ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Chapter 4 รับน้องใหม่
บทที่ 4 - รับน้องใหม่
เช้าวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าแจ่มใส แสงแดดสาดส่อง แต่ตรงสนามใหญ่แห่งโรงเรียนเวทมนตร์เทอร์แมน ยังคงร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ที่อยู่สองฟากฝั่งของสนาม สนามนี้กว้างใหญ่มากตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของประตูทางเข้าโรงเรียน เมื่อยืนที่สนามหันหน้าไปที่ทางเดินกลาง จะเห็นหอประชุมใหญ่อยู่ลิบ ๆ ทางด้านซ้าย
ตอนนี้ เด็กปีหนึ่งทั้งโรงเรียนเวทมนตร์เทอร์แมน ไม่ว่าจะเป็นหอใดก็ตาม ต่างมายืนรวมกันที่สนามแห่งนี้รอการจัดกลุ่มเพื่อทำการรับน้องใหม่
“น้อง ๆ ทุกคนคะ ดูรายชื่อของตัวเองได้ที่บอร์ดแล้วไปลงชื่อที่กลุ่มของตัวเองเลยนะคะ จะมีซุ้มตั้งประจำอยู่ที่แต่ละกลุ่ม น้อง ๆ ลองเดินหาดูกันนะคะ” เสียงหวาน ๆ ไพเราะดังขึ้นจากเวทีด้านหน้าสนามเป็นของ มารีน่า มอลลี่ ประธานนักเรียนของโรงเรียนเวทมนตร์เทอร์แมน เจ้าหล่อนมีผมยาวตรงสีน้ำตาลอ่อน ๆ รูปร่างบอบบางอ้อนแอ้นน่ารัก ดวงตาสีน้ำตาลแดงของเธอดูโดดเด่น แววตาที่สบมองตอบเด็กปีหนึ่งหลาย ๆ คนที่เงยหน้ามามองเธอที่พูดอยู่บนเวทีนั้นฉายชัดถึงความอ่อนโยนใจดี ทำให้เด็กปีหนึ่งรู้สึกผ่อนคลาย
ขณะที่เธอกวาดสายตามอง ก็โปรยยิ้มตามไปแถมให้ด้วย
การแบ่งกลุ่มรับน้องแบ่งออกเป็นสิบกลุ่ม แต่ละกลุ่มเรียกเป็นป้อม ป้อม ๆ หนึ่งมีเด็กปีหนึ่งทั้งหมดหกสิบคน และมีรุ่นพี่คอยคุมป้อมดูแลการรับน้องต่าง ๆ การรับน้องนี้จะแบ่งแบบสุ่ม ดังนั้นแต่ละป้อมจึงมีเด็กจากทุกหออยู่ การรับน้องมีระยะเวลาทั้งหมด สองวันหนึ่งคืน โดยที่พักก็คือเต็นท์ที่สร้างเป็นป้อมกระจายไปทั่วบริเวณโรงเรียนเวทมนตร์แห่งนี้ แบ่งไปเป็นโซน ๆ
เฮอร์มิสและเพื่อนอีกสามคนเดินมาถึงหน้าบอร์ดที่ติดชื่อ ก็ปรากฏว่าตัวเขาและเกรกอรี่ได้อยู่กลุ่มเดียวกัน ส่วนเอลวินและวอลลี่อยู่อีกกลุ่มหนึ่ง
กลุ่มที่วอลลี่และเอลวินไปอยู่คือป้อมเดวิล ส่วนกลุ่มของเฮอร์มิสและเกรกอรี่คือป้อมแองเจิ้ล ซึ่งทั้งสองป้อมอยู่ในโซนเดียวกัน
“งั้นพวกเราแยกกันตรงนี้ละกัน” เอลวินกล่าวเมื่อดูบอร์ดเสร็จ
“อืม เดี๋ยวเจอกัน” เฮอร์มิสยิ้ม ๆ แล้วเขาก็แยกจากเอลวินกับวอลลี่ไปเข้าป้อมพร้อมกับเกรกอรี่
+ + + +
“อืม คนเยอะดีเนอะ เกรกอรี่” เฮอร์มิสกล่าวขึ้นเมื่อเดินเข้าไปในซุ้มป้อมแองเจิ้ล ผู้คนพากันเดินขวักไขว่เต็มพื้นที่ป้อมไปหมด ภายในป้อมประดับตกแต่งด้วยขนนกสีขาวมากมาย ภาพมายาของวิหารอันวิจิตรถูกเสกขึ้นรอบ ๆ แสงแดดที่ส่องเข้ามาสว่างไสวแต่ไม่แสบตา ดูราวกับตนหลงมาอยู่ในสวรรค์จริง ๆ
“เออ ฉันว่า เราไปลงทะเบียนกันก่อนดีกว่า” เกรกอรี่ออกความเห็นทำให้คนที่กำลังเหม่อสะดุ้งเล็กน้อย
“อ..อืม” เฮอร์มิสพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะลงทะเบียน
“สวัสดีค่ะน้อง บอกหอกับชื่อมาด้วยค่ะ” พี่สาวที่นั่งโต๊ะลงทะเบียนกล่าวถามอย่างใจดีและร่าเริง ผมสีดำยาวของเธอถูกรวบเป็นหางม้าไว้ด้านหลัง
“ผมชื่อเฮอร์มิส การ์ตาร์ฮะ หมอนี่ชื่อเกรกอรี่ เกรเนอร์ พวกเรามาจากหอพระราชาฮะ” เฮอร์มิสยิ้มกว้างอย่างร่าเริง ก่อนจะกวาดสายตาไปเห็นป้ายชื่อที่แขวนอยู่บนคอของพี่สาวฝ่ายทะเบียน
‘พีท ปีสาม หอประชาชน’
“เอ๊ะ หอประชาชนมีคนใจดีอย่างนี้ด้วยเหรอ” เฮอร์มิสกระซิบถามคนข้างตัว
“อืม... จุดเด่นของหอประชาชนคือความตรงไปตรงมานี่นา อาจจะเป็นว่าเค้าเป็นคนอ่อนโยนก็ได้มั้ง” น้ำเสียงตอบกลับมาอย่างไม่มั่นใจนัก
“เสร็จแล้วค่ะ” พีทกล่าวยิ้ม ๆ พร้อมยื่นป้ายชื่อให้ “แขวนด้วยนะคะน้อง”
ทั้งสองพยักหน้ารับขณะคิดว่าทำไมคนแบบนี้ถึงอยู่หอประชาชนได้
“เฮ้ย ไอ้เตรุส มารับเด็ก ๆ ไปเข้ากลุ่มเด๊ะ” เสียงของพีทเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
“นี่ไง แก เป็นคนตรง ๆ” เกรกอรี่กระซิบตอบ “กับรุ่นน้องอ่อนโยน กับเพื่อน...”
ไม่ต้องให้พูดต่อ ทั้งสองมองตากันก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ แล้วเตรุสก็เดินมา
เขาเป็นผู้ชายที่ตัวไม่ใหญ่นัก หน้าตาทะเล้นขี้เล่นอย่างเห็นได้ชัด แต่จุดเด่นสำคัญอยู่ที่ผิวซึ่งกลืนกับผมสีดำที่ยาวระต้นคอ
“มา ตามฉันมา” เตรุสพูดพลางฉุดเฮอร์มิสและเกรกอรี่ไป ทำให้ทั้งสองตกใจมากเพราะเตรุสมีแรงเยอะกว่าที่เห็น
“ไม่ต้องสงสัยเลยคนนี้ ฉันว่า หอไพร่ทาสชัวร์” เฮอร์มิสเดาพร้อมรอยยิ้มกว้าง
เกรกอรี่ก็อดสงสัยไม่ได้จึงหันไปมองป้ายที่คอ ขณะที่กำลังโดนยกตัวลอยจากพื้นไปเข้ากลุ่ม
‘เตรุส ปีสาม หอไพร่ทาส’
พลันมุมปากก็ขยับขึ้นอย่างอดไม่ได้ เขาหันไปพยักหน้ากับเฮอร์มิสก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกันทั้งคู่
“หัวเราะอะไรเหรอ เฮอร์มิส เกรกอรี่ บอกพี่ได้ไหม” เตรุสกล่าวถามหลังจากเหลือบมองดูป้ายชื่อของทั้งสองคน เพราะอยากรู้เรื่องสนุกด้วย
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกฮะ แค่เรื่องของเซ้นส์นิดหน่อย” เฮอร์มิสตอบ ทั้ง ๆ ที่ยังหัวเราะไม่หยุด
คำตอบที่ไม่ค่อยจะ ‘เมคเซ้นส์’ ก็ทำเอาคนเป็นรุ่นพี่อยากจะเกาหัวแกร่กให้รู้แล้วรู้รอด
มันหัวเราะอะไรกัน
“เอ้า พาเพื่อนใหม่มาให้รู้จักกันแล้วครับ” เตรุสพูดกับเด็กที่นั่งกันเป็นวงอยู่ในป้อม “ให้เพื่อนนั่งด้วยนะ”
“เดี๋ยวเฮอร์มิส กับ เกรกอรี่ทำความรู้จักกับเพื่อน ๆ ด้วยนะ” เตรุสยิ้มกว้างเผยให้เห็นฟันขาวที่ตัดกับสีผิวอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่จะเดินออกจากวงไป
แล้วสายตาของเฮอร์มิสก็เหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มตัวสูงคนที่เขาอยากรู้จักคนนั้นเข้า เลยสะกิดให้เกรกอรี่ไปนั่งแทรกตรงข้าง ๆ เด็กคนนั้น
“เฮ้ย! ไปกันเหอะ” เฮอร์มิสพูดอย่างรีบร้อน
“จะรีบไปไหนวะ” เกรกอรี่ถามอย่างงง ๆ พร้อมกับหันไปทางที่เจ้าเพื่อนตัวดีมันเรียกให้นั่งถึงได้รู้ว่าทำไม “เอ๊าะ อ๋อ แกอยากนั่งตรงนั้นเพราะ... นั่นเอง”
เจ้าตัวคนโดนแซวหันกลับมาว้ากใส่คนพูดไม่คิดทันที
“ไอ้บ้า แกอย่าคิดอกุศลสิวะ ได้มีโอกาสทำความรู้จักทั้งทีไม่มีวันปล่อยให้หลุดมือหรอกน่า”
“เฮ้ย พูดแปลก ๆ เว้ยแกนี่” เกรกอรี่ยิ้มกว้าง “ฉันก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย”
“เออน่า ช่างมันเหอะ”
ว่าแล้วเจ้าตัวดีก็รี่เข้าไปหาพ่อหนุ่มตัวสูงคนนั้น
ผมดำเรี่ยต้นคอ หน้าตาเกลี้ยงเกลา เฮอร์มิสกำลังนึกอยู่ว่า ไปคุ้นกับส่วนไหนของชายผู้นี้
“สวัสดี เราชื่อเฮอร์มิส การ์ตาร์ มาจากหอพระราชา เซคชั่นสอง ยินดีที่รู้จัก” เฮอร์มิสกล่าวทักทายอย่างไม่รีรอ
เด็กหนุ่มที่ไม่ทันได้รู้เรื่องราวก็หันหน้ามามองอย่างงง ๆ และเกรกอรี่ก็แปลกใจเหมือนกันว่าอะไรจะรีบร้อนแนะนำตัวไม่มีพูดพร่ำทำเพลง
อ๋อ... ที่แท้ก็แววตานี่เอง...
ดวงตาสีนิลที่เพิ่งได้เห็นเป็นครั้งแรก แต่กลับรู้สึกว่าคุ้นเคยมานานแสนนาน เฮอร์มิสยื่นมือออกไปเพื่อเป็นการทักทาย
“อ...อืม เราชื่อเพอร์ซี่ ปาสกัล มาจากหอพระราชา เซคชั่นหนึ่ง ยินดีที่รู้จัก” เด็กหนุ่มตัวสูงแนะนำตัวตอบ พร้อมกับยื่นมือทักทายกลับ
ฟึ่บ!
อะไรบางอย่าง...แว่บขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ทั้งสองสบตากันหากแต่ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร จึงได้แต่ทำหน้างง ๆ
“เออ ฉันชื่อเกรกอรี่ เกรเนอร์ เป็นเพื่อนมาจากที่เดียวกับมัน” เกรกอรี่กล่าวแนะนำตัวพร้อมยื่นมือออกไป ทำให้ทั้งสองหลุดจากภวังค์แห่งความคิด
แล้วทั้งสามก็คุยกันเล็กน้อยก่อนจะกลับมาสนใจกิจกรรมในวงเพราะรุ่นพี่จะเริ่มนำเกมแล้ว
“ทุกคน เราจะเล่นเกมวิ่งสามขากันนะครับ เพื่อเสริมสร้างความสามัคคีของแต่ละคน เชิญทุกคนจับกลุ่มกันได้เลย” พี่ในป้อมกล่าว
“เออ... เพอร์ซี่” เฮอร์มิสเอ่ยเบา ๆ อย่างสุภาพ เมื่อคนถูกเรียกหันมามองจึงพูดต่อ “เรามาจับกลุ่มกันไหม วิ่งสามขาน่ะ ครบพอดีเลยสามคน”
เพอร์ซี่ก็เห็นว่าทั้งสองคนอยู่ใกล้ ไม่ต้องเดินไปหาที่ไหนจึงตอบรับโดยง่ายดาย
“ตกลง”
หลังจากผ่านไปสักพัก การแข่งก็เริ่มขึ้น...
