ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 5 ฝัน
บทที่ 5 ฝัน
“เฮ้ย! ตื่น ๆ เฮอร์มิส ไอ้ขี้เซา”
“อีกพักน่าแม่” เฮอร์มิสพูดพลางปัดมือของคนปลุกออก
“ไอ้บ้า ฉันแม่แกที่ไหน แหกตาดูซะสิ” เกรกอรี่ตะคอกพร้อมกับกระชากผ้าห่มของคนขี้เซาออกมาให้มันปรือตาขึ้นมองเบา ๆ อย่างสะลึมสะลือ
“หืม! เกรกอรี่เองเหรอ มีอะไร จะรีบไปไหน” เสียงแหบแห้งเป็นของเจ้าตัวดีที่บิดขี้เกียจอยู่บนเตียงขวาล่างในห้อง
“นี่แกจะไม่ไปเรียนใช่ไหม!?!”
พอคำพูดนั้นจบลง นัยน์ตาสีฟ้าก็เบิกโพลง เจ้าของนัยน์ตาคู่สวยก็รีบกระโดดเหยงขึ้นมาทันที
“โธ่! เกรกอรี่ ทำไมนายเพิ่งมาปลุกฉัน” เจ้าตัวดีบ่นพลางเปลี่ยนเสื้อผ้าพลาง
“ความผิดฉันหรือไงหา ไอ้ขี้เซา” ผู้ที่ถูกเจ้าเพื่อนขี้เซาว่าเข้าให้ถามขึ้นอย่างหงุดหงิด ตอนนี้เขาชักรู้สึกว่าเส้นประสาทที่หัวมันกระตุกตุ่บ ๆ ผิดปกติ
“ก็ถ้าแกรีบปลุกหน่อยฉันก็ไม่ต้องรีบอย่างนี้นี่หว่า” คนขี้เซายังคงบ่นต่อไม่ยอมรับผิด ทั้งยังไม่วายหาวหวอด ๆ ด้วยความง่วงที่ยังค้างอยู่
“ใครใช้ให้เมื่อคืนแกนอนดึกล่ะ หา!”
“เออน่า เมื่อคืนแกกับฉันก็คุยด้วยกันไม่ใช่เหรอ กว่าฉันจะจัดตารางสอนเสร็จ แกจัดไว้ก่อนแล้วก็ไม่เห็นมีบอกกันบ้างเลย” เฮอร์มิสบ่นอุบอิบขณะกำลังค้นเตียงที่รกรุงรังเพื่อควานหาคทากับดาบ
“ใครจะไปรู้ล่ะว่าแกไม่รับผิดชอบขนาดตารางสอนยังไม่ยอมจัด เมื่อวานกลับถึงหอเสร็จก็หกโมงแล้ว ใครใช้ให้แกไปนั่งคุยกับพวกเอลวินล่ะ แล้วเห็นไหม พอแกมาคุยกับฉัน ไอ้พวกนั้นก็ยังรู้หน้าที่ไปจัดของตัวเองกัน ฉันก็นึกว่าแกจัดเสร็จแล้วถึงมาชวนฉันคุย” คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างหงุดหงิดเต็มที่ นัยน์ตาสีเขียวยิ่งจ้องคนตรงหน้าซะเขียวปั้ดกว่าปกติให้คนโดนจ้องสะดุ้งโหยง
“เออ ช่างเหอะ แล้วไอ้วอลลี่กับเอลวินล่ะ” เฮอร์มิสยิ้มแห้งขณะถามเพื่อเปลี่ยนเรื่อง
“วอลลี่เพิ่งเสร็จเมื่อกี้ เลยออกไปกะเอลวินก่อนแล้ว ให้ฉันอยู่รอแก มันบอกว่าจะค่อย ๆ เดินรอให้เราตามไป” เกรกอรี่ตอบเซ็ง ๆ เพราะจู่ ๆ เจ้าตัวดีก็เกิดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมา ยังบ่นมันไม่สะใจเลย
“ตายแล้ว จะแปดโมงแล้ว อย่างนี้ก็ไม่มีเวลากินข้าวอะดิ” เจ้าตัวยุ่งหาข้าวของเสร็จก็รีบวิ่งลงจากเตียงคว้ากระเป๋าแล้วรีบพุ่งไปที่ประตู
“ไปเร็ว ๆ เกรกอรี่!!”
พูดจบก็พรวดพราดออกจากห้องไปทันที
ไอ้นี่... ข้าวก็ไม่กิน น้ำท่าก็ไม่อาบ วันนี้ไม่เหม็นตายให้มันรู้ไป!!
เกรกอรี่ส่ายหัวอย่างปลงอนิจจาก่อนรีบวิ่งตามออกไป
“รอด้วยเว้ย!!”
+ + + +
ออด!
“ดีนะเข้าทันพอดี” เฮอร์มิสถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอก
“วิชาแรกของวันนี้...” เอลวินพูดพลางค้นกระเป๋าหาตารางสอน “อ๊า!”
เด็กหนุ่มตัวอ้วนอุทานเสียงลั่นก่อนจะกล่าวต่อเสียงอ่อยลงทันที “...วิทยาศาสตร์”
“เฮอะ วิทยาศาสตร์ ฉันล่ะงงจะเรียนไปทำไม มีเวทมนตร์ให้ใช้แล้วยังจะไปใช้พวกนั้นทำไมให้ปวดหัว” วอลลี่ยักไหล่ไม่ใส่ใจ
“เห็นด้วย!!” เจ้าของเสียงรีบยกมือใหญ่ นัยน์สีฟ้าใสแป๋วนั่นฉายแววจริงจังอย่างเห็นได้ชัด
“พวกนายพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก พวกนายลองคิดถึงเวลาที่พวกนายใช้เวทมนตร์จนหมดพลังแล้ว สิ่งที่นายจะหาความสบายได้แทนเวทมนตร์คืออะไร ถ้าไม่ใช่วิทยาศาสตร์” คราวนี้เสียงดังมาจากคนที่ไม่รู้จักมาก่อน เป็นน้ำเสียงที่ฟังดูเย็นชาไม่เป็นมิตรเท่าไหร่
เด็กสาวที่ดูหน้าตาแล้วก็รู้ว่าเป็นเด็กเรียน ใส่แว่นหนาเตอะ ผมสีดำขลับผูกเปียไว้สองข้าง ท่าทางเงียบขรึม ดูเผิน ๆ เหมือนเรียบร้อย แต่นัยน์ตาบ่งบอกถึงความเย็นชา และเป็นคนเอาเรื่องอยู่
เป็นคนที่ทำเอาคนปากกล้าอย่างเฮอร์มิสชักจะเสียวสันหลังวาบ
เหมือนไอ้เจ้าอัลรีย่าเลยแฮะ
“ก็ได้ ก็ยอมรับว่ามันก็สำคัญเหมือนกัน” คนปากดีตอบอย่างจำใจไม่อยากต่อคำ
“ดีแล้ว” เด็กสาวตอบแล้วหันหลังกลับทันทีอย่างไม่ใส่ใจ
“อ้าวจะไม่แนะนำตัวกันหน่อยเหรอ เธอน่ะ” พฤติกรรมด่าแล้วหันหลังกลับโดยไม่แนะนำตัว มันชวนให้เขานึกถึงใครบางคนขึ้นมาตงิด ๆ จริง ๆ แต่เขาก็พยายามคิดว่าสาวน้อยตรงหน้าคงอาการดีกว่าไอ้คนนั้นเยอะ 
“ฉันชื่อเฮอร์มิส เธอชื่ออะไร”
เด็กสาวใส่แว่นหันหลังกลับมา นัยน์ตาดุ ๆ ของเจ้าหล่อนจ้องมาทางเฮอร์มิส เมื่อเห็นนัยน์ตาอันไร้เดียงสาสีฟ้าใสของเจ้าจอมยุ่ง ก็ให้รู้สึกผ่อนคลาย เด็กแว่นจึงลดความเย็นชาในแววตาลงบ้างแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาน้อยลงกว่าเมื่อครู่นิดนึง
“ฉันชื่อวีนัส” เจ้าหล่อนแนะนำตัวแล้วก็หันหลังกลับไป
อุ๊บ! ฮึๆๆ
ลำบากมากสำหรับเจ้าคนปากดีที่จะกลั้นหัวเราะไว้ได้ถึงกับหลุดหัวเราะพรืดออกมา ก็ทำไงได้ชื่อไม่ได้เข้ากับหน้าเลย ยังดีที่เอามือปิดปากตัวเองไว้ได้ทัน
พับผ่าสิ ใครตั้งชื่อให้วะเนี่ย
พลันเด็กสาวผมยาวดำคนหนึ่งเดินมา นัยน์ตาสีดำจ้องมองเฮอร์มิสอย่างอ่อนโยน ดวงหน้าดุจเทพธิดาจุติฉาบด้วยรอยยิ้มบางที่ค่อยขยับแย้มเบา ๆ
“เมื่อกี้เธอคุยกับวีนัสเหรอ” เด็กสาวถาม เสียงก้องกังวานใสของเธอราวจะสะกดให้ใครต่อใครพากันหลงใหลอย่างไม่ลืมหูลืมตา
“อืม ใช่ คุยถึงความสำคัญของวิชาวิทยาศาสตร์น่ะ” เจ้าตัวดีตอบอึกอัก ขณะที่กำลังเหม่อมองไปยังสาวน้อยคนสวยอย่างไม่ละสายตา
สวยมาก สวยจริง ๆ น่าจะเป็นวีนัสมากกว่า
“วีนัสก็อย่างนี้แหละ ไม่ค่อยจะพูดเล่นเท่าไหร่ ฉันพักห้องเดียวกับเขา ยังไม่ค่อยจะได้คุยกันเลย” เจ้าหล่อนพูดพลางนั่งลงข้าง ๆ เฮอร์มิส
“อ... อืม” เฮอร์มิสตอบพลางกลืนน้ำลายเอื้อก ๆ ใบหน้าขาว ๆ เริ่มขึ้นสีระเรื่ออย่างห้ามไม่ได้
“จริงสิ ยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ฉันชื่อ แฟรี่” เด็กสาวกล่าวพลางยื่นมือมา
“ค...ครับ ผมชื่อเฮอร์มิส ยินดีที่รู้จัก” นัยน์ตาสีฟ้าเป็นประกายระริกก่อนจะค่อย ๆ ยื่นมือออกไปสัมผัส
นุ่ม... นุ่มอะไรอย่างนี้
“เฮอร์มิส!!!” เสียงตะโกนลั่นอย่างประหลาดใจเป็นของแฟรี่ “เธอทำยังไงเหรอมือเธอถึงนุ่มขนาดนี้!?!”
