Note : เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งไว้นานแล้ว ตั้งแต่แต่งเรื่องบทสรุปความรักโรเวนกับวิเวียน เพราะคิดจะเอาแบบ infernal affair มีภาคปัจจุบันคือในหนังสือ ภาคปิดตำนานก็บทสรุปความรัก ภาคนี้เลยใช้ชื่อว่า เปิดตำนานอะ แต่งไปเกือบ 2 ชม. สำนวนว่าไงเม้นท์กันด้วยนะครับ อ้อ spoil ภาค 3 นะอันนี้อะ
เปิดตำนานโรเวนกับวิเวียน
“ท่านพ่อ ท่านพ่อว่าหญิงน่ารักไหมเพคะ” เสียงเล็กๆ น่ารักดังขึ้นจากเด็กหญิงตัวน้อยๆ อายุราวห้าขวบถามขึ้นอย่างไร้เดียงสา เธอวิ่งมานั่งตักคนที่กำลังประทับอยู่บนบัลลังก์
“จ้ะ ลูกหญิงของพ่อน่ารักที่สุด” ผู้เป็นพ่อยิ้มให้อย่างใจดีพลางลูบหัวลูกน้อยอย่างอ่อนโยน “ทำไมจู่ๆ วันนี้ถึงมาถามอะไรแบบนี้ล่ะลูก”
คำถามที่เด็กน้อยหันหลังขวับไปทางคนที่ทำให้เธอต้องมาถาม นัยน์ตาสีมรกตคู่สวยนั่นจ้องคนโตกว่าอย่างไม่พอใจ ปากสีแดงระเรื่อเบะออกเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาตอบผู้เป็นพ่อ
“ก็เจ้าพี่ชาเบรียนน่ะสิเพคะ มาบอกว่าหญิงดื้อ หน้าตาไม่น่ารักแล้วยังทำตัวไม่น่ารักอีก”
คนถูกกล่าวหารีบแก้ตัวทันที
“ฝ่าบาท น้องหญิงดื้อจริงๆ นะกระหม่อม นี่จะออกไปเล่นนอกวังคนเดียว หม่อมฉันก็ต้องปรามไว้”
สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งเวนอลมองลูกทั้งสองแล้วก็ส่ายหัวอย่างปลงอนิจจา
“ลูกทำอย่างนี้ไม่ดีรู้ไหมวิเวียน หนีออกไปข้างนอกตามลำพังมันอันตราย” คำต่อว่าที่ผู้ฟังไม่พอใจ ทำหน้าตาเหยเกจมูกย่น ท่าทางเหมือนน้ำตาใกล้จะพังทำนบออกมา ผู้เป็นพ่อจึงรีบพูดต่อ “ถ้าอยากออกไปก็ให้พี่เจ้าไปด้วยสิ อ้อ แล้วก็พวกองครักษ์ด้วย”
“ไม่เอาๆ ก็หญิงอยากออกไปเที่ยวคนเดียวนี่” ว่าแล้วเจ้าหญิงก็ทำแก้มป่อง
“เห็นไหมฝ่าบาท น้องหญิงดื้อมากๆ อย่างนี้ไม่ให้หม่อมฉันปรามได้ที่ไหนกระหม่อม” เจ้าชายชาเบรียนว่าพลางทำตาเขียวใส่น้องสาวที่หันมามอง จนน้องขี้งอนรีบหันกลับไปซบพ่อของตน
“ท่านพ่อ เจ้าพี่ชาเบรียนรังแกหญิง” เสียงร้องโวยวายของเด็กน้อยสร้างความลำบากพระทัยให้กับสมเด็จพระจักรพรรดิมาก
“วิเวียน ไม่เอาไม่ร้องไห้นะลูก” องค์จักรพรรดิดึงตัววิเวียนออกมา นัยน์เนตรสีเขียวของท่านมองลูกสาวคนเล็กด้วยความเอ็นดู “ลูกเกิดมาภายในรั้วในวัง ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เป็นธรรมดา เรื่องไหนที่ควรไม่ควรลูกก็น่าจะรู้แล้วนี่”
พระดำรัสที่ฟังดูจะไม่ได้เข้าข้างเธอเลย ทำให้องค์หญิงตัวน้อยลุกจากตักของพ่อทันที
“ไปที่อื่นดีกว่า ทั้งท่านพ่อทั้งเจ้าพี่เลย หญิงโกรธแล้วด้วย” พูดจบก็งอนตุ๊บป่องวิ่งออกจากท้องพระโรงไปทันที
“เดี๋ยวหม่อมฉันไปตามเองฝ่าบาท” เจ้าชายชาเบรียนกล่าวแล้วรีบหันหลังทันที
“เดี๋ยว ชาเบรียน” ดำรัสเรียกของเสด็จพ่อที่ทำให้ลูกต้องหันหลังกลับมาฟัง “ก็ไม่ต้องไปว่าอะไรน้องแล้วนะลูก”
“ได้กระหม่อม” ชาเบรียนพยักหน้าน้อยๆ แล้วรีบวิ่งตามน้องสาวตนไปทันที
+ + + +
“เจ้าชายถึงพระราชวังของเวนอลแล้วกระหม่อม” เสียงมหาดเล็กคนสนิทดังขึ้น ให้เจ้าชายที่นั่งราชรถมาเปิดม่านออกดู
“อืม... ถึงแล้วหรือนี่” เจ้าชายจากต่างเมืองกล่าว นัยน์ตาสีน้ำเงินที่จับจ้องไปยังตัวพระราชวังฉายประกายระริก “ไม่ได้มาเสียนาน ยังดูยิ่งใหญ่เหมือนเดิม”
“วิเวียน หยุดเดี๋ยวนี้นะ พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าออกไป” เสียงตะโกนลั่นมาจากภายในราชวัง แล้วจู่ๆ ก็มีเด็กหญิงวิ่งมาตัดหน้าขบวนของเจ้าชายจากต่างแดนเข้า
ฮี้!!!
