ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 3 หอพระราชา
บทที่ 3 หอพระราชา
ณ ด้านหน้าบอร์ดประกาศห้องพักของนักเรียนในหอพระราชา เด็กนักเรียนปีหนึ่งทั้งร้อยยี่สิบคนต่างพากันมาอออยู่หน้าบอร์ดเพื่อหาชื่อของตัว
“อะไรกัน ได้พักห้องเดียวกันหรือเนี่ย”
“เฮ้อ! ฉันไม่คิดเลยว่าจะต้องมาเจอนายที่นี่”
“นั่นน่าจะเป็นคำพูดของฉันมากกว่า คนอะไรไม่รู้ เกิดมาไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเขาเลย ไม่มีการหาข้อมูลอะไรก่อน ไม่เป็นคนเตรียมพร้อม พักห้องเดียวกันเดือดร้อนแหงม ๆ”
“ก็สมพรปากนายแล้วไม่ใช่เหรอ อยากพูดทำไมล่ะ หวังว่าจะได้อยู่ห้องเดียวกัน”
“นั่นมันพูดตามมารยาทเฟ้ย! ใครจะไปคิดว่าจะได้อยู่ห้องเดียวกันจริง ๆ คนไม่รู้อะไรเลยอย่างนายไม่น่าจะได้อยู่หอพระราชาด้วยซ้ำ”
เด็กหนุ่มพูดส่อเสียดด้วยน้ำเสียงและท่าทางล้อเล่นเพื่อยั่วให้เพื่อนโมโห ขณะที่เชิดหน้าทำอวดเก่งอยู่ก็เหลือบมองมาที่เพื่อนเพื่อดูอาการ แต่ผิดคาด
“นายนี่ท่าทางจะลืมคำพูดตัวเองซะแล้วล่ะมั้ง นายยังชมฉันเลยว่าฉันมีพรสวรรค์” เฮอร์มิสพูดเสร็จก็เชิดหน้าใส่กลับให้เกรกอรี่อดขำไม่ได้
“เออน่า! พูดเล่นเว้ย ได้อยู่ห้องเดียวกันก็ดีแล้ว”
“เออ ดีก็ดี” เฮอร์มิสตอบด้วยเสียงหน่าย ๆ ก่อนจะคิดในใจ
ถ้าอยู่กับไอ้บ้านี่ต้องตายแน่ ๆ เลย แค่วันแรกที่เจอกัน มันก็แซวซะออกรสแล้ว แบบนี้ไม่ต้องเก็บปากเก็บคำแล้วล่ะมั้ง เดี๋ยวจะสู้มันไม่ไหว
+ + + +
ทุกคนรวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่นของหอพระราชา เพื่อฟังคำชี้แจงของหัวหน้าหอ เกี่ยวกับรายละเอียดต่าง ๆ
“เอ้า! ปีหนึ่งทุกคน ฉันชื่อ เคลาด์ เป็นหัวหน้านักเรียนของหอพักพระราชานะ วันนี้ฉันจะแนะนำสถานที่ในหอให้ทุกคนรู้ไว้” เด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงและหน้าตาโอบอ้อมอารี “หอเรามีทั้งหมดแปดชั้นด้วยกัน โดยที่ชั้นล่างเป็นชั้นรวม ชั้นสองถึงชั้นแปดเป็นที่พักของนักเรียนปีหนึ่งถึงเจ็ดตามลำดับ...”
ด้วยดวงหน้าอันหล่อเหลาและรอยยิ้มอันอบอุ่นทำให้เริ่มมีเสียงกรี๊ดกร๊าดจากสาว ๆ ปีหนึ่ง
“กรี๊ดกันอยู่ได้น่ารำคาญ” เฮอร์มิสบ่นพึมพำหลังจากที่กวาดสายตามองไปทั่วห้องแล้วแทบหาสาวน้อยที่นั่งเรียบร้อยไม่เจอ
“อิจฉาล่ะสิ” เกรกอรี่แซว
“เหอะ ไม่เลยสักนิด” เจ้าตัวดียักไหล่เบา ๆ อย่างไม่ใส่ใจ
“โม้น่าแก ใครจะไม่อิจฉาลง ใคร ๆ ก็อยากเป็นอย่างเคลาด์ทั้งนั้น หล่อก็หล่อ สาว ๆ ก็กรี๊ด ใจดี สุภาพ อ่อนโยน อะไรจะดีพร้อมขนาดนี้” เกรกอรี่กล่าวบรรยายสรรพคุณ
“เฮอะ ๆ แกไม่รู้อะไรเลยสักนิด นี่ถ้ามีวิชาการละครนะแก ฉันว่าเคลาด์ต้องได้เต็มแน่ ๆ เลย” เฮอร์มิสกล่าวค้านขึ้นมาทันที เมื่อเห็นเพื่อนแสดงความชื่นชมคนสวมหน้ากาก
“เขาไปทำอะไรให้แกเหรอถึงไปว่าเขาอย่างนั้น” เกรกอรี่ถามด้วยความแปลกใจ
“เฮอะ แก ก็วันที่ฉันไปซื้อของที่มิดเดิ้ลเวิลด์มาร์เก็ต เจอเคลาด์เข้า ตอนแรกก็ทักกันดี ๆ คุยไปคุยมาลายออก แซวเข้านู่นทีนี่ที ปากใช่ย่อยเลยนะคน ๆ นี้ ดูฟอร์มก็ดีอยู่แต่พอเอาเข้าจริง ปากฉันยังเอาไม่ค่อยอยู่เลย” เฮอร์มิสสาธยายยาวถึงสรรพคุณของหัวหน้านักเรียนหอพักพระราชาเต็ม ๆ
“ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง แต่มีนะ วิชาการละครน่ะ” เกรกอรี่แจงให้ ทำเอาคนฟังตกใจตาโตจนแทบตกจากเก้าอี้ที่ตัวเองกำลังนั่งสองขาอยู่
“ม... มีจริง ๆ เหรอ อย่างนี้เคลาด์ก็ต้องได้เอแน่ ๆ เลยวิชานี้” คำพูดที่พยายามจะทำให้เบาที่สุดแต่ก็ไม่สามารถเพราะกำลังตกใจ
“อะแฮ่ม สองคนนั่นน่ะ เงียบ ๆ หน่อย” เคลาด์ได้ยินจึงพูดปรามก่อนจะหันมาทางเฮอร์มิสยิ้มให้แล้วพูดต่อ “เฮอร์มิส ฉันไม่เคยได้เอวิชาการละครเลยนะ”
เฮอร์มิสทำหน้าตาแปลกใจ แต่ก็เดาไว้ในใจว่าเดี๋ยวต้องมีแต่แน่ ๆ
