[Felin Fan Fiction] Priest Diary
เรื่องเสริมจากฟิก Satan Destiny ครับ ถ้าไม่มีใน Dek-D ลองไปหาใน www.sun-tree.net นามปากกา เด็กสีฟ้า shi 65 เอานะครับ เหอะๆ
ผู้เข้าชมรวม
897
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ชื่อเรื่อง : Priest’s Diary
ประเภท : ไม่ระบุ
ช่วงเวลา : ก่อนภาค 1
Note : เป็นฟิกที่เกี่ยวข้องกับ Satan’s Destiny นะ แต่งตั้ง 3 ชั่วโมงแน่ะ แถมหลุดคาแรกเตอร์กันเป็นแถบ T T เหมือนจะจบแปลกๆ ด้วยซ้ำ แต่ตั้งใจแต่งสุดๆ เลยนะเนี่ย งืม...แต่งดองไว้มาปีกว่าแล้ว 555+ เนื่องจากตอนแต่งเสร็จอ่านไปอ่านมาแล้วรู้สึกแปลกๆ เอิ้กๆๆ เลยไม่ได้เอาลง พอดีไปงานมีตบารามอสมา แล้วก็เลยเอามาลงดีกว่า รำลึกความหลัง อิอิ ชื่อเรื่องเนี่ย เอามาจาก Satan's Diary ของมัดหมี่ อิอิ แต่เนื้อเรื่องไม่เกี่ยวนะ เกี่ยวแค่ Satan's Destiny ของเด็กสีฟ้า shi 65 (ผมเอง) อย่างเดียว เหอะๆ ขอคอมเม้นท์กันด้วยนะครับ
“ลอรี่...” ใครบางคนกำลังร้องเรียกหาเพื่อนสนิทที่ไม่รู้ว่าแอบไปหลบเขาอยู่ที่ไหนตั้งแต่เช้า นัยน์ตาคมกริบสีดำนั่นตวัดมองไปรอบๆ แต่ก็ไร้วี่แวว “หายไปไหนของเขากัน”
เมื่อหาอยู่เป็นนานแล้วยังไม่เจอ จึงตัดสินใจเดินเข้าไปในหอประชุมผู้คุมกฎเผื่อว่าเพื่อนคนไหนจะเห็นวี่แววของคนที่ตามหาบ้าง แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อในหอประชุมก็ไม่มีใครอยู่เลยสักคน
“ให้มันได้อย่างนี้สิ” ลูคัสถอนหายใจพรืด ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะกลมตัวหนึ่งที่บัดนี้เขาถือวิสาสะยึดเป็นโต๊ะน้ำชาของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว
“แล้วใครมาทำอย่างนี้เนี่ย” เขาร้องอย่างไม่ค่อยพอใจ เพราะสามในสี่ของเก้าอี้ถูกจับไปเรียงต่อกันอยู่อีกด้านหนึ่งของโต๊ะ “ไม่ได้รู้จักเก็บเก้าอี้กันเลย”
แต่ไม่ทันจะได้ไปเก็บให้เข้าที่ ลูคัสก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ก็ไอ้คนที่เขากำลังตามหามันดันหนีมานอนในที่ประจำของเขาน่ะสิ เอาเก้าอี้สามตัวมาต่อกันเป็นที่นอน น่าขำอะไรอย่างนี้
เตียงที่ห้องก็มีให้นอน...
กลับมานอนที่โต๊ะน้ำชาในหอประชุมผู้คุมกฎ
คงคิดว่าที่ๆ ปลอดภัยที่สุดคือที่ๆ อันตรายที่สุดสินะ...
นายถึงได้หลบฉัน มานอนในที่ประจำของฉันอย่างนี้เนี่ย ลอเรนซ์
นัยน์ตาสีนิลจับจ้องไปยังร่างตรงหน้า ลมอ่อนพัดโชยมาเป็นระยะ แม้เขาขยับเข้าใกล้คนตรงหน้าก็ยังไม่รู้สึกตัว ดวงหน้าหวานๆ ยามหลับสนิทดูดียิ่งนัก ผิวขาวเนียนรับกับผมสีทองเป็นอย่างดี
คงเหนื่อยจากตรวจเวรเมื่อคืน...
ลูคัสเดินไปชงชาตามนิสัย ก่อนจะกลับมานั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดียวที่เหลืออยู่อย่างเงียบๆ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นสมุดเล่มหนาวางอยู่บนโต๊ะ
ของนายงั้นสิ... คุ้นๆ แฮะ...