เสียงม้าร้องอย่างตกใจ เนื่องจากต้องหยุดกะทันหัน ให้คนในราชรถต้องออกมาดู บัดนี้เด็กหญิงลงไปนั่งกับพื้น เนื้อตัวเปื้อนฝุ่นและมีบาดแผลเล็กน้อย เจ้าหญิงน้อยเริ่มร้องไห้ทันที
“วิเวียน พี่บอกแล้วว่าอย่าวิ่งอย่าวิ่งก็ไม่ฟัง” เจ้าชายชาเบรียนรีบวิ่งตรงไปหาน้องสาวทันที
“นี่พวกท่านเป็นใคร มีธุระอะไรกับวังของเวนอล” ชาเบรียนตวัดหน้าไปถามคนขี่ม้าของขบวนเสด็จ ขณะที่กำลังคุกเข่าดูบาดแผลของน้องสาวอยู่
“นี่คือขบวนเสด็จของ...” ไม่ทันที่มหาดเล็กจะได้ตอบเสร็จ เจ้าชายต่างเมืองก็ยกมือขึ้นห้ามและก้าวลงจากขบวนเสด็จเข้าไปดูอาการของเด็กหญิง
“เราคือโรเวน ฮาเวิร์ด เดอะปริ๊นซ์ ออฟ เจมิไน” เจ้าชายกล่าวพลางคุกเข่าลงนั่งดูอาการของเด็กหญิง “ท่านคงเป็นเจ้าหญิงวิเวียนนานีย่าแห่งเวนอลใช่ไหม”
นัยน์ตาสีน้ำเงินนั่นฉายแววใจดีให้เด็กน้อยหยุดร้องไห้ มือใหญ่ลูบหัวเบาๆ อย่างเอ็นดู นัยน์ตาใสซื่อของเด็กน้อยจ้องกลับอย่างไม่วางตา
“อ้อ ท่านนี่เองเจ้าชายโรเวน ฮาเวิร์ด แห่งเจมิไนที่เขาร่ำลือกัน วันนี้มีนัดกับท่านพ่องั้นหรือ” ชาเบรียนกล่าวขณะที่นัยน์ตาสีเขียวของเขาจ้องไปยังเจ้าชายตรงหน้าอย่างไม่กระพริบ ราวกับกลัวว่าจะทำอะไรกับน้องสาวของตน คนถูกทักจึงยิ้มก่อนจะกล่าวตอบ
“ท่านคงเป็นเจ้าชายชาเบรียนสินะ” พูดเสร็จโรเวนก็ลุกขึ้นยืน “ถูกแล้วในวันนี้ข้ามาทำหน้าที่เป็นทูตเจริญสัมพันธไมตรีกับเวนอล”
“ถ้าอย่างนั้นเชิญเจ้าชายโรเวนและคณะทางนี้” เจ้าชายชาเบรียนกล่าวพลางผายมือเป็นการเชิญ “วิเวียนมานี่”
“ไม่เอา หญิงอยากคุยกับเจ้าชายโรเวน” คำพูดเอาแต่ใจที่ทำให้คนเป็นพี่ชายต้องถลึงตาเข้าใส่
“เอาเถอะ เจ้าชายชาเบรียน ข้าก็อยากลองคุยกับเจ้าหญิงน้อยเหมือนกัน” ว่าแล้วก็มองหน้าเจ้าหญิงตัวเล็กข้างๆ อย่างเอ็นดู ให้เจ้าชายชาเบรียนส่ายหัวอย่างปลงอนิจจา
“ท่านอายุเท่าไหร่แล้วหรือเจ้าชายโรเวน” วิเวียนถามตาแป๋ว
“เราอายุสิบเอ็ดแล้วเจ้าหญิงล่ะ” โรเวนยิ้มตอบพลางพิจารณาเด็กน้อยตรงหน้า
ตัวเล็กๆ ร่างป้อมๆ ผมบ๊อบสั้นสีทองตัดลีบหัว ดวงหน้าขาวๆ เต็มไปด้วยรอยกระสีน้ำตาล ดูยังไงก็หาความน่ารักไม่ได้เอาซะเลย แต่ที่ทำให้รู้สึกเอ็นดูก็คงเป็นเพราะนัยน์ตาสีเขียวคู่นั้นกระมัง ที่ช่างดูใสซื่อบริสุทธิ์จริงๆ
“ว้าว อย่างนี้ก็โตกว่าเจ้าพี่ชาเบรียนอีกสิ หญิงอายุห้าขวบ” เจ้าหญิงน้อยตอบเสียงใส “เจ้าชายโรเวนมาเป็นพี่ชายของหญิงอีกคนไหม”