เจ้าหล่อนไม่อยากจะเชื่อ...ว่าจะมีผู้ชายที่ไหนในโลกที่มือนุ่มยังกับผู้หญิง
ไม่สิ...อาจจะนุ่มกว่าเธอด้วยซ้ำไป
เสียงลั่นที่ทำให้คนทั้งห้องต้องหันมามองจนเจ้าคนมือนุ่มยิ่งกว่าผู้หญิงต้องรีบหลุบสายตาสีฟ้าคู่สวยลงมองพื้นด้วยความเขินอายก่อนจะรีบปล่อยมือที่จับอยู่กับเจ้าหล่อนทันที
มันเป็นอะไรที่ทำให้เขารู้สึกเสียความรู้สึกจริง ๆ !!!
“มือนุ่มจริง ๆ นะ บอกหน่อยสิ ทำยังไง” แฟรี่ยังคงคะยั้นคะยอที่จะถาม คนที่มีรูปเป็นทรัพย์อย่างเธอไม่เคยแพ้ผู้หญิงคนไหนมาก่อนไม่ว่าจะส่วนไหนก็ตาม แต่นี่กลับ...
มือนุ่มแพ้ผู้ชาย!!
“ม...ม...ไม่ได้มีอะไรหรอกน่า เราไม่ได้ไปใส่ใจอะไรกับมือมากมายสักหน่อย” เฮอร์มิสตอบโดยที่สายตายังเลี่ยงที่จะสบประสานกับเด็กสาวแสนสวยตรงหน้า
“เหรอ น่าอิจฉาจัง นี่ขนาดไม่ได้ดูแลอะไรนะเนี่ย” เจ้าหล่อนพูดอย่างเสียดายก่อนจะกล่าวจบการสนทนา “งั้นฉันไปก่อนละกันนะ เฮอร์มิส”
“อ...อืม” เฮอร์มิสตอบอย่างกระอักกระอ่วน
ทันทีที่แม่สาวคนสวยกลับไปนั่งที่เจ้าเพื่อนตัวดีก็พูดแซวขึ้น นัยน์ตาสีเขียวเป็นประกายระริกอย่างสะใจไม่น้อย
“ไง พ่อหนุ่มมือนุ่ม แกมือนุ่มขนาดสาวสวยยังเอ่ยปากชมเชียวหรือ” พูดพลางก็เอามือของเจ้าคนมือนุ่มมาจับ โดยที่อีกข้างก็มีเอลวินกับวอลลี่มาลองจับด้วย
“เออว่ะ! ทำไมตอนแกยื่นมือให้จับตอนแนะนำตัวกันถึงไม่ได้สังเกตวะ มือนุ่มฉิบหายเลย อย่างนี้ผู้หญิงที่ไหนก็อิจฉา” ไม่แซวเปล่า เกรกอรี่ยังเอาศอกกระทุ้งท้องให้เพื่อนตัวดีถึงกับจุกไปเลยทีเดียว
“จริงว่ะ ไม่ได้สังเกตเลย” วอลลี่พูดอย่างประหลาดใจ โดยมีเอลวินพยักหน้าหงึก ๆ รับคำ
“แต่น่าอิจฉามากกว่าตรงที่สาวสวยขนาดนั้นมาฉวยโอกาสขอจับมือตั้งนาน” เอลวินแซวพร้อมกับทำหน้าตาเสียดายที่ผู้โชคดีคนนั้นไม่ใช่ตัว
“เฮ้ย ๆ ! อาจารย์มาแล้วเว้ย นั่งที่ได้แล้ว” เฮอร์มิสฉวยโอกาสเปลี่ยนเรื่อง เมื่ออาจารย์เข้ามาพอดี
ตอนแรกก็ดีอยู่หรอก แต่โวยวายขึ้นมาทีรับไม่ได้เลย!!
อาจารย์สอนวิทยาศาสตร์คนนี้เป็นผู้หญิง ผมยาวตรงสีน้ำตาล หน้าตายังดูสาว อายุไม่น่าจะเกินสามสิบ เธอเดินเข้ามาพร้อมกับหยิบแว่นตาในกระเป๋าเสื้อขึ้นสวม มันทำให้เธอดูทรงภูมิแต่ไม่ได้ทำให้ใบหน้าของเธอดูแก่ลงเลย
“เอาล่ะ นักเรียนทุกคน ครูชื่อซายส์ สอนวิชาวิทยาศาสตร์ เราจะให้นักเรียนได้รู้ถึงการใช้สิ่งต่าง ๆ ในโลกให้เกิดประโยชน์ โดยไม่ต้องใช้เวทมนตร์ เราจะมีการทำการทดลองเป็นบางครั้ง เผื่อนักเรียนคนไหนชอบ ก็สามารถเลือกเรียนในสายนี้ได้ตอนจะขึ้นระดับผู้เชี่ยวชาญนะทุกคน”
คาบนั้นทุกคนต่างตั้งใจฟังเพราะเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นอย่างที่สุดสำหรับโลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ คนส่วนใหญ่ที่รู้เรื่องวิทยาศาสตร์ก็มักจะเก็บตัวเป็นนักวิจัยไม่ค่อยมีเด็กคนไหนเคยได้เห็นวิธีการทำงานของเครื่องใช้วิทยาศาสตร์สักที บางคนเพิ่งจะรู้ว่าหลอดไฟฟ้าที่ตนใช้นั้น เป็นสิ่งที่เกิดจากวิทยาศาสตร์ไม่ได้ใช้เวทมนตร์ในการทำงานแต่อย่างใด
เจ้าเด็กหนุ่มที่นั่งบ่นตอนก่อนเข้าเรียน ตอนนี้นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้น ก็กลับจ้องมองอย่างตั้งใจไปยังหน้าห้องเพื่อเรียนวิชาที่น่าสนใจเช่นนี้
ครูสอนก็ดูดี วิชาก็น่าสน เจ้าตัวดีคิดพลางนั่งฟังอย่างตั้งใจ
+ + + +   
“ว้าว เพิ่งจะรู้ว่าวิทยาศาสตร์ก็สนุกได้เหมือนกัน” เฮอร์มิสพูดด้วยนัยน์ตาแวววาวเป็นประกายอย่างบอกให้รู้ว่าพอใจกับวิชาที่ผ่านมามากแค่ไหน
“อืม ใช่ แถมยังดูจะมีประโยชน์มากด้วย สร้างความสะดวกสบายให้ตัวเองได้ในขณะที่ตัวเองหมดพลังเวทย์” วอลลี่พยักหน้ารับตามอย่างเห็นด้วยเต็มที่ ให้คนใกล้ตัวต้องถอนหายใจเฮือก
“ไม่ใช่ว่าสนใจอาจารย์หรือไงกัน หา พวกแก ฉันเห็นพวกแกมองกันตาไม่กะพริบเลยนี่หว่า” คำแซวจากเกรกอรี่ที่ทำให้คนปากดีสองคนได้แต่มองตากันก่อนจะหัวเราะแห้ง ๆ ออกมา
“อารายกัน วิชาต่อไป ประวัติศาสตร์เวทมนตร์หรือนี่” เด็กหนุ่มตัวอ้วนคนหนึ่งกำลังตะโกนโหวกเหวกขึ้นมาท่ามกลางกลุ่มเพื่อน ๆ ของเขา
“ท่าทางจะมีคนเหมือนแกอีกคนแล้วว่ะ เฮอร์มิส” เกรกอรี่กระซิบแซวอย่างแผ่วเบา เพื่อไม่ให้ใครนอกจากคนในกลุ่มของตัวเองได้ยิน
“อืม หน้าตาของชิวาสมันใช่หน้าตาของเด็กเรียนที่ไหนล่ะ เหมือนแกจริง ๆ” เอลวินเสริมพร้อมยิ้มอย่างยั่วประสาทคนโดนแซวให้เริ่มกระตุกอย่างคุมไม่อยู่
“นี่พวกแก ได้ทีเอาใหญ่เชียว ฉันว่าหน้าฉันยังดูเป็นเด็กเรียนมากกว่ามันอีกนะ” เฮอร์มิสพูดพลางชี้นิ้วไปทางที่เด็กหนุ่มตัวอ้วนชื่อชิวาสอยู่
“แล้วฉันจะคอยดู” เกรกอรี่ว่าพลางหัวเราะหึ ๆ เบา ๆ
เมื่อถึงเวลาเรียนวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์ คำพูดของเฮอร์มิสที่ว่า “ฉันเป็นเด็กเรียนนะ” ก็ได้ถูกพิสูจน์
เจ้าตัวดีที่พูดอวดไว้ตอนก่อนเข้าเรียนบัดนี้กำลังนั่งหาวหวอด ๆ อยู่ในห้องเรียน แทบจะสิ้นสติหลับอยู่แล้ว นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ของมือทั้งสองข้างที่เคยจับปากกาจับสมุดอยู่ บัดนี้กลับต้องมาแหกลูกตาตัวเองเพื่อไม่ให้เผลอหลับ
“ไงล่ะ แก ไอ้ที่แกว่าตั้งใจเรียนน่ะ” เกรกอรี่พูดเย้ย
“เฮอะ แกจะไปรู้อะไร ดูโน่น” เจ้าตัวดีพูดพลางชี้นิ้วเรียว ๆ ของตัวไปยังที่นั่งของชิวาส “เห็นไหม ไอ้ชิวาสมันหลับไปตั้งนานแล้ว ฉันยังไม่หลับเลย”
เฮอร์มิสเอาแขนสองข้างขึ้นมาวางบนโต๊ะ แล้วเอาคางวางทับเพื่อจะดูกระดานทั้งๆที่ตาใกล้จะปิดลงแล้ว
“ฉันยังทนได้อีกนาน” นัยน์ตาสีฟ้าเริ่มหรี่ลง “ยังทนได้...”