“แต่...” นั่นไง มาแล้ว ไอ้แต่เนี่ย มาได้ทุกครั้งที่พูดสิน่า เจ้าตัวดีคิดพลางนั่งฟังว่าเคลาด์จะพูดอะไร
เคลาด์ยิ้มอย่างผยองแล้วพูดต่อ “ฉันได้เอชทุกครั้ง”
ทุกคนในห้องก็ฮือฮาในความเก่งกาจของหัวหน้าหอ สาว ๆ ก็กรี๊ดกร๊าดกันตามระเบียบ เอชที่ว่าก็คือ Honor ให้สำหรับนักเรียนที่ได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่งของวิชานั้นโดยเทียบกับผลการเรียนของนักเรียนทุกหอ
คนบ้าอะไรวะ ได้เอชการละครทุกครั้ง ไว้ใจไม่ได้เลยนะเนี่ย
เฮอร์มิสคิดก่อนส่ายหัวเบา ๆ
“อ้อ อย่าลืมที่เราสัญญากันไว้ล่ะเฮอร์มิส นายต้องลงแข่งด้วยนะ” เคลาด์ทวงสัญญาที่จะให้เขาลงแข่งจ้าวแห่งการต่อสู้
“เชื่อใจได้เลยฮะ ผมลงแน่” เฮอร์มิสตอบรับทันควัน ทุกคนงงที่ทั้งสองพูดกันอยู่ว่าคืออะไร แต่ไม่มีใครถาม
ทำไมถึงไม่ไว้ใจกันนักนะ ไม่ได้มีอะไรอันตรายสักหน่อย จะกลัวเราไม่ลงไปทำไม
เฮอร์มิสคิดเอาเองทั้งที่ยังไม่รู้กติกา
+ + + +
“สรุป เซคหนึ่งพักทางด้านซ้ายของหอ เซคสองพักทางด้านขวา อย่างนี้ก็จะได้เจอกับพวกเซคหนึ่งแค่ตอนผ่านห้องกลางแค่นั้นเองน่ะสิ”
เด็กหนุ่มถามเพื่อนแล้วจ้องด้วยตาสีฟ้าใสแป๋ว หลังจากที่รุ่นพี่อธิบายเสร็จแล้วแต่ไม่ได้สนใจฟังเท่าที่ควร
“ก็คงงั้น แต่ขึ้นปีสองบางทีก็จะมีการเปลี่ยนเซคบ้างตามความเหมาะสมน่ะ” เกรกอรี่ตอบพลางหันมามองเฮอร์มิสด้วยหางตาแล้วถามต่อ
“ทำไมอยากเจอพ่อหนุ่มเซคหนึ่งคนนั้นรึไง”
“บ้าแล้วแก ฉันว่าแล้วถ้าอยู่กับแกนะ ต้องทนฟังแกแซวตลอดแน่ ๆ”
“ก็เหมือนกับที่แกพูดไงว่าฉันก็ปากหมาน่ะ” เกรกอรี่เอาคำที่เขาเคยพูดไว้มาตอกกลับซะนี่
เฮอร์มิสไม่อยากจนตรอกเลยเปลี่ยนเรื่องคุยซะทันควัน
“เออ ยังไม่เจอเพื่อนร่วมห้องอีกสองคนเลยนี่นาใช่ไหม” เฮอร์มิสถามในสิ่งที่เพิ่งนึกได้
“อืม ก็จริงแฮะ งั้นกลับไปที่ห้องกันก่อนละกันจะได้ไปดูหน้าอีกสองคนที่เหลือสักหน่อย” เกรกอรี่เห็นด้วย
“งั้น ไปกันเถอะ” เฮอร์มิสกล่าวหน้าตายิ้มแย้มด้วยความโล่งใจ
รอดสักทีเรา....
+ + + +
แอ๊ด!... เสียงประตูดังขึ้นในเวลาอาทิตย์อัสดง
เฮอร์มิสและเกรกอรี่เปิดประตูอย่างช้า ๆ เผื่อถ้ามีใครอยู่ในห้องจะได้ไม่ตกใจ พวกเขาค่อย ๆ เดินเข้าไปมองรอบ ๆ ห้องสี่เหลี่ยมขนาดปานกลาง สิ่งแรกที่เห็นคือวิวภายนอกซึ่งมองผ่านหน้าต่างที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับประตู ด้านข้างมีเตียงสองชั้นตั้งอยู่ทั้งทางซ้ายและขวา ตรงกลางห้องเป็นหน้าต่าง
“ใครน่ะ” เสียงหนึ่งถามขึ้นมาจากเตียงบนด้านซ้าย
“นายคือเพื่อนร่วมห้องของเราใช่ไหม” เฮอร์มิสหันไปตามต้นเสียง
“ถ้านายอยู่ห้องนี้ก็ใช่” คำตอบดังขึ้นพร้อมเงาตะคุ่มบนเตียงค่อย ๆ ขยับตัวแล้วก้าวลงมาจากเตียง ขณะที่เกรกอรี่เดินไปเปิดไฟ
พรึ่บ!
ภาพตรงหน้าพวกเขาคือเด็กหนุ่มใส่แว่น ตาสีดำใส หน้าอูม ตัวท้วม ๆ แก้มดูเป็นสีชมพู ชวนให้นึกถึงลูกหมูสีชมพูตัวน้อย ๆ ตัวหนึ่ง
“ฉันชื่อเฮอร์มิส และนี่เกรกอรี่”
“อืม! ฉันชื่อเอลวิน ยินดีที่รู้จัก” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างสุภาพพร้อมยื่นมือออกไปให้กับเฮอร์มิสและเกรกอรี่ เพื่อจับมือกันเป็นการทักทาย
“ข้าวของตรงเตียงขวาเนี่ย ของพวกนายใช่ป่าว” เอลวินถาม
“อืม ใช่ คือเราขึ้นมากันตั้งแต่ตอนเช้าแล้วน่ะ ก็เลยเอามาวางไว้ แล้วก็ออกไปข้างนอก” เฮอร์มิสตอบ
“ตอนนี้ก็เหลืออีกแค่คนเดียว ยังไม่มาใช่ไหม เอลวิน” เกรกอรี่ถามพร้อมกับใช้ดวงตาสีเขียวมองไปรอบ ๆ เผื่ออีกคนที่เหลือจะกำลังมา
“อาฮะ นี่เราเข้ามาจัดของตั้งชั่วโมงนึงแล้วยังไม่เห็นใครเข้ามาเลย” เอลวินพูดทำท่านึก
ตึ่ก ตั่ก ตึ่ก ตั่ก
เสียงวิ่งดังมาจากตรงระเบียงทางเดินทำให้ทั้งสามคนที่กำลังคุยกันอยู่ต้องหันกลับมา
ปั้ง!