คำถามที่ทำให้คนฟังทำตาโต ก่อนจะถามอย่างแปลกใจ
“ทำไมล่ะ เจ้าชายชาเบรียนพระองค์เดียวเจ้าหญิงยังไม่พอพระทัยอีกหรือ”
“อืม” เจ้าหญิงน้อยพยักหน้า “เจ้าพี่ชาเบรียนชอบขัดใจหญิง หญิงไม่ชอบ”
คำกระทบกระเทียบที่ทำให้คนเดินนำหน้าต้องหันมาทำตาดุใส่ จนคนที่ร่วมเหตุการณ์ด้วยต้องหัวเราะออกมาเบาๆ
“เข้าใจแล้ว งั้นเราจะเป็นพี่ชายอีกคนให้เจ้าหญิง ตกลงไหม”
พอคนฟังได้ยินคำตอบก็กระโดดเข้ากอดคอพี่ชายคนใหม่ด้วยความดีใจ ให้พี่ชายคนเก่าต้องมองอย่างเหนื่อยใจ
ไม่ได้รักษาหน้าเมืองเวนอลเลย...
+ + + +
“ถวายบังคมฝ่าบาท” เจ้าชายโรเวนกล่าวพลางคุกเข่าลงไปทำความเคารพ ส่วนเจ้าชายชาเบรียนกับเจ้าหญิงวิเวียนก็หลบไปยืนอยู่ข้างๆ
“ลุกขึ้นเถอะ เจ้าชายโรเวน เป็นอย่างไรบ้างสบายดีหรือ” สมเด็จพระจักรพรรดิกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ได้เจอกันมาห้าปีแล้วสินะ ตั้งแต่ที่ท่านยังตัวเล็กๆ”
“หม่อมฉันสบายดีฝ่าบาท ที่มาวันนี้ก็เพราะมีของจะมามอบให้เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างเจมิไนกับเวนอลน่ะกระหม่อม” โรเวนพูดอย่างเป็นการเป็นงาน
“อืมๆ” สมเด็จพระจักรพรรดิปรบมือเป็นสัญญาณให้องครักษ์รับของไปแล้วถามต่อ “แล้วท่านเซส เสด็จพ่อของท่านเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือ”
“ท่านพ่อสบายดีกระหม่อม”
“จริงสิ ท่านรู้จักกับลูกสาวและลูกชายของเราหรือยัง” สมเด็จพระจักรพรรดิถาม “เห็นเมื่อครู่ชาเบรียนเดินนำพวกท่านมา คงจะรู้จักแล้วสินะ”
“รู้จักแล้วกระหม่อม” ไม่ทันที่โรเวนจะได้พูดต่อเจ้าหญิงน้อยก็กล่าวขัดขึ้น
“รู้จักแล้วเพคะท่านพ่อ ตอนนี้เจ้าชายโรเวนเป็นพี่ชายของหญิงแล้วด้วย” สมเด็จพระจักรพรรดิพยักหน้าเบาๆ ขณะที่เจ้าชายชาเบรียนกระซิบดุเจ้าหญิงที่ไม่รู้จักกาลเทศะ
“ถ้าเช่นนั้นเราว่าให้ท่านอยู่เป็นเพื่อนกับลูกๆ เราไปก่อน เดี๋ยวเราจะฝากหนังสือขอบคุณไปให้กษัตริย์เซสด้วย” สมเด็จพระจักรพรรดิกล่าว
“รับด้วยเกล้า” โรเวนกล่าวแล้วก็ออกไปพร้อมกับเจ้าชายและเจ้าหญิง
+ + + +
“เป็นอย่างไรบ้างโรเวน” กษัตริย์เซสแห่งเจมิไนดำรัสถามขึ้นทันทีที่ลูกชายกลับถึงวัง
“ก็ดีฝ่าบาท เมืองเวนอลยังคงน่าอยู่เหมือนเดิม” โรเวนตอบน้ำเสียงเรียบ ทำให้คนเป็นพ่อหัวเราะออกมาเบาๆ
“ใครว่าล่ะ พ่อหมายถึงเจ้าหญิงวิเวียนนานีย่าแห่งเวนอลต่างหาก เป็นยังไงบ้าง”
คำถามที่คนถูกถามต้องเงยหน้าขึ้นมอง
“หรือว่าฝ่าบาท...”