“แล้วฉันจะคอยดูแก จะทนได้อีกสักกี่น้ำ”
“โรงเรียนนี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจของท่านมู้ดดี้ เทอร์แมน เมื่อหลายพันปีก่อน ไม่มีใครทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ก็มีหลายคนเล่าสืบต่อๆกันมา บ้างว่าที่ท่านเทอร์แมนได้สร้างโรงเรียนแห่งนี้ก็เพื่อเตรียมการยับยั้งการกลับมาของจอมเวทย์ปีศาจ บ้างก็ว่าสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้แก่เจ้านายทั้งสองพระองค์ของท่าน ที่ถูกจอมเวทย์ปีศาจสังหารในระหว่างพิธีแต่งงานของคนทั้งคู่” อาจารย์กรีซ ผู้สอนวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์กำลังพูดด้วยเสียงเรียบเฉื่อยตลอดทั้งคาบ
แต่เจ้าตัวดีบัดนี้ได้สิ้นสติลงแล้ว กำลังเข้าสู่ห้วงแห่งความฝันอยู่
สุดท้ายก็หลับจนได้... คงไม่ได้ตื่นจนกว่าจะหมดคาบแน่ ๆ
เกรกอรี่คิดอย่างปลงอนิจจังก่อนจะหันกลับไปจดเลคเชอร์บนกระดาน
แมรี่... แมรี่... ไปเล่นกันเถอะ
เด็กผู้ชายสองคนกำลังชวนเด็กหญิงคนหนึ่งไปเล่นกันตามประสาเด็ก เขารู้สึกคุ้นหน้าเด็กชายทั้งสองมาก แต่เขาไม่สามารถเห็นหน้าของเด็กผู้หญิงได้ เพราะเขาเห็นเหตุการณ์จากทางด้านหลังของเด็กหญิงทั้งหมด
แล้วภาพของเด็กเหล่านั้นก็หายไป กลายเป็นภาพสวนหย่อมแห่งหนึ่งแทน
แมรี่ เราแต่งงานกันนะ
ชายหนุ่มที่มีหน้าตาคล้ายเด็กชายเมื่อครู่คนนึงยื่นแหวนให้กับหญิงสาวที่เฮอร์มิสคิดว่าคงเป็นคนเดียวกับที่เขาเห็นข้างหลังเมื่อครู่ หญิงสาวผู้มีผมยาวหยิกสีทองสวยรับแหวนมาอย่างเต็มใจ
ฉับพลันภาพทั้งหมดก็หายไปอีกครา แต่คราวนี้เมื่อภาพปรากฏขึ้น แม้จะเป็นสวนหย่อมแห่งเดิมแต่กลับให้ความรู้สึกเยือกเย็น และหวาดกลัวแก่เฮอร์มิสที่ดูอยู่ข้างหลังยิ่งนัก
ชายคนหนึ่งหน้าตาน่ากลัวกำลังหัวเราะร่วนอยู่ เมื่อเขาหันไปมองสิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนของหญิงสาวก็พบว่า ชายหนุ่มรูปงามคนที่ขอแต่งงานเมื่อครู่ได้สิ้นใจลงอยู่ในอ้อมแขนของเธอคนนั้น
แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมรู้สึกเหมือนกำลังโอบอุ้มร่างของชายผู้นั้นอยู่ เขารู้สึกได้ถึงอารมณ์ของหญิงสาวผู้นั้น หล่อนเสียใจมาก และเธอก็กำลังร้องเรียกชื่อของชายในอ้อมกอดอยู่ เขารู้สึกเหมือนตัวเองได้ตะโกนร้องเรียกไปด้วย!!!
“ซึ่งคนทั้งคู่นี้ได้มีการบันทึกไว้ว่าเป็นเจ้าหญิงแห่งเวสท์ชื่อแมรี่ กับเจ้าชายแห่งนอร์ธชื่อ...” อาจารย์กรีซกำลังสอนอยู่ตามปกติ
“เฟอดินาน!!!...” เสียงละเมอเรียกชื่อของเฮอร์มิสดังขึ้นมาโดยฉับพลัน บัดนี้เจ้าตัวดีรู้สึกตัวตื่นขึ้นแล้ว
เขากำลังยืนอยู่ท่ามกลางสายตาของทุกคนในห้องกำลังจับตามองมา
“ถูกต้อง นาย... อะไรนะ” อาจารย์กรีซพูดแล้วหรุบหน้าลงไปดูใบรายชื่อ “อ้อ! ใช่ นายเฮอร์มิส เก่งมาก”
“แต่คราวหน้าคราวหลังไม่ต้องตะโกนขนาดนี้ก็ได้นะ อยากตอบก็ตอบดี ๆ ก็ได้ ยกมือขึ้นแล้วครูจะอนุญาตเองนะ” คำพูดพร้อมสายตาเฉียบคมที่ส่งมาให้อย่างสื่อถึงความไม่พอใจ ทำให้เฮอร์มิสรู้สึกเสียววาบผิดปกติ
พูดจบอาจารย์กรีซก็กลับไปสอนต่อ ทุกคนก็หันกลับไปยังกระดาน ส่วนพวกที่กำลังหลับอยู่แล้วตื่นขึ้นมาเพราะเสียงของเฮอร์มิสนั้นก็กลับไปหลับต่อ
เจ้าตัวดีนั่งลงอย่างงง ๆ ว่าทำไมตัวเองไม่โดนด่า คิดเองอยู่เป็นนานสองนาน พลันหันไปเห็นเพื่อนข้าง ๆ ที่นั่งเรียนตลอดอยู่ เลยถามขึ้น
“เฮ้ย! เมื่อกี้มันอะไรอะ ทำไมฉันไม่โดนด่า แล้วยังจะอะไรถูกต้องอีก” เจ้าตัวถามงง ๆ พลางเกาหัวแกร่ก
“ฉันต้องถามแกมากกว่า” เกรกอรี่ถามกลับกลั้วเสียงหัวเราะเบา ๆ เฮอร์มิสรู้สึกแปลกใจ “ทำยังไงถึงละเมอถูกชื่อตามที่อาจารย์กำลังสอนเลยอะ”
เฮอร์มิสเริ่มงงหนักขึ้นไปอีก มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จึงถามย้ำกลับไปอีกที คราวนี้จึงได้คำตอบมาจากเพื่อนที่ตั้งใจเรียนสักที
“ก็เมื่อกี้เนี้ย อาจารย์กรีซกำลังสอนเรื่องประวัติของการก่อตั้งโรงเรียนนี้อยู่ กำลังพูดถึงชื่อคู่แต่งงานที่ถูกจอมเวทย์ปีศาจในตำนานสังหารน่ะ เขากำลังจะพูดชื่อฝ่ายชายพอดี นายก็ดันละเมอพรวดพราด สวนขึ้นมาว่า ‘เฟอดินาน’ เสือกถูกอีก เขาก็เลยว่าแกไม่ได้ไง” เกรกอรี่เล่าพลางหัวเราะพลางอย่างกลั้นไม่อยู่
คราวนี้เจ้าตัวดีก็เข้าใจแล้วว่าทำไมไม่โดนด่า แล้วกำลังนึกถึงความโชคดีของตนที่ฝันเห็นเรื่องนั้นพอดี
“เออ ใช่ แล้วแกฝันเห็นอะไรวะ ทำให้แกตอบถูกด้วย ดีจัง” เอลวินที่นั่งฟังทั้งสองคุยกันอยู่ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย หน้าตาแสดงถึงความอยากรู้อยากเห็นเต็มที่
“เออ ใช่ อยากรู้เหมือนกัน” วอลลี่พูดสนับสนุนให้เฮอร์มิสเล่า
เจ้าตัวดีก็นึกความฝันที่ฝันเมื่อกี้ ก็นึกเลยเถิดไปถึงความฝันเมื่อคืนก่อนวันเปิดเทอมวันแรก
เฮ้ย! วันนั้นก็ฝันเห็นไอ้หมอนี่นี่หว่า ‘เฟอดินาน’ ใครวะ
เขาพยายามนึกหน้าแต่ก็นึกไม่ออก
“เฮ้ย! บอกเร็ว ๆ เด่ะ อมพะนำอยู่ได้ น่ารำคาญ” วอลลี่เร่ง
“เออ ๆ พูดแล้ว” เฮอร์มิสขณะที่สมองก็กำลังทบทวนเรื่องราวในความฝันต่าง ๆ
“ก็ตอนแรกเว้ย ฉันฝันเห็นเด็กชายสองคน มาชวนให้เด็กหญิงคนหนึ่งไปเล่นด้วยกัน ฉันเห็นหน้าเด็กสองคนนั้น แต่เด็กผู้หญิงเนี่ยมองหน้าไม่เห็นเพราะฉันมองจากทางด้านหลังของตัวเด็กผู้หญิง” คนเล่ายกมือขึ้นลูบคางเบา ๆ อย่างใช้ความคิด
“รู้สึกเด็กผู้หญิงคนนั้นจะชื่อ... แมรี่มั้ง”
คนฟังทั้งสามผงกหัวรับหงึก ๆ และคนเล่าก็เล่าต่อไป
“จากนั้นภาพเด็ก ๆ ก็หายไป ฉันเห็นเป็นภาพของชายหนุ่มคนหนึ่ง ฉันเดาเอาว่าน่าจะเป็นเด็กชายจากที่ฝันครั้งแรกน่ะแหละ กำลังยื่นแหวนให้แมรี่เพื่อขอแต่งงานในสวนหย่อมแห่งหนึ่ง แล้วแมรี่ก็รับมาด้วยความยินดี จากนั้นภาพก็หายไปอีก กลับมาอีกที รู้สึกว่าจะยังเป็นสถานที่เดิม” เฮอร์มิสหยุดเพื่อทบทวนเหตุการณ์
“แต่ว่าบรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ท้องฟ้าดำมืด มีชายน่ากลัวคนนึง กำลังหัวเราะด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นและโหดเหี้ยม ขณะที่ในแขนของฉั...”