เฮอร์มิสและเพอร์ซี่วิ่งเข้าขากันอย่างประหลาด ในขณะที่เฮอร์มิสกับเกรกอรี่กลับวิ่งขัดกันบ้างทำให้เข้าเส้นชัยไปอย่างทุลักทุเล
“เฮ้อ กว่าจะเข้าเส้นชัยได้” เกรกอรี่กล่าวเนือย ๆ
“ก็นายนั่นแหละวิ่งไงวะ ไม่เข้ากับฉันเลย” เฮอร์มิสกล่าวโทษเพื่อนของตัว “เกือบซวยแล้วไหมล่ะ”
ตอนนี้ กลุ่มที่เข้าเป็นลำดับสุดท้ายกำลังถูกรุ่นพี่เสกคาถาให้ทำท่าอุบาทว์ ๆ อยู่กลางวงเพื่อน ๆ เป็นการลงโทษ
“เอาเหอะน่า ไง ๆ ก็รอดมาได้แล้วกัน” เกรกอรี่กล่าวแก้ตัว
“เฮ้ย! นั่น...” เกรกอรี่ร้องขึ้นอย่างตกใจ พลางชี้ไปที่กลางวง
เฮอร์มิสหันตาม ก็ได้พบกับคนที่เขาไม่ชอบที่สุด...
อัลรีย่า!!!
“เฮ้ย ไอ้บ้านี่มันอยู่ป้อมนี้ด้วยหรือนี่ ซวยฉิบ...” เฮอร์มิสบ่นขึ้นมาอย่างลืมตัว
เพอร์ซี่ที่นั่งอยู่ใกล้จึงมองบ้าง เห็นว่าคนที่เจ้าหนุ่มผมทองหมายถึงคือ อัลรีย่า จึงพูดขึ้นมา “เอ๊ะ นั่น อัลรีย่า หอพระราชาเซคหนึ่งนี่นา พวกนายรู้จักด้วยเหรอ”
เด็กเซคสองทั้งคู่มองหน้ากันก่อนจะยิ้มรับ “มันบังเอิญเป็นความซวยที่ไปรู้จักน่ะ” เฮอร์มิสยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้
“ทำไมล่ะ เขาไม่ดีหรือ ฉันไม่เคยคุยกับเขาน่ะ” คนที่ไม่เคยรู้ฤทธิ์ปากของบุคคลที่สามมาก่อนถามขึ้นอย่างสงสัย
เฮอร์มิสจึงจัดการเผาอัลรีย่าซะเกรียม
“ฮื่อ ขนาดนั้นเลยเหรอ เห็นตอนอยู่ในเซคดูเงียบ ๆ ไม่เห็นจะพูดมากเลย” เพอร์ซี่แย้ง
“แล้วนายก็จะรู้เอง ถ้าหลวมตัวเข้าไปคุยกับมัน” เฮอร์มิสกล่าวตัดบท “ไปทำความรู้จักกับคนอื่นดีกว่า ไปกันเถอะ” เขามองหน้าเพื่อนทั้งสองเพื่อรอคำตอบ
เกรกอรี่พยักหน้ารับ แต่เพอร์ซี่ส่ายหน้า
“เหนื่อยน่ะ พักตรงนี้ดีกว่า”
“งั้นก็...” เฮอร์มิสยักไหล่แล้วพาเกรกอรี่เดินไปด้วย
ลับหลังเพอร์ซี่ เกรกอรี่ก็พูดขึ้น “ไอ้หมอนี่ท่าทางจะไม่ค่อยคบกับใครนะ ทำไมนายถึงอยากรู้จักกับมันจัง”
“ก็...” เฮอร์มิสคิดหนัก ก่อนจะให้คำตอบที่ไม่มีประโยชน์กับคนถาม “ไม่รู้สิ”
+ + + +
“เอาล่ะ พอยัง ตอนนี้รู้จักมาเยอะแล้วนะ ฉันว่า” เกรกอรี่พูดอย่างรำคาญหลังจากที่ตามเฮอร์มิสมาทำความรู้จักกับคนในป้อมได้เกือบยี่สิบคน “ฉันเมื่อยแล้ว เดินไปเดินมาอยู่ได้”
“อืม พอแล้วก็ได้” เฮอร์มิสพูด พลางเดินไปที่เพอร์ซี่นั่งอยู่
“เป็นไง รู้จักคนเยอะแล้วสิ” เพอร์ซี่ถามยิ้มๆ
“อืม ก็พอดูแล้วล่ะ เกือบครึ่งป้อมแล้ว เลยมานั่งพักน่ะ” เฮอร์มิสตอบ
ทั้งสามคนนั่งเงียบกันพักหนึ่ง จนกระทั่ง เฮอร์มิสนึกขึ้นมาได้ว่า เขาอาจจะเคยเจอกับเพอร์ซี่ที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า ถึงได้รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตา จึงถามออกไป
“เออ เพอร์ซี่ เรากับนายเคยเจอกันที่ไหนหรือเปล่า คือ เรารู้สึกคุ้นกับนายตั้งแต่เห็นครั้งแรกแล้วอะ”
สิ้นคำถาม เกรกอรี่ก็หันมาด้วย เพราะอยากรู้เหมือนกันว่าทั้งสองคนเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า ทำไมไอ้เพื่อนตัวดีของเขาถึงอยากคุยกับเพอร์ซี่นัก
“อืม... ที่จริงฉันก็รู้สึกคุ้น ๆ กับนายเหมือนกันนะ เฮอร์มิส แต่เราคงไม่เคยเจอกันหรอก” เพอร์ซี่ตอบ “ฉันมาจากชานเมืองของอาณาจักรเซาธ์น่ะ ที่นั่นไม่ค่อยมีคน เพราะอากาศหนาว แล้วนี่ฉันก็เพิ่งออกมาจากหมู่บ้านเป็นครั้งแรก”
“เหรอ อืม มิน่านายไม่ค่อยพูดกับใคร เพราะชินกับการอยู่กับคนน้อย ๆ ล่ะเนอะ” เฮอร์มิสออกความเห็น
เพอร์ซี่พยักหน้าเฉย ๆ แล้วพวกรุ่นพี่ที่ป้อมก็เรียกรวมให้ไปทำกิจกรรมกันต่อ
ทั้งหมดต้องแยกกลุ่มจับกันเป็นวงกลม ทั้งหมดหกกลุ่ม และจะมีรุ่นพี่แทรกอยู่ด้วย
ในวงของเฮอร์มิสมีรุ่นพี่เข้ามาร่วมด้วยอยู่สี่คน สองคนคือ เตรุส และพีท
“อ้าว เฮอร์มิส เกรกอรี่ อยู่วงเดียวกับพี่ด้วย ดีเหมือนกันจะได้ประหยัดสมองไปนิดนึง” พีทกล่าวขึ้นเมื่อเห็นน้องทั้งสองคนที่ตัวจำชื่อได้
“จะทำอะไรเหรอพี่” เฮอร์มิสถามงง ๆ
“อ๋อ ก็เราจะให้ทุกคนจำชื่อคนในวงให้ได้ในสามนาที หลังจากนั้นทุกคนต้องถอดป้ายชื่อออก แล้วพวกพี่ที่อยู่นอกวงก็จะมาแจกปืนเวทมนตร์ให้คนที่อยู่ในวง แล้วจะมีรุ่นพี่คนนึงอยู่ตรงกลางวงคอยยิงเวทย์ใส่คนที่อยู่รอบวง ซึ่งคนที่โดนยิงก็ต้องหลบไม่อย่างนั้นก็จะโดนเวทย์เข้าให้ อาจจะเป็นให้ทำท่าประหลาด ๆ ก็ได้ ไม่มีใครรู้ เพราะเวทย์จะออกมาแบบสุ่ม” คราวนี้คนตอบเป็นเตรุส “แต่ไม่ต้องกลัว เพราะถ้าหลบทัน ความซวยจะไปตกที่คนข้าง ๆ ทั้งสองคนแทน เพราะจะต้องหันมายิงเวทย์ใส่กัน โดยที่จะต้องเรียกชื่อของอีกฝ่าย ถ้าเกิดเรียกผิด เวทย์ก็จะไม่ออกมา เพราะฉะนั้นถ้าใครจำชื่อเพื่อนข้าง ๆ ไม่ได้ก็โดนไปซะ แต่ว่าถ้าทั้งสองคนเรียกชื่ออีกฝ่ายไม่ได้ก็ต้องโดนรุ่นพี่ที่อยู่กลางวงยิงเวทย์ใส่”
“ถ้าเป็นเรื่องชื่อคนล่ะก็ สบาย” เฮอร์มิสพูดอย่างได้ใจ เพราะคนในวงนี้คือคนที่เขาทำความรู้จักมาแล้วทั้งหมด ที่เขาจะต้องจำใหม่ก็มีแค่พี่อีกสองคนที่ยังไม่รู้จัก
สุดท้ายเฮอร์มิสกับเกรกอรี่ก็เป็นสองคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในวง
“เย้ ชนะแล้ว” เฮอร์มิสร้องตะโกนดีใจใหญ่
“เอาล่ะครับๆ” รุ่นพี่ที่เป็นหัวหน้าป้อมกล่าวขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจ “ขอเชิญเหล่าผู้ชนะมาอยู่ตรงกลางครับ พวกเราที่เหลือมาล้อมไว้เร็ว”
น้ำเสียงที่ทำให้เหล่าผู้ชนะต้องกลืนน้ำลายเอื้อก ต้องไปยืนอยู่ตรงกลางวง... นี่มันรายการดัดหลังคนชนะชัด ๆ ทั้งเฮอร์มิส เกรกอรี่ และอีกสิบกว่าคนที่มาจากวงอื่นต่างก็เกิดอาการหน้าถอดสีกันไปเป็นแถว ๆ มีบางคนพยายามจะอิดออดแต่ก็โดนรุ่นพี่คะยั้นคะยอให้กลับมาอยู่ตรงกลางวง
“ทุกคนเล็ง!!” หัวหน้าป้อมสั่งพร้อมยิ้มกว้าง “พี่นับถึงสามแล้วยิงพร้อมกันนะครับ”
สิ้นคำมันไม่ใช่แค่หัวหน้าป้อมเท่านั้น เพื่อน ๆ พี่ ๆ รวมป้อมทุกคนต่างพากันแสยะยิ้มให้คนที่อยู่กลางวงกลัวจนต้องยกมือขึ้นกันทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่ายังไงมันก็กันเวทย์ไม่ได้
“หนึ่ง.....สอง.....”
เป๊าะ!!
“สาม!!”
เสียงดีดนิ้วที่ดังขึ้นก่อนที่จะนับสาม เป็นการใช้เวทย์ของหัวหน้าป้อมเปลี่ยนให้กระสุนเวทย์กลายเป็น... สิ่งที่เรียกเสียงฮือฮาจากเหล่าเด็กปีหนึ่งได้ดี
เหล่าผู้ชนะที่รอรับผลกรรมอยู่ ทันทีที่ได้ยินเสียงฮือฮาก็พากันลืมตาขึ้นก่อนจะร้องอุทานอย่างประหลาดใจ...