“ถูกแล้ว ลูกคิดว่าพ่อส่งไปที่เวนอลคนเดียวทำไมทั้งๆ ที่ลูกยังอายุแค่สิบเอ็ดขวบ” กษัตริย์เซสแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย “ลูกก็รู้ว่าพ่ออยากเจริญสัมพันธ์กับเวนอลแค่ไหน เมืองใหญ่ขนาดนั้นถ้าได้เกี่ยวดองกันก็คงดีไม่น้อย”
“ฝ่าบาทหมายความว่า...” แล้วก็เช่นเคย โรเวนไม่ทันได้เอ่ยปากผู้เป็นพ่อก็พูดขึ้นมาก่อน
“ใช่ พ่อหมายให้ลูกอภิเษกกับเจ้าหญิงวิเวียนนานีย่า”
คนฟังอึ้งไปชั่วครู่เมื่อนึกถึงหน้าเด็กหญิงที่พ่อของตนหมายตาให้มาเป็นพระชายา น่ารักอยู่เมื่อไหร่กัน ที่เอ็นดูก็เพราะท่าทางไร้เดียงสานั่นหรอก แต่ยังไงซะกับเด็กแค่ห้าขวบท่านพ่อจะให้คิดอะไรได้
“คือหม่อมฉันว่าเจ้าหญิงวิเวียนยังทรงเยาว์เกินกว่าที่จะให้หม่อมฉันมองไปในทางแบบนั้นได้นะกระหม่อม” โรเวนรีบกล่าวค้าน
“เอ้า ใครว่าพ่อจะให้ลูกอภิเษกตอนนี้เล่า พ่อแค่ให้ลูกดูๆ ไปก่อน จองเขาเอาไว้ เผื่อโตขึ้นมาเมื่อไหร่ก็คว้าไว้ซะก็แค่นั้น” คนเป็นพ่อพูดด้วยน้ำเสียงแกมบังคับให้คนจะเถียงพูดไม่ออก
“ถ้าเช่นนั้นก็แล้วแต่ฝ่าบาท”
หลังจากนั้นเจ้าชายโรเวนก็เสด็จไปยังเวนอลเป็นระยะๆ เพื่อไปหาน้องสาวต่างเมืองของตน จนกระทั่งความรู้สึกในใจเริ่มเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว
“เจ้าพี่ เจ้าพี่”
เสียงออดอ้อนน้อยๆ ดังขึ้นตั้งแต่ยังไม่เห็นตัว เด็กน้อยวิ่งเข้ามาหาด้วยความคิดถึง แต่ว่าตาของเธอกลับแดงก่ำ วิเวียนกำลังร้องไห้อยู่นั่นเอง
“มีอะไรหรือ หญิง” โรเวนถามอย่างห่วงใย
“แม่นมว่า หญิงเป็นเจ้าหญิงที่มีแต่เงินกับฐานะ แต่ไม่น่ารัก เพราะงั้นจะไม่มีใครมารักหญิงจริง” เด็กหญิงตัวน้อยสะอื้นฮักๆ ตัดพ้อชีวิตตัวเองเกินตัวยิ่งทำเอาหาความน่ารักไม่พบจริงๆ สิ่งที่ดูดีเพียงอย่างเดียวก็คือนัยน์ตาสีเขียวใสที่กำลังช้อนขึ้นมองดวงหน้าขาวๆของคนตัวโตกว่าตรงหน้าราวกับจะรอคำปลอบอย่างเคยตัว
แต่คนที่ชอบแกล้งยามนี้กลับตีสีหน้าขึงขังอมยิ้มนิดๆ เอ่ยคำถามแทนคำปลอบ
“งั้นหญิงจะทำยังไง”
เด็กหญิงเริ่มเบะปากสีแดงออกทำท่าจะร้องไห้อีกเพราะได้คำตอบไม่ถูกใจ
“งั้นหญิงจะไม่แต่งงานตลอดชีวิต หญิงจะบวช”
“ออกบวช งั้นหญิงก็ต้องออกจากวังไปอยู่ในโบสถ์คนเดียว ชีวิตคงลำบากหน่อยล่ะ”
ปากสีแดงเบะมากกว่าเดิม น้ำตาใสๆเริ่มทะลักจากทำนบตาสีเขียวอีก
“ไม่เอา” เสียงเล็กๆปฏิเสธพร้อมส่ายหน้าวืดทีท่าขัดอกขัดใจ แต่คนตัวโตที่ชอบแกล้งยังตีหน้าเคร่ง
“ถ้าไม่เอาแล้วหญิงจะทำยังไง ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่”