อีกรอบที่เขาต้องสะดุด คราวนี้เขารีบเหลือบสายตามองดูเพื่อน ๆ ว่ามีใครสะดุดในคำพูดของเขาไหม แต่พอเห็นว่าไม่มีก็รีบเล่าต่อ กลัวเพื่อนจะมาเร่งอีก
“ในอ้อมแขนของผู้หญิงที่ชื่อแมรี่น่ะ กำลังกอดร่างไร้วิญญาณของผู้ชายคนหนึ่งอยู่ เจ้าหล่อนคงจะช็อคมากแล้วตะโกนออกมาว่า ‘เฟอดินาน’ ฉันตกใจก็เลยตะโกนเรียกตามน่ะ”
“มันจะพอดีอะไรอย่างนี้” เกรกอรี่พูดทำท่าครุ่นคิด
เฮอร์มิสเริ่มคิ้วขมวดด้วยความงงกับท่าทีของเกรกอรี่ จึงหันไปทางวอลลี่
“ใช่ เป็นไปไม่ได้” วอลลี่พูดต่อด้วยหน้าตาเหวอ ๆ
เขายังคงไม่ได้คำตอบจากวอลลี่ จึงหันไปทางเอลวิน
“นอกจากจะพูดชื่อของเจ้าชายแห่งนอร์ธถูกแล้ว ยังพูดชื่อของเจ้าหญิงแห่งเวสท์ถูกอีก” เอลวินกล่าวอย่างงๆ
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเพื่อน ๆ กำลังสงสัยอะไร...
หรือว่า... ที่จริงแล้ว... เรา...
เป็นแมรี่!?!
ไม่ใช่หรอกน่า แค่บังเอิญฝันเห็น แค่นั้นเอง
เราอาจเป็นพวกผู้วิเศษมีอำนาจด้านการย้อนอดีตก็ได้
ใช่แล้ว... ต้องเป็นอย่างนี้แน่
แต่ทำไมรู้สึกถึงสัมผัสในอ้อมแขนตอนที่อุ้มศพของเฟอดินานได้ล่ะ
ความคิดในหัวของเฮอร์มิสกำลังขัดแย้งกันอย่างรุนแรง
“หรือว่า...” เสียงของวอลลี่ดังขึ้น
เฮอร์มิสกำลังรอฟังคำสันนิษฐานจากเพื่อนอยู่ว่าจะเป็นยังไง
“หรือว่าแกจะสามารถระลึกชาติได้” วอลลี่กล่าวคำสันนิษฐาน “แกต้องเคยอยู่ ณ ที่นั้นในชาติที่แล้วแน่ ๆ หรือว่าแกจะเป็น...”
ไม่ใช่นะ... อย่าเดาอย่างนั้นนะ... ฉันไม่อยากได้ยิน...
อย่าพูดว่าฉันคือ...
แมรี่
“แกคือ...” วอลลี่หยุดคิดก่อนจะพูดต่อ “มู้ดดี้ เทอร์แมน กลับชาติมาเกิด”
จริงสิ...
แกไม่ได้บอกไปนี่ว่าแกรู้สึกเหมือนกับตัวเองได้อุ้มศพของเฟอดินานไว้
ไม่มีใครคิดหรอกว่าตัวเองน่ะคือแมรี่
เฮอร์มิสคิดพลางโล่งอก แต่เขาก็รู้กับใจว่าบางทีเขาอาจจะเป็นแมรี่ก็ได้
“ก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่แกจะเป็นมู้ดดี้น่ะ แต่...” เกรกอรี่พูดพลางสะดุดเมื่อรู้สึกมีความสงสัยบางอย่าง
“เวลาที่คนเขาขอแต่งงานกัน จะยอมให้มีบุคคลที่สามอยู่ด้วยเหรอ” เด็กหนุ่มเปรยในสิ่งที่สงสัยออกมาทำให้เฮอร์มิสถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย โชคดีที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
“เวลาขอแต่งงานก็น่าจะอยู่กันสองคนมากกว่า ถ้าแกเป็นมู้ดดี้กลับชาติมาเกิดจริงคงไม่มีความทรงจำที่เห็นแมรี่กับเฟอดินานกำลังขอแต่งงานกันหรอก”
“บางที เฮอร์มิสอาจมีพลังหยั่งรู้อดีตก็ได้” เอลวินเสนอความคิด “มันอาจไม่ได้กลับชาติมาเกิดก็ได้”
นี่เป็นความคิดที่เฮอร์มิสคิดว่าเข้าท่าที่สุดเท่าที่ฟังมา เขาจึงรีบสนับสนุน
“ใช่ ๆ ฉันอาจจะมีพลังหยั่งรู้อดีตก็ได้”
“แล้วก่อนหน้านี้แกเคยหยั่งรู้อะไรได้ไหมล่ะ หา!” คำถามอีกระลอกของเกรกอรี่ที่ทำให้เฮอร์มิสถึงกับสะดุ้งอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่จะส่ายหัวเป็นคำตอบให้กับเพื่อนผู้ที่กำลังจ้องมองอยู่
“บางทีความสามารถนี้อาจจะเพิ่งโผล่มาก็ได้” เจ้าตัวออกความเห็น เพื่อสนับสนุนให้ตนเป็นผู้ที่มีความสามารถหยั่งรู้อดีตได้
ยังไงซะ เป็นผู้หยั่งรู้อดีต มันก็ดีกว่าชาติที่แล้วเราเป็นผู้หญิงล่ะนะ
“ฉันว่า...” เกรกอรี่ขมวดคิ้วคิดหนัก “แกน่าจะเป็น...”
ทั้งสามต่างตั้งใจฟัง ขณะที่จู่ ๆ เกรกอรี่ก็หยุดพูดไป แล้วก็ส่ายหัว ให้คนฟังผิดหวัง
“คงไม่ใช่หรอก...”
“เป็นอะไรล่ะเว้ย” จำเลยของบทสนทนาชักทนคู่สนทนาคนนี้ต่อไปไม่ไหว ใครเสนอความคิดอะไรก็ค้านหมด คราวนี้มันจะเสนอว่าเราเป็นอะไรล่ะ
เกรกอรี่ได้ยินเสียงของเพื่อนตัวที่รู้สึกว่าเริ่มจะมีน้ำโหเลยพูดต่อ “ก็คิดว่าแกเป็นแมรี่น่ะสิ!!”
สิ้นเสียงของเกรกอรี่ เฮอร์มิสก็หน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที หลายอารมณ์เกิดขึ้นในตัวเขา ทั้งโกรธ ทั้งอาย ตอนนี้ เขาปั้นหน้าไม่ถูกแล้ว
เกรกอรี่เห็นดังนั้น เลยรีบพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะ “เฮ้ย! พูดเล่นน่ะ ใครจะไปคิดวะว่าแกเคยเป็นผู้หญิงมาเมื่อชาติที่แล้ว ถ้าปากอย่างแกเป็นผู้หญิงได้นี่ ฉันว่าคงไม่มีการสืบพันธุ์มาจนถึงเราแน่”
สิ้นคำพูดของเกรกอรี่ วอลลี่กับเอลวินก็หัวเราะตามขึ้นมาสมทบกับเกรกอรี่
เจ้าตัวดีที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกเพื่อนล้อเล่นอย่างแรงก็โมโหอย่างหนัก
“ไอ้ไก่เกรกอรี่ ไอ้เต่าวอลลี่ ไอ้หมูเอลวิน”
“เรียกคนอื่นเค้าเต่าได้ไง ถึงแม้ตอนเอาของเข้าไปเก็บในห้องพักฉันจะช้า แต่เมื่อเช้าแกช้าที่สุดนะเว้ย ไอ้แมรี่” วอลลี่สวนกลับอย่างรวดเร็ว
“ใช่แล้วมาเรียกฉันหมูได้ไง ไม่ได้อ้วนขนาดนั้นสักหน่อย” เอลวินสวนต่ออย่างน้อยใจนิด ๆ  แม้ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดจะไม่เป็นจริงเลยก็ตาม เพราะถ้าอย่างเขาไม่เป็นหมู คนอื่นก็คงเป็นกุ้งแห้งกันไปแล้ว
“เฮ้ย แล้วเรียกฉันไก่ได้ไงอะ ไม่เอานะเว้ย” เกรกอรี่ก็ไม่พอใจเล็กน้อย “กับอีแค่ล้อเล่นแค่นี้...”
เฮอร์มิสทั้งอายทั้งโกรธที่ถูกเรียกเป็นแมรี่ หน้าแดงก่ำไปหมดจนกำลังจะกระโดดเข้าไปชกกับเพื่อนๆ ตามประสาลูกผู้ชายอยู่แล้ว ถ้าเผื่อว่าไม่ใช่...
“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมของอาจารย์กรีซดังขึ้น
“พวกเธอคิดว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ นี่มันชั่วโมงเรียนนะ กรุณานั่งลงแล้วเงียบเสียงด้วย” อาจารย์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ขึงขัง ทำให้กลุ่มเด็กทั้งสี่ต้องกลับไปนั่งเงียบ ๆ ตามเดิม
เจ้าหนุ่มตาสีฟ้าโมโหได้สักพัก ก็เริ่มกลับไปฟุบกับโต๊ะตามเดิม พอเกรกอรี่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หันมาอีกทีก็เห็นแต่ผมสีทองสลวยของเจ้าตัวดีกำลังปิดดวงหน้าอยู่
“เฮอะ เหมือนเด็กเลยเว้ย โวยวายเสร็จพอเหนื่อยก็หลับ”
เกรกอรี่พึมพำเบา ๆ พลางส่ายหัว ก่อนจะหันหน้าเข้าหากระดานเพื่อเรียนต่อ
---------------------- 
“เฮ้ย! ตื่น ๆ เฮอร์มิส ไอ้ขี้เซา”
“อีกพักน่าแม่” เฮอร์มิสพูดพลางปัดมือของคนปลุกออก
“ไอ้บ้า ฉันแม่แกที่ไหน แหกตาดูซะสิ” เกรกอรี่ตะคอกพร้อมกับกระชากผ้าห่มของคนขี้เซาออกมาให้มันปรือตาขึ้นมองเบา ๆ อย่างสะลึมสะลือ
“หืม! เกรกอรี่เองเหรอ มีอะไร จะรีบไปไหน” เสียงแหบแห้งเป็นของเจ้าตัวดีที่บิดขี้เกียจอยู่บนเตียงขวาล่างในห้อง
“นี่แกจะไม่ไปเรียนใช่ไหม!?!”