ขนนกสีขาวบริสุทธิ์ลอยอยู่กลางอากาศพร้อมกับดอกเกล็ดหิมะจำลองซึ่งหายไปก่อนที่เหล่าเด็กปีหนึ่งจะคว้ามาไว้ในมือ
“สวยจัง...” เฮอร์มิสมองตามเหล่าขนนกที่โปรยปรายลงมาอย่างไม่วางตา แล้วเสียงปรบมือก็ดังขึ้นทันทีที่เวทมนตร์อันแสนวิเศษนี้จางหายไป ทุกคนต่างพากันแยกย้ายไปนั่งเล่นกัน ก่อนจะเริ่มกิจกรรมต่อไป
ตอนที่เขากลับไปพักก็ต้องมาเจอกับคนที่สาปส่งที่สุดอย่างช่วยไม่ได้ เนื่องจากเพอร์ซี่ดันไปนั่งใกล้ ๆ กับที่ที่ใครบางคนกำลังนั่งอยู่
“เฮอะ ดีใจกับอีแค่เรื่องไร้สาระ” เสียงไม่เป็นมิตรที่ดังขึ้นทำให้เฮอร์มิสต้องหันขวับอย่างอดไม่ได้ “เด็กจริง ๆ”
“ถ้ารับน้องมันไร้สาระนักจะโผล่หัวมาให้เกะกะลูกตาคนอื่นทำไม อีกอย่างมันก็เป็นการพิสูจน์ว่าฉันมีมนุษยสัมพันธ์ดี จำคนอื่นได้หมด” เฮอร์มิสย้อนกลับ “ไม่เหมือนบางคน ชอบทำตัวไม่น่าคบ ระวังไว้เหอะ จะไม่มีเพื่อน”
“ฉันไม่มีเพื่อนก็ไม่เกี่ยวกับนายหรอกน่า” ใบหน้าขาว ๆ ของอัลรีย่าเริ่มขึ้นสีอย่างเห็นได้ชัด
เฮอร์มิสไม่อยากใส่ใจจึงเดินกลับไป ในขณะที่หลาย ๆ คนเริ่มหันมามองสองคนที่พูดจาทะเลาะกัน
“เห็นไหม เพอร์ซี่ ว่ามันชอบหาเรื่อง” เฮอร์มิสถอนหายใจเบา ๆ ขณะทิ้งตัวลงนั่งข้างคู่สนทนา
“อืม เขาคงไม่ชินกับการคบกับใครมั้ง เพราะเราได้ยินคนในเซคพูดกันว่า อัลรีย่ามีพ่อแม่เป็นนักวิจัยในเมืองอีสท์ ไม่ค่อยจะมีเวลาให้เขาสักเท่าไหร่ วัน ๆ เอาแต่ซื้อหนังสือให้อ่าน ไม่ยอมให้ออกไปเล่นข้างนอก เพราะเป็นห่วงน่ะ เลยไม่มีเพื่อน” เพอร์ซี่พูดแก้ตัวให้เพื่อนในเซคเดียวกัน
“ฟัง ๆ ดูก็น่าสงสารนะ มิน่าล่ะ ถึงได้ไม่รู้จักวิธีการคบกับคน แต่ไม่เอาด้วยหรอกคนพรรค์นี้ น่าสงสารยังไงก็ไม่อยากยุ่งด้วย ปากมาก” เฮอร์มิสบ่นอุบ
เกรกอรี่ก็ได้แต่ส่ายหน้า
สงสัยชาตินี้ มันกับอัลรีย่าคงไม่มีทางญาติดีกันแน่ ๆ
+ + + +
ตอนกลางดึก พวกรุ่นพี่ก็เสกพลุเวทมนตร์ขึ้นมาเพื่อเป็นการเริ่มพิธีบายศรี แสงไฟจากคทาค่อย ๆ ส่องขึ้นทีละด้ามจากพวกพี่ ๆ ที่ยืนเป็นวงกลมล้อมน้อง ๆ อยู่
บรรยากาศที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนต้องสะท้านอย่างบอกไม่ถูก
“รู้สึกว่ามันขลังไงไม่รู้ว่ะ เกรกอรี่ ฉันขนลุกแล้วเนี่ย” เฮอร์มิสว่าพลางลูบแขนตัวเองไปมา
“เออ เหมือนกัน มันทำให้รู้สึกภูมิใจยังไงไม่รู้ที่ได้เข้าเรียนที่นี่” คำตอบพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ออกมาด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ข้างในจนกลั้นไม่อยู่
เฮอร์มิสหันไปยังเพื่อนอีกคนที่จนบัดนี้ก็ยังเงียบ “แล้วนายอะ รู้สึกไงเหรอ”
คนถูกถามหันมาตอบ “อืม... รู้สึกอบอุ่นน่ะ เหมือนเป็นครอบครัว”
แล้วรุ่นพี่ก็กางวงออกมายืนเป็นแถว แล้วให้น้อง ๆ เดินมาทีละคน พี่ ๆ จะเสกกำไลลูกไฟขึ้นเพื่อเป็นเครื่องหมายของการเป็นน้องใหม่ซึ่งจะค่อย ๆ จางหายไประหว่างเทอม ขณะที่เอากำไลนั้นคล้องข้อมือของรุ่นน้อง พี่ ๆ ก็จะอวยพรให้
“ขอให้มีความสุขกับชีวิตในโรงเรียนนะคะ” พี่คนที่อยู่ท้ายแถวพูดด้วยเสียงอ่อนโยนขณะที่คล้องข้อมือให้เฮอร์มิส
“ครับ” เฮอร์มิสตอบอย่างเต็มภาคภูมิ โดยไม่รู้เลยว่า ความวุ่นวายในชีวิตกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า
“เอาล่ะครับ น้อง ๆ ทุกคน ได้เวลานอนแล้ว แยกกันเข้าเต็นท์ตามใจชอบได้เลยครับ” พี่ในป้อมพูดเมื่อพิธีบายศรีจบลง
“เต็นท์นึง นอนได้สี่คนนะครับ น้องผู้ชายแยกกับน้องผู้หญิงนะครับ ห้ามนอนด้วยกัน เรามีเต็นท์พอนะครับ” เตรุสพูดขึ้นมาด้วยเสียงทะเล้น ทำให้น้อง ๆ หลายคนหัวเราะคิกคัก
“อ้าว เรามีกันแค่สามคนเอง เอาไงดี” เฮอร์มิสถามความเห็นเพื่อน ๆ “หรือจะนอนแค่สามคน ไม่ต้องหาคนที่สี่”
“ไม่ดีมั้ง เดี๋ยวเต็นท์ไม่พอ มันเกินมาไม่กี่หลังเองนี่” เพอร์ซี่เสนอความเห็น
“อืม ใช่ งั้นลองหาคนที่ไม่มีเต็นท์อยู่ก่อนละกัน” เกรกอรี่พูดแล้วก็มองหาคนที่ไม่มีเต็นท์อยู่
จนกระทั่ง....
“พวกนาย มีแค่สามคนใช่ไหม งั้นฉันจะยอมมานอนด้วยละกัน” เสียงเดิม ๆ ที่เฮอร์มิสไม่ชอบดังขึ้น สำเนียงยังคงติดจะอวดดีอยู่นิด ๆ แม้ในสถานการณ์ที่ต้องขอร้องคนอื่นก็ตาม
“ไง พ่อคนชอบความโดดเดี่ยว คงไม่มีคนยอมนอนด้วยล่ะสิ แล้วนี่ยังจะมาปากดีอีก” เฮอร์มิสพูดแดกดัน พลางมองเหยียด ๆ ใส่อัลรีย่า
คราวนี้ เจ้าหนุ่มผมม่วงไม่ได้ต่อความ กลับก้มหน้าแล้วรอคำตอบ แม้สีหน้าจะบ่งบอกความไม่พอใจอยู่บ้างก็ตาม
“เอาเหอะ เฮอร์มิส เขาไม่มีคนให้นอน เราก็สงสารเขาเหอะ” เกรกอรี่ชักเห็นใจ
“แล้วใครว่าฉันจะไม่ให้มันนอนล่ะ ยังไงก็หอเดียวกัน” เฮอร์มิสพูดอย่างไม่ค่อยพอใจ “เอ้า งั้นก็เอาของไปเก็บ แล้วก็อาบน้ำ เตรียมตัวนอนได้แล้ว”
แล้วอัลรีย่าก็เดินเงียบ ๆ เข้าไปในเต็นท์
+ + + +
ทุกคน... ไปไหนกันหมด... ที่นี่ที่ไหน
ตื่นเถิด... อย่ามัวหลับอยู่เลย... เจ้ามีหน้าที่จะต้องทำ... ความตั้งใจของเจ้าไง...
ฟื้นขึ้นสิ... ยอมรับข้า... พลังของข้าจะกลายเป็นของเจ้า
ยอมรับในข้า...
ไม่ เจ้าเป็นใคร ทำไมมันมืดเช่นนี้
ข้าคือเจ้า... และเช่นเดียวกัน เจ้าก็คือข้า....
รับข้าไป...
ไม่...
ไม่มีทาง....
“ไม่...” เสียงร้องดังจนนกที่เกาะอยู่ที่เต็นท์บินหนีไปหมด
ผมสีม่วงยุ่งเหยิง เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ แม้เขาจะไม่ได้ไปนอนเบียดกับอีกสามคน แต่เหงื่อกลับไหลโทรมกายทีเดียว
มันคืออะไร แล้วใครกันที่พูดกับเขา มันฟังดูคุ้นเหลือเกิน...
“นี่ นายเป็นอะไรไป หนวกหูแต่เช้าเลย” เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างงัวเงีย
อัลรีย่าสะดุ้งเฮือกหลุดมาจากห้วงความคิด แล้วหันไปดูต้นเสียง
เฮอร์มิสนั่นเอง สงสัยคงตื่นเพราะเสียงร้องเมื่อครู่แน่ ๆ เขาคิด
“ให้เข้ามานอนด้วยแล้วยังมาโวยวายอีก คนจะหลับจะนอน” เฮอร์มิสยังคงพร่ำว่าต่อไป
ด้วยความหยิ่งยโส อัลรีย่าจึงพูดไปตามนิสัยตัว “อะไร ฉันก็แค่ส่งเสียงนิดหน่อยดูสิคนอื่นเขายังไม่ตื่นเลย นายนี่บ้าป่าว หาเรื่องแต่เช้าเลย”
นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยของเฮอร์มิสฉายแววหงุดหงิดออกมาใส่เจ้าตัวยุ่ง ทั้ง ๆ ที่หน้าตายังง่วงนอนอยู่อย่างเห็นได้ชัด แล้วก็ก้มไปมองหน้าเพื่อนข้าง ๆ ทั้งสองคน ไม่มีใครลืมตาหรือรู้สึกตัวเลย 
เสียงดังขนาดนั้นยังหลับต่อกันได้อีก
“เอาเหอะ ถึงไงเสียงแกก็ทำฉันตื่น แค่ตีห้ากว่าเอง ฉันจะนอนต่อ เงียบ ๆ นะเว้ย เดี๋ยวก็ไล่ออกไปนอกเต็นท์เลยนี่”
ว่าเสร็จ เจ้าคนง่วงก็กลับลงไปนอนต่อ
“เออ ไม่อยู่แล้วเว้ย ไปสูดอากาศข้างนอกก็ได้ ใครเขาจะง้อ” อัลรีย่าบ่นอย่างหงุดหงิด แล้วเดินออกไปข้างนอก
แม้จะง่วงอยู่แต่ก็ไม่อยากหลับซะแล้ว เพราะกลัวจะฝันเห็นเรื่องเมื่อครู่นี้อีก มันน่ากลัวมาก ทั้งมืด ทั้งอ้างว้าง พอออกมาพ้นเต็นท์เขาก็ยืนบิดขี้เกียจ แล้วก็เดินสูดอากาศเล่นคนเดียว
พอเฮอร์มิสเริ่มก่ายแข้งก่ายขา เพื่อนอีกสองคนก็ลุกขึ้นมาเกือบจะพร้อมกัน
“อ้าว นายก็ตื่นเหรอ เพอร์ซี่ ฉันนึกว่ามีแต่ไอ้บ้านี่กับฉันตื่นแค่สองคนซะอีก” เกรกอรี่ว่าพลางพยักเพยิดหน้าไปทางเจ้าคนขี้บ่น
“อืม อัลรีย่านอนอยู่ข้างฉันนี่ ได้ยินอยู่แล้ว” เพอร์ซี่พูดเนือย ๆ เพราะยังไม่ตื่นเต็มที่
“ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรของมัน จู่ ๆ ก็ร้องขึ้นมา หนวกหูชะมัด” เกรกอรี่บ่นอุบ พร้อมกับเกาหัวอย่างไม่ค่อยพอใจ
“สงสัยฝันร้ายมั้ง จริง ๆ ฉันได้ยินเขาพึมพำอะไรอยู่ตั้งนานแล้วแหละ”
“เหรอ แล้วทำไมเมื่อกี้ไม่ลุกมาดูเลยล่ะ” เกรกอรี่ถาม
“ไม่เอาหรอก ตื่นมาเดี๋ยวเฮอร์มิสก็เอาเป็นข้ออ้างไปต่อว่าอัลรีย่าอีก ฉันไม่อยากฟังคนทะเลาะกัน ที่หมู่บ้านฉันมีอะไรก็ประนีประนอมกัน แต่คู่นี้... ท่าทางจะไม่มีใครลงให้ใคร”
“ฉันก็คิดเหมือนนายเป๊ะเลย แล้วก็กะไว้แล้วด้วยว่าถ้าพวกเราไม่ตื่น ไม่มีใครเข้าข้างเฮอร์มิส เดี๋ยวมันก็ต้องลงไปหลับต่อ”
“นินทาใครอยู่ ฮึ” เสียงดังขึ้นจากคนที่น่าจะกำลังนอนอยู่ให้คนนินทาต้องสะดุ้งตกใจก่อนจะหันไปมอง
“อ้าว ไม่ได้หลับอยู่เหรอ ฉันกำลังนินทามัน ๆ ไม่น่าตื่นขึ้นมาขัดเลย” เกรกอรี่ยิ้มกว้าง
นัยน์ตาสีฟ้าของคนหน้าหวานจ้องมาอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งแล้วถอนหายใจ “เฮ้อ! ฉันก็ไม่อยากจะด่ามันนักหรอก แต่ดูมันดิ ฝันร้ายไม่เป็นเวล่ำเวลา มาฝันเอาตอนใกล้เวลาตื่น เดี๋ยวนอนต่อได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องตื่นแล้ว”
“มีไอ้บ้าที่ไหนจะคุมเวลาที่จะฝันร้ายได้วะ พูดไม่คิดเลย” เกรกอรี่พูดพลางตบไหล่ของเพื่อนคนที่เพิ่งลุกขึ้นมา
“เออน่ะ กำลังง่วง ๆ อยู่” เฮอร์มิสพูดแบบไม่ค่อยสบอารมณ์ “ไป ๆ นอนต่อเถอะ ไม่ต้องไปสนอะไรหรอก กับแค่คนฝันร้ายคนนึง”
แล้วไอ้คนที่สนมากที่สุดจนถึงกับลุกขึ้นมาด่าคนที่ฝันร้ายนี่มันใครกัน
เกรกอรี่ได้แต่คิด ไม่อยากย้อนออกไป ไม่งั้นไม่ได้นอนต่อแน่ เขาจึงทำตามที่เจ้าคนปากมากสั่ง
+ + + +
“น้อง ๆ เป็นไงกันบ้างครับ หลับสบายดีไหม” พี่ ๆ ถามเมื่อน้องทุกคนมารวมกัน
เฮอร์มิส เพอร์ซี่ และเกรกอรี่ยังคงมีอาการง่วงอยู่
“คืนนี้ทุกคนก็จะได้กลับไปนอนในหอของตัวเองแล้ว เรามาเริ่มกิจกรรมประจำวันสุดท้ายนี้เลยดีกว่า” พี่ป้อมว่าแล้วก็จัดเด็กป้อมให้ยืนเป็นแถวตอนสองแถวแยกชายหญิง “วันนี้เราจะไปบุกป้อมอื่นในโซนของเรากัน เย้!”