“มีสิมี” เด็กหญิงยังรั้น แล้วความอดทนที่แสนน้อยก็หมดลงอย่างเคย ออกคำสั่งอย่างเคยตัว “ก็เจ้าพี่ขอหญิงแต่งงานสิ” เด็กชายตรงหน้าทำสีหน้าครุ่นคิดแต่ไม่บอกความแปลกใจ
“แต่หญิงไม่ได้รักพี่นี่ จะแต่งงานกันได้ยังไง” คำค้านฟังเจ้าเล่ห์ที่สุด แต่เด็กน้อยไม่รู้ทัน มือน้อยโผเข้ากอดรอบคอคนตัวโต
“รักสิรัก รักที่สุด แต่งงานกับหญิงนะ”
คำขอแต่งงานจากเจ้าหญิงองค์เล็กฟังแสนน่ารักนัก แต่คำตอบรับมีเพียงแต่รอยสัมผัสจุมพิตเบาๆที่หน้าผากกับคำสัญญาที่แสนนุ่มหู
“ถ้าหญิงสัญญาจะโตเป็นผู้หญิงที่ดีกว่าใครๆ พี่จะมารับไปเจมิไนก็ได้”
“จริงนะ เจ้าพี่สัญญาแล้วนะ” วิเวียนเรียกร้องคำยืนยัน
“จริงจ้ะ มาเกี่ยวก้อยสัญญากันก็ได้” โรเวนยื่นนิ้วก้อยออกมา
“เย้ๆ เจ้าพี่สัญญาแล้ว” วิเวียนเกี่ยวก้อยกับโรเวนหน้าตายิ้มแย้ม ไม่เหลือร่องรอยความเศร้าเมื่อครู่ทิ้งเอาไว้เลย
+ + + +
“โอ๊ย เช้าแล้วเหรอเนี่ย” โรเวนพูดอย่างงัวเงีย ขณะนี้เขาอายุสิบห้าแล้วอีกไม่นานก็จะต้องเดินทางออกจากเจมิไนไปศึกษาที่โรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์ก “อืม อีกกี่วันเนี่ยที่จะต้องไปเอดินเบิร์ก”
โรเวนมองไปยังปฏิทินแล้วก็รีบลุกจากเตียงทันที
“ตายล่ะ อีกสามวันเกิดวิเวียนด้วย แค่เดินทางอย่างเดียวก็ไม่มีเวลาจะไปเลือกซื้ออะไรแล้ว”
โรเวนกุลีกุจอแต่งตัว แล้วรีบขออนุญาตท่านพ่อเพื่อไปหาวิเวียนที่เวนอลทันที
จะทันไหมเนี่ย จะซื้ออะไรดี
ขณะที่โรเวนคิดหนักว่าจะเอาอะไรเป็นของขวัญให้น้องสาวสุดที่รักดี ก็ได้พบกับคณะพ่อค้าที่จะเดินทางเข้าเจมิไน ตะโกนโฆษณาขายสินค้าอยู่
“ดาบปักษาจันทรา เร็วเหมือนเงาจันทร์ ร่ายรำเหมือนปักษา เสียงแหวกอากาศของดาบชวนฟังเหมือนปักษาสวรรค์ รูปร่างก็เรียวยาว สมจะเป็นดาบประดับกายของหญิงสาวร่างอรชร”
“อ๊ะ คณะเกวียนนั่นน่ะ หยุดก่อน” โรเวนรีบตะโกนเรียกทันที “ปักษาจันทราที่เจ้าว่าเนี่ย เท่าไหร่ ข้าจะซื้อ”
“รีบร้อนเชียวท่าน จะเอาไปให้เป็นของขวัญหญิงสาวผู้เป็นที่รักหรืออย่างไรกัน” ชายหนุ่มคนขายที่ดูท่าทางจะอายุรุ่นเดียวกับเขาถาม นัยน์ตาสีดำขลับเบื้องหลังแว่นนั้นฉายประกายระริกอยากรู้ หากแต่เบื้องหลังของประกายนั่นมีแววประหลาดลึกลับซ่อนอยู่ ทำเอาโรเวนไม่คิดที่จะยุ่งด้วย อีกทั้งเขาก็ต้องรีบเดินทาง จึงไม่มีเวลามาเสวนาด้วย
“เร็วเข้า” โรเวนเร่ง ชายหนุ่มคนขายแย้มรอยยิ้มออกมาพลางหัวเราะเบาๆ
“มีคนมาซื้อของหรือลูคัส” คำถามดังขึ้นมาจากในเกวียนแล้วคนถามก็เดินตามออกมา