คิดแล้วก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ คนอยากรู้ก็หยิบสมุดนั่นมาเปิดอ่านโดยพลการ
อย่าว่ากันเลยนะ ลอรี่...
===================
XX/XX/XX
อีกไม่นานฉันก็จะต้องจากที่นี่ไปแล้ว... วิหารที่ฉันอยู่มาตั้งแต่จำความได้... รู้สึกใจหายจริงๆ ที่จะต้องจากหมู่บ้านเล็กๆ อันแสนสุขนี่ไป เพื่อไปสมัครเรียนที่โรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์ก แม้ทางที่ไปจะเป็นทางแห่งความเจริญอย่างที่ใครหลายๆ คนพูดก็เถอะ แต่การที่ต้องจากท่านอาจารย์ และพวกคุณลุงคุณป้าที่แสนใจดีในหมู่บ้านนี้ไปมันก็ทำใจยากเหมือนกัน ท่านอาจารย์ก็เข้าใจและได้มอบสมุดให้ฉันเป็นที่ระลึก ฉันจึงใช้มันเป็นไดอารี่ เพื่อบันทึกความทรงจำอันมีค่าของฉันที่มีต่อหมู่บ้านนี้เอาไว้
XX/XX/XX
กำหนดเดินทางของฉันคืออาทิตย์หน้านี้แล้ว วันนี้ท่านอาจารย์และนักบวชทั้งหลายจึงได้จัดพิธีมอบคัมภีร์มนตร์สวรรค์ให้ฉัน เพื่อใช้ป้องกันตัวระหว่างเดินทาง นี่ขนาดแปะประกาศไว้ที่ประตูแล้วนะว่าวันนี้ปิดวิหาร ดันมีไอ้โง่จากต่างเมืองเดินดุ่ยๆ เข้ามา ดีนะพิธียังไม่เริ่ม ไม่อย่างนั้นเสียฤกษ์หมด นึกแล้วอยากจะปามีดใส่จริงๆ ให้ตายเหอะ แต่แปลก ไอ้หมอนี่บอกว่ามาชื่อลูคัส ซาโดเรีย เป็นซอร์เซอร์เรอร์แห่งทริสทอร์ อยากจะหัวเราะจริงๆ ทริสทอร์เข้าหาพระเจ้า ดินแดนที่ขายหัวใจให้กับพวกเดมอสนั่นมีใจใฝ่หาแสงสว่าง หลังจากที่ไล่หมอนั่นได้ ฉันก็เข้าพิธีรับมอบคัมภีร์อย่างราบรื่น
แต่ในคืนนั้นจู่ๆ ท่านอาจารย์ก็ให้คนมาเคาะประตูหน้าห้องนอนฉัน บอกว่าคนในหมู่บ้านกำลังถูกฆ่าโดยซาตานแห่งทริสทอร์และให้ฉันออกไปหยุดมัน เพราะมีเพียงคัมภีร์มนตร์สวรรค์เท่านั้นที่จะปราบได้ ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรนักหรอก แต่ก็พอจะสัมผัสได้ถึงอายประหลาดที่แผ่ไปทั่วหมู่บ้าน ถึงได้รีบวิ่งออกไปทันที แต่ว่า... ไม่ทันแล้ว คุณลุงคุณป้าเจ้าของบ้านพักและทุกคนที่อยู่ในบ้านพักนั่น... กลายเป็นศพที่น่าอนาถไปเสียแล้ว และซาตานนั่นก็คือลูคัส ซาโดเรีย ไอ้คนไม่รู้จักกาลเทศะเมื่อกลางวันนี่เอง ด้วยความโมโห ฉันเลยสร้างเขตอาคมขึ้นมาต้านกับของไอ้ซาตานนั่น จู่ๆ บ้านพักก็ระเบิดกลายเหลือเพียงเศษเถ้าธุลี ฉันกับซาตานนั่นสู้กันอยู่ครู่หนึ่งแล้วจู่ๆ มันก็กลับหยิบแว่นขึ้นมาสวม อายของซาตานหายไปหมด ฉันในฐานะนักบวชก็ไม่ได้อยากฆ่าคนนักหรอก (แม้มันจะโหดเหมือนซาตานก็เหอะ) เมื่อเขาหยุดฉันก็หยุด และบอกให้เลิกฆ่าคนซะ ไอ้หมอนั่นมันดันบอกว่า สู้กับฉันสนุกดี จะเลิกฆ่าคนก็ได้ แต่มันจะตามฉันไปตลอด แล้วฉันจะทำไงได้ นอกจากเออออไปตามน้ำ ไม่อย่างนั้นมันก็ได้ฆ่าคนเป็นผักปลาอีกสิ