แล้วแถวของเด็กปีหนึ่งก็ค่อย ๆ ทยอยเดินออกจากป้อมแองเจิ้ล ไปยังเป้าหมาย
ป้อมที่จะบุกนั้นเป็นป้อมที่อยู่ในโซนเดียวกันอันได้แก่ ป้อมเดวิลนั่นเอง การบุกป้อมก็คือการไปทำกิจกรรมร่วมกับพี่ป้อมอื่นนั่นเอง เด็กป้อมเดวิลก็ต้องมาทำกิจกรรมที่ป้อมแองเจิ้ลเหมือนกัน
“เฮ้ย เอลวิน วอลลี่ เป็นไงบ้างหนุกป่าว” เฮอร์มิสร้องทักขณะที่แถวของเด็กป้อมแองเจิ้ลเดินสวนกับเด็กป้อมเดวิล
“อ้าว เฮอร์มิส เกรกอรี่ ก็หนุกดี เสียดายว่ามีแค่สองวัน” วอลลี่ส่ายหัวเบา ๆ
“ไม่อยากเรียนล่ะสินายน่ะ” เกรกอรี่แซว แล้วทั้งสี่คนก็หัวเราะ
“เออ งั้นเดี๋ยวพวกเราไปก่อนละกัน” เอลวินพูดเมื่อพี่ป้อมกวักมือให้เดินตามไป
“อืม บาย” เฮอร์มิสพูดพลางโบกมือ
ป้อมเดวิลตกแต่งด้วยโทนสีแดง ภาพมายาของเหล่าปีศาจจากนรกทั้งหลายแหล่ถูกเสกขึ้นรอบป้อม แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาก็ถูกเวทย์กรองให้เหลือเพียงแสงสลัว ๆ ทันทีที่พวกเขาก้าวเท้าเข้าไป ไฟมายาก็ลุกพรึ่บขึ้นทันที
“สมเป็นป้อมเดวิลเนอะ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในนรกเลยว่ะ” เฮอร์มิสพูดขำ ๆ “โดยเฉพาะไอ้ไฟนี่สมจริงฉิบ นี่ดีที่เป็นแค่ของปลอม ไม่งั้นร้อนน่าดู”
“เออ ใช่” เกรกอรี่พยักหน้ารับหงึก ๆ พร้อมกับกวาดนัยน์ตาสีเขียวไปทั่วทั้งป้อม
“เอ๊ะ! แล้วอัลรีย่าล่ะ อยู่ไหนเหรอ” เพอร์ซี่ถามขึ้น
“ไม่รู้สิ ตื่นมาอีกทีก็ไม่เห็นแล้ว ข้าวของก็ออกไปอยู่นอกเต็นท์แล้ว” เฮอร์มิสตอบอย่างไม่ใส่ใจ “จะขนของออกไปก็ไม่มีมาบอกมาเรียกกันเลย คนประเภทนั้นไม่ต้องไปสนมันหรอก”
“อืม เมื่อวานก็อยู่คนเดียวมาได้ทั้งวัน ไม่เห็นต้องกังวลเลย” เกรกอรี่ก็รู้สึกโล่งอกที่อัลรีย่าไม่อยู่ เพราะเขาไม่อยากมานั่งฟังเสียงคนทะเลาะกัน
คราวนี้พวกเฮอร์มิสต้องตะลุยฐานเวทมนตร์ ซึ่งพวกรุ่นพี่เสกให้บรรยากาศร้อนอบอ้าวราวกับอยู่ในนรกของจริง ทั้งด่านผจญน้ำร้อนจากกระทะทองแดง ทั้งด่านหลบนกปากเหล็ก ทำเอาน้อง ๆ เหนื่อยไปตาม ๆ กัน ซึ่งกว่าจะเสร็จก็บ่ายคล้อย แล้วทุกคนก็เคลื่อนที่กลับป้อมอย่างสนุกแต่โทรม
“น้องครับ นี่ก็เป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่เราจะได้อยู่รวมกันแล้วนะครับ พี่อยากให้น้อง ๆ แลกกันเขียนข้อความให้เพื่อน ๆ เพื่อเป็นที่ระลึกนะครับ ว่าเราเป็นคนป้อมเดียวกัน” พี่ประจำป้อมพูดพลางแจกกระดาษให้ ทันทีที่ทุกคนได้รับก็พากันวิ่งพล่านให้เพื่อน ๆ เขียนกัน
“เพอร์ซี่ นายเขียนให้เราหน่อยนะ” เฮอร์มิสยื่นกระดาษให้พร้อมรอยยิ้ม
“อืม นายก็เขียนให้เราด้วยละกัน เกรกอรี่ด้วยนะ” ทั้งสามต่างแลกกระดาษกันเขียน
“แล้วนี่ไอ้คนปากเสียไปไหนล่ะเนี่ย” นัยน์ตาสีฟ้าใสกวาดมองไปรอบ ๆ แต่ไม่ก็พบ
“นายหมายถึงใคร อัลรีย่าเหรอ” เกรกอรี่ถามอย่างแปลกใจ
“เออสิ จะใครซะอีกล่ะ” เฮอร์มิสตอบห้วน ๆ แต่พอเห็นเพื่อนทำหน้าประหลาดใจเลยพูดต่อ “แปลกนักเหรอ ที่ฉันจะให้ไอ้บ้านั่นมันเขียนให้ ไหน ๆ ก็นอนเต็นท์เดียวกันมาตั้งคืน อุตส่าห์เห็นเป็นเพื่อน ดันหายไปไหนแล้วล่ะเนี่ย”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” เกรกอรี่พยักหน้าหงึก ๆ ก่อจะช่วยมองหาอีกแรง
“นายจะให้ฉันเขียนเหรอ” น้ำเสียงประชดประชันของคนที่ถูกนินทาว่าปากเสียดังขึ้น “นับฉันเป็นเพื่อนด้วยเหรอ??”
สำเนียงที่ฟังแล้วให้รู้สึกว่าอวัยวะเบื้องล่างจะควบคุมไม่อยู่ กลัวจะป้าบเข้าใส่คนตรงหน้าให้สักทีสองที คนฟังเลยต้องพยายามข่มอารมณ์ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่ผิดกัน
“ปากหมาไปหน่อย แต่ยังไงก็เด็กป้อมเดียวกัน หอเดียวกัน แถมยังนอนเต็นท์เดียวกันอีก จะไม่นับเป็นเพื่อนก็คงยังไง ๆ อยู่”
คำที่พออัลรีย่าได้ยินก็แสยะรอยยิ้มเหยียดออกอย่างน่าหมั่นไส้
“เฮอะ ถ้าลำบากใจขนาดนั้นก็ไม่ต้อง เพราะฉันอาจไม่เขียนให้นายก็ได้นะ คิดเหรอ ว่าฉันจะนับพวกนายเป็นเพื่อน”
“โอ๊ย ไม่เขียนก็ไม่ต้องเขียน เห็นว่าง ๆ ไม่มีใครเขามาขอให้เขียน เลยกะจะหางานให้ทำสักหน่อย” เฮอร์มิสโวยอย่างรำคาญพลันหันหลังกลับจะเดินหนี แต่โดนเพื่อนอีกสองคนกันไว้ก่อน
“เออน่า อย่าไปถือสามันเลย เหตุผลนายก็ถูกแล้วนี่ ยังไงก็ให้มันเขียนไปเถอะ” เกรกอรี่แนะเบา ๆ
คนถูกแนะนำยืนทำท่ากระฟัดกระเฟียดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังกลับไปพูดอย่างจำใจ
“ว่าไง จะเขียนไม่เขียน” เฮอร์มิสยื่นคำขาดพร้อมปากกากับกระดาษให้อัลรีย่า “บอกมาเลยคำเดียว”
“ฉันจะ กรุณา เขียนให้นายก็ได้” อัลรีย่าพูดเน้นอย่างสะใจแล้วก็รับปากกากับกระดาษมาเขียน โดยไม่ได้ให้กระดาษของตัวเองกับอัลรีย่า
“นายนี่ ยังไงก็ยังไม่รู้จักมารยาทเสียที ไอ้เรื่องพวกนี้มันต้องแลกกันเขียนเว้ย” เฮอร์มิสตวาดเข้าให้ คนบ้าอะไรที่บ้านไม่เคยสั่งสอนให้รู้จักมารยาทหรือไงกัน “ไม่ใช่ว่านายจะกรุณาฉันฝ่ายเดียว เพราะฉันต้องกรุณาเขียนให้นายด้วย”
อัลรีย่าเริ่มหน้าแดงด้วยความละอายนิด ๆ แต่ไม่มีใครทันสังเกต ก่อนจะตอบกับอย่างคนไม่รู้สำนึก “ก็ฉันไม่กรุณาให้นายเขียนนี่”
“เฮ้ย พวกนายฟังมันพูดนะ ไม่มีมารยาทแล้วยังจะหาข้ออ้างกลบเกลื่อนอีก เอามา” เฮอร์มิสพูดอย่างหมดความอดทน แล้วดึงปากกากับกระดาษของอัลรีย่าออกมาเอง
“กะแล้วเชียวว่าต้องไม่ได้ให้ใครเขียน” เฮอร์มิสกล่าว เมื่อเห็นว่ากระดาษของอัลรีย่ายังคงขาวสะอาดปราศจากตัวอักษร แล้วก็เงยหน้ามามองอัลรีย่าด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะ “หรือจะให้ถูกก็คือไม่มีใครยอมเขียนให้”
หน้าของอัลรีย่าเริ่มขึ้นสีเข้ม แต่ความรู้สึกตอนนี้เปลี่ยนจากความละอายเป็นความโกรธ
ก่อนที่อัลรีย่าจะเริ่มต่อคำจนกลายเป็นสงครามน้ำลายขนาดใหญ่ เพอร์ซี่ที่เงียบอยู่นานเลยเข้ามาปรามไว้ก่อน “นี่ พวกนายหยุดเลย เท่าที่จำได้พวกนายเป็นเด็กเมืองกันนี่ ทำไมเด็กเมืองถึงชอบมีเรื่องกันจัง เด็กชนบทอย่างฉันยังรู้จักการให้อภัยเลย ทำไมเรื่องแค่นี้ต้องทะเลาะกันด้วย เขียนให้กันทั้งสองคนนั่นแหละ”
เฮอร์มิสทำหน้าฟึดฟัด แล้วก็หันกลับไปเขียนต่อ แต่ฝ่ายอัลรีย่าด้วยความที่ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับพ่อแม่ ไม่เคยจะถูกดุว่าสั่งสอน พอเจอคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นานมาว่า เขาก็ทำหน้ากระฟัดกระเฟียดใส่ กะจะหาเรื่อง แต่พอเจอคนห้ามทำตาดุใส่ก็เลยหุบปากไม่กล้าต่อคำ
เมื่อเขียนเสร็จทั้งสองฝ่ายก็มองตากันอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะรีบดึงกระดาษกลับมาอ่านด้วยความอยากรู้
‘ถึงไอ้หมาบ้า โรคจิต ไร้มารยาท ที่มีตาสีม่วง ฉันชื่อเฮอร์มิส การ์ตาร์ หอพระราชาเซคชั่นสอง ยังไงก็อย่าลืมนะ ว่านายเคยขอให้ฉันรับนายมานอนในเต็นท์เดียวกันน่ะ 5555’
‘ถึงไอ้คนปากดี ชอบหาเรื่อง ฉันชื่ออัลรีย่า ชูสลี่ย์ หอพระราชาเซคชั่นหนึ่ง (555 ฉันเก่งกว่า) อย่าลืมล่ะ (อ้อ! รวยกว่าด้วย)’
“ไอ้บ้า!!!” ทั้งสองคนตะโกนพร้อมกัน ขณะนี้ทั้งคู่พร้อมที่จะกระโจนเข้าใส่กันแล้ว ถ้าไม่มีเพอร์ซี่กับเกรกอรี่มาดึงตัวของทั้งคู่เอาไว้ซะก่อน
“พวกนายนี่อะไรกันนะ ทะเลาะกันอยู่ได้” เกรกอรี่บ่นเมื่อทั้งคู่สงบลง พร้อมกับหยิบกระดาษเจ้าปัญหาของทั้งคู่มาอ่าน แล้วเริ่มหัวเราะก๊ากพลางยื่นให้เพอร์ซี่ที่ยืนทำหน้างง ๆ อ่าน “ดูพวกมันเขียนกันดิ”
เพอร์ซี่รับไป พออ่านเสร็จก็หน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมาทันควัน “นี่ พวกนายโตกันแล้วยังทำอะไรกันเป็นเด็ก ๆ ไปได้ เก็บไป แล้วไม่ต้องหาเรื่องกันอีก”
คนอารมณ์ร้อนทั้งคู่รับกระดาษจากเพอร์ซี่แล้วเขม่นหน้ากันเป็นการทิ้งท้ายก่อนจะสะบัดหน้าเดินแยกกันไปคนละทาง
“เฮ้อ ดีนะที่มันไม่ได้อยู่เซคหนึ่ง ไม่งั้นคงได้ทะเลาะกับอัลรีย่าทุกวันแน่” เกรกอรี่เปรยขึ้นยิ้ม ๆ
“จริงด้วยนะ ฉันคงไม่ว่างมาห้ามมวยตลอดเวลาหรอก ฉันว่าถ้าเป็นอย่างนี้ฉันไปหาเพื่อนกลุ่มใหม่ดีกว่า” คราวนี้คนที่ดูเงียบ ๆ กลับพูดขึ้นด้วยเสียงกลั้วหัวเราะเบา ๆ
“เอาล่ะ คงได้เวลากลับหอกันแล้วสินะ” เกรกอรี่รวบรวมข้าวของขึ้นมาไว้ในมือ ส่วนเฮอร์มิสที่หนีไปเพราะความหงุดหงิดเรื่องเมื่อครู่ก็กำลังเดินกลับมา
“อืม ใช่ งั้นเราคงต้องไปก่อนนะ” เพอร์ซี่หยิบเป้ขึ้นมาสะพายพร้อมจะกลับเข้าหอ
“เราเพิ่งรู้จักกับนายวันเดียว แต่เหมือนกับได้รู้จักกันมานานมากเลย เวลามันผ่านไปเร็วดีเนอะ” เฮอร์มิสยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี ไม่รู้ว่าไอ้ความหงุดหงิดเมื่อครู่หายไปไหนหมด