พอคำพูดนั้นจบลง นัยน์ตาสีฟ้าก็เบิกโพลง เจ้าของนัยน์ตาคู่สวยก็รีบกระโดดเหยงขึ้นมาทันที
“โธ่! เกรกอรี่ ทำไมนายเพิ่งมาปลุกฉัน” เจ้าตัวดีบ่นพลางเปลี่ยนเสื้อผ้าพลาง
“ความผิดฉันหรือไงหา ไอ้ขี้เซา” ผู้ที่ถูกเจ้าเพื่อนขี้เซาว่าเข้าให้ถามขึ้นอย่างหงุดหงิด ตอนนี้เขาชักรู้สึกว่าเส้นประสาทที่หัวมันกระตุกตุ่บ ๆ ผิดปกติ
“ก็ถ้าแกรีบปลุกหน่อยฉันก็ไม่ต้องรีบอย่างนี้นี่หว่า” คนขี้เซายังคงบ่นต่อไม่ยอมรับผิด ทั้งยังไม่วายหาวหวอด ๆ ด้วยความง่วงที่ยังค้างอยู่
“ใครใช้ให้เมื่อคืนแกนอนดึกล่ะ หา!”
“เออน่า เมื่อคืนแกกับฉันก็คุยด้วยกันไม่ใช่เหรอ กว่าฉันจะจัดตารางสอนเสร็จ แกจัดไว้ก่อนแล้วก็ไม่เห็นมีบอกกันบ้างเลย” เฮอร์มิสบ่นอุบอิบขณะกำลังค้นเตียงที่รกรุงรังเพื่อควานหาคทากับดาบ
“ใครจะไปรู้ล่ะว่าแกไม่รับผิดชอบขนาดตารางสอนยังไม่ยอมจัด เมื่อวานกลับถึงหอเสร็จก็หกโมงแล้ว ใครใช้ให้แกไปนั่งคุยกับพวกเอลวินล่ะ แล้วเห็นไหม พอแกมาคุยกับฉัน ไอ้พวกนั้นก็ยังรู้หน้าที่ไปจัดของตัวเองกัน ฉันก็นึกว่าแกจัดเสร็จแล้วถึงมาชวนฉันคุย” คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างหงุดหงิดเต็มที่ นัยน์ตาสีเขียวยิ่งจ้องคนตรงหน้าซะเขียวปั้ดกว่าปกติให้คนโดนจ้องสะดุ้งโหยง
“เออ ช่างเหอะ แล้วไอ้วอลลี่กับเอลวินล่ะ” เฮอร์มิสยิ้มแห้งขณะถามเพื่อเปลี่ยนเรื่อง
“วอลลี่เพิ่งเสร็จเมื่อกี้ เลยออกไปกะเอลวินก่อนแล้ว ให้ฉันอยู่รอแก มันบอกว่าจะค่อย ๆ เดินรอให้เราตามไป” เกรกอรี่ตอบเซ็ง ๆ เพราะจู่ ๆ เจ้าตัวดีก็เกิดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมา ยังบ่นมันไม่สะใจเลย
“ตายแล้ว จะแปดโมงแล้ว อย่างนี้ก็ไม่มีเวลากินข้าวอะดิ” เจ้าตัวยุ่งหาข้าวของเสร็จก็รีบวิ่งลงจากเตียงคว้ากระเป๋าแล้วรีบพุ่งไปที่ประตู
“ไปเร็ว ๆ เกรกอรี่!!”
พูดจบก็พรวดพราดออกจากห้องไปทันที
ไอ้นี่... ข้าวก็ไม่กิน น้ำท่าก็ไม่อาบ วันนี้ไม่เหม็นตายให้มันรู้ไป!!
เกรกอรี่ส่ายหัวอย่างปลงอนิจจาก่อนรีบวิ่งตามออกไป
“รอด้วยเว้ย!!”
+ + + +
ออด!
“ดีนะเข้าทันพอดี” เฮอร์มิสถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอก
“วิชาแรกของวันนี้...” เอลวินพูดพลางค้นกระเป๋าหาตารางสอน “อ๊า!”
เด็กหนุ่มตัวอ้วนอุทานเสียงลั่นก่อนจะกล่าวต่อเสียงอ่อยลงทันที “...วิทยาศาสตร์”
“เฮอะ วิทยาศาสตร์ ฉันล่ะงงจะเรียนไปทำไม มีเวทมนตร์ให้ใช้แล้วยังจะไปใช้พวกนั้นทำไมให้ปวดหัว” วอลลี่ยักไหล่ไม่ใส่ใจ
“เห็นด้วย!!” เจ้าของเสียงรีบยกมือใหญ่ นัยน์สีฟ้าใสแป๋วนั่นฉายแววจริงจังอย่างเห็นได้ชัด
“พวกนายพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก พวกนายลองคิดถึงเวลาที่พวกนายใช้เวทมนตร์จนหมดพลังแล้ว สิ่งที่นายจะหาความสบายได้แทนเวทมนตร์คืออะไร ถ้าไม่ใช่วิทยาศาสตร์” คราวนี้เสียงดังมาจากคนที่ไม่รู้จักมาก่อน เป็นน้ำเสียงที่ฟังดูเย็นชาไม่เป็นมิตรเท่าไหร่
เด็กสาวที่ดูหน้าตาแล้วก็รู้ว่าเป็นเด็กเรียน ใส่แว่นหนาเตอะ ผมสีดำขลับผูกเปียไว้สองข้าง ท่าทางเงียบขรึม ดูเผิน ๆ เหมือนเรียบร้อย แต่นัยน์ตาบ่งบอกถึงความเย็นชา และเป็นคนเอาเรื่องอยู่
เป็นคนที่ทำเอาคนปากกล้าอย่างเฮอร์มิสชักจะเสียวสันหลังวาบ
เหมือนไอ้เจ้าอัลรีย่าเลยแฮะ
“ก็ได้ ก็ยอมรับว่ามันก็สำคัญเหมือนกัน” คนปากดีตอบอย่างจำใจไม่อยากต่อคำ
“ดีแล้ว” เด็กสาวตอบแล้วหันหลังกลับทันทีอย่างไม่ใส่ใจ
“อ้าวจะไม่แนะนำตัวกันหน่อยเหรอ เธอน่ะ” พฤติกรรมด่าแล้วหันหลังกลับโดยไม่แนะนำตัว มันชวนให้เขานึกถึงใครบางคนขึ้นมาตงิด ๆ จริง ๆ แต่เขาก็พยายามคิดว่าสาวน้อยตรงหน้าคงอาการดีกว่าไอ้คนนั้นเยอะ 
“ฉันชื่อเฮอร์มิส เธอชื่ออะไร”
เด็กสาวใส่แว่นหันหลังกลับมา นัยน์ตาดุ ๆ ของเจ้าหล่อนจ้องมาทางเฮอร์มิส เมื่อเห็นนัยน์ตาอันไร้เดียงสาสีฟ้าใสของเจ้าจอมยุ่ง ก็ให้รู้สึกผ่อนคลาย เด็กแว่นจึงลดความเย็นชาในแววตาลงบ้างแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาน้อยลงกว่าเมื่อครู่นิดนึง
“ฉันชื่อวีนัส” เจ้าหล่อนแนะนำตัวแล้วก็หันหลังกลับไป
อุ๊บ! ฮึๆๆ
ลำบากมากสำหรับเจ้าคนปากดีที่จะกลั้นหัวเราะไว้ได้ถึงกับหลุดหัวเราะพรืดออกมา ก็ทำไงได้ชื่อไม่ได้เข้ากับหน้าเลย ยังดีที่เอามือปิดปากตัวเองไว้ได้ทัน
พับผ่าสิ ใครตั้งชื่อให้วะเนี่ย
พลันเด็กสาวผมยาวดำคนหนึ่งเดินมา นัยน์ตาสีดำจ้องมองเฮอร์มิสอย่างอ่อนโยน ดวงหน้าดุจเทพธิดาจุติฉาบด้วยรอยยิ้มบางที่ค่อยขยับแย้มเบา ๆ
“เมื่อกี้เธอคุยกับวีนัสเหรอ” เด็กสาวถาม เสียงก้องกังวานใสของเธอราวจะสะกดให้ใครต่อใครพากันหลงใหลอย่างไม่ลืมหูลืมตา
“อืม ใช่ คุยถึงความสำคัญของวิชาวิทยาศาสตร์น่ะ” เจ้าตัวดีตอบอึกอัก ขณะที่กำลังเหม่อมองไปยังสาวน้อยคนสวยอย่างไม่ละสายตา
สวยมาก สวยจริง ๆ น่าจะเป็นวีนัสมากกว่า
“วีนัสก็อย่างนี้แหละ ไม่ค่อยจะพูดเล่นเท่าไหร่ ฉันพักห้องเดียวกับเขา ยังไม่ค่อยจะได้คุยกันเลย” เจ้าหล่อนพูดพลางนั่งลงข้าง ๆ เฮอร์มิส
“อ... อืม” เฮอร์มิสตอบพลางกลืนน้ำลายเอื้อก ๆ ใบหน้าขาว ๆ เริ่มขึ้นสีระเรื่ออย่างห้ามไม่ได้
“จริงสิ ยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ฉันชื่อ แฟรี่” เด็กสาวกล่าวพลางยื่นมือมา
“ค...ครับ ผมชื่อเฮอร์มิส ยินดีที่รู้จัก” นัยน์ตาสีฟ้าเป็นประกายระริกก่อนจะค่อย ๆ ยื่นมือออกไปสัมผัส
นุ่ม... นุ่มอะไรอย่างนี้
“เฮอร์มิส!!!” เสียงตะโกนลั่นอย่างประหลาดใจเป็นของแฟรี่ “เธอทำยังไงเหรอมือเธอถึงนุ่มขนาดนี้!?!”