เสียงประตูเปิดดังลั่น พร้อมกับเสียงหอบดังแฮ่ก ๆ
เฮอร์มิสจ้องอย่างพิจารณา... เด็กหนุ่มผู้มาใหม่มีนัยน์ตาสีน้ำตาลใส่แว่น ผมสั้นสีดำ ตัวไม่ค่อยสูงนัก ตอนนี้กำลังก้มหน้าเกาะกลอนประตูและหอบจากความเหนื่อยอยู่
“นายใช่เพื่อนร่วมห้องของเรารึเปล่า”
“อืม เราชื่อวอลลี่ พอดีไปแอบงีบมาหลังกินข้าวกลางวันเสร็จ เพิ่งตื่นก็เลยรีบวิ่งมา”
เกรกอรี่กับเฮอร์มิสมองหน้ากันแล้วก็ยิ้ม
มีเพื่อนไม่ได้เรื่องเพิ่มมาอีกคนนึงแล้ว
+ + + +
แสงจันทร์วันเพ็ญสาดส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างในห้องพักห้องหนึ่งของหอพระราชา แม้จะเป็นเวลามืดแล้ว ห้องนั้นก็ยังเปิดไฟสว่างอยู่
“เฮ้! ชนะแล้ว”
เสียงดีใจดังมาจากหนึ่งในกลุ่มเด็กที่นั่งเล่นอยู่กลางห้อง เมื่อตุ๊กตุ่นอาชีพนักรบเวทย์ของเขาทำลายตุ๊กตุ่นอัศวินดำของเกรกอรี่ได้ นัยน์ตาสีฟ้าใสของเด็กหนุ่มกำลังเปล่งประกายระริกด้วยความดีใจที่ตนชนะเกม
“เฮ้ย! เอาใหม่ พลาดท่าไปหน่อยโดนนักรบเวทย์ของนายโจมตีจนได้ ถ้าเมื่อกี้ลูกเต๋าออกธาตุดินนายก็แพ้แล้ว” ดวงตาสีเขียวของเกรกอรี่กำลังฉายแววว่าไม่ยอมแพ้
“โธ่! แพ้แค่นี้ทำยังกับจะเป็นจะตาย นี่มันก็แค่เกมเดินกระดานธรรมดา” เด็กหนุ่มตาสีฟ้าที่ตอนนี้เป็นผู้ชนะกำลังพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความดีใจ
“เฮ่อ! ก็แค่เกมเด็ก ๆ จะไปกังวลทำไมนักหนา จริงไหมวอลลี่” เด็กหนุ่มลูกหมูน้อยพูด
“อืม คิดมากทำไม”
“ใช่สิ พวกนายไม่คิดมากนี่นา ถึงได้แพ้ตั้งแต่เดินแรก ๆ ไม่ได้จำวิธีการต่อสู้เลยใช่ไหม” เฮอร์มิสพูดค่อนขอดให้เพื่อนทั้งสองต้องหันขวับมามองก่อนจะยักไหล่เบา ๆ
“จำไปทำไม ปวดหัวเปล่า ๆ” เอลวินกล่าว วอลลี่พยักหน้ารับ
เกรกอรี่ได้ฟังแล้วทนไม่ได้ก็พูดขึ้นมา
“เฮ้ย! พวกนายไม่รู้เรื่องกันเลยใช่ไหม  ไม่ได้ฟังที่เค้าพูด ๆ กันเลยเหรอ ว่าเกมจ้าวแห่งการต่อสู้เนี่ย ทางโรงเรียนเราจะมีการจัดแข่งขันกันด้วยนะ”
“จริงดิ ทำไมไม่รู้เรื่องเลยอ่ะ” เอลวินพูดโดยมีวอลลี่พยักหน้ารับ
“เออใช่ พี่เคลาด์บอกฉันมาก่อนแล้วตั้งแต่วันที่ไปซื้อของน่ะ” เฮอร์มิสพูด
“อืม แล้วพี่เขาก็พูดแล้วตอนที่เรารวมกันที่ห้องนั่งเล่นน่ะนะ” เกรกอรี่พูดพลางทำตาเขียวใส่อีกสองคนที่ไม่ได้ฟังเคลาด์จนไม่รู้เรื่องการแข่งนี้
“ทุก ๆ ปีทางโรงเรียนจะมีการจัดการแข่งขันเหมือนเจ้าเกมนี่เปี๊ยบเลย แต่เขาใช้คนเล่นแทนตัวตุ๊กตุ่น แบ่งทีมกันไปทีมละสิบคนโดยทั้งสิบคนจะต้องเป็นคนจากหอเดียวกันเท่านั้น ผู้แข่งขันในทีมสองคนจะต้องมาเป็นผู้ทอยลูกเต๋า โดยจะอยู่นอกสนามแข่งจริง ส่วนผู้เล่นอีกแปดคนจะต้องเลือกอาชีพตามที่ตนเองต้องการแล้วแต่งชุดตามอาชีพนั้น ๆ โดยตอนเริ่มเกมผู้เล่นทุกคนจะมีไอเท็มติดตัวไปด้วยหนึ่งชิ้น หากระหว่างทางสามารถเก็บไอเท็มได้จะสะสมติดตัวได้ไม่เกินเจ็ดชิ้น หากเกินก็จะต้องทิ้งส่วนที่เกินออกไป
ลูกเต๋าจะมีสองลูกเหมือนเดิม ลูกหนึ่งเป็นตัวเลขทั้งหกหน้าใช้ควบคุมการเดินและหาปริมาณพลังเวทย์ในการต่อสู้ ส่วนอีกลูกหนึ่งใช้ในการต่อสู้ สี่หน้าประกอบด้วยรูปเวทย์ธาตุดิน, น้ำ, ลม, ไฟ อีกสองหน้าที่เหลือคือรูปดาบ ถ้าทอยลูกเต๋าออกมาได้รูปเวทย์ใดให้ใช้เวทย์นั้น แต่ถ้าได้รูปดาบจะหมดสิทธิ์ใช้เวทย์ ให้ใช้การต่อสู้ด้วยดาบแทนและจะสามารถใช้เวทย์ได้ก็ต่อเมื่อใช้ไอเท็มที่มีคุณสมบัติเพิ่มเวทย์เท่านั้น
ช่องการเดินทุกช่องจะมีคำสั่งต่างกันออกไป บางช่องเมื่อเดินไปถึงก็ต้องสู้ทันที บางช่องเดินไปก็จะได้รับไอเท็มแบบสุ่ม หรือบางช่องเมื่อเดินไปถึงก็จะถูกสุ่มเหตุการณ์ขึ้นกับผู้แข่งขันที่ตกอยู่ในช่องนั้นๆ อาจเป็นการฟื้นเลือดให้ อาจเป็นการถูกทำร้าย หรือได้ไอเท็มมาก็แล้วแต่ดวง