“อืม ฉันก็เหมือนกัน” เพอร์ซี่ยิ้มตอบ
“ไปกันเถอะ ขึ้นหอได้แล้ว จะได้ไปเก็บข้าวของ พรุ่งนี้จะได้ไม่ตื่นสาย” เกรกอรี่เร่งเมื่อเห็นท่าทางเพื่อนจะคุยอีกนาน “เดินไกลนะเว้ย จากนี่ไปถึงหอน่ะ แล้วยังไงก็ไปหอเดียวกันอยู่ดี อย่าเพิ่งมาลากันเลย”
“เออว่ะ ไป ๆ รีบไปกันเลย”
---------------------------
เช้าวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าแจ่มใส แสงแดดสาดส่อง แต่ตรงสนามใหญ่แห่งโรงเรียนเวทมนตร์เทอร์แมน ยังคงร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ที่อยู่สองฟากฝั่งของสนาม สนามนี้กว้างใหญ่มากตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของประตูทางเข้าโรงเรียน เมื่อยืนที่สนามหันหน้าไปที่ทางเดินกลาง จะเห็นหอประชุมใหญ่อยู่ลิบ ๆ ทางด้านซ้าย
ตอนนี้ เด็กปีหนึ่งทั้งโรงเรียนเวทมนตร์เทอร์แมน ไม่ว่าจะเป็นหอใดก็ตาม ต่างมายืนรวมกันที่สนามแห่งนี้รอการจัดกลุ่มเพื่อทำการรับน้องใหม่
“น้อง ๆ ทุกคนคะ ดูรายชื่อของตัวเองได้ที่บอร์ดแล้วไปลงชื่อที่กลุ่มของตัวเองเลยนะคะ จะมีซุ้มตั้งประจำอยู่ที่แต่ละกลุ่ม น้อง ๆ ลองเดินหาดูกันนะคะ” เสียงหวาน ๆ ไพเราะดังขึ้นจากเวทีด้านหน้าสนามเป็นของ มารีน่า มอลลี่ ประธานนักเรียนของโรงเรียนเวทมนตร์เทอร์แมน เจ้าหล่อนมีผมยาวตรงสีน้ำตาลอ่อน ๆ รูปร่างบอบบางอ้อนแอ้นน่ารัก ดวงตาสีน้ำตาลแดงของเธอดูโดดเด่น แววตาที่สบมองตอบเด็กปีหนึ่งหลาย ๆ คนที่เงยหน้ามามองเธอที่พูดอยู่บนเวทีนั้นฉายชัดถึงความอ่อนโยนใจดี ทำให้เด็กปีหนึ่งรู้สึกผ่อนคลาย
ขณะที่เธอกวาดสายตามอง ก็โปรยยิ้มตามไปแถมให้ด้วย
การแบ่งกลุ่มรับน้องแบ่งออกเป็นสิบกลุ่ม แต่ละกลุ่มเรียกเป็นป้อม ป้อม ๆ หนึ่งมีเด็กปีหนึ่งทั้งหมดหกสิบคน และมีรุ่นพี่คอยคุมป้อมดูแลการรับน้องต่าง ๆ การรับน้องนี้จะแบ่งแบบสุ่ม ดังนั้นแต่ละป้อมจึงมีเด็กจากทุกหออยู่ การรับน้องมีระยะเวลาทั้งหมด สองวันหนึ่งคืน โดยที่พักก็คือเต็นท์ที่สร้างเป็นป้อมกระจายไปทั่วบริเวณโรงเรียนเวทมนตร์แห่งนี้ แบ่งไปเป็นโซน ๆ
เฮอร์มิสและเพื่อนอีกสามคนเดินมาถึงหน้าบอร์ดที่ติดชื่อ ก็ปรากฏว่าตัวเขาและเกรกอรี่ได้อยู่กลุ่มเดียวกัน ส่วนเอลวินและวอลลี่อยู่อีกกลุ่มหนึ่ง
กลุ่มที่วอลลี่และเอลวินไปอยู่คือป้อมเดวิล ส่วนกลุ่มของเฮอร์มิสและเกรกอรี่คือป้อมแองเจิ้ล ซึ่งทั้งสองป้อมอยู่ในโซนเดียวกัน
“งั้นพวกเราแยกกันตรงนี้ละกัน” เอลวินกล่าวเมื่อดูบอร์ดเสร็จ
“อืม เดี๋ยวเจอกัน” เฮอร์มิสยิ้ม ๆ แล้วเขาก็แยกจากเอลวินกับวอลลี่ไปเข้าป้อมพร้อมกับเกรกอรี่
+ + + +
“อืม คนเยอะดีเนอะ เกรกอรี่” เฮอร์มิสกล่าวขึ้นเมื่อเดินเข้าไปในซุ้มป้อมแองเจิ้ล ผู้คนพากันเดินขวักไขว่เต็มพื้นที่ป้อมไปหมด ภายในป้อมประดับตกแต่งด้วยขนนกสีขาวมากมาย ภาพมายาของวิหารอันวิจิตรถูกเสกขึ้นรอบ ๆ แสงแดดที่ส่องเข้ามาสว่างไสวแต่ไม่แสบตา ดูราวกับตนหลงมาอยู่ในสวรรค์จริง ๆ
“เออ ฉันว่า เราไปลงทะเบียนกันก่อนดีกว่า” เกรกอรี่ออกความเห็นทำให้คนที่กำลังเหม่อสะดุ้งเล็กน้อย
“อ..อืม” เฮอร์มิสพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะลงทะเบียน
“สวัสดีค่ะน้อง บอกหอกับชื่อมาด้วยค่ะ” พี่สาวที่นั่งโต๊ะลงทะเบียนกล่าวถามอย่างใจดีและร่าเริง ผมสีดำยาวของเธอถูกรวบเป็นหางม้าไว้ด้านหลัง
“ผมชื่อเฮอร์มิส การ์ตาร์ฮะ หมอนี่ชื่อเกรกอรี่ เกรเนอร์ พวกเรามาจากหอพระราชาฮะ” เฮอร์มิสยิ้มกว้างอย่างร่าเริง ก่อนจะกวาดสายตาไปเห็นป้ายชื่อที่แขวนอยู่บนคอของพี่สาวฝ่ายทะเบียน
‘พีท ปีสาม หอประชาชน’
“เอ๊ะ หอประชาชนมีคนใจดีอย่างนี้ด้วยเหรอ” เฮอร์มิสกระซิบถามคนข้างตัว
“อืม... จุดเด่นของหอประชาชนคือความตรงไปตรงมานี่นา อาจจะเป็นว่าเค้าเป็นคนอ่อนโยนก็ได้มั้ง” น้ำเสียงตอบกลับมาอย่างไม่มั่นใจนัก
“เสร็จแล้วค่ะ” พีทกล่าวยิ้ม ๆ พร้อมยื่นป้ายชื่อให้ “แขวนด้วยนะคะน้อง”
ทั้งสองพยักหน้ารับขณะคิดว่าทำไมคนแบบนี้ถึงอยู่หอประชาชนได้
“เฮ้ย ไอ้เตรุส มารับเด็ก ๆ ไปเข้ากลุ่มเด๊ะ” เสียงของพีทเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
“นี่ไง แก เป็นคนตรง ๆ” เกรกอรี่กระซิบตอบ “กับรุ่นน้องอ่อนโยน กับเพื่อน...”
ไม่ต้องให้พูดต่อ ทั้งสองมองตากันก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ แล้วเตรุสก็เดินมา
เขาเป็นผู้ชายที่ตัวไม่ใหญ่นัก หน้าตาทะเล้นขี้เล่นอย่างเห็นได้ชัด แต่จุดเด่นสำคัญอยู่ที่ผิวซึ่งกลืนกับผมสีดำที่ยาวระต้นคอ
“มา ตามฉันมา” เตรุสพูดพลางฉุดเฮอร์มิสและเกรกอรี่ไป ทำให้ทั้งสองตกใจมากเพราะเตรุสมีแรงเยอะกว่าที่เห็น
“ไม่ต้องสงสัยเลยคนนี้ ฉันว่า หอไพร่ทาสชัวร์” เฮอร์มิสเดาพร้อมรอยยิ้มกว้าง
เกรกอรี่ก็อดสงสัยไม่ได้จึงหันไปมองป้ายที่คอ ขณะที่กำลังโดนยกตัวลอยจากพื้นไปเข้ากลุ่ม
‘เตรุส ปีสาม หอไพร่ทาส’
พลันมุมปากก็ขยับขึ้นอย่างอดไม่ได้ เขาหันไปพยักหน้ากับเฮอร์มิสก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกันทั้งคู่
“หัวเราะอะไรเหรอ เฮอร์มิส เกรกอรี่ บอกพี่ได้ไหม” เตรุสกล่าวถามหลังจากเหลือบมองดูป้ายชื่อของทั้งสองคน เพราะอยากรู้เรื่องสนุกด้วย
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกฮะ แค่เรื่องของเซ้นส์นิดหน่อย” เฮอร์มิสตอบ ทั้ง ๆ ที่ยังหัวเราะไม่หยุด
คำตอบที่ไม่ค่อยจะ ‘เมคเซ้นส์’ ก็ทำเอาคนเป็นรุ่นพี่อยากจะเกาหัวแกร่กให้รู้แล้วรู้รอด
มันหัวเราะอะไรกัน
“เอ้า พาเพื่อนใหม่มาให้รู้จักกันแล้วครับ” เตรุสพูดกับเด็กที่นั่งกันเป็นวงอยู่ในป้อม “ให้เพื่อนนั่งด้วยนะ”
“เดี๋ยวเฮอร์มิส กับ เกรกอรี่ทำความรู้จักกับเพื่อน ๆ ด้วยนะ” เตรุสยิ้มกว้างเผยให้เห็นฟันขาวที่ตัดกับสีผิวอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่จะเดินออกจากวงไป
แล้วสายตาของเฮอร์มิสก็เหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มตัวสูงคนที่เขาอยากรู้จักคนนั้นเข้า เลยสะกิดให้เกรกอรี่ไปนั่งแทรกตรงข้าง ๆ เด็กคนนั้น
“เฮ้ย! ไปกันเหอะ” เฮอร์มิสพูดอย่างรีบร้อน
“จะรีบไปไหนวะ” เกรกอรี่ถามอย่างงง ๆ พร้อมกับหันไปทางที่เจ้าเพื่อนตัวดีมันเรียกให้นั่งถึงได้รู้ว่าทำไม “เอ๊าะ อ๋อ แกอยากนั่งตรงนั้นเพราะ... นั่นเอง”
เจ้าตัวคนโดนแซวหันกลับมาว้ากใส่คนพูดไม่คิดทันที
“ไอ้บ้า แกอย่าคิดอกุศลสิวะ ได้มีโอกาสทำความรู้จักทั้งทีไม่มีวันปล่อยให้หลุดมือหรอกน่า”
“เฮ้ย พูดแปลก ๆ เว้ยแกนี่” เกรกอรี่ยิ้มกว้าง “ฉันก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย”
“เออน่า ช่างมันเหอะ”
ว่าแล้วเจ้าตัวดีก็รี่เข้าไปหาพ่อหนุ่มตัวสูงคนนั้น
ผมดำเรี่ยต้นคอ หน้าตาเกลี้ยงเกลา เฮอร์มิสกำลังนึกอยู่ว่า ไปคุ้นกับส่วนไหนของชายผู้นี้
“สวัสดี เราชื่อเฮอร์มิส การ์ตาร์ มาจากหอพระราชา เซคชั่นสอง ยินดีที่รู้จัก” เฮอร์มิสกล่าวทักทายอย่างไม่รีรอ
เด็กหนุ่มที่ไม่ทันได้รู้เรื่องราวก็หันหน้ามามองอย่างงง ๆ และเกรกอรี่ก็แปลกใจเหมือนกันว่าอะไรจะรีบร้อนแนะนำตัวไม่มีพูดพร่ำทำเพลง
อ๋อ... ที่แท้ก็แววตานี่เอง...
ดวงตาสีนิลที่เพิ่งได้เห็นเป็นครั้งแรก แต่กลับรู้สึกว่าคุ้นเคยมานานแสนนาน เฮอร์มิสยื่นมือออกไปเพื่อเป็นการทักทาย
“อ...อืม เราชื่อเพอร์ซี่ ปาสกัล มาจากหอพระราชา เซคชั่นหนึ่ง ยินดีที่รู้จัก” เด็กหนุ่มตัวสูงแนะนำตัวตอบ พร้อมกับยื่นมือทักทายกลับ
ฟึ่บ!
อะไรบางอย่าง...แว่บขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ทั้งสองสบตากันหากแต่ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร จึงได้แต่ทำหน้างง ๆ
“เออ ฉันชื่อเกรกอรี่ เกรเนอร์ เป็นเพื่อนมาจากที่เดียวกับมัน” เกรกอรี่กล่าวแนะนำตัวพร้อมยื่นมือออกไป ทำให้ทั้งสองหลุดจากภวังค์แห่งความคิด
แล้วทั้งสามก็คุยกันเล็กน้อยก่อนจะกลับมาสนใจกิจกรรมในวงเพราะรุ่นพี่จะเริ่มนำเกมแล้ว
“ทุกคน เราจะเล่นเกมวิ่งสามขากันนะครับ เพื่อเสริมสร้างความสามัคคีของแต่ละคน เชิญทุกคนจับกลุ่มกันได้เลย” พี่ในป้อมกล่าว
“เออ... เพอร์ซี่” เฮอร์มิสเอ่ยเบา ๆ อย่างสุภาพ เมื่อคนถูกเรียกหันมามองจึงพูดต่อ “เรามาจับกลุ่มกันไหม วิ่งสามขาน่ะ ครบพอดีเลยสามคน”
เพอร์ซี่ก็เห็นว่าทั้งสองคนอยู่ใกล้ ไม่ต้องเดินไปหาที่ไหนจึงตอบรับโดยง่ายดาย
“ตกลง”
หลังจากผ่านไปสักพัก การแข่งก็เริ่มขึ้น...