XX/XX/XX
ในที่สุดวันนี้ก็ต้องออกเดินทางจนได้ ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาตั้งแต่ไอ้ลูคัสบ้านั่นเข้ามาอยู่ด้วยในวิหารก็มีแต่เรื่องยุ่งๆ ทั้งต้องปิดเรื่องมันจากคนในหมู่บ้าน แล้วเจ้าตัวก็ถามโน่นถามนี่ รู้หรอกว่าไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้ แต่ถามมากเกินไปจนชักจะรำคาญแล้วสิ แล้วไอ้ชื่อบ้าๆ ที่มันเรียกเนี่ยก็ช่างกวนประสาทดีแท้ คนเขาชื่อลอเรนซ์อยู่ดีๆ รู้ไหม มันเรียกเป็นอะไร... มันเรียกว่าลอรี่ ฟังดูผู้หญิงชะมัด (ว่าจะปามีดสั่งสอนมันสักหน่อย มันดันหลบได้ทุกครั้งสิน่า) เกลียดนักเชียวไอ้พวกที่ชอบมาบอกว่าหน้าหวาน มาพูดเหมือนเป็นผู้หญิงเนี่ย แต่เอาเถอะ ท่านอาจารย์สอนไว้ว่าให้ระงับอารมณ์ ฉันจะพยายามทำตาม (แต่รู้สึกว่าจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยไหวแฮะ) แล้วนี่ตอนแรกนึกว่าจะได้ไปเอดินเบิร์กตามลำพัง แต่ไอ้ลูคัสนั่นดันไปพูดอะไรกับท่านอาจารย์ไม่รู้ท่านถึงได้ยัดเยียดให้มันตามมา นี่ถ้าเกิดได้เข้าไปเรียนจริงๆ ฉันต้องทนเจอหน้ามันทุกวันตลอดเจ็ดปีเลยใช่ไหมเนี่ย สรุป ตอนนี้ฉันก็เลยต้องมานั่งแกร่วอยู่กับมันสองคน นี่ขอติดเกวียนคณะเร่ขายของมา เขาบอกว่าวันนี้ให้พักก่อน แล้วต่อไปต้องมาช่วยเขาขายของด้วย... เฮ้อ น่าอายจริงๆ ถ้าตอบแทนบุญคุณด้วยวิธีอื่นได้คงจะดีกว่านี้อะนะ
XX/XX/XX
ตอนนี้คณะเกวียนเราออกจากแอเรียสมาแล้ว เห็นหัวหน้าคณะบอกว่าจะตัดผ่านเจมิไนก่อนแล้วก็ไปเมืองเวนอล คาโนวาล ตัดเข้าโคมิเน่ แล้วอ้อมไปบารามอส ถึงจะไปที่เอดินเบิร์ก เขาว่าคำนวณเวลาไว้แล้ว ยังไงฉันก็ไปได้ทันแน่ ฉันกับลูคัสออกมาผลัดเวรกันตะโกนขาย ตอนนี้เขาว่าดาบปักษาจันทราเป็นสินค้าใหม่ ให้เน้นโฆษณาหน่อย นี่พอเข้าเขตเมืองเจมิไนมาได้ไม่นานก็มีคนมาซื้อซะแล้ว คนซื้อเนี่ยดูเหมือนเจ้าชายที่ไหนสักแห่ง (คงจะเป็นเจมิไนนั่นล่ะ ก็นี่มันเขตเจมิไนนี่นา) เห็นแล้วรู้สึกแปลกๆ เหมือนจะต้องได้พบกันอีกยังไงไม่รู้ ลูคัสก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน แต่เอาเถอะ อย่าไปใส่ใจเลย
XX/XX/XX