หากตัวผู้แข่งในกระดานคนละฝ่ายเดินมาปะกันในช่องเดินเดียวกันก็ต้องทำการต่อสู้ กระบวนการต่อสู้ผู้เล่นในกระดานจะต้องคิดเอง ต้องใช้ไหวพริบในการเล่นมาก โดยผู้ที่เดินเข้ามาในช่องทีหลังถือเป็นฝ่ายบุกจะได้โจมตีก่อน ในการต่อสู้ครั้งหนึ่งจะสามารถโจมตีและป้องกันได้แค่สามครั้งเท่านั้น หรือจนกว่าพลังเวทย์ที่ทอยได้จะหมด วิธีชนะของเกมนี้มีด้วยกันสามวิธี วิธีแรก สามารถทอยลูกเต๋าไปหยุดยังจุดที่กำหนดได้ครบทั้งหกจุดแล้วเดินต่อไปยังเส้นชัย ถ้าเกิดเข้าครบทั้งหกที่แล้วแม้จะทอยเต๋าเดินเลยเส้นชัยก็ให้ถือว่าเข้าเส้นชัยได้” เกรกอรี่พูดอย่างผู้รอบรู้
ทุกคนคิดหนักกับวิธีแรก กว่ามันจะเข้าครบ ได้เจอสู้กันจนเลือดหมดพอดี
เกรกอรี่สังเกตเห็นสีหน้าเพื่อน ๆ จึงเอ่ยถามขึ้น “คิดหนักเลยสิ ยากใช่ไหมล่ะ”
“เออสิวะ ยากลากเลือดเลย” เอลวินเอ่ย
เฮอร์มิสสีหน้ายังไม่เปลี่ยน ยังคงแสดงถึงความรู้สึกสนุกอยู่
“ส่วนวิธีที่สอง” เกรกอรี่เริ่มพูดต่อ “สู้กันจนฝ่ายตรงข้ามไม่เหลือผู้เล่นอื่นในกระดาน ถึงตอนนั้นทีมที่เหลืออยู่จะเป็นฝ่ายชนะทันที”
“เฮ้ย ต้องทำขนาดนั้นเลย อย่างนี้กว่าจะชนะก็สะบักสะบอมกันพอดี” เอลวินค้าน “งานนี้เจ็บจริงด้วยนะ”
เอื้อก! มิน่าล่ะเคลาด์ถึงได้อยากให้เรารับปากนักหนา เจ็บจริงนี่หว่า
เฮอร์มิสรู้สึกว่าน้ำลายหนืดคอแต่ก็ยังคงทำปากเก่งหน้าระรื่น
“ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ไม่ถึงตายอยู่แล้วนี่ ว่าแต่วิธีที่สามล่ะ”
“อืม วิธีสุดท้ายเป็นวิธีที่คงจะถือว่าดีสำหรับพวกนาย” เกรกอรี่ยิ้ม “ไม่ต้องสู้กับใครไม่ต้องบาดเจ็บก็ชนะได้”
“แล้วมันทำยังไงล่ะ พูดมาสิ” วอลลี่เร่ง
“ก็ไม่มีอะไรมาก” เกรกอรี่พูดพลางยักไหล่ “ตอนเริ่มเกมพวกนายจะถูกกำหนดพลังชีวิตเอาไว้ว่าให้มีเท่าไหร่ แล้วสิ่งที่นายจะต้องทำก็คือ เพิ่มเลือดของนายจากจุดกำหนดขึ้นไปอีกสิบจุด”
“เฮ้ย วิธีง่าย ๆ ก็มี ไม่บอกแต่แรก” เอลวินว่าพลางตบไหล่เพื่อนเบา ๆ “อย่างนี้ก็พยายามไม่ต้องสู้ก็จบ”
“บ้าแล้ว” เกรกอรี่ตวาดกลับ “สำหรับเกมนี้แล้วนายไม่มีทางหลีกเลี่ยงการต่อสู้ได้ แค่นายเพิ่มเลือดขึ้นมาได้นิดนึง พวกฝ่ายอื่นก็จ้องเล่นงานนายตาเป็นมันแล้ว แล้วนายจะทำไง”
“เออว่ะ” วอลลี่พยักหน้า “แต่ไว้เดี๋ยวค่อยคิดวันหลังดีกว่า พรุ่งนี้มีงานรับน้องด้วย เดี๋ยวไม่มีแรงสนุกพอดี”
ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปขึ้นเตียงนอน
+ + + +
“ท่านครับ ทำไมยังไม่เริ่มทำอะไรสักทีล่ะครับ ตอนนี้ เรารู้แล้วนี่ครับว่าใครคือคู่โซลเมทคู่นั้น”
“ไม่ได้ ถ้าเราลงมือตอนนี้ทุกอย่างอาจจะไม่เป็นไปตามที่คิด”
“ทำไมล่ะท่าน จอมเวทย์ปีศาจก็อยู่ในนี้แล้วนะท่าน แม้ว่าเราจะยังตามหาตัวไม่เจอก็เถอะ”
“เธอคิดว่าบอกไปแล้วสองคนนั้นจะรับได้หรือ ลองเป็นเธอล่ะ ฉันว่าแทนที่จะได้รักกันจะกลายเป็นไม่ยอมมองหน้ากันด้วยซ้ำ”
“แต่... ท่าน...”
“ฉันว่าจอมเวทย์ปีศาจก็คงยังไม่ฟื้นตัวเร็วนักหรอก”
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับแหวนนั่นจะทำยังไงล่ะท่าน ถึงแม้เราจะหาทั้งสองคนเจอ แต่ถ้าแหวนเป็นอะไรไปก่อนที่ทั้งสองคนจะรักกัน มันไม่แย่เหรอท่าน”
“เรื่องนั้นขึ้นอยู่กับชะตากรรม และถึงแม้โซลเมทคู่นี้จะถูกทำลายลง อย่างไรก็ดี คู่ใหม่ก็ย่อมเกิดขึ้น\"
\"ท่านก็รู้ว่าคู่ใหม่ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเกิดขึ้นได้ และถึงแม้คู่ใหม่จะเกิดขึ้นมาหากไม่สามารถทำให้ความมืดหายไปได้ มันก็จะเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอย่างที่เป็นอยู่นะท่าน”
“สรุปแล้ว ไม่ว่าอย่างไร เธอก็อยากให้คู่นี้ได้รักกันโดยเร็วใช่ไหม”
“ใช่ครับท่าน ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าหลังจากคู่นี้แล้วจะมีคู่ไหนมาสู้กับความมืดนี้ได้หรือเปล่า”
“แม้ว่าความรักของทั้งสองคนอาจจะไม่ได้รับการยอมรับงั้นเหรอ”
บุรุษผู้มีตำแหน่งด้อยกว่าหยุดชะงักก้มหน้าลง ไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นมาใหม่
“ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้วท่าน คิดว่าคงไม่เป็นไร”
“เธอแน่ใจนะ”