เฮอร์มิสและเพอร์ซี่วิ่งเข้าขากันอย่างประหลาด ในขณะที่เฮอร์มิสกับเกรกอรี่กลับวิ่งขัดกันบ้างทำให้เข้าเส้นชัยไปอย่างทุลักทุเล
“เฮ้อ กว่าจะเข้าเส้นชัยได้” เกรกอรี่กล่าวเนือย ๆ
“ก็นายนั่นแหละวิ่งไงวะ ไม่เข้ากับฉันเลย” เฮอร์มิสกล่าวโทษเพื่อนของตัว “เกือบซวยแล้วไหมล่ะ”
ตอนนี้ กลุ่มที่เข้าเป็นลำดับสุดท้ายกำลังถูกรุ่นพี่เสกคาถาให้ทำท่าอุบาทว์ ๆ อยู่กลางวงเพื่อน ๆ เป็นการลงโทษ
“เอาเหอะน่า ไง ๆ ก็รอดมาได้แล้วกัน” เกรกอรี่กล่าวแก้ตัว
“เฮ้ย! นั่น...” เกรกอรี่ร้องขึ้นอย่างตกใจ พลางชี้ไปที่กลางวง
เฮอร์มิสหันตาม ก็ได้พบกับคนที่เขาไม่ชอบที่สุด...
อัลรีย่า!!!
“เฮ้ย ไอ้บ้านี่มันอยู่ป้อมนี้ด้วยหรือนี่ ซวยฉิบ...” เฮอร์มิสบ่นขึ้นมาอย่างลืมตัว
เพอร์ซี่ที่นั่งอยู่ใกล้จึงมองบ้าง เห็นว่าคนที่เจ้าหนุ่มผมทองหมายถึงคือ อัลรีย่า จึงพูดขึ้นมา “เอ๊ะ นั่น อัลรีย่า หอพระราชาเซคหนึ่งนี่นา พวกนายรู้จักด้วยเหรอ”
เด็กเซคสองทั้งคู่มองหน้ากันก่อนจะยิ้มรับ “มันบังเอิญเป็นความซวยที่ไปรู้จักน่ะ” เฮอร์มิสยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้
“ทำไมล่ะ เขาไม่ดีหรือ ฉันไม่เคยคุยกับเขาน่ะ” คนที่ไม่เคยรู้ฤทธิ์ปากของบุคคลที่สามมาก่อนถามขึ้นอย่างสงสัย
เฮอร์มิสจึงจัดการเผาอัลรีย่าซะเกรียม
“ฮื่อ ขนาดนั้นเลยเหรอ เห็นตอนอยู่ในเซคดูเงียบ ๆ ไม่เห็นจะพูดมากเลย” เพอร์ซี่แย้ง
“แล้วนายก็จะรู้เอง ถ้าหลวมตัวเข้าไปคุยกับมัน” เฮอร์มิสกล่าวตัดบท “ไปทำความรู้จักกับคนอื่นดีกว่า ไปกันเถอะ” เขามองหน้าเพื่อนทั้งสองเพื่อรอคำตอบ
เกรกอรี่พยักหน้ารับ แต่เพอร์ซี่ส่ายหน้า
“เหนื่อยน่ะ พักตรงนี้ดีกว่า”
“งั้นก็...” เฮอร์มิสยักไหล่แล้วพาเกรกอรี่เดินไปด้วย
ลับหลังเพอร์ซี่ เกรกอรี่ก็พูดขึ้น “ไอ้หมอนี่ท่าทางจะไม่ค่อยคบกับใครนะ ทำไมนายถึงอยากรู้จักกับมันจัง”
“ก็...” เฮอร์มิสคิดหนัก ก่อนจะให้คำตอบที่ไม่มีประโยชน์กับคนถาม “ไม่รู้สิ”
+ + + +
“เอาล่ะ พอยัง ตอนนี้รู้จักมาเยอะแล้วนะ ฉันว่า” เกรกอรี่พูดอย่างรำคาญหลังจากที่ตามเฮอร์มิสมาทำความรู้จักกับคนในป้อมได้เกือบยี่สิบคน “ฉันเมื่อยแล้ว เดินไปเดินมาอยู่ได้”
“อืม พอแล้วก็ได้” เฮอร์มิสพูด พลางเดินไปที่เพอร์ซี่นั่งอยู่
“เป็นไง รู้จักคนเยอะแล้วสิ” เพอร์ซี่ถามยิ้มๆ
“อืม ก็พอดูแล้วล่ะ เกือบครึ่งป้อมแล้ว เลยมานั่งพักน่ะ” เฮอร์มิสตอบ
ทั้งสามคนนั่งเงียบกันพักหนึ่ง จนกระทั่ง เฮอร์มิสนึกขึ้นมาได้ว่า เขาอาจจะเคยเจอกับเพอร์ซี่ที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า ถึงได้รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตา จึงถามออกไป
“เออ เพอร์ซี่ เรากับนายเคยเจอกันที่ไหนหรือเปล่า คือ เรารู้สึกคุ้นกับนายตั้งแต่เห็นครั้งแรกแล้วอะ”
สิ้นคำถาม เกรกอรี่ก็หันมาด้วย เพราะอยากรู้เหมือนกันว่าทั้งสองคนเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า ทำไมไอ้เพื่อนตัวดีของเขาถึงอยากคุยกับเพอร์ซี่นัก
“อืม... ที่จริงฉันก็รู้สึกคุ้น ๆ กับนายเหมือนกันนะ เฮอร์มิส แต่เราคงไม่เคยเจอกันหรอก” เพอร์ซี่ตอบ “ฉันมาจากชานเมืองของอาณาจักรเซาธ์น่ะ ที่นั่นไม่ค่อยมีคน เพราะอากาศหนาว แล้วนี่ฉันก็เพิ่งออกมาจากหมู่บ้านเป็นครั้งแรก”
“เหรอ อืม มิน่านายไม่ค่อยพูดกับใคร เพราะชินกับการอยู่กับคนน้อย ๆ ล่ะเนอะ” เฮอร์มิสออกความเห็น
เพอร์ซี่พยักหน้าเฉย ๆ แล้วพวกรุ่นพี่ที่ป้อมก็เรียกรวมให้ไปทำกิจกรรมกันต่อ
ทั้งหมดต้องแยกกลุ่มจับกันเป็นวงกลม ทั้งหมดหกกลุ่ม และจะมีรุ่นพี่แทรกอยู่ด้วย
ในวงของเฮอร์มิสมีรุ่นพี่เข้ามาร่วมด้วยอยู่สี่คน สองคนคือ เตรุส และพีท
“อ้าว เฮอร์มิส เกรกอรี่ อยู่วงเดียวกับพี่ด้วย ดีเหมือนกันจะได้ประหยัดสมองไปนิดนึง” พีทกล่าวขึ้นเมื่อเห็นน้องทั้งสองคนที่ตัวจำชื่อได้
“จะทำอะไรเหรอพี่” เฮอร์มิสถามงง ๆ
“อ๋อ ก็เราจะให้ทุกคนจำชื่อคนในวงให้ได้ในสามนาที หลังจากนั้นทุกคนต้องถอดป้ายชื่อออก แล้วพวกพี่ที่อยู่นอกวงก็จะมาแจกปืนเวทมนตร์ให้คนที่อยู่ในวง แล้วจะมีรุ่นพี่คนนึงอยู่ตรงกลางวงคอยยิงเวทย์ใส่คนที่อยู่รอบวง ซึ่งคนที่โดนยิงก็ต้องหลบไม่อย่างนั้นก็จะโดนเวทย์เข้าให้ อาจจะเป็นให้ทำท่าประหลาด ๆ ก็ได้ ไม่มีใครรู้ เพราะเวทย์จะออกมาแบบสุ่ม” คราวนี้คนตอบเป็นเตรุส “แต่ไม่ต้องกลัว เพราะถ้าหลบทัน ความซวยจะไปตกที่คนข้าง ๆ ทั้งสองคนแทน เพราะจะต้องหันมายิงเวทย์ใส่กัน โดยที่จะต้องเรียกชื่อของอีกฝ่าย ถ้าเกิดเรียกผิด เวทย์ก็จะไม่ออกมา เพราะฉะนั้นถ้าใครจำชื่อเพื่อนข้าง ๆ ไม่ได้ก็โดนไปซะ แต่ว่าถ้าทั้งสองคนเรียกชื่ออีกฝ่ายไม่ได้ก็ต้องโดนรุ่นพี่ที่อยู่กลางวงยิงเวทย์ใส่”
“ถ้าเป็นเรื่องชื่อคนล่ะก็ สบาย” เฮอร์มิสพูดอย่างได้ใจ เพราะคนในวงนี้คือคนที่เขาทำความรู้จักมาแล้วทั้งหมด ที่เขาจะต้องจำใหม่ก็มีแค่พี่อีกสองคนที่ยังไม่รู้จัก
สุดท้ายเฮอร์มิสกับเกรกอรี่ก็เป็นสองคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในวง
“เย้ ชนะแล้ว” เฮอร์มิสร้องตะโกนดีใจใหญ่
“เอาล่ะครับๆ” รุ่นพี่ที่เป็นหัวหน้าป้อมกล่าวขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจ “ขอเชิญเหล่าผู้ชนะมาอยู่ตรงกลางครับ พวกเราที่เหลือมาล้อมไว้เร็ว”
น้ำเสียงที่ทำให้เหล่าผู้ชนะต้องกลืนน้ำลายเอื้อก ต้องไปยืนอยู่ตรงกลางวง... นี่มันรายการดัดหลังคนชนะชัด ๆ ทั้งเฮอร์มิส เกรกอรี่ และอีกสิบกว่าคนที่มาจากวงอื่นต่างก็เกิดอาการหน้าถอดสีกันไปเป็นแถว ๆ มีบางคนพยายามจะอิดออดแต่ก็โดนรุ่นพี่คะยั้นคะยอให้กลับมาอยู่ตรงกลางวง
“ทุกคนเล็ง!!” หัวหน้าป้อมสั่งพร้อมยิ้มกว้าง “พี่นับถึงสามแล้วยิงพร้อมกันนะครับ”
สิ้นคำมันไม่ใช่แค่หัวหน้าป้อมเท่านั้น เพื่อน ๆ พี่ ๆ รวมป้อมทุกคนต่างพากันแสยะยิ้มให้คนที่อยู่กลางวงกลัวจนต้องยกมือขึ้นกันทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่ายังไงมันก็กันเวทย์ไม่ได้
“หนึ่ง.....สอง.....”
เป๊าะ!!
“สาม!!”
เสียงดีดนิ้วที่ดังขึ้นก่อนที่จะนับสาม เป็นการใช้เวทย์ของหัวหน้าป้อมเปลี่ยนให้กระสุนเวทย์กลายเป็น... สิ่งที่เรียกเสียงฮือฮาจากเหล่าเด็กปีหนึ่งได้ดี
เหล่าผู้ชนะที่รอรับผลกรรมอยู่ ทันทีที่ได้ยินเสียงฮือฮาก็พากันลืมตาขึ้นก่อนจะร้องอุทานอย่างประหลาดใจ...
