากรู้อยากเห็นเต็มที่



    “เออ ใช่ อยากรู้เหมือนกัน” วอลลี่พูดสนับสนุนให้เฮอร์มิสเล่า



    เจ้าตัวดีก็นึกความฝันที่ฝันเมื่อกี้ ก็นึกเลยเถิดไปถึงความฝันเมื่อคืนก่อนวันเปิดเทอมวันแรก



    เฮ้ย! วันนั้นก็ฝันเห็นไอ้หมอนี่นี่หว่า ‘เฟอดินาน’ ใครวะ



    เขาพยายามนึกหน้าแต่ก็นึกไม่ออก



    “เฮ้ย! บอกเร็ว ๆ เด่ะ อมพะนำอยู่ได้ น่ารำคาญ” วอลลี่เร่ง



    “เออ ๆ พูดแล้ว” เฮอร์มิสขณะที่สมองก็กำลังทบทวนเรื่องราวในความฝันต่าง ๆ



    “ก็ตอนแรกเว้ย ฉันฝันเห็นเด็กชายสองคน มาชวนให้เด็กหญิงคนหนึ่งไปเล่นด้วยกัน ฉันเห็นหน้าเด็กสองคนนั้น แต่เด็กผู้หญิงเนี่ยมองหน้าไม่เห็นเพราะฉันมองจากทางด้านหลังของตัวเด็กผู้หญิง” คนเล่ายกมือขึ้นลูบคางเบา ๆ อย่างใช้ความคิด



    “รู้สึกเด็กผู้หญิงคนนั้นจะชื่อ... แมรี่มั้ง”



    คนฟังทั้งสามผงกหัวรับหงึก ๆ และคนเล่าก็เล่าต่อไป



    “จากนั้นภาพเด็ก ๆ ก็หายไป ฉันเห็นเป็นภาพของชายหนุ่มคนหนึ่ง ฉันเดาเอาว่าน่าจะเป็นเด็กชายจากที่ฝันครั้งแรกน่ะแหละ กำลังยื่นแหวนให้แมรี่เพื่อขอแต่งงานในสวนหย่อมแห่งหนึ่ง แล้วแมรี่ก็รับมาด้วยความยินดี จากนั้นภาพก็หายไปอีก กลับมาอีกที รู้สึกว่าจะยังเป็นสถานที่เดิม” เฮอร์มิสหยุดเพื่อทบทวนเหตุการณ์



    “แต่ว่าบรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ท้องฟ้าดำมืด มีชายน่ากลัวคนนึง กำลังหัวเราะด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นและโหดเหี้ยม ขณะที่ในแขนของฉั...”



    อีกรอบที่เขาต้องสะดุด คราวนี้เขารีบเหลือบสายตามองดูเพื่อน ๆ ว่ามีใครสะดุดในคำพูดของเขาไหม แต่พอเห็นว่าไม่มีก็รีบเล่าต่อ กลัวเพื่อนจะมาเร่งอีก



    “ในอ้อมแขนของผู้หญิงที่ชื่อแมรี่น่ะ กำลังกอดร่างไร้วิญญาณของผู้ชายคนหนึ่งอยู่ เจ้าหล่อนคงจะช็อคมากแล้วตะโกนออกมาว่า ‘เฟอดินาน’ ฉันตกใจก็เลยตะโกนเรียกตามน่ะ”



    “มันจะพอดีอะไรอย่างนี้” เกรกอรี่พูดทำท่าครุ่นคิด



    เฮอร์มิสเริ่มคิ้วขมวดด้วยความงงกับท่าทีของเกรกอรี่ จึงหันไปทางวอลลี่



    “ใช่ เป็นไปไม่ได้” วอลลี่พูดต่อด้วยหน้าตาเหวอ ๆ



    เขายังคงไม่ได้คำตอบจากวอลลี่ จึงหันไปทางเอลวิน



    “นอกจากจะพูดชื่อของเจ้าชายแห่งนอร์ธถูกแล้ว ยังพูดชื่อของเจ้าหญิงแห่งเวสท์ถูกอีก” เอลวินกล่าวอย่างงๆ



    ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเพื่อน ๆ กำลังสงสัยอะไร...



    หรือว่า... ที่จริงแล้ว... เรา...