“แน่ครับท่าน แล้วนอกจากนี้ผมยังรู้สึกว่าโซลเมทคู่นี้มีอะไรพิเศษแตกต่างจากโซลเมทที่ถูกเลือกคู่อื่น ๆ นะท่าน”
“ใช่ ๆ ฉันก็รู้สึกเหมือนเธอ คู่นี้อาจเป็นคู่ในตำนานก็ได้ แต่ฉันลำบากใจอยู่เรื่องการลงเอยกันของสองคนนั่น”
บุรุษผู้มีตำแหน่งสูงครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ
“ไม่เป็นไร ยังไงฉันก็จะจัดการให้ก็แล้วกัน”
---------------------------
ณ ด้านหน้าบอร์ดประกาศห้องพักของนักเรียนในหอพระราชา เด็กนักเรียนปีหนึ่งทั้งร้อยยี่สิบคนต่างพากันมาอออยู่หน้าบอร์ดเพื่อหาชื่อของตัว
“อะไรกัน ได้พักห้องเดียวกันหรือเนี่ย”
“เฮ้อ! ฉันไม่คิดเลยว่าจะต้องมาเจอนายที่นี่”
“นั่นน่าจะเป็นคำพูดของฉันมากกว่า คนอะไรไม่รู้ เกิดมาไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเขาเลย ไม่มีการหาข้อมูลอะไรก่อน ไม่เป็นคนเตรียมพร้อม พักห้องเดียวกันเดือดร้อนแหงม ๆ”
“ก็สมพรปากนายแล้วไม่ใช่เหรอ อยากพูดทำไมล่ะ หวังว่าจะได้อยู่ห้องเดียวกัน”
“นั่นมันพูดตามมารยาทเฟ้ย! ใครจะไปคิดว่าจะได้อยู่ห้องเดียวกันจริง ๆ คนไม่รู้อะไรเลยอย่างนายไม่น่าจะได้อยู่หอพระราชาด้วยซ้ำ”
เด็กหนุ่มพูดส่อเสียดด้วยน้ำเสียงและท่าทางล้อเล่นเพื่อยั่วให้เพื่อนโมโห ขณะที่เชิดหน้าทำอวดเก่งอยู่ก็เหลือบมองมาที่เพื่อนเพื่อดูอาการ แต่ผิดคาด
“นายนี่ท่าทางจะลืมคำพูดตัวเองซะแล้วล่ะมั้ง นายยังชมฉันเลยว่าฉันมีพรสวรรค์” เฮอร์มิสพูดเสร็จก็เชิดหน้าใส่กลับให้เกรกอรี่อดขำไม่ได้
“เออน่า! พูดเล่นเว้ย ได้อยู่ห้องเดียวกันก็ดีแล้ว”
“เออ ดีก็ดี” เฮอร์มิสตอบด้วยเสียงหน่าย ๆ ก่อนจะคิดในใจ
ถ้าอยู่กับไอ้บ้านี่ต้องตายแน่ ๆ เลย แค่วันแรกที่เจอกัน มันก็แซวซะออกรสแล้ว แบบนี้ไม่ต้องเก็บปากเก็บคำแล้วล่ะมั้ง เดี๋ยวจะสู้มันไม่ไหว
+ + + +
ทุกคนรวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่นของหอพระราชา เพื่อฟังคำชี้แจงของหัวหน้าหอ เกี่ยวกับรายละเอียดต่าง ๆ
“เอ้า! ปีหนึ่งทุกคน ฉันชื่อ เคลาด์ เป็นหัวหน้านักเรียนของหอพักพระราชานะ วันนี้ฉันจะแนะนำสถานที่ในหอให้ทุกคนรู้ไว้” เด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงและหน้าตาโอบอ้อมอารี “หอเรามีทั้งหมดแปดชั้นด้วยกัน โดยที่ชั้นล่างเป็นชั้นรวม ชั้นสองถึงชั้นแปดเป็นที่พักของนักเรียนปีหนึ่งถึงเจ็ดตามลำดับ...”
ด้วยดวงหน้าอันหล่อเหลาและรอยยิ้มอันอบอุ่นทำให้เริ่มมีเสียงกรี๊ดกร๊าดจากสาว ๆ ปีหนึ่ง
“กรี๊ดกันอยู่ได้น่ารำคาญ” เฮอร์มิสบ่นพึมพำหลังจากที่กวาดสายตามองไปทั่วห้องแล้วแทบหาสาวน้อยที่นั่งเรียบร้อยไม่เจอ
“อิจฉาล่ะสิ” เกรกอรี่แซว
“เหอะ ไม่เลยสักนิด” เจ้าตัวดียักไหล่เบา ๆ อย่างไม่ใส่ใจ
“โม้น่าแก ใครจะไม่อิจฉาลง ใคร ๆ ก็อยากเป็นอย่างเคลาด์ทั้งนั้น หล่อก็หล่อ สาว ๆ ก็กรี๊ด ใจดี สุภาพ อ่อนโยน อะไรจะดีพร้อมขนาดนี้” เกรกอรี่กล่าวบรรยายสรรพคุณ
“เฮอะ ๆ แกไม่รู้อะไรเลยสักนิด นี่ถ้ามีวิชาการละครนะแก ฉันว่าเคลาด์ต้องได้เต็มแน่ ๆ เลย” เฮอร์มิสกล่าวค้านขึ้นมาทันที เมื่อเห็นเพื่อนแสดงความชื่นชมคนสวมหน้ากาก
“เขาไปทำอะไรให้แกเหรอถึงไปว่าเขาอย่างนั้น” เกรกอรี่ถามด้วยความแปลกใจ
“เฮอะ แก ก็วันที่ฉันไปซื้อของที่มิดเดิ้ลเวิลด์มาร์เก็ต เจอเคลาด์เข้า ตอนแรกก็ทักกันดี ๆ คุยไปคุยมาลายออก แซวเข้านู่นทีนี่ที ปากใช่ย่อยเลยนะคน ๆ นี้ ดูฟอร์มก็ดีอยู่แต่พอเอาเข้าจริง ปากฉันยังเอาไม่ค่อยอยู่เลย” เฮอร์มิสสาธยายยาวถึงสรรพคุณของหัวหน้านักเรียนหอพักพระราชาเต็ม ๆ
“ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง แต่มีนะ วิชาการละครน่ะ” เกรกอรี่แจงให้ ทำเอาคนฟังตกใจตาโตจนแทบตกจากเก้าอี้ที่ตัวเองกำลังนั่งสองขาอยู่
“ม... มีจริง ๆ เหรอ อย่างนี้เคลาด์ก็ต้องได้เอแน่ ๆ เลยวิชานี้” คำพูดที่พยายามจะทำให้เบาที่สุดแต่ก็ไม่สามารถเพราะกำลังตกใจ