ขนนกสีขาวบริสุทธิ์ลอยอยู่กลางอากาศพร้อมกับดอกเกล็ดหิมะจำลองซึ่งหายไปก่อนที่เหล่าเด็กปีหนึ่งจะคว้ามาไว้ในมือ
“สวยจัง...” เฮอร์มิสมองตามเหล่าขนนกที่โปรยปรายลงมาอย่างไม่วางตา แล้วเสียงปรบมือก็ดังขึ้นทันทีที่เวทมนตร์อันแสนวิเศษนี้จางหายไป ทุกคนต่างพากันแยกย้ายไปนั่งเล่นกัน ก่อนจะเริ่มกิจกรรมต่อไป
ตอนที่เขากลับไปพักก็ต้องมาเจอกับคนที่สาปส่งที่สุดอย่างช่วยไม่ได้ เนื่องจากเพอร์ซี่ดันไปนั่งใกล้ ๆ กับที่ที่ใครบางคนกำลังนั่งอยู่
“เฮอะ ดีใจกับอีแค่เรื่องไร้สาระ” เสียงไม่เป็นมิตรที่ดังขึ้นทำให้เฮอร์มิสต้องหันขวับอย่างอดไม่ได้ “เด็กจริง ๆ”
“ถ้ารับน้องมันไร้สาระนักจะโผล่หัวมาให้เกะกะลูกตาคนอื่นทำไม อีกอย่างมันก็เป็นการพิสูจน์ว่าฉันมีมนุษยสัมพันธ์ดี จำคนอื่นได้หมด” เฮอร์มิสย้อนกลับ “ไม่เหมือนบางคน ชอบทำตัวไม่น่าคบ ระวังไว้เหอะ จะไม่มีเพื่อน”
“ฉันไม่มีเพื่อนก็ไม่เกี่ยวกับนายหรอกน่า” ใบหน้าขาว ๆ ของอัลรีย่าเริ่มขึ้นสีอย่างเห็นได้ชัด
เฮอร์มิสไม่อยากใส่ใจจึงเดินกลับไป ในขณะที่หลาย ๆ คนเริ่มหันมามองสองคนที่พูดจาทะเลาะกัน
“เห็นไหม เพอร์ซี่ ว่ามันชอบหาเรื่อง” เฮอร์มิสถอนหายใจเบา ๆ ขณะทิ้งตัวลงนั่งข้างคู่สนทนา
“อืม เขาคงไม่ชินกับการคบกับใครมั้ง เพราะเราได้ยินคนในเซคพูดกันว่า อัลรีย่ามีพ่อแม่เป็นนักวิจัยในเมืองอีสท์ ไม่ค่อยจะมีเวลาให้เขาสักเท่าไหร่ วัน ๆ เอาแต่ซื้อหนังสือให้อ่าน ไม่ยอมให้ออกไปเล่นข้างนอก เพราะเป็นห่วงน่ะ เลยไม่มีเพื่อน” เพอร์ซี่พูดแก้ตัวให้เพื่อนในเซคเดียวกัน
“ฟัง ๆ ดูก็น่าสงสารนะ มิน่าล่ะ ถึงได้ไม่รู้จักวิธีการคบกับคน แต่ไม่เอาด้วยหรอกคนพรรค์นี้ น่าสงสารยังไงก็ไม่อยากยุ่งด้วย ปากมาก” เฮอร์มิสบ่นอุบ
เกรกอรี่ก็ได้แต่ส่ายหน้า
สงสัยชาตินี้ มันกับอัลรีย่าคงไม่มีทางญาติดีกันแน่ ๆ
+ + + +
ตอนกลางดึก พวกรุ่นพี่ก็เสกพลุเวทมนตร์ขึ้นมาเพื่อเป็นการเริ่มพิธีบายศรี แสงไฟจากคทาค่อย ๆ ส่องขึ้นทีละด้ามจากพวกพี่ ๆ ที่ยืนเป็นวงกลมล้อมน้อง ๆ อยู่
บรรยากาศที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนต้องสะท้านอย่างบอกไม่ถูก
“รู้สึกว่ามันขลังไงไม่รู้ว่ะ เกรกอรี่ ฉันขนลุกแล้วเนี่ย” เฮอร์มิสว่าพลางลูบแขนตัวเองไปมา
“เออ เหมือนกัน มันทำให้รู้สึกภูมิใจยังไงไม่รู้ที่ได้เข้าเรียนที่นี่” คำตอบพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ออกมาด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ข้างในจนกลั้นไม่อยู่
เฮอร์มิสหันไปยังเพื่อนอีกคนที่จนบัดนี้ก็ยังเงียบ “แล้วนายอะ รู้สึกไงเหรอ”
คนถูกถามหันมาตอบ “อืม... รู้สึกอบอุ่นน่ะ เหมือนเป็นครอบครัว”
แล้วรุ่นพี่ก็กางวงออกมายืนเป็นแถว แล้วให้น้อง ๆ เดินมาทีละคน พี่ ๆ จะเสกกำไลลูกไฟขึ้นเพื่อเป็นเครื่องหมายของการเป็นน้องใหม่ซึ่งจะค่อย ๆ จางหายไประหว่างเทอม ขณะที่เอากำไลนั้นคล้องข้อมือของรุ่นน้อง พี่ ๆ ก็จะอวยพรให้
“ขอให้มีความสุขกับชีวิตในโรงเรียนนะคะ” พี่คนที่อยู่ท้ายแถวพูดด้วยเสียงอ่อนโยนขณะที่คล้องข้อมือให้เฮอร์มิส
“ครับ” เฮอร์มิสตอบอย่างเต็มภาคภูมิ โดยไม่รู้เลยว่า ความวุ่นวายในชีวิตกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า
“เอาล่ะครับ น้อง ๆ ทุกคน ได้เวลานอนแล้ว แยกกันเข้าเต็นท์ตามใจชอบได้เลยครับ” พี่ในป้อมพูดเมื่อพิธีบายศรีจบลง
“เต็นท์นึง นอนได้สี่คนนะครับ น้องผู้ชายแยกกับน้องผู้หญิงนะครับ ห้ามนอนด้วยกัน เรามีเต็นท์พอนะครับ” เตรุสพูดขึ้นมาด้วยเสียงทะเล้น ทำให้น้อง ๆ หลายคนหัวเราะคิกคัก
“อ้าว เรามีกันแค่สามคนเอง เอาไงดี” เฮอร์มิสถามความเห็นเพื่อน ๆ “หรือจะนอนแค่สามคน ไม่ต้องหาคนที่สี่”
“ไม่ดีมั้ง เดี๋ยวเต็นท์ไม่พอ มันเกินมาไม่กี่หลังเองนี่” เพอร์ซี่เสนอความเห็น
“อืม ใช่ งั้นลองหาคนที่ไม่มีเต็นท์อยู่ก่อนละกัน” เกรกอรี่พูดแล้วก็มองหาคนที่ไม่มีเต็นท์อยู่
จนกระทั่ง....
“พวกนาย มีแค่สามคนใช่ไหม งั้นฉันจะยอมมานอนด้วยละกัน” เสียงเดิม ๆ ที่เฮอร์มิสไม่ชอบดังขึ้น สำเนียงยังคงติดจะอวดดีอยู่นิด ๆ แม้ในสถานการณ์ที่ต้องขอร้องคนอื่นก็ตาม
“ไง พ่อคนชอบความโดดเดี่ยว คงไม่มีคนยอมนอนด้วยล่ะสิ แล้วนี่ยังจะมาปากดีอีก” เฮอร์มิสพูดแดกดัน พลางมองเหยียด ๆ ใส่อัลรีย่า
คราวนี้ เจ้าหนุ่มผมม่วงไม่ได้ต่อความ กลับก้มหน้าแล้วรอคำตอบ แม้สีหน้าจะบ่งบอกความไม่พอใจอยู่บ้างก็ตาม
“เอาเหอะ เฮอร์มิส เขาไม่มีคนให้นอน เราก็สงสารเขาเหอะ” เกรกอรี่ชักเห็นใจ
“แล้วใครว่าฉันจะไม่ให้มันนอนล่ะ ยังไงก็หอเดียวกัน” เฮอร์มิสพูดอย่างไม่ค่อยพอใจ “เอ้า งั้นก็เอาของไปเก็บ แล้วก็อาบน้ำ เตรียมตัวนอนได้แล้ว”
แล้วอัลรีย่าก็เดินเงียบ ๆ เข้าไปในเต็นท์
+ + + +
ทุกคน... ไปไหนกันหมด... ที่นี่ที่ไหน
ตื่นเถิด... อย่ามัวหลับอยู่เลย... เจ้ามีหน้าที่จะต้องทำ... ความตั้งใจของเจ้าไง...
ฟื้นขึ้นสิ... ยอมรับข้า... พลังของข้าจะกลายเป็นของเจ้า
ยอมรับในข้า...
ไม่ เจ้าเป็นใคร ทำไมมันมืดเช่นนี้
ข้าคือเจ้า... และเช่นเดียวกัน เจ้าก็คือข้า....
รับข้าไป...
ไม่...
ไม่มีทาง....
“ไม่...” เสียงร้องดังจนนกที่เกาะอยู่ที่เต็นท์บินหนีไปหมด
ผมสีม่วงยุ่งเหยิง เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ แม้เขาจะไม่ได้ไปนอนเบียดกับอีกสามคน แต่เหงื่อกลับไหลโทรมกายทีเดียว
มันคืออะไร แล้วใครกันที่พูดกับเขา มันฟังดูคุ้นเหลือเกิน...
“นี่ นายเป็นอะไรไป หนวกหูแต่เช้าเลย” เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างงัวเงีย
อัลรีย่าสะดุ้งเฮือกหลุดมาจากห้วงความคิด แล้วหันไปดูต้นเสียง
เฮอร์มิสนั่นเอง สงสัยคงตื่นเพราะเสียงร้องเมื่อครู่แน่ ๆ เขาคิด
“ให้เข้ามานอนด้วยแล้วยังมาโวยวายอีก คนจะหลับจะนอน” เฮอร์มิสยังคงพร่ำว่าต่อไป
ด้วยความหยิ่งยโส อัลรีย่าจึงพูดไปตามนิสัยตัว “อะไร ฉันก็แค่ส่งเสียงนิดหน่อยดูสิคนอื่นเขายังไม่ตื่นเลย นายนี่บ้าป่าว หาเรื่องแต่เช้าเลย”
นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยของเฮอร์มิสฉายแววหงุดหงิดออกมาใส่เจ้าตัวยุ่ง ทั้ง ๆ ที่หน้าตายังง่วงนอนอยู่อย่างเห็นได้ชัด แล้วก็ก้มไปมองหน้าเพื่อนข้าง ๆ ทั้งสองคน ไม่มีใครลืมตาหรือรู้สึกตัวเลย 
เสียงดังขนาดนั้นยังหลับต่อกันได้อีก
“เอาเหอะ ถึงไงเสียงแกก็ทำฉันตื่น แค่ตีห้ากว่าเอง ฉันจะนอนต่อ เงียบ ๆ นะเว้ย เดี๋ยวก็ไล่ออกไปนอกเต็นท์เลยนี่”
ว่าเสร็จ เจ้าคนง่วงก็กลับลงไปนอนต่อ
“เออ ไม่อยู่แล้วเว้ย ไปสูดอากาศข้างนอกก็ได้ ใครเขาจะง้อ” อัลรีย่าบ่นอย่างหงุดหงิด แล้วเดินออกไปข้างนอก
แม้จะง่วงอยู่แต่ก็ไม่อยากหลับซะแล้ว เพราะกลัวจะฝันเห็นเรื่องเมื่อครู่นี้อีก มันน่ากลัวมาก ทั้งมืด ทั้งอ้างว้าง พอออกมาพ้นเต็นท์เขาก็ยืนบิดขี้เกียจ แล้วก็เดินสูดอากาศเล่นคนเดียว
พอเฮอร์มิสเริ่มก่ายแข้งก่ายขา เพื่อนอีกสองคนก็ลุกขึ้นมาเกือบจะพร้อมกัน
“อ้าว นายก็ตื่นเหรอ เพอร์ซี่ ฉันนึกว่ามีแต่ไอ้บ้านี่กับฉันตื่นแค่สองคนซะอีก” เกรกอรี่ว่าพลางพยักเพยิดหน้าไปทางเจ้าคนขี้บ่น
“อืม อัลรีย่านอนอยู่ข้างฉันนี่ ได้ยินอยู่แล้ว” เพอร์ซี่พูดเนือย ๆ เพราะยังไม่ตื่นเต็มที่
“ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรของมัน จู่ ๆ ก็ร้องขึ้นมา หนวกหูชะมัด” เกรกอรี่บ่นอุบ พร้อมกับเกาหัวอย่างไม่ค่อยพอใจ
“สงสัยฝันร้ายมั้ง จริง ๆ ฉันได้ยินเขาพึมพำอะไรอยู่ตั้งนานแล้วแหละ”
“เหรอ แล้วทำไมเมื่อกี้ไม่ลุกมาดูเลยล่ะ” เกรกอรี่ถาม
“ไม่เอาหรอก ตื่นมาเดี๋ยวเฮอร์มิสก็เอาเป็นข้ออ้างไปต่อว่าอัลรีย่าอีก ฉันไม่อยากฟังคนทะเลาะกัน ที่หมู่บ้านฉันมีอะไรก็ประนีประนอมกัน แต่คู่นี้... ท่าทางจะไม่มีใครลงให้ใคร”
“ฉันก็คิดเหมือนนายเป๊ะเลย แล้วก็กะไว้แล้วด้วยว่าถ้าพวกเราไม่ตื่น ไม่มีใครเข้าข้างเฮอร์มิส เดี๋ยวมันก็ต้องลงไปหลับต่อ”
“นินทาใครอยู่ ฮึ” เสียงดังขึ้นจากคนที่น่าจะกำลังนอนอยู่ให้คนนินทาต้องสะดุ้งตกใจก่อนจะหันไปมอง
“อ้าว ไม่ได้หลับอยู่เหรอ ฉันกำลังนินทามัน ๆ ไม่น่าตื่นขึ้นมาขัดเลย” เกรกอรี่ยิ้มกว้าง
นัยน์ตาสีฟ้าของคนหน้าหวานจ้องมาอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งแล้วถอนหายใจ “เฮ้อ! ฉันก็ไม่อยากจะด่ามันนักหรอก แต่ดูมันดิ ฝันร้ายไม่เป็นเวล่ำเวลา มาฝันเอาตอนใกล้เวลาตื่น เดี๋ยวนอนต่อได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องตื่นแล้ว”
“มีไอ้บ้าที่ไหนจะคุมเวลาที่จะฝันร้ายได้วะ พูดไม่คิดเลย” เกรกอรี่พูดพลางตบไหล่ของเพื่อนคนที่เพิ่งลุกขึ้นมา
“เออน่ะ กำลังง่วง ๆ อยู่” เฮอร์มิสพูดแบบไม่ค่อยสบอารมณ์ “ไป ๆ นอนต่อเถอะ ไม่ต้องไปสนอะไรหรอก กับแค่คนฝันร้ายคนนึง”
แล้วไอ้คนที่สนมากที่สุดจนถึงกับลุกขึ้นมาด่าคนที่ฝันร้ายนี่มันใครกัน
เกรกอรี่ได้แต่คิด ไม่อยากย้อนออกไป ไม่งั้นไม่ได้นอนต่อแน่ เขาจึงทำตามที่เจ้าคนปากมากสั่ง
+ + + +
“น้อง ๆ เป็นไงกันบ้างครับ หลับสบายดีไหม” พี่ ๆ ถามเมื่อน้องทุกคนมารวมกัน
เฮอร์มิส เพอร์ซี่ และเกรกอรี่ยังคงมีอาการง่วงอยู่
“คืนนี้ทุกคนก็จะได้กลับไปนอนในหอของตัวเองแล้ว เรามาเริ่มกิจกรรมประจำวันสุดท้ายนี้เลยดีกว่า” พี่ป้อมว่าแล้วก็จัดเด็กป้อมให้ยืนเป็นแถวตอนสองแถวแยกชายหญิง “วันนี้เราจะไปบุกป้อมอื่นในโซนของเรากัน เย้!”