เจ้าหล่อนไม่อยากจะเชื่อ...ว่าจะมีผู้ชายที่ไหนในโลกที่มือนุ่มยังกับผู้หญิง
ไม่สิ...อาจจะนุ่มกว่าเธอด้วยซ้ำไป
เสียงลั่นที่ทำให้คนทั้งห้องต้องหันมามองจนเจ้าคนมือนุ่มยิ่งกว่าผู้หญิงต้องรีบหลุบสายตาสีฟ้าคู่สวยลงมองพื้นด้วยความเขินอายก่อนจะรีบปล่อยมือที่จับอยู่กับเจ้าหล่อนทันที
มันเป็นอะไรที่ทำให้เขารู้สึกเสียความรู้สึกจริง ๆ !!!
“มือนุ่มจริง ๆ นะ บอกหน่อยสิ ทำยังไง” แฟรี่ยังคงคะยั้นคะยอที่จะถาม คนที่มีรูปเป็นทรัพย์อย่างเธอไม่เคยแพ้ผู้หญิงคนไหนมาก่อนไม่ว่าจะส่วนไหนก็ตาม แต่นี่กลับ...
มือนุ่มแพ้ผู้ชาย!!
“ม...ม...ไม่ได้มีอะไรหรอกน่า เราไม่ได้ไปใส่ใจอะไรกับมือมากมายสักหน่อย” เฮอร์มิสตอบโดยที่สายตายังเลี่ยงที่จะสบประสานกับเด็กสาวแสนสวยตรงหน้า
“เหรอ น่าอิจฉาจัง นี่ขนาดไม่ได้ดูแลอะไรนะเนี่ย” เจ้าหล่อนพูดอย่างเสียดายก่อนจะกล่าวจบการสนทนา “งั้นฉันไปก่อนละกันนะ เฮอร์มิส”
“อ...อืม” เฮอร์มิสตอบอย่างกระอักกระอ่วน
ทันทีที่แม่สาวคนสวยกลับไปนั่งที่เจ้าเพื่อนตัวดีก็พูดแซวขึ้น นัยน์ตาสีเขียวเป็นประกายระริกอย่างสะใจไม่น้อย
“ไง พ่อหนุ่มมือนุ่ม แกมือนุ่มขนาดสาวสวยยังเอ่ยปากชมเชียวหรือ” พูดพลางก็เอามือของเจ้าคนมือนุ่มมาจับ โดยที่อีกข้างก็มีเอลวินกับวอลลี่มาลองจับด้วย
“เออว่ะ! ทำไมตอนแกยื่นมือให้จับตอนแนะนำตัวกันถึงไม่ได้สังเกตวะ มือนุ่มฉิบหายเลย อย่างนี้ผู้หญิงที่ไหนก็อิจฉา” ไม่แซวเปล่า เกรกอรี่ยังเอาศอกกระทุ้งท้องให้เพื่อนตัวดีถึงกับจุกไปเลยทีเดียว
“จริงว่ะ ไม่ได้สังเกตเลย” วอลลี่พูดอย่างประหลาดใจ โดยมีเอลวินพยักหน้าหงึก ๆ รับคำ
“แต่น่าอิจฉามากกว่าตรงที่สาวสวยขนาดนั้นมาฉวยโอกาสขอจับมือตั้งนาน” เอลวินแซวพร้อมกับทำหน้าตาเสียดายที่ผู้โชคดีคนนั้นไม่ใช่ตัว
“เฮ้ย ๆ ! อาจารย์มาแล้วเว้ย นั่งที่ได้แล้ว” เฮอร์มิสฉวยโอกาสเปลี่ยนเรื่อง เมื่ออาจารย์เข้ามาพอดี
ตอนแรกก็ดีอยู่หรอก แต่โวยวายขึ้นมาทีรับไม่ได้เลย!!
อาจารย์สอนวิทยาศาสตร์คนนี้เป็นผู้หญิง ผมยาวตรงสีน้ำตาล หน้าตายังดูสาว อายุไม่น่าจะเกินสามสิบ เธอเดินเข้ามาพร้อมกับหยิบแว่นตาในกระเป๋าเสื้อขึ้นสวม มันทำให้เธอดูทรงภูมิแต่ไม่ได้ทำให้ใบหน้าของเธอดูแก่ลงเลย
“เอาล่ะ นักเรียนทุกคน ครูชื่อซายส์ สอนวิชาวิทยาศาสตร์ เราจะให้นักเรียนได้รู้ถึงการใช้สิ่งต่าง ๆ ในโลกให้เกิดประโยชน์ โดยไม่ต้องใช้เวทมนตร์ เราจะมีการทำการทดลองเป็นบางครั้ง เผื่อนักเรียนคนไหนชอบ ก็สามารถเลือกเรียนในสายนี้ได้ตอนจะขึ้นระดับผู้เชี่ยวชาญนะทุกคน”
คาบนั้นทุกคนต่างตั้งใจฟังเพราะเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นอย่างที่สุดสำหรับโลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ คนส่วนใหญ่ที่รู้เรื่องวิทยาศาสตร์ก็มักจะเก็บตัวเป็นนักวิจัยไม่ค่อยมีเด็กคนไหนเคยได้เห็นวิธีการทำงานของเครื่องใช้วิทยาศาสตร์สักที บางคนเพิ่งจะรู้ว่าหลอดไฟฟ้าที่ตนใช้นั้น เป็นสิ่งที่เกิดจากวิทยาศาสตร์ไม่ได้ใช้เวทมนตร์ในการทำงานแต่อย่างใด
เจ้าเด็กหนุ่มที่นั่งบ่นตอนก่อนเข้าเรียน ตอนนี้นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้น ก็กลับจ้องมองอย่างตั้งใจไปยังหน้าห้องเพื่อเรียนวิชาที่น่าสนใจเช่นนี้
ครูสอนก็ดูดี วิชาก็น่าสน เจ้าตัวดีคิดพลางนั่งฟังอย่างตั้งใจ
+ + + +   
“ว้าว เพิ่งจะรู้ว่าวิทยาศาสตร์ก็สนุกได้เหมือนกัน” เฮอร์มิสพูดด้วยนัยน์ตาแวววาวเป็นประกายอย่างบอกให้รู้ว่าพอใจกับวิชาที่ผ่านมามากแค่ไหน
“อืม ใช่ แถมยังดูจะมีประโยชน์มากด้วย สร้างความสะดวกสบายให้ตัวเองได้ในขณะที่ตัวเองหมดพลังเวทย์” วอลลี่พยักหน้ารับตามอย่างเห็นด้วยเต็มที่ ให้คนใกล้ตัวต้องถอนหายใจเฮือก
“ไม่ใช่ว่าสนใจอาจารย์หรือไงกัน หา พวกแก ฉันเห็นพวกแกมองกันตาไม่กะพริบเลยนี่หว่า” คำแซวจากเกรกอรี่ที่ทำให้คนปากดีสองคนได้แต่มองตากันก่อนจะหัวเราะแห้ง ๆ ออกมา
“อารายกัน วิชาต่อไป ประวัติศาสตร์เวทมนตร์หรือนี่” เด็กหนุ่มตัวอ้วนคนหนึ่งกำลังตะโกนโหวกเหวกขึ้นมาท่ามกลางกลุ่มเพื่อน ๆ ของเขา
“ท่าทางจะมีคนเหมือนแกอีกคนแล้วว่ะ เฮอร์มิส” เกรกอรี่กระซิบแซวอย่างแผ่วเบา เพื่อไม่ให้ใครนอกจากคนในกลุ่มของตัวเองได้ยิน
“อืม หน้าตาของชิวาสมันใช่หน้าตาของเด็กเรียนที่ไหนล่ะ เหมือนแกจริง ๆ” เอลวินเสริมพร้อมยิ้มอย่างยั่วประสาทคนโดนแซวให้เริ่มกระตุกอย่างคุมไม่อยู่
“นี่พวกแก ได้ทีเอาใหญ่เชียว ฉันว่าหน้าฉันยังดูเป็นเด็กเรียนมากกว่ามันอีกนะ” เฮอร์มิสพูดพลางชี้นิ้วไปทางที่เด็กหนุ่มตัวอ้วนชื่อชิวาสอยู่
“แล้วฉันจะคอยดู” เกรกอรี่ว่าพลางหัวเราะหึ ๆ เบา ๆ
เมื่อถึงเวลาเรียนวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์ คำพูดของเฮอร์มิสที่ว่า “ฉันเป็นเด็กเรียนนะ” ก็ได้ถูกพิสูจน์
เจ้าตัวดีที่พูดอวดไว้ตอนก่อนเข้าเรียนบัดนี้กำลังนั่งหาวหวอด ๆ อยู่ในห้องเรียน แทบจะสิ้นสติหลับอยู่แล้ว นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ของมือทั้งสองข้างที่เคยจับปากกาจับสมุดอยู่ บัดนี้กลับต้องมาแหกลูกตาตัวเองเพื่อไม่ให้เผลอหลับ
“ไงล่ะ แก ไอ้ที่แกว่าตั้งใจเรียนน่ะ” เกรกอรี่พูดเย้ย
“เฮอะ แกจะไปรู้อะไร ดูโน่น” เจ้าตัวดีพูดพลางชี้นิ้วเรียว ๆ ของตัวไปยังที่นั่งของชิวาส “เห็นไหม ไอ้ชิวาสมันหลับไปตั้งนานแล้ว ฉันยังไม่หลับเลย”
เฮอร์มิสเอาแขนสองข้างขึ้นมาวางบนโต๊ะ แล้วเอาคางวางทับเพื่อจะดูกระดานทั้งๆที่ตาใกล้จะปิดลงแล้ว
“ฉันยังทนได้อีกนาน” นัยน์ตาสีฟ้าเริ่มหรี่ลง “ยังทนได้...”