“อะแฮ่ม สองคนนั่นน่ะ เงียบ ๆ หน่อย” เคลาด์ได้ยินจึงพูดปรามก่อนจะหันมาทางเฮอร์มิสยิ้มให้แล้วพูดต่อ “เฮอร์มิส ฉันไม่เคยได้เอวิชาการละครเลยนะ”
เฮอร์มิสทำหน้าตาแปลกใจ แต่ก็เดาไว้ในใจว่าเดี๋ยวต้องมีแต่แน่ ๆ
“แต่...” นั่นไง มาแล้ว ไอ้แต่เนี่ย มาได้ทุกครั้งที่พูดสิน่า เจ้าตัวดีคิดพลางนั่งฟังว่าเคลาด์จะพูดอะไร
เคลาด์ยิ้มอย่างผยองแล้วพูดต่อ “ฉันได้เอชทุกครั้ง”
ทุกคนในห้องก็ฮือฮาในความเก่งกาจของหัวหน้าหอ สาว ๆ ก็กรี๊ดกร๊าดกันตามระเบียบ เอชที่ว่าก็คือ Honor ให้สำหรับนักเรียนที่ได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่งของวิชานั้นโดยเทียบกับผลการเรียนของนักเรียนทุกหอ
คนบ้าอะไรวะ ได้เอชการละครทุกครั้ง ไว้ใจไม่ได้เลยนะเนี่ย
เฮอร์มิสคิดก่อนส่ายหัวเบา ๆ
“อ้อ อย่าลืมที่เราสัญญากันไว้ล่ะเฮอร์มิส นายต้องลงแข่งด้วยนะ” เคลาด์ทวงสัญญาที่จะให้เขาลงแข่งจ้าวแห่งการต่อสู้
“เชื่อใจได้เลยฮะ ผมลงแน่” เฮอร์มิสตอบรับทันควัน ทุกคนงงที่ทั้งสองพูดกันอยู่ว่าคืออะไร แต่ไม่มีใครถาม
ทำไมถึงไม่ไว้ใจกันนักนะ ไม่ได้มีอะไรอันตรายสักหน่อย จะกลัวเราไม่ลงไปทำไม
เฮอร์มิสคิดเอาเองทั้งที่ยังไม่รู้กติกา
+ + + +
“สรุป เซคหนึ่งพักทางด้านซ้ายของหอ เซคสองพักทางด้านขวา อย่างนี้ก็จะได้เจอกับพวกเซคหนึ่งแค่ตอนผ่านห้องกลางแค่นั้นเองน่ะสิ”
เด็กหนุ่มถามเพื่อนแล้วจ้องด้วยตาสีฟ้าใสแป๋ว หลังจากที่รุ่นพี่อธิบายเสร็จแล้วแต่ไม่ได้สนใจฟังเท่าที่ควร
“ก็คงงั้น แต่ขึ้นปีสองบางทีก็จะมีการเปลี่ยนเซคบ้างตามความเหมาะสมน่ะ” เกรกอรี่ตอบพลางหันมามองเฮอร์มิสด้วยหางตาแล้วถามต่อ
“ทำไมอยากเจอพ่อหนุ่มเซคหนึ่งคนนั้นรึไง”
“บ้าแล้วแก ฉันว่าแล้วถ้าอยู่กับแกนะ ต้องทนฟังแกแซวตลอดแน่ ๆ”
“ก็เหมือนกับที่แกพูดไงว่าฉันก็ปากหมาน่ะ” เกรกอรี่เอาคำที่เขาเคยพูดไว้มาตอกกลับซะนี่
เฮอร์มิสไม่อยากจนตรอกเลยเปลี่ยนเรื่องคุยซะทันควัน
“เออ ยังไม่เจอเพื่อนร่วมห้องอีกสองคนเลยนี่นาใช่ไหม” เฮอร์มิสถามในสิ่งที่เพิ่งนึกได้
“อืม ก็จริงแฮะ งั้นกลับไปที่ห้องกันก่อนละกันจะได้ไปดูหน้าอีกสองคนที่เหลือสักหน่อย” เกรกอรี่เห็นด้วย
“งั้น ไปกันเถอะ” เฮอร์มิสกล่าวหน้าตายิ้มแย้มด้วยความโล่งใจ
รอดสักทีเรา....
+ + + +
แอ๊ด!... เสียงประตูดังขึ้นในเวลาอาทิตย์อัสดง
เฮอร์มิสและเกรกอรี่เปิดประตูอย่างช้า ๆ เผื่อถ้ามีใครอยู่ในห้องจะได้ไม่ตกใจ พวกเขาค่อย ๆ เดินเข้าไปมองรอบ ๆ ห้องสี่เหลี่ยมขนาดปานกลาง สิ่งแรกที่เห็นคือวิวภายนอกซึ่งมองผ่านหน้าต่างที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับประตู ด้านข้างมีเตียงสองชั้นตั้งอยู่ทั้งทางซ้ายและขวา ตรงกลางห้องเป็นหน้าต่าง
“ใครน่ะ” เสียงหนึ่งถามขึ้นมาจากเตียงบนด้านซ้าย
“นายคือเพื่อนร่วมห้องของเราใช่ไหม” เฮอร์มิสหันไปตามต้นเสียง
“ถ้านายอยู่ห้องนี้ก็ใช่” คำตอบดังขึ้นพร้อมเงาตะคุ่มบนเตียงค่อย ๆ ขยับตัวแล้วก้าวลงมาจากเตียง ขณะที่เกรกอรี่เดินไปเปิดไฟ
พรึ่บ!
ภาพตรงหน้าพวกเขาคือเด็กหนุ่มใส่แว่น ตาสีดำใส หน้าอูม ตัวท้วม ๆ แก้มดูเป็นสีชมพู ชวนให้นึกถึงลูกหมูสีชมพูตัวน้อย ๆ ตัวหนึ่ง
“ฉันชื่อเฮอร์มิส และนี่เกรกอรี่”
“อืม! ฉันชื่อเอลวิน ยินดีที่รู้จัก” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างสุภาพพร้อมยื่นมือออกไปให้กับเฮอร์มิสและเกรกอรี่ เพื่อจับมือกันเป็นการทักทาย
“ข้าวของตรงเตียงขวาเนี่ย ของพวกนายใช่ป่าว” เอลวินถาม
“อืม ใช่ คือเราขึ้นมากันตั้งแต่ตอนเช้าแล้วน่ะ ก็เลยเอามาวางไว้ แล้วก็ออกไปข้างนอก” เฮอร์มิสตอบ
“ตอนนี้ก็เหลืออีกแค่คนเดียว ยังไม่มาใช่ไหม เอลวิน” เกรกอรี่ถามพร้อมกับใช้ดวงตาสีเขียวมองไปรอบ ๆ เผื่ออีกคนที่เหลือจะกำลังมา
“อาฮะ นี่เราเข้ามาจัดของตั้งชั่วโมงนึงแล้วยังไม่เห็นใครเข้ามาเลย” เอลวินพูดทำท่านึก
ตึ่ก ตั่ก ตึ่ก ตั่ก
เสียงวิ่งดังมาจากตรงระเบียงทางเดินทำให้ทั้งสามคนที่กำลังคุยกันอยู่ต้องหันกลับมา
ปั้ง!