“ใช่ ท่าทางจะเป็นเจ้าชายที่ไหนสักแห่งกำลังซื้อของไปให้สาวล่ะมั้ง” คนที่ชื่อลูคัสพูดขณะที่หันหลังไปหยิบสินค้า แล้วก็หันกลับมายิ้มให้กับผู้ที่รอซื้ออยู่
คนมาใหม่มองหน้าโรเวนอย่างพิจารณา ซึ่งโรเวนก็จ้องตอบเช่นกัน ผมสีทอง นัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์ ผิวขาว ไม่น่าจะใช่พ่อค้าธรรมดา
“ได้หรือยัง” โรเวนเร่ง
“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ เอ้านี่ของท่าน” คนขายพูดพลางยื่นดาบให้โรเวน ผมสีดำขลับของเขาทอประกายกับแสงแดดต้องเข้าตาของโรเวน ให้เขารู้สึกเอะใจเล็กน้อย ว่าอาจจะได้เจอกับชายหนุ่มผู้นี้อีกครั้ง แต่เขาก็ไม่มีเวลามานั่งสนใจ
“นี่เงิน ไม่ต้องทอน” หลังจากที่โรเวนเจรจาซื้อของขวัญให้วิเวียนเสร็จก็รีบควบม้ามายังเวนอลทันที
“รู้สึกเหมือนกับฉันไหมว่าจะได้เจอกับหมอนั่นอีก” ลูคัสพูดขึ้น
เมื่อคนข้างตัวเงียบก็เลยหันกลับไปยิ้มให้แล้วถามต่อ “นายว่าไง ลอรี่”
เฟี้ยว!! ฉึก!!
แล้วสงครามเล็กๆ ก็เกิดขึ้นภายในเกวียนของคณะขายของ ที่ทำเอาเจ้าของคณะต้องรีบห้ามสงครามแทบไม่ทัน
ส่วนโรเวนกว่าจะมาถึงก็เป็นวันเกิดของเจ้าหญิงวิเวียนนานีย่าพอดี
“โอย เหนื่อยเหมือนกันแฮะ” โรเวนพึมพำเบาๆ พลางเช็ดเหงื่อตามใบหน้า แล้วก็เข้าวังไปอย่างสง่าผ่าเผย
“เจ้าหญิงเพคะ เจ้าชายโรเวนมาหาแน่ะ” เสียงแม่นมทูลเรียก ทำให้เจ้าหญิงน้อยๆ รีบวิ่งออกไปหาอย่างดีใจ
“เจ้าพี่ เจ้าพี่มาจริงๆด้วย” วิเวียนร้องเรียกอย่างดีใจ
“นี่เป็นของขวัญจ้ะ” โรเวนพูดอย่างอ่อนโยนพลางยื่นดาบปักษาจันทรามาให้ วิเวียนก็รับไว้อย่างทะนุถนอม
“อะไรคะเจ้าพี่”
เสียงเล็กๆเจื้อยแจ้ว นัยน์ตาสีเขียวทอดมองของที่ได้มาถือไว้ในมืออย่างถูกใจ เพราะเป็นของที่ได้จากโรเวน
“ปักษาจันทรา เร็วเหมือนเงาจันทร์ ร่ายรำเหมือนปักษา เสียงแหวกอากาศของดาบชวนฟังเหมือนปักษาสวรรค์”
“ปักษาจันทรา” เสียงเล็กทวน เงยมองโรเวนที่กำลังทำหน้าเจื่อนนิดๆ
“ขอโทษนะหญิง พี่ผิดเอง ยุ่งจนลืมว่าวันนี้เป็นวันเกิดหญิง ดาบนี่จริงๆแล้วไม่ดีหรอก แล้วพี่จะหาอย่างอื่นมาให้” คำสารภาพที่เจ้าหญิงองค์น้อยหัวเราะคิก
“ไม่ต้องค่ะ หญิงรู้ว่าเจ้าพี่ยุ่ง ยุ่งอย่างนี้ยังปลีกตัวมาหาหญิงถึงเวนอล ความจริงแค่เจ้าพี่มาหาหญิง หญิงก็ดีใจแล้ว” น้ำเสียงชวนฟัง รอยกระบนดวงหน้าที่เคยมีหายไปมาก เรือนผมที่เคยยุ่งก็ค่อยเริ่มดูสมหญิง เจ้าหญิงองค์น้อยก้มมองดาบใหญ่เกินตัวลูบไปมาแล้วแย้มรอยยิ้มให้คนตัวโตที่ยืนอยู่ใกล้
“หญิงชอบปักษาจันทรา”