วันนี้ผ่านไปเมืองเวนอลเห็นเขาว่าจะมีขบวนเสด็จของสมเด็จพระจักรพรรดิ ขบวนเกวียนก็เลยหยุดขายของแถวนั้นไปด้วยเพื่อรอรับเสด็จ คนเยอะจริงๆ บังกันเกือบมิด แต่พอบ่นไปนิดเดียว ไอ้ลูคัสมันก็ดันอุ้มฉันขึ้นเสริมความสูงให้โดยไม่ได้ขอซะนี่ อายจะตาย บ้าจริง แต่มันก็ทำให้ฉันได้เห็นพระพักตร์ของสมเด็จพระจักรพรรดิน่ะนะ แต่มองไม่เห็นหน้าเจ้าชายกับเจ้าหญิงอะ เพราะกว่าจะกวาดสายตาไปเจอก็เห็นแต่ข้างหลังซะแล้ว
XX/XX/XX
ชักจะรู้สึกสนุกแล้วสิ เดินทางกับคณะขายของเนี่ยก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ดีหรอก ได้พบเจอคนมากหน้าหลายตา ได้เดินทางไปทั่วทุกเมือง หรือเราจะติดใจการเดินทางเข้าให้แล้วล่ะเนี่ย ฉันก็เริ่มคิดๆ แล้วว่าถ้าเกิดฉันไม่ติดเอดินเบิร์ก จะออกเดินทางไปตามเมืองต่างๆ ท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ กับลูคัส (ฉันเขียนอะไรออกไปเนี่ย) ฉันจะเดินทางคนเดียว
+ + + + + + + +
“ทำอะไรอยู่น่ะลอรี่” เสียงกวนๆ ถามขึ้นจากด้านหลังทำให้คนถูกเรียกรีบเก็บสมุดทันที ก่อนจะปากริชสีเงินแหวกอากาศออกไป
“อยากตายนักใช่ไหมลูคัส” ลอเรนซ์กล่าวเสียงเครียดกลบเกลื่อน “ว่าแต่นายเหอะ ทำไมไม่ไปช่วยหัวหน้าคณะขายของ ตอนนี้เวรนายไม่ใช่เหรอไง”
ลูคัสยักไหล่เบาๆ ก่อนตอบ
“เมื่อกี๊ไปขายแล้ว แต่ไปเจอเจ้าชายคนนึงเข้า หน้าตาโคตรบอกบุญไม่รับเลย จะมาซื้อของนะอารมณ์ขันสักนิดก็ไม่มี นี่อายุแค่ราวๆ สิบเอ็ดขวบเองนะ ไม่รู้ทำหน้าซีเรียสอะไรนักหนา” คำตอบที่คนฟังแย้มรอยยิ้มออกมาน้อยๆ
“นายไม่รู้หรือไงกัน ว่าเจ้าชายแห่งคาโนวาลเนี่ย ส่วนมากเขาจะถุกเลี้ยงมาให้เป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ หรือพูดง่ายๆ ก็เป็นพวกเจ้าชายน้ำแข็งนั่นล่ะ” ลอเรนซ์ตอบ “อายุสิบเอ็ดขวบ... น่าจะเป็นเจ้าชายคาโล เป็นลูกของเจ้าชายคนสำคัญบาโร ที่เขาเก็งกันเอาไว้ว่าจะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ถัดไปด้วย”
“เอาเหอะๆ เรื่องการเมืองฉันไม่อยากสน” ลูคัสส่ายหัววืด “ว่าแต่นายรู้สึกไหม ว่าเดินทางแบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกันนะ”
“อย่างนายน่ะไม่ได้ฆ่าคนแล้วสนุกกะเขาได้ด้วยเหรอ” นัยน์ตาสีอเมธิสต์หรี่ลงขณะมองคนตรงหน้า “นี่ถ้าเกิดฉันไม่ติดเอดินเบิร์กแต่นายติดแล้วนายจะทำยังไง”
“ถามได้ ฉันก็ลาออกสิ ก็บอกแล้วว่าจะตามนายไปตลอดอะ”
“อ้าว แล้วถ้าเกิดฉันติดขึ้นมาแต่นายไม่ติดล่ะ คงไม่บอกหรอกนะ ว่าจะให้ฉันลาออกตามนาย เพราะมันเป็นไปไม่ได้”
“อืม...” ลูคัสเกาหัวอย่างครุ่นคิด “ถ้าอย่างนั้นฉันจะเข้าไปก่อเรื่องในโรงเรียนให้นายโดนไล่ออกเองละกันนะลอรี่”