“แล้วฉันจะคอยดูแก จะทนได้อีกสักกี่น้ำ”
“โรงเรียนนี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจของท่านมู้ดดี้ เทอร์แมน เมื่อหลายพันปีก่อน ไม่มีใครทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ก็มีหลายคนเล่าสืบต่อๆกันมา บ้างว่าที่ท่านเทอร์แมนได้สร้างโรงเรียนแห่งนี้ก็เพื่อเตรียมการยับยั้งการกลับมาของจอมเวทย์ปีศาจ บ้างก็ว่าสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้แก่เจ้านายทั้งสองพระองค์ของท่าน ที่ถูกจอมเวทย์ปีศาจสังหารในระหว่างพิธีแต่งงานของคนทั้งคู่” อาจารย์กรีซ ผู้สอนวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์กำลังพูดด้วยเสียงเรียบเฉื่อยตลอดทั้งคาบ
แต่เจ้าตัวดีบัดนี้ได้สิ้นสติลงแล้ว กำลังเข้าสู่ห้วงแห่งความฝันอยู่
สุดท้ายก็หลับจนได้... คงไม่ได้ตื่นจนกว่าจะหมดคาบแน่ ๆ
เกรกอรี่คิดอย่างปลงอนิจจังก่อนจะหันกลับไปจดเลคเชอร์บนกระดาน
แมรี่... แมรี่... ไปเล่นกันเถอะ
เด็กผู้ชายสองคนกำลังชวนเด็กหญิงคนหนึ่งไปเล่นกันตามประสาเด็ก เขารู้สึกคุ้นหน้าเด็กชายทั้งสองมาก แต่เขาไม่สามารถเห็นหน้าของเด็กผู้หญิงได้ เพราะเขาเห็นเหตุการณ์จากทางด้านหลังของเด็กหญิงทั้งหมด
แล้วภาพของเด็กเหล่านั้นก็หายไป กลายเป็นภาพสวนหย่อมแห่งหนึ่งแทน
แมรี่ เราแต่งงานกันนะ
ชายหนุ่มที่มีหน้าตาคล้ายเด็กชายเมื่อครู่คนนึงยื่นแหวนให้กับหญิงสาวที่เฮอร์มิสคิดว่าคงเป็นคนเดียวกับที่เขาเห็นข้างหลังเมื่อครู่ หญิงสาวผู้มีผมยาวหยิกสีทองสวยรับแหวนมาอย่างเต็มใจ
ฉับพลันภาพทั้งหมดก็หายไปอีกครา แต่คราวนี้เมื่อภาพปรากฏขึ้น แม้จะเป็นสวนหย่อมแห่งเดิมแต่กลับให้ความรู้สึกเยือกเย็น และหวาดกลัวแก่เฮอร์มิสที่ดูอยู่ข้างหลังยิ่งนัก
ชายคนหนึ่งหน้าตาน่ากลัวกำลังหัวเราะร่วนอยู่ เมื่อเขาหันไปมองสิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนของหญิงสาวก็พบว่า ชายหนุ่มรูปงามคนที่ขอแต่งงานเมื่อครู่ได้สิ้นใจลงอยู่ในอ้อมแขนของเธอคนนั้น
แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมรู้สึกเหมือนกำลังโอบอุ้มร่างของชายผู้นั้นอยู่ เขารู้สึกได้ถึงอารมณ์ของหญิงสาวผู้นั้น หล่อนเสียใจมาก และเธอก็กำลังร้องเรียกชื่อของชายในอ้อมกอดอยู่ เขารู้สึกเหมือนตัวเองได้ตะโกนร้องเรียกไปด้วย!!!
“ซึ่งคนทั้งคู่นี้ได้มีการบันทึกไว้ว่าเป็นเจ้าหญิงแห่งเวสท์ชื่อแมรี่ กับเจ้าชายแห่งนอร์ธชื่อ...” อาจารย์กรีซกำลังสอนอยู่ตามปกติ
“เฟอดินาน!!!...” เสียงละเมอเรียกชื่อของเฮอร์มิสดังขึ้นมาโดยฉับพลัน บัดนี้เจ้าตัวดีรู้สึกตัวตื่นขึ้นแล้ว
เขากำลังยืนอยู่ท่ามกลางสายตาของทุกคนในห้องกำลังจับตามองมา
“ถูกต้อง นาย... อะไรนะ” อาจารย์กรีซพูดแล้วหรุบหน้าลงไปดูใบรายชื่อ “อ้อ! ใช่ นายเฮอร์มิส เก่งมาก”
“แต่คราวหน้าคราวหลังไม่ต้องตะโกนขนาดนี้ก็ได้นะ อยากตอบก็ตอบดี ๆ ก็ได้ ยกมือขึ้นแล้วครูจะอนุญาตเองนะ” คำพูดพร้อมสายตาเฉียบคมที่ส่งมาให้อย่างสื่อถึงความไม่พอใจ ทำให้เฮอร์มิสรู้สึกเสียววาบผิดปกติ
พูดจบอาจารย์กรีซก็กลับไปสอนต่อ ทุกคนก็หันกลับไปยังกระดาน ส่วนพวกที่กำลังหลับอยู่แล้วตื่นขึ้นมาเพราะเสียงของเฮอร์มิสนั้นก็กลับไปหลับต่อ
เจ้าตัวดีนั่งลงอย่างงง ๆ ว่าทำไมตัวเองไม่โดนด่า คิดเองอยู่เป็นนานสองนาน พลันหันไปเห็นเพื่อนข้าง ๆ ที่นั่งเรียนตลอดอยู่ เลยถามขึ้น
“เฮ้ย! เมื่อกี้มันอะไรอะ ทำไมฉันไม่โดนด่า แล้วยังจะอะไรถูกต้องอีก” เจ้าตัวถามงง ๆ พลางเกาหัวแกร่ก
“ฉันต้องถามแกมากกว่า” เกรกอรี่ถามกลับกลั้วเสียงหัวเราะเบา ๆ เฮอร์มิสรู้สึกแปลกใจ “ทำยังไงถึงละเมอถูกชื่อตามที่อาจารย์กำลังสอนเลยอะ”
เฮอร์มิสเริ่มงงหนักขึ้นไปอีก มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จึงถามย้ำกลับไปอีกที คราวนี้จึงได้คำตอบมาจากเพื่อนที่ตั้งใจเรียนสักที
“ก็เมื่อกี้เนี้ย อาจารย์กรีซกำลังสอนเรื่องประวัติของการก่อตั้งโรงเรียนนี้อยู่ กำลังพูดถึงชื่อคู่แต่งงานที่ถูกจอมเวทย์ปีศาจในตำนานสังหารน่ะ เขากำลังจะพูดชื่อฝ่ายชายพอดี นายก็ดันละเมอพรวดพราด สวนขึ้นมาว่า ‘เฟอดินาน’ เสือกถูกอีก เขาก็เลยว่าแกไม่ได้ไง” เกรกอรี่เล่าพลางหัวเราะพลางอย่างกลั้นไม่อยู่
คราวนี้เจ้าตัวดีก็เข้าใจแล้วว่าทำไมไม่โดนด่า แล้วกำลังนึกถึงความโชคดีของตนที่ฝันเห็นเรื่องนั้นพอดี
“เออ ใช่ แล้วแกฝันเห็นอะไรวะ ทำให้แกตอบถูกด้วย ดีจัง” เอลวินที่นั่งฟังทั้งสองคุยกันอยู่ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย หน้าตาแสดงถึงความอยากรู้อยากเห็นเต็มที่
“เออ ใช่ อยากรู้เหมือนกัน” วอลลี่พูดสนับสนุนให้เฮอร์มิสเล่า
เจ้าตัวดีก็นึกความฝันที่ฝันเมื่อกี้ ก็นึกเลยเถิดไปถึงความฝันเมื่อคืนก่อนวันเปิดเทอมวันแรก
เฮ้ย! วันนั้นก็ฝันเห็นไอ้หมอนี่นี่หว่า ‘เฟอดินาน’ ใครวะ
เขาพยายามนึกหน้าแต่ก็นึกไม่ออก
“เฮ้ย! บอกเร็ว ๆ เด่ะ อมพะนำอยู่ได้ น่ารำคาญ” วอลลี่เร่ง
“เออ ๆ พูดแล้ว” เฮอร์มิสขณะที่สมองก็กำลังทบทวนเรื่องราวในความฝันต่าง ๆ
“ก็ตอนแรกเว้ย ฉันฝันเห็นเด็กชายสองคน มาชวนให้เด็กหญิงคนหนึ่งไปเล่นด้วยกัน ฉันเห็นหน้าเด็กสองคนนั้น แต่เด็กผู้หญิงเนี่ยมองหน้าไม่เห็นเพราะฉันมองจากทางด้านหลังของตัวเด็กผู้หญิง” คนเล่ายกมือขึ้นลูบคางเบา ๆ อย่างใช้ความคิด
“รู้สึกเด็กผู้หญิงคนนั้นจะชื่อ... แมรี่มั้ง”
คนฟังทั้งสามผงกหัวรับหงึก ๆ และคนเล่าก็เล่าต่อไป
“จากนั้นภาพเด็ก ๆ ก็หายไป ฉันเห็นเป็นภาพของชายหนุ่มคนหนึ่ง ฉันเดาเอาว่าน่าจะเป็นเด็กชายจากที่ฝันครั้งแรกน่ะแหละ กำลังยื่นแหวนให้แมรี่เพื่อขอแต่งงานในสวนหย่อมแห่งหนึ่ง แล้วแมรี่ก็รับมาด้วยความยินดี จากนั้นภาพก็หายไปอีก กลับมาอีกที รู้สึกว่าจะยังเป็นสถานที่เดิม” เฮอร์มิสหยุดเพื่อทบทวนเหตุการณ์
“แต่ว่าบรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ท้องฟ้าดำมืด มีชายน่ากลัวคนนึง กำลังหัวเราะด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นและโหดเหี้ยม ขณะที่ในแขนของฉั...”