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปก่อนนะ พี่จะต้องไปเตรียมตัวเข้าโรงเรียนที่เอดินเบิร์กน่ะ” โรเวนกล่าวอย่างรีบร้อน “สุขสันต์วันเกิดจ้ะ”
โรเวนจุมพิตที่หน้าผากของเจ้าหญิงสุดที่รักของตนเบาๆ แล้วรีบควบม้าไป
“อย่าลืมมาเยี่ยมหญิงบ่อยๆ นะคะ”
วิเวียนตะโกนไล่หลังไปโดยหารู้ไม่ว่า โรเวนจะไม่กลับมาเยี่ยมเธออีกเลย
+ + + +
“โรเวน จดหมายถึงนายแน่ะ” ไธนอสเพื่อนสนิทของเขาตะโกนเรียก ตอนนี้ โรเวนอยู่ในป้อมอัศวินของโรงเรียนพระราชาแห่งเอดินเบิร์กแล้ว
“อะไรหรือ ไธนอส” โรเวนเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ “จดหมายจากไหนอะ”
“สงสัยจากพ่อนายมั้ง ลองเอาไปอ่านดิ” ไธนอสยื่นจดหมายให้
หลังจากที่โรเวนเอาจดหมายไปอ่านเสร็จก็นิ่งไปด้วยความตกใจ
“อะไรหรือ โรเวน ทำไมเงียบไปล่ะ” ไธนอสถามอย่างเป็นห่วง
“สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งเวนอล พร้อมทั้งพระมหาราชินีและเจ้าชายชาเบรียนถูกลอบสังหาร ตอนนี้ พระราชินีแห่งเวนอลขึ้นเป็นพระจักรพรรดินีครองราชย์แทน” โรเวนอธิบายทั้งๆ ที่ตัวเองยังคงตกใจอยู่
“แล้วทำไม เขาเรียกให้นายกลับไปเพื่อไปร่วมพิธีศพหรือไง” ไธนอสถาม
“ไม่ใช่ แต่ว่า...” โรเวนนิ่งไปไม่ตอบ
“อะไรกัน ไม่ตอบก็ไม่ต้องตอบ” ไธนอสไม่อยากสนใจ เพราะรู้ว่าถ้าเพื่อนคนนี้หุบปากแสดงว่าจะไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาอีก
วิเวียน เจ้าได้ตำแหน่งเป็นมกุฎราชกุมารีแล้วพี่จะทำยังไงล่ะ หากสิ้นพระราชินีองค์นี้ไปคนที่จะต้องครองราชย์ก็ต้องเป็นเจ้า ส่วนพี่ หากสิ้นท่านพ่อไปคนที่จะครองราชย์แทนก็คงไม่ใช่ใครนอกจากพี่ แล้วอย่างนี้ หากเราจะแต่งงานกัน แล้วบ้านเมืองจะทำยังไง จะให้พี่ทิ้งประชาชนของพี่ไปอยู่กับเจ้าที่เวนอลก็คงไม่ได้ แต่จะให้เจ้าทิ้งชาวเวนอลมาอยู่กับพี่ก็ไม่ได้อีกเช่นกัน ถ้าเช่นนั้น...
โรเวนรีบเขียนจดหมายกลับไปปรึกษาท่านพ่อของตน ซึ่งคำตอบก็อยู่ในใจของโรเวนแล้วเช่นกัน
ขอโทษด้วยนะหญิง ที่พี่ไม่สามารถจะทำตามที่พี่สัญญาไว้ได้ พี่จะต้องตัดใจจากหญิงนี่เป็นทางที่ดีที่สุด
+ + + +
“นม ตอนนี้เจ้าพี่กำลังทำอะไรอยู่นะ” วิเวียนเปรยเบาๆ ขณะที่กำลังนั่งบนเตียงและแหงนหน้าออกไปนอกหน้าต่างมองฟ้ายามค่ำคืน
“เจ้าชายโรเวนคงกำลังเรียนหนักมั้งเพคะ” แม่นมทำงานไปตอบไป
“ทำไมเจ้าพี่ไม่ยอมมาหาเราเลยล่ะ หลายปีแล้วนะ ไม่มีติดต่อมาเลยสักนิด” วิเวียนหันหน้ากลับมานอนบนเตียง แล้วครุ่นคิดอย่างหนัก ขณะนี้เธอโตเป็นสาวน้อยอายุสิบสี่ กำลังแตกเนื้อสาว หน้าตาสะสวยยิ่งนัก “หรือว่าเจ้าพี่...”