จบคำพายุกริชสีเงินก็โผล่พรวดออกมา สงครามย่อยๆ ก็ก่อตัวขึ้นในคณะเกวียนนี่อีกจนได้
+ + + + + + + +
XX/XX/XX
ตอนนี้เราตัดเข้าโคมิเน่แล้ว เป็นประเทศเล็กๆ ที่ดูจะสงบสุขจริงๆ สินค้าของคณะเกวียนก็ยังคงขายดีเหมือนเดิม และลูคัสก็ยังกวน... เหมือนเดิม
+ + + + + + + +
“เฮ้ย ช่วยด้วย ขโมย” เสียงหัวหน้าคณะตะโกนลั่นให้คนกำลังเขียนไดอารี่อยู่ต้องรีบลุกขึ้นมาทันที
“ไหนครับๆ” ลอเรนซ์ถามอย่างร้อนใจ ขณะที่มองตามมือของหัวหน้าคณะไปยังร่างของเด็กตัวเล็กคนหนึ่ง
“นั่นไงๆ เด็กนั่นแหละ เห็นว่าเป็นเด็กเลยไว้ใจให้ดูของตามสบาย เผลอแพล่บเดียวหอบสินค้าเราไปตั้งหลายอย่าง”
“เดี๋ยวผมไปตามให้” ลอเรนซ์รีบวิ่งตามออกไปทันที “หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เขาร้องเสียงเข้ม
“แบร่!” เด็กหัวขโมยนั่นหันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ “หยุดให้โง่สิ”
ลอเรนซ์ชักมีน้ำโห เขาพยายามจดจำลักษณะทุกอย่างของเด็กนั่น
ทันทีที่จำเสร็จเจ้าเด็กนั่นก็เลี้ยวเข้าไปในซอกตึกข้างหน้า แต่พอวิ่งตามไป
“ฮืม..ฮืม..ฮืม”
สิ่งที่ลอเรนซ์พบก็มีเพียงชายวัยกลางคนหัวล้านเลี่ยนรูปร่างท้วมๆ เดินฮัมเพลงแบกถุงขนาดใหญ่ไว้ข้างหลังเดินสวนออกมา
“เอ่อ... ขอโทษครับ” ลอเรนซ์เดินเข้าไปทัก “เมื่อกี๊เห็นเด็กผู้ชายคนนึง อายุราวๆ สิบขวบ ผมสีน้ำตาลประบ่า โพกผ้าคาดหัว มีแผลเป็นใต้ตาซ้าย ผ่านเข้าไปบ้างไหมครับ”
“หืม!” ชายร่างท้วมทำเสียงประหลาดใจ “ไม่เห็นมีนี่นา ตาฝาดแล้วมั้งพ่อหนุ่ม”
ลอเรนซ์ได้แต่แปลกใจ แล้วหันไปมองในซอกตึกนั่น ก็ไร้วี่แววของเด็กชายคนนั้น
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณครับ” ลอเรนซ์ผงกหัวให้เป็นเชิงขอบคุณ แล้วชายร่างท้วมนั่นก็เดินผิวปากจากไป
“เฮ้ ลอรี่” เสียงกวนๆ ตามมาข้างหลังให้คนโดนเรียกใช้วิชามีดบินอีกรอบ
“นายนี่อยากตายนักใช่ไหมลูคัส” ลอเรนซ์ถามเสียงหงุดหงิด
“อะไรกันๆ หงุดหงิดอย่างนี้แสดงว่าตามเจ้าเด็กนั่นไม่ได้ล่ะสิเนี่ย” ลูคัสแซว คนตรงหน้าเลยส่งสายตาดุๆ กลับมาให้ “โธ่เอ๊ย แค่นี้ก็ต้องหงุดหงิด แล้วนายตามมายังไงล่ะ”
“ก็วิ่งตามมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเด็กนั่นเลี้ยวเข้าไปในซอกเนี้ย แล้วก็ไม่เห็นมีวี่แววเลย”
“อ้าว แล้วไม่มีใครเห็นเด็กนั่นเลยหรือไงกัน” ลูคัสถามกลับ
“ก็เนี่ย ถามลุงคนนั้นแล้วเขาก็บอกว่าไม่มี...” พูดพลางชี้ไปทางชายร่างท้วมนั่นที่อยู่ไกลลิบ แต่ก็พอจะเห็นว่าถุงใหญ่ๆ นั่นไม่มีแล้ว มันกลายเป็นเด็กผู้ชายผมสีน้ำตาลนั่นมาเดินอยู่ข้างๆ ชายคนนั้นแทน “ฮ..เฮ้ย”