เสียงประตูเปิดดังลั่น พร้อมกับเสียงหอบดังแฮ่ก ๆ
เฮอร์มิสจ้องอย่างพิจารณา... เด็กหนุ่มผู้มาใหม่มีนัยน์ตาสีน้ำตาลใส่แว่น ผมสั้นสีดำ ตัวไม่ค่อยสูงนัก ตอนนี้กำลังก้มหน้าเกาะกลอนประตูและหอบจากความเหนื่อยอยู่
“นายใช่เพื่อนร่วมห้องของเรารึเปล่า”
“อืม เราชื่อวอลลี่ พอดีไปแอบงีบมาหลังกินข้าวกลางวันเสร็จ เพิ่งตื่นก็เลยรีบวิ่งมา”
เกรกอรี่กับเฮอร์มิสมองหน้ากันแล้วก็ยิ้ม
มีเพื่อนไม่ได้เรื่องเพิ่มมาอีกคนนึงแล้ว
+ + + +
แสงจันทร์วันเพ็ญสาดส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างในห้องพักห้องหนึ่งของหอพระราชา แม้จะเป็นเวลามืดแล้ว ห้องนั้นก็ยังเปิดไฟสว่างอยู่
“เฮ้! ชนะแล้ว”
เสียงดีใจดังมาจากหนึ่งในกลุ่มเด็กที่นั่งเล่นอยู่กลางห้อง เมื่อตุ๊กตุ่นอาชีพนักรบเวทย์ของเขาทำลายตุ๊กตุ่นอัศวินดำของเกรกอรี่ได้ นัยน์ตาสีฟ้าใสของเด็กหนุ่มกำลังเปล่งประกายระริกด้วยความดีใจที่ตนชนะเกม
“เฮ้ย! เอาใหม่ พลาดท่าไปหน่อยโดนนักรบเวทย์ของนายโจมตีจนได้ ถ้าเมื่อกี้ลูกเต๋าออกธาตุดินนายก็แพ้แล้ว” ดวงตาสีเขียวของเกรกอรี่กำลังฉายแววว่าไม่ยอมแพ้
“โธ่! แพ้แค่นี้ทำยังกับจะเป็นจะตาย นี่มันก็แค่เกมเดินกระดานธรรมดา” เด็กหนุ่มตาสีฟ้าที่ตอนนี้เป็นผู้ชนะกำลังพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความดีใจ
“เฮ่อ! ก็แค่เกมเด็ก ๆ จะไปกังวลทำไมนักหนา จริงไหมวอลลี่” เด็กหนุ่มลูกหมูน้อยพูด
“อืม คิดมากทำไม”
“ใช่สิ พวกนายไม่คิดมากนี่นา ถึงได้แพ้ตั้งแต่เดินแรก ๆ ไม่ได้จำวิธีการต่อสู้เลยใช่ไหม” เฮอร์มิสพูดค่อนขอดให้เพื่อนทั้งสองต้องหันขวับมามองก่อนจะยักไหล่เบา ๆ
“จำไปทำไม ปวดหัวเปล่า ๆ” เอลวินกล่าว วอลลี่พยักหน้ารับ
เกรกอรี่ได้ฟังแล้วทนไม่ได้ก็พูดขึ้นมา
“เฮ้ย! พวกนายไม่รู้เรื่องกันเลยใช่ไหม  ไม่ได้ฟังที่เค้าพูด ๆ กันเลยเหรอ ว่าเกมจ้าวแห่งการต่อสู้เนี่ย ทางโรงเรียนเราจะมีการจัดแข่งขันกันด้วยนะ”
“จริงดิ ทำไมไม่รู้เรื่องเลยอ่ะ” เอลวินพูดโดยมีวอลลี่พยักหน้ารับ
“เออใช่ พี่เคลาด์บอกฉันมาก่อนแล้วตั้งแต่วันที่ไปซื้อของน่ะ” เฮอร์มิสพูด
“อืม แล้วพี่เขาก็พูดแล้วตอนที่เรารวมกันที่ห้องนั่งเล่นน่ะนะ” เกรกอรี่พูดพลางทำตาเขียวใส่อีกสองคนที่ไม่ได้ฟังเคลาด์จนไม่รู้เรื่องการแข่งนี้
“ทุก ๆ ปีทางโรงเรียนจะมีการจัดการแข่งขันเหมือนเจ้าเกมนี่เปี๊ยบเลย แต่เขาใช้คนเล่นแทนตัวตุ๊กตุ่น แบ่งทีมกันไปทีมละสิบคนโดยทั้งสิบคนจะต้องเป็นคนจากหอเดียวกันเท่านั้น ผู้แข่งขันในทีมสองคนจะต้องมาเป็นผู้ทอยลูกเต๋า โดยจะอยู่นอกสนามแข่งจริง ส่วนผู้เล่นอีกแปดคนจะต้องเลือกอาชีพตามที่ตนเองต้องการแล้วแต่งชุดตามอาชีพนั้น ๆ โดยตอนเริ่มเกมผู้เล่นทุกคนจะมีไอเท็มติดตัวไปด้วยหนึ่งชิ้น หากระหว่างทางสามารถเก็บไอเท็มได้จะสะสมติดตัวได้ไม่เกินเจ็ดชิ้น หากเกินก็จะต้องทิ้งส่วนที่เกินออกไป
ลูกเต๋าจะมีสองลูกเหมือนเดิม ลูกหนึ่งเป็นตัวเลขทั้งหกหน้าใช้ควบคุมการเดินและหาปริมาณพลังเวทย์ในการต่อสู้ ส่วนอีกลูกหนึ่งใช้ในการต่อสู้ สี่หน้าประกอบด้วยรูปเวทย์ธาตุดิน, น้ำ, ลม, ไฟ อีกสองหน้าที่เหลือคือรูปดาบ ถ้าทอยลูกเต๋าออกมาได้รูปเวทย์ใดให้ใช้เวทย์นั้น แต่ถ้าได้รูปดาบจะหมดสิทธิ์ใช้เวทย์ ให้ใช้การต่อสู้ด้วยดาบแทนและจะสามารถใช้เวทย์ได้ก็ต่อเมื่อใช้ไอเท็มที่มีคุณสมบัติเพิ่มเวทย์เท่านั้น
ช่องการเดินทุกช่องจะมีคำสั่งต่างกันออกไป บางช่องเมื่อเดินไปถึงก็ต้องสู้ทันที บางช่องเดินไปก็จะได้รับไอเท็มแบบสุ่ม หรือบางช่องเมื่อเดินไปถึงก็จะถูกสุ่มเหตุการณ์ขึ้นกับผู้แข่งขันที่ตกอยู่ในช่องนั้นๆ อาจเป็นการฟื้นเลือดให้ อาจเป็นการถูกทำร้าย หรือได้ไอเท็มมาก็แล้วแต่ดวง
หากตัวผู้แข่งในกระดานคนละฝ่ายเดินมาปะกันในช่องเดินเดียวกันก็ต้องทำการต่อสู้ กระบวนการต่อสู้ผู้เล่นในกระดานจะต้องคิดเอง ต้องใช้ไหวพริบในการเล่นมาก โดยผู้ที่เดินเข้ามาในช่องทีหลังถือเป็นฝ่ายบุกจะได้โจมตีก่อน ในการต่อสู้ครั้งหนึ่งจะสามารถโจมตีและป้องกันได้แค่สามครั้งเท่านั้น หรือจนกว่าพลังเวทย์ที่ทอยได้จะหมด วิธีชนะของเกมนี้มีด้วยกันสามวิธี วิธีแรก สามารถทอยลูกเต๋าไปหยุดยังจุดที่กำหนดได้ครบทั้งหกจุดแล้วเดินต่อไปยังเส้นชัย ถ้าเกิดเข้าครบทั้งหกที่แล้วแม้จะทอยเต๋าเดินเลยเส้นชัยก็ให้ถือว่าเข้าเส้นชัยได้” เกรกอรี่พูดอย่างผู้รอบรู้