แล้วแถวของเด็กปีหนึ่งก็ค่อย ๆ ทยอยเดินออกจากป้อมแองเจิ้ล ไปยังเป้าหมาย
ป้อมที่จะบุกนั้นเป็นป้อมที่อยู่ในโซนเดียวกันอันได้แก่ ป้อมเดวิลนั่นเอง การบุกป้อมก็คือการไปทำกิจกรรมร่วมกับพี่ป้อมอื่นนั่นเอง เด็กป้อมเดวิลก็ต้องมาทำกิจกรรมที่ป้อมแองเจิ้ลเหมือนกัน
“เฮ้ย เอลวิน วอลลี่ เป็นไงบ้างหนุกป่าว” เฮอร์มิสร้องทักขณะที่แถวของเด็กป้อมแองเจิ้ลเดินสวนกับเด็กป้อมเดวิล
“อ้าว เฮอร์มิส เกรกอรี่ ก็หนุกดี เสียดายว่ามีแค่สองวัน” วอลลี่ส่ายหัวเบา ๆ
“ไม่อยากเรียนล่ะสินายน่ะ” เกรกอรี่แซว แล้วทั้งสี่คนก็หัวเราะ
“เออ งั้นเดี๋ยวพวกเราไปก่อนละกัน” เอลวินพูดเมื่อพี่ป้อมกวักมือให้เดินตามไป
“อืม บาย” เฮอร์มิสพูดพลางโบกมือ
ป้อมเดวิลตกแต่งด้วยโทนสีแดง ภาพมายาของเหล่าปีศาจจากนรกทั้งหลายแหล่ถูกเสกขึ้นรอบป้อม แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาก็ถูกเวทย์กรองให้เหลือเพียงแสงสลัว ๆ ทันทีที่พวกเขาก้าวเท้าเข้าไป ไฟมายาก็ลุกพรึ่บขึ้นทันที
“สมเป็นป้อมเดวิลเนอะ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในนรกเลยว่ะ” เฮอร์มิสพูดขำ ๆ “โดยเฉพาะไอ้ไฟนี่สมจริงฉิบ นี่ดีที่เป็นแค่ของปลอม ไม่งั้นร้อนน่าดู”
“เออ ใช่” เกรกอรี่พยักหน้ารับหงึก ๆ พร้อมกับกวาดนัยน์ตาสีเขียวไปทั่วทั้งป้อม
“เอ๊ะ! แล้วอัลรีย่าล่ะ อยู่ไหนเหรอ” เพอร์ซี่ถามขึ้น
“ไม่รู้สิ ตื่นมาอีกทีก็ไม่เห็นแล้ว ข้าวของก็ออกไปอยู่นอกเต็นท์แล้ว” เฮอร์มิสตอบอย่างไม่ใส่ใจ “จะขนของออกไปก็ไม่มีมาบอกมาเรียกกันเลย คนประเภทนั้นไม่ต้องไปสนมันหรอก”
“อืม เมื่อวานก็อยู่คนเดียวมาได้ทั้งวัน ไม่เห็นต้องกังวลเลย” เกรกอรี่ก็รู้สึกโล่งอกที่อัลรีย่าไม่อยู่ เพราะเขาไม่อยากมานั่งฟังเสียงคนทะเลาะกัน
คราวนี้พวกเฮอร์มิสต้องตะลุยฐานเวทมนตร์ ซึ่งพวกรุ่นพี่เสกให้บรรยากาศร้อนอบอ้าวราวกับอยู่ในนรกของจริง ทั้งด่านผจญน้ำร้อนจากกระทะทองแดง ทั้งด่านหลบนกปากเหล็ก ทำเอาน้อง ๆ เหนื่อยไปตาม ๆ กัน ซึ่งกว่าจะเสร็จก็บ่ายคล้อย แล้วทุกคนก็เคลื่อนที่กลับป้อมอย่างสนุกแต่โทรม
“น้องครับ นี่ก็เป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่เราจะได้อยู่รวมกันแล้วนะครับ พี่อยากให้น้อง ๆ แลกกันเขียนข้อความให้เพื่อน ๆ เพื่อเป็นที่ระลึกนะครับ ว่าเราเป็นคนป้อมเดียวกัน” พี่ประจำป้อมพูดพลางแจกกระดาษให้ ทันทีที่ทุกคนได้รับก็พากันวิ่งพล่านให้เพื่อน ๆ เขียนกัน
“เพอร์ซี่ นายเขียนให้เราหน่อยนะ” เฮอร์มิสยื่นกระดาษให้พร้อมรอยยิ้ม
“อืม นายก็เขียนให้เราด้วยละกัน เกรกอรี่ด้วยนะ” ทั้งสามต่างแลกกระดาษกันเขียน
“แล้วนี่ไอ้คนปากเสียไปไหนล่ะเนี่ย” นัยน์ตาสีฟ้าใสกวาดมองไปรอบ ๆ แต่ไม่ก็พบ
“นายหมายถึงใคร อัลรีย่าเหรอ” เกรกอรี่ถามอย่างแปลกใจ
“เออสิ จะใครซะอีกล่ะ” เฮอร์มิสตอบห้วน ๆ แต่พอเห็นเพื่อนทำหน้าประหลาดใจเลยพูดต่อ “แปลกนักเหรอ ที่ฉันจะให้ไอ้บ้านั่นมันเขียนให้ ไหน ๆ ก็นอนเต็นท์เดียวกันมาตั้งคืน อุตส่าห์เห็นเป็นเพื่อน ดันหายไปไหนแล้วล่ะเนี่ย”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” เกรกอรี่พยักหน้าหงึก ๆ ก่อจะช่วยมองหาอีกแรง
“นายจะให้ฉันเขียนเหรอ” น้ำเสียงประชดประชันของคนที่ถูกนินทาว่าปากเสียดังขึ้น “นับฉันเป็นเพื่อนด้วยเหรอ??”
สำเนียงที่ฟังแล้วให้รู้สึกว่าอวัยวะเบื้องล่างจะควบคุมไม่อยู่ กลัวจะป้าบเข้าใส่คนตรงหน้าให้สักทีสองที คนฟังเลยต้องพยายามข่มอารมณ์ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่ผิดกัน
“ปากหมาไปหน่อย แต่ยังไงก็เด็กป้อมเดียวกัน หอเดียวกัน แถมยังนอนเต็นท์เดียวกันอีก จะไม่นับเป็นเพื่อนก็คงยังไง ๆ อยู่”
คำที่พออัลรีย่าได้ยินก็แสยะรอยยิ้มเหยียดออกอย่างน่าหมั่นไส้
“เฮอะ ถ้าลำบากใจขนาดนั้นก็ไม่ต้อง เพราะฉันอาจไม่เขียนให้นายก็ได้นะ คิดเหรอ ว่าฉันจะนับพวกนายเป็นเพื่อน”
“โอ๊ย ไม่เขียนก็ไม่ต้องเขียน เห็นว่าง ๆ ไม่มีใครเขามาขอให้เขียน เลยกะจะหางานให้ทำสักหน่อย” เฮอร์มิสโวยอย่างรำคาญพลันหันหลังกลับจะเดินหนี แต่โดนเพื่อนอีกสองคนกันไว้ก่อน
“เออน่า อย่าไปถือสามันเลย เหตุผลนายก็ถูกแล้วนี่ ยังไงก็ให้มันเขียนไปเถอะ” เกรกอรี่แนะเบา ๆ
คนถูกแนะนำยืนทำท่ากระฟัดกระเฟียดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังกลับไปพูดอย่างจำใจ
“ว่าไง จะเขียนไม่เขียน” เฮอร์มิสยื่นคำขาดพร้อมปากกากับกระดาษให้อัลรีย่า “บอกมาเลยคำเดียว”
“ฉันจะ กรุณา เขียนให้นายก็ได้” อัลรีย่าพูดเน้นอย่างสะใจแล้วก็รับปากกากับกระดาษมาเขียน โดยไม่ได้ให้กระดาษของตัวเองกับอัลรีย่า
“นายนี่ ยังไงก็ยังไม่รู้จักมารยาทเสียที ไอ้เรื่องพวกนี้มันต้องแลกกันเขียนเว้ย” เฮอร์มิสตวาดเข้าให้ คนบ้าอะไรที่บ้านไม่เคยสั่งสอนให้รู้จักมารยาทหรือไงกัน “ไม่ใช่ว่านายจะกรุณาฉันฝ่ายเดียว เพราะฉันต้องกรุณาเขียนให้นายด้วย”
อัลรีย่าเริ่มหน้าแดงด้วยความละอายนิด ๆ แต่ไม่มีใครทันสังเกต ก่อนจะตอบกับอย่างคนไม่รู้สำนึก “ก็ฉันไม่กรุณาให้นายเขียนนี่”
“เฮ้ย พวกนายฟังมันพูดนะ ไม่มีมารยาทแล้วยังจะหาข้ออ้างกลบเกลื่อนอีก เอามา” เฮอร์มิสพูดอย่างหมดความอดทน แล้วดึงปากกากับกระดาษของอัลรีย่าออกมาเอง
“กะแล้วเชียวว่าต้องไม่ได้ให้ใครเขียน” เฮอร์มิสกล่าว เมื่อเห็นว่ากระดาษของอัลรีย่ายังคงขาวสะอาดปราศจากตัวอักษร แล้วก็เงยหน้ามามองอัลรีย่าด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะ “หรือจะให้ถูกก็คือไม่มีใครยอมเขียนให้”
หน้าของอัลรีย่าเริ่มขึ้นสีเข้ม แต่ความรู้สึกตอนนี้เปลี่ยนจากความละอายเป็นความโกรธ
ก่อนที่อัลรีย่าจะเริ่มต่อคำจนกลายเป็นสงครามน้ำลายขนาดใหญ่ เพอร์ซี่ที่เงียบอยู่นานเลยเข้ามาปรามไว้ก่อน “นี่ พวกนายหยุดเลย เท่าที่จำได้พวกนายเป็นเด็กเมืองกันนี่ ทำไมเด็กเมืองถึงชอบมีเรื่องกันจัง เด็กชนบทอย่างฉันยังรู้จักการให้อภัยเลย ทำไมเรื่องแค่นี้ต้องทะเลาะกันด้วย เขียนให้กันทั้งสองคนนั่นแหละ”
เฮอร์มิสทำหน้าฟึดฟัด แล้วก็หันกลับไปเขียนต่อ แต่ฝ่ายอัลรีย่าด้วยความที่ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับพ่อแม่ ไม่เคยจะถูกดุว่าสั่งสอน พอเจอคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นานมาว่า เขาก็ทำหน้ากระฟัดกระเฟียดใส่ กะจะหาเรื่อง แต่พอเจอคนห้ามทำตาดุใส่ก็เลยหุบปากไม่กล้าต่อคำ
เมื่อเขียนเสร็จทั้งสองฝ่ายก็มองตากันอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะรีบดึงกระดาษกลับมาอ่านด้วยความอยากรู้
‘ถึงไอ้หมาบ้า โรคจิต ไร้มารยาท ที่มีตาสีม่วง ฉันชื่อเฮอร์มิส การ์ตาร์ หอพระราชาเซคชั่นสอง ยังไงก็อย่าลืมนะ ว่านายเคยขอให้ฉันรับนายมานอนในเต็นท์เดียวกันน่ะ 5555’
‘ถึงไอ้คนปากดี ชอบหาเรื่อง ฉันชื่ออัลรีย่า ชูสลี่ย์ หอพระราชาเซคชั่นหนึ่ง (555 ฉันเก่งกว่า) อย่าลืมล่ะ (อ้อ! รวยกว่าด้วย)’
“ไอ้บ้า!!!” ทั้งสองคนตะโกนพร้อมกัน ขณะนี้ทั้งคู่พร้อมที่จะกระโจนเข้าใส่กันแล้ว ถ้าไม่มีเพอร์ซี่กับเกรกอรี่มาดึงตัวของทั้งคู่เอาไว้ซะก่อน
“พวกนายนี่อะไรกันนะ ทะเลาะกันอยู่ได้” เกรกอรี่บ่นเมื่อทั้งคู่สงบลง พร้อมกับหยิบกระดาษเจ้าปัญหาของทั้งคู่มาอ่าน แล้วเริ่มหัวเราะก๊ากพลางยื่นให้เพอร์ซี่ที่ยืนทำหน้างง ๆ อ่าน “ดูพวกมันเขียนกันดิ”
เพอร์ซี่รับไป พออ่านเสร็จก็หน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมาทันควัน “นี่ พวกนายโตกันแล้วยังทำอะไรกันเป็นเด็ก ๆ ไปได้ เก็บไป แล้วไม่ต้องหาเรื่องกันอีก”
คนอารมณ์ร้อนทั้งคู่รับกระดาษจากเพอร์ซี่แล้วเขม่นหน้ากันเป็นการทิ้งท้ายก่อนจะสะบัดหน้าเดินแยกกันไปคนละทาง
“เฮ้อ ดีนะที่มันไม่ได้อยู่เซคหนึ่ง ไม่งั้นคงได้ทะเลาะกับอัลรีย่าทุกวันแน่” เกรกอรี่เปรยขึ้นยิ้ม ๆ
“จริงด้วยนะ ฉันคงไม่ว่างมาห้ามมวยตลอดเวลาหรอก ฉันว่าถ้าเป็นอย่างนี้ฉันไปหาเพื่อนกลุ่มใหม่ดีกว่า” คราวนี้คนที่ดูเงียบ ๆ กลับพูดขึ้นด้วยเสียงกลั้วหัวเราะเบา ๆ
“เอาล่ะ คงได้เวลากลับหอกันแล้วสินะ” เกรกอรี่รวบรวมข้าวของขึ้นมาไว้ในมือ ส่วนเฮอร์มิสที่หนีไปเพราะความหงุดหงิดเรื่องเมื่อครู่ก็กำลังเดินกลับมา
“อืม ใช่ งั้นเราคงต้องไปก่อนนะ” เพอร์ซี่หยิบเป้ขึ้นมาสะพายพร้อมจะกลับเข้าหอ
“เราเพิ่งรู้จักกับนายวันเดียว แต่เหมือนกับได้รู้จักกันมานานมากเลย เวลามันผ่านไปเร็วดีเนอะ” เฮอร์มิสยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี ไม่รู้ว่าไอ้ความหงุดหงิดเมื่อครู่หายไปไหนหมด
“อืม ฉันก็เหมือนกัน” เพอร์ซี่ยิ้มตอบ
“ไปกันเถอะ ขึ้นหอได้แล้ว จะได้ไปเก็บข้าวของ พรุ่งนี้จะได้ไม่ตื่นสาย” เกรกอรี่เร่งเมื่อเห็นท่าทางเพื่อนจะคุยอีกนาน “เดินไกลนะเว้ย จากนี่ไปถึงหอน่ะ แล้วยังไงก็ไปหอเดียวกันอยู่ดี อย่าเพิ่งมาลากันเลย”
“เออว่ะ ไป ๆ รีบไปกันเลย”
---------------------------
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น