“อะไรหรือเพคะ เจ้าหญิง” แม่นมหันกลับมาถาม
“ก็เจ้าพี่น่ะ คงลืมสัญญาที่ให้ไว้กับเราหมดแล้ว เจ้าพี่มีหญิงอื่น บางทีเจ้าพี่อาจจะลืมเราไปแล้วก็ได้” วิเวียนยิ่งพูดยิ่งใส่อารมณ์
“โธ่เอ๊ย ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เจ้าหญิงก็ตัดพระทัยเลยสิเพคะ” คำแนะนำที่ชวนให้วิเวียนต้องทำหน้ามุ่ย พอเธอเหลือบไปเห็นปักษาจันทราที่วางไว้อยู่บนหัวนอนก็เอามาลูบอย่างทะนุถนอมพลางนึกถึงเจ้าชายโรเวนผู้เป็นที่รัก
“ดีล่ะ เราจะทดสอบว่าเจ้าพี่ลืมเราหรือยัง”
วิเวียนพูดขึ้นอย่างมุ่งมั่น ทำเอาแม่นมอึ้งไปชั่วครู่
“ทดสอบ จะทดสอบอะไร แล้วจะทดสอบได้ยังไงเพคะ”
“อ้าว ก็วันนี้มีจดหมายแจ้งข่าวมาจากบารามอสไม่ใช่หรือ ว่าพวกนักเรียนในเอดินเบิร์กกลุ่มหนึ่งกำลังจะเดินทางไปเดมอส ซึ่งในกลุ่มนั้นก็มีเจ้าพี่ด้วย เราจะไปหาเจ้าพี่ ดูซิว่าเจ้าพี่จะลืมเราหรือยัง” วิเวียนตอบอย่างคนเอาแต่ใจ
“ตายแล้ว ไม่ได้นะเพคะเจ้าหญิง หาได้สมควรทำไม่นะเพคะ” แม่นมค้าน
“ทำไมล่ะนม เราไม่เอาหรอกนะที่จะต้องมานั่งรอเฉยๆ แล้วเนี่ยตาแก่ตัณหากลับแห่งแอเรียสก็มาขอเรา ถ้าเราไม่ทำอะไรสักอย่างเดี๋ยวท่านแม่ก็ยกเราให้เขาไปพอดี”
“โธ่ เจ้าหญิงไปว่ากษัตริย์ริชาร์ดอย่างนั้นได้ยังไงเพคะ มันไม่เหมาะ แล้วการเดินทางไปที่เดมอสน่ะ มันอันตรายนะเพคะ”
“ภายในน่ะอันตราย แต่เราได้ยินมาว่าเมืองที่ชื่อฟรอนเทียร์น่ะไม่อันตรายมากนี่นม เราก็ไปรอเจ้าพี่ที่นั่น” วิเวียนไม่ยอมฟังคำเตือนของแม่นม “เอาเป็นว่ายังไงเราก็จะไป ถ้านมไม่ไป เราจะไปคนเดียว”
“โธ่เอ๊ย เจ้าหญิงจะทำให้นมเป็นลมวันละหลายตลบเชียว ลืมแล้วหรือเพคะว่าองค์จักรพรรดินีน่ะ จ้างให้คนตระกูลฟีลมัสไปลอบทำร้ายคณะเดินทางนั่นด้วยนะเพคะ เดี๋ยวจะเป็นอันตรายถึงเจ้าหญิงเปล่าๆ”
“ไม่ๆๆ” วิเวียนเอามือปิดหูไม่รับฟังเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น “เอาอย่างนี้ละกันนะ นม เรามาพนันกันครั้งสุดท้าย ถ้าเกิดว่าเราไปหาเจ้าพี่แล้วเจ้าพี่ยังจำเราได้เราก็จะตามพวกเขาไปและห้ามท่านแม่ลงมือเด็ดขาด”
“ไม่ได้นะเจ้าหญิง มันเรื่องของประเทศชาติเชียวนะ การชิงคทาแห่งพลังสำคัญมากนะเพคะ”
“ไม่รู้ล่ะ” คราวนี้ต่อให้พูดยังไงเจ้าหญิงก็คงไม่มีทางเปลี่ยนใจเด็ดขาด แม่นมก็ได้แต่ส่ายหน้า
“แล้วถ้าเกิดว่าเจ้าชายโรเวนไม่มีท่าทีกับเจ้าหญิงล่ะเพคะ” แม่นมพูดแทงใจดำ
“นม” วิเวียนร้องครางอย่างเด็กไม่พอใจ แต่พอสบตากับแม่นมก็รีบหลุบตาลงทันที
“เอาเถอะ ไว้ถึงตอนนั้นแล้วค่อยพูดกันอีกที”
แล้วเจ้าหญิงมกุฎราชมารีวิเวียนนานีย่าจึงจัดคณะออกเดินทางสู่เมืองฟรอนเทียร์ในดินแดนเดมอส
-----------------------------------------------------
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น