ทุกคนคิดหนักกับวิธีแรก กว่ามันจะเข้าครบ ได้เจอสู้กันจนเลือดหมดพอดี
เกรกอรี่สังเกตเห็นสีหน้าเพื่อน ๆ จึงเอ่ยถามขึ้น “คิดหนักเลยสิ ยากใช่ไหมล่ะ”
“เออสิวะ ยากลากเลือดเลย” เอลวินเอ่ย
เฮอร์มิสสีหน้ายังไม่เปลี่ยน ยังคงแสดงถึงความรู้สึกสนุกอยู่
“ส่วนวิธีที่สอง” เกรกอรี่เริ่มพูดต่อ “สู้กันจนฝ่ายตรงข้ามไม่เหลือผู้เล่นอื่นในกระดาน ถึงตอนนั้นทีมที่เหลืออยู่จะเป็นฝ่ายชนะทันที”
“เฮ้ย ต้องทำขนาดนั้นเลย อย่างนี้กว่าจะชนะก็สะบักสะบอมกันพอดี” เอลวินค้าน “งานนี้เจ็บจริงด้วยนะ”
เอื้อก! มิน่าล่ะเคลาด์ถึงได้อยากให้เรารับปากนักหนา เจ็บจริงนี่หว่า
เฮอร์มิสรู้สึกว่าน้ำลายหนืดคอแต่ก็ยังคงทำปากเก่งหน้าระรื่น
“ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ไม่ถึงตายอยู่แล้วนี่ ว่าแต่วิธีที่สามล่ะ”
“อืม วิธีสุดท้ายเป็นวิธีที่คงจะถือว่าดีสำหรับพวกนาย” เกรกอรี่ยิ้ม “ไม่ต้องสู้กับใครไม่ต้องบาดเจ็บก็ชนะได้”
“แล้วมันทำยังไงล่ะ พูดมาสิ” วอลลี่เร่ง
“ก็ไม่มีอะไรมาก” เกรกอรี่พูดพลางยักไหล่ “ตอนเริ่มเกมพวกนายจะถูกกำหนดพลังชีวิตเอาไว้ว่าให้มีเท่าไหร่ แล้วสิ่งที่นายจะต้องทำก็คือ เพิ่มเลือดของนายจากจุดกำหนดขึ้นไปอีกสิบจุด”
“เฮ้ย วิธีง่าย ๆ ก็มี ไม่บอกแต่แรก” เอลวินว่าพลางตบไหล่เพื่อนเบา ๆ “อย่างนี้ก็พยายามไม่ต้องสู้ก็จบ”
“บ้าแล้ว” เกรกอรี่ตวาดกลับ “สำหรับเกมนี้แล้วนายไม่มีทางหลีกเลี่ยงการต่อสู้ได้ แค่นายเพิ่มเลือดขึ้นมาได้นิดนึง พวกฝ่ายอื่นก็จ้องเล่นงานนายตาเป็นมันแล้ว แล้วนายจะทำไง”
“เออว่ะ” วอลลี่พยักหน้า “แต่ไว้เดี๋ยวค่อยคิดวันหลังดีกว่า พรุ่งนี้มีงานรับน้องด้วย เดี๋ยวไม่มีแรงสนุกพอดี”
ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปขึ้นเตียงนอน
+ + + +
“ท่านครับ ทำไมยังไม่เริ่มทำอะไรสักทีล่ะครับ ตอนนี้ เรารู้แล้วนี่ครับว่าใครคือคู่โซลเมทคู่นั้น”
“ไม่ได้ ถ้าเราลงมือตอนนี้ทุกอย่างอาจจะไม่เป็นไปตามที่คิด”
“ทำไมล่ะท่าน จอมเวทย์ปีศาจก็อยู่ในนี้แล้วนะท่าน แม้ว่าเราจะยังตามหาตัวไม่เจอก็เถอะ”
“เธอคิดว่าบอกไปแล้วสองคนนั้นจะรับได้หรือ ลองเป็นเธอล่ะ ฉันว่าแทนที่จะได้รักกันจะกลายเป็นไม่ยอมมองหน้ากันด้วยซ้ำ”
“แต่... ท่าน...”
“ฉันว่าจอมเวทย์ปีศาจก็คงยังไม่ฟื้นตัวเร็วนักหรอก”
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับแหวนนั่นจะทำยังไงล่ะท่าน ถึงแม้เราจะหาทั้งสองคนเจอ แต่ถ้าแหวนเป็นอะไรไปก่อนที่ทั้งสองคนจะรักกัน มันไม่แย่เหรอท่าน”
“เรื่องนั้นขึ้นอยู่กับชะตากรรม และถึงแม้โซลเมทคู่นี้จะถูกทำลายลง อย่างไรก็ดี คู่ใหม่ก็ย่อมเกิดขึ้น\"
\"ท่านก็รู้ว่าคู่ใหม่ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเกิดขึ้นได้ และถึงแม้คู่ใหม่จะเกิดขึ้นมาหากไม่สามารถทำให้ความมืดหายไปได้ มันก็จะเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอย่างที่เป็นอยู่นะท่าน”
“สรุปแล้ว ไม่ว่าอย่างไร เธอก็อยากให้คู่นี้ได้รักกันโดยเร็วใช่ไหม”
“ใช่ครับท่าน ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าหลังจากคู่นี้แล้วจะมีคู่ไหนมาสู้กับความมืดนี้ได้หรือเปล่า”
“แม้ว่าความรักของทั้งสองคนอาจจะไม่ได้รับการยอมรับงั้นเหรอ”
บุรุษผู้มีตำแหน่งด้อยกว่าหยุดชะงักก้มหน้าลง ไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นมาใหม่
“ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้วท่าน คิดว่าคงไม่เป็นไร”
“เธอแน่ใจนะ”
“แน่ครับท่าน แล้วนอกจากนี้ผมยังรู้สึกว่าโซลเมทคู่นี้มีอะไรพิเศษแตกต่างจากโซลเมทที่ถูกเลือกคู่อื่น ๆ นะท่าน”
“ใช่ ๆ ฉันก็รู้สึกเหมือนเธอ คู่นี้อาจเป็นคู่ในตำนานก็ได้ แต่ฉันลำบากใจอยู่เรื่องการลงเอยกันของสองคนนั่น”
บุรุษผู้มีตำแหน่งสูงครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ
“ไม่เป็นไร ยังไงฉันก็จะจัดการให้ก็แล้วกัน”
---------------------------
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น