    เป็นแมรี่!?!



    ไม่ใช่หรอกน่า แค่บังเอิญฝันเห็น แค่นั้นเอง



    เราอาจเป็นพวกผู้วิเศษมีอำนาจด้านการย้อนอดีตก็ได้



    ใช่แล้ว... ต้องเป็นอย่างนี้แน่



    แต่ทำไมรู้สึกถึงสัมผัสในอ้อมแขนตอนที่อุ้มศพของเฟอดินานได้ล่ะ



    ความคิดในหัวของเฮอร์มิสกำลังขัดแย้งกันอย่างรุนแรง



    “หรือว่า...” เสียงของวอลลี่ดังขึ้น



    เฮอร์มิสกำลังรอฟังคำสันนิษฐานจากเพื่อนอยู่ว่าจะเป็นยังไง



    “หรือว่าแกจะสามารถระลึกชาติได้” วอลลี่กล่าวคำสันนิษฐาน “แกต้องเคยอยู่ ณ ที่นั้นในชาติที่แล้วแน่ ๆ หรือว่าแกจะเป็น...”



    ไม่ใช่นะ... อย่าเดาอย่างนั้นนะ... ฉันไม่อยากได้ยิน...



    อย่าพูดว่าฉันคือ...



    แมรี่



    “แกคือ...” วอลลี่หยุดคิดก่อนจะพูดต่อ “มู้ดดี้ เทอร์แมน กลับชาติมาเกิด”



    จริงสิ...



    แกไม่ได้บอกไปนี่ว่าแกรู้สึกเหมือนกับตัวเองได้อุ้มศพของเฟอดินานไว้



    ไม่มีใครคิดหรอกว่าตัวเองน่ะคือแมรี่



    เฮอร์มิสคิดพลางโล่งอก แต่เขาก็รู้กับใจว่าบางทีเขาอาจจะเป็นแมรี่ก็ได้



    “ก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่แกจะเป็นมู้ดดี้น่ะ แต่...” เกรกอรี่พูดพลางสะดุดเมื่อรู้สึกมีความสงสัยบางอย่าง



    “เวลาที่คนเขาขอแต่งงานกัน จะยอมให้มีบุคคลที่สามอยู่ด้วยเหรอ” เด็กหนุ่มเปรยในสิ่งที่สงสัยออกมาทำให้เฮอร์มิสถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย โชคดีที่ไม่มีใครสังเกตเห็น



    “เวลาขอแต่งงานก็น่าจะอยู่กันสองคนมากกว่า ถ้าแกเป็นมู้ดดี้กลับชาติมาเกิดจริงคงไม่มีความทรงจำที่เห็นแมรี่กับเฟอดินานกำลังขอแต่งงานกันหรอก”



    “บางที เฮอร์มิสอาจมีพลังหยั่งรู้อดีตก็ได้” เอลวินเสนอความคิด “มันอาจไม่ได้กลับชาติมาเกิดก็ได้”



    นี่เป็นความคิดที่เฮอร์มิสคิดว่าเข้าท่าที่สุดเท่าที่ฟังมา เขาจึงรีบสนับสนุน



    “ใช่ ๆ ฉันอาจจะมีพลังหยั่งรู้อดีตก็ได้”



    “แล้วก่อนหน้านี้แกเคยหยั่งรู้อะไรได้ไหมล่ะ หา!” คำถามอีกระลอกของเกรกอรี่ที่ทำให้เฮอร์มิสถึงกับสะดุ้งอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่จะส่ายหัวเป็นคำตอบให้กับเพื่อนผู้ที่กำลังจ้องมองอยู่



    “บางทีความสามารถนี้อาจจะเพิ่งโผล่มาก็ได้” เจ้าตัวออกความเห็น เพื่อสนับสนุนให้ตนเป็นผู้ที่มีความสามารถหยั่งรู้อดีตได้



    ยังไงซะ เป็นผู้หยั่งรู้อดีต มันก็ดีกว่าชาติที่แล้วเราเป็นผู้หญิงล่ะนะ



    “ฉันว่า...” เกรกอรี่ขมวดคิ้วคิดหนัก “แกน่าจะเป็น...”