“นั่นไงล่ะ โดนหลอกจนได้” ลูคัสยิ้มอย่างกวนๆ แล้วทันทีที่กระพริบตาสองพ่อลูกนั่นก็หายไปซะแล้ว
วันนั้นทั้งวันลอเรนซ์ก็กลับมานั่งหน้าบึ้งอยู่ในเกวียนจนหัวหน้าคณะไม่ยอมให้ออกไปขาย เพราะกลัวว่าลูกค้าจะหนีเมื่อเห็นหน้าของนักบวชขี้หงุดหงิดเข้า
XX/XX/XX
เข้ามาในบารามอสแล้ว ประเทศที่ไฮคิงประทับอยู่ อืม... ถึงจะเป็นประเทศที่ใหญ่โต ผู้คนพลุกพล่าน แต่ก็ดูจะสงบกว่าโคมิเน่แฮะ (ก็สงบตรงที่ไม่มีหัวขโมยมากวนนั่นล่ะ) คราวนี้สินค้าของคณะเกวียนยิ่งขายดีเข้าไปใหญ่ เศรษฐกิจของประเทศนี้ดีมากอย่างไม่อยากเชื่อ แทบจะไม่มีคนจนอาศัยอยูในเมืองนี้เลย ฉันกับลูคัสวิ่งพล่านขายของกันไม่หวาดไม่ไหว เฮ้อ... วันนี้เหนื่อยจริงๆ
XX/XX/XX
ในที่สุดก็มาถึงจนได้ โรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์ก ผู้คนพลุกพล่านดีจริงๆ สมกับเป็นช่วงใกล้วันรับสมัครนักเรียนจริงๆ หัวหน้าคณะให้เงินเรามาก้อนนึงเพื่อไปหาที่พักอยู่สบายๆ แต่เราก็ปฏิเสธเพราะว่าเราไม่ได้ต้องการเงิน อีกอย่าง ฉันก็มีความสุขกับการเดินทางครั้งนี้มาก เราจึงขอหัวหน้าคณะอยู่กับเกวียนนี่ไปก่อนจนถึงวันรับสมัคร และจะช่วยขายของตามเดิม
XX/XX/XX
โอย คนเยอะอะไรอย่างนี้ เยอะกว่าบารามอสรวมกับเวนอลอีกนะเนี่ย ไอ้ลูคัสก็เริ่มจะเกิดอาการบ้าคลั่ง เห็นคนเยอะเป็นไม่ได้ นึกว่าเชื้อโรคซาตานจะหายไปจากมันแล้วนะเนี่ย ตัวมันสั่นใหญ่เชียว ดีนะ ที่มันยังพอควบคุมตัวเองได้บ้างแล้วน่ะ แต่ก็เยอะจริงๆ เกวียนขายของก็เพิ่มขึ้นกว่าเมื่อวันก่อนตั้งเยอะ และแล้วเวลาแห่งการลาจากกับคณะเกวียนก็มาถึง เราต้องไปเตรียมตัวเพื่อรับการทดสอบ หัวหน้าคณะและเพื่อนๆ ร่วมเกวียนต่างก็พากันมาให้พรใหญ่เชียว...
+ + + + + + + +
“สี่เค” เสียงหญิงคนขายไอติมบอกราคา แล้วลูคัสก็เอาเงินที่เพิ่งได้มาจากหัวหน้าคณะจ่ายไปพร้อมกับรับไอศกรีมโคนรสวานิลลาและรสช็อกโกแลตมาไว้ในมือ แล้วยื่นให้คนข้างตัว “เอาไปสิ”
“นี่ยังมีอารมณ์กินอีกหรือไง ใกล้เวลารับสมัครแล้วนะ” ลอเรนซ์ตอบกลับอย่างหงุดหงิด แต่ไอ้คนตรงหน้าแม้โดนปฏิเสธก็ไม่สะทกสะท้านกลับยัดเยียดเอาไอศกรีมโคนรสวานิลลาใส่มือให้อีก
“นักบวชอย่างนายคงชอบกินวานิลลาเพราะมีสีขาวเหมือนนาย” พูดพลางเลียไอศกรีมตัวเองอย่างกวนๆ “ส่วนฉันก็ต้องช็อกโกแลต เพราะมันดำเหมาะกับซาตานดีจริงไหม”
บทสนทนาที่หญิงขายไอติมไม่