อีกรอบที่เขาต้องสะดุด คราวนี้เขารีบเหลือบสายตามองดูเพื่อน ๆ ว่ามีใครสะดุดในคำพูดของเขาไหม แต่พอเห็นว่าไม่มีก็รีบเล่าต่อ กลัวเพื่อนจะมาเร่งอีก
“ในอ้อมแขนของผู้หญิงที่ชื่อแมรี่น่ะ กำลังกอดร่างไร้วิญญาณของผู้ชายคนหนึ่งอยู่ เจ้าหล่อนคงจะช็อคมากแล้วตะโกนออกมาว่า ‘เฟอดินาน’ ฉันตกใจก็เลยตะโกนเรียกตามน่ะ”
“มันจะพอดีอะไรอย่างนี้” เกรกอรี่พูดทำท่าครุ่นคิด
เฮอร์มิสเริ่มคิ้วขมวดด้วยความงงกับท่าทีของเกรกอรี่ จึงหันไปทางวอลลี่
“ใช่ เป็นไปไม่ได้” วอลลี่พูดต่อด้วยหน้าตาเหวอ ๆ
เขายังคงไม่ได้คำตอบจากวอลลี่ จึงหันไปทางเอลวิน
“นอกจากจะพูดชื่อของเจ้าชายแห่งนอร์ธถูกแล้ว ยังพูดชื่อของเจ้าหญิงแห่งเวสท์ถูกอีก” เอลวินกล่าวอย่างงๆ
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเพื่อน ๆ กำลังสงสัยอะไร...
หรือว่า... ที่จริงแล้ว... เรา...
เป็นแมรี่!?!
ไม่ใช่หรอกน่า แค่บังเอิญฝันเห็น แค่นั้นเอง
เราอาจเป็นพวกผู้วิเศษมีอำนาจด้านการย้อนอดีตก็ได้
ใช่แล้ว... ต้องเป็นอย่างนี้แน่
แต่ทำไมรู้สึกถึงสัมผัสในอ้อมแขนตอนที่อุ้มศพของเฟอดินานได้ล่ะ
ความคิดในหัวของเฮอร์มิสกำลังขัดแย้งกันอย่างรุนแรง
“หรือว่า...” เสียงของวอลลี่ดังขึ้น
เฮอร์มิสกำลังรอฟังคำสันนิษฐานจากเพื่อนอยู่ว่าจะเป็นยังไง
“หรือว่าแกจะสามารถระลึกชาติได้” วอลลี่กล่าวคำสันนิษฐาน “แกต้องเคยอยู่ ณ ที่นั้นในชาติที่แล้วแน่ ๆ หรือว่าแกจะเป็น...”
ไม่ใช่นะ... อย่าเดาอย่างนั้นนะ... ฉันไม่อยากได้ยิน...
อย่าพูดว่าฉันคือ...
แมรี่
“แกคือ...” วอลลี่หยุดคิดก่อนจะพูดต่อ “มู้ดดี้ เทอร์แมน กลับชาติมาเกิด”
จริงสิ...
แกไม่ได้บอกไปนี่ว่าแกรู้สึกเหมือนกับตัวเองได้อุ้มศพของเฟอดินานไว้
ไม่มีใครคิดหรอกว่าตัวเองน่ะคือแมรี่
เฮอร์มิสคิดพลางโล่งอก แต่เขาก็รู้กับใจว่าบางทีเขาอาจจะเป็นแมรี่ก็ได้
“ก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่แกจะเป็นมู้ดดี้น่ะ แต่...” เกรกอรี่พูดพลางสะดุดเมื่อรู้สึกมีความสงสัยบางอย่าง
“เวลาที่คนเขาขอแต่งงานกัน จะยอมให้มีบุคคลที่สามอยู่ด้วยเหรอ” เด็กหนุ่มเปรยในสิ่งที่สงสัยออกมาทำให้เฮอร์มิสถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย โชคดีที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
“เวลาขอแต่งงานก็น่าจะอยู่กันสองคนมากกว่า ถ้าแกเป็นมู้ดดี้กลับชาติมาเกิดจริงคงไม่มีความทรงจำที่เห็นแมรี่กับเฟอดินานกำลังขอแต่งงานกันหรอก”
“บางที เฮอร์มิสอาจมีพลังหยั่งรู้อดีตก็ได้” เอลวินเสนอความคิด “มันอาจไม่ได้กลับชาติมาเกิดก็ได้”
นี่เป็นความคิดที่เฮอร์มิสคิดว่าเข้าท่าที่สุดเท่าที่ฟังมา เขาจึงรีบสนับสนุน
“ใช่ ๆ ฉันอาจจะมีพลังหยั่งรู้อดีตก็ได้”
“แล้วก่อนหน้านี้แกเคยหยั่งรู้อะไรได้ไหมล่ะ หา!” คำถามอีกระลอกของเกรกอรี่ที่ทำให้เฮอร์มิสถึงกับสะดุ้งอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่จะส่ายหัวเป็นคำตอบให้กับเพื่อนผู้ที่กำลังจ้องมองอยู่
“บางทีความสามารถนี้อาจจะเพิ่งโผล่มาก็ได้” เจ้าตัวออกความเห็น เพื่อสนับสนุนให้ตนเป็นผู้ที่มีความสามารถหยั่งรู้อดีตได้
ยังไงซะ เป็นผู้หยั่งรู้อดีต มันก็ดีกว่าชาติที่แล้วเราเป็นผู้หญิงล่ะนะ
“ฉันว่า...” เกรกอรี่ขมวดคิ้วคิดหนัก “แกน่าจะเป็น...”
ทั้งสามต่างตั้งใจฟัง ขณะที่จู่ ๆ เกรกอรี่ก็หยุดพูดไป แล้วก็ส่ายหัว ให้คนฟังผิดหวัง
“คงไม่ใช่หรอก...”
“เป็นอะไรล่ะเว้ย” จำเลยของบทสนทนาชักทนคู่สนทนาคนนี้ต่อไปไม่ไหว ใครเสนอความคิดอะไรก็ค้านหมด คราวนี้มันจะเสนอว่าเราเป็นอะไรล่ะ
เกรกอรี่ได้ยินเสียงของเพื่อนตัวที่รู้สึกว่าเริ่มจะมีน้ำโหเลยพูดต่อ “ก็คิดว่าแกเป็นแมรี่น่ะสิ!!”
สิ้นเสียงของเกรกอรี่ เฮอร์มิสก็หน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที หลายอารมณ์เกิดขึ้นในตัวเขา ทั้งโกรธ ทั้งอาย ตอนนี้ เขาปั้นหน้าไม่ถูกแล้ว
เกรกอรี่เห็นดังนั้น เลยรีบพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะ “เฮ้ย! พูดเล่นน่ะ ใครจะไปคิดวะว่าแกเคยเป็นผู้หญิงมาเมื่อชาติที่แล้ว ถ้าปากอย่างแกเป็นผู้หญิงได้นี่ ฉันว่าคงไม่มีการสืบพันธุ์มาจนถึงเราแน่”
สิ้นคำพูดของเกรกอรี่ วอลลี่กับเอลวินก็หัวเราะตามขึ้นมาสมทบกับเกรกอรี่
เจ้าตัวดีที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกเพื่อนล้อเล่นอย่างแรงก็โมโหอย่างหนัก
“ไอ้ไก่เกรกอรี่ ไอ้เต่าวอลลี่ ไอ้หมูเอลวิน”
“เรียกคนอื่นเค้าเต่าได้ไง ถึงแม้ตอนเอาของเข้าไปเก็บในห้องพักฉันจะช้า แต่เมื่อเช้าแกช้าที่สุดนะเว้ย ไอ้แมรี่” วอลลี่สวนกลับอย่างรวดเร็ว
“ใช่แล้วมาเรียกฉันหมูได้ไง ไม่ได้อ้วนขนาดนั้นสักหน่อย” เอลวินสวนต่ออย่างน้อยใจนิด ๆ  แม้ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดจะไม่เป็นจริงเลยก็ตาม เพราะถ้าอย่างเขาไม่เป็นหมู คนอื่นก็คงเป็นกุ้งแห้งกันไปแล้ว
“เฮ้ย แล้วเรียกฉันไก่ได้ไงอะ ไม่เอานะเว้ย” เกรกอรี่ก็ไม่พอใจเล็กน้อย “กับอีแค่ล้อเล่นแค่นี้...”
เฮอร์มิสทั้งอายทั้งโกรธที่ถูกเรียกเป็นแมรี่ หน้าแดงก่ำไปหมดจนกำลังจะกระโดดเข้าไปชกกับเพื่อนๆ ตามประสาลูกผู้ชายอยู่แล้ว ถ้าเผื่อว่าไม่ใช่...
“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมของอาจารย์กรีซดังขึ้น
“พวกเธอคิดว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ นี่มันชั่วโมงเรียนนะ กรุณานั่งลงแล้วเงียบเสียงด้วย” อาจารย์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ขึงขัง ทำให้กลุ่มเด็กทั้งสี่ต้องกลับไปนั่งเงียบ ๆ ตามเดิม
เจ้าหนุ่มตาสีฟ้าโมโหได้สักพัก ก็เริ่มกลับไปฟุบกับโต๊ะตามเดิม พอเกรกอรี่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หันมาอีกทีก็เห็นแต่ผมสีทองสลวยของเจ้าตัวดีกำลังปิดดวงหน้าอยู่
“เฮอะ เหมือนเด็กเลยเว้ย โวยวายเสร็จพอเหนื่อยก็หลับ”
เกรกอรี่พึมพำเบา ๆ พลางส่ายหัว ก่อนจะหันหน้าเข้าหากระดานเพื่อเรียนต่อ
---------------------- 
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น