    ทั้งสามต่างตั้งใจฟัง ขณะที่จู่ ๆ เกรกอรี่ก็หยุดพูดไป แล้วก็ส่ายหัว ให้คนฟังผิดหวัง



    “คงไม่ใช่หรอก...”



    “เป็นอะไรล่ะเว้ย” จำเลยของบทสนทนาชักทนคู่สนทนาคนนี้ต่อไปไม่ไหว ใครเสนอความคิดอะไรก็ค้านหมด คราวนี้มันจะเสนอว่าเราเป็นอะไรล่ะ



    เกรกอรี่ได้ยินเสียงของเพื่อนตัวที่รู้สึกว่าเริ่มจะมีน้ำโหเลยพูดต่อ “ก็คิดว่าแกเป็นแมรี่น่ะสิ!!”



    สิ้นเสียงของเกรกอรี่ เฮอร์มิสก็หน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที หลายอารมณ์เกิดขึ้นในตัวเขา ทั้งโกรธ ทั้งอาย ตอนนี้ เขาปั้นหน้าไม่ถูกแล้ว



    เกรกอรี่เห็นดังนั้น เลยรีบพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะ “เฮ้ย! พูดเล่นน่ะ ใครจะไปคิดวะว่าแกเคยเป็นผู้หญิงมาเมื่อชาติที่แล้ว ถ้าปากอย่างแกเป็นผู้หญิงได้นี่ ฉันว่าคงไม่มีการสืบพันธุ์มาจนถึงเราแน่”



    สิ้นคำพูดของเกรกอรี่ วอลลี่กับเอลวินก็หัวเราะตามขึ้นมาสมทบกับเกรกอรี่



    เจ้าตัวดีที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกเพื่อนล้อเล่นอย่างแรงก็โมโหอย่างหนัก



    “ไอ้ไก่เกรกอรี่ ไอ้เต่าวอลลี่ ไอ้หมูเอลวิน”



    “เรียกคนอื่นเค้าเต่าได้ไง ถึงแม้ตอนเอาของเข้าไปเก็บในห้องพักฉันจะช้า แต่เมื่อเช้าแกช้าที่สุดนะเว้ย ไอ้แมรี่” วอลลี่สวนกลับอย่างรวดเร็ว



    “ใช่แล้วมาเรียกฉันหมูได้ไง ไม่ได้อ้วนขนาดนั้นสักหน่อย” เอลวินสวนต่ออย่างน้อยใจนิด ๆ  แม้ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดจะไม่เป็นจริงเลยก็ตาม เพราะถ้าอย่างเขาไม่เป็นหมู คนอื่นก็คงเป็นกุ้งแห้งกันไปแล้ว



    “เฮ้ย แล้วเรียกฉันไก่ได้ไงอะ ไม่เอานะเว้ย” เกรกอรี่ก็ไม่พอใจเล็กน้อย “กับอีแค่ล้อเล่นแค่นี้...”



    เฮอร์มิสทั้งอายทั้งโกรธที่ถูกเรียกเป็นแมรี่ หน้าแดงก่ำไปหมดจนกำลังจะกระโดดเข้าไปชกกับเพื่อนๆ ตามประสาลูกผู้ชายอยู่แล้ว ถ้าเผื่อว่าไม่ใช่...



    “อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมของอาจารย์กรีซดังขึ้น



    “พวกเธอคิดว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ นี่มันชั่วโมงเรียนนะ กรุณานั่งลงแล้วเงียบเสียงด้วย” อาจารย์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ขึงขัง ทำให้กลุ่มเด็กทั้งสี่ต้องกลับไปนั่งเงียบ ๆ ตามเดิม



    เจ้าหนุ่มตาสีฟ้าโมโหได้สักพัก ก็เริ่มกลับไปฟุบกับโต๊ะตามเดิม พอเกรกอรี่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หันมาอีกทีก็เห็นแต่ผมสีทองสลวยของเจ้าตัวดีกำลังปิดดวงหน้าอยู่



    “เฮอะ เหมือนเด็กเลยเว้ย โวยวายเสร็จพอเหนื่อยก็หลับ”



    เกรกอรี่พึมพำเบา ๆ พลางส่ายหัว ก่อนจะหันหน้าเข้าหากระดานเพื่อเรียนต่อ



    ----------------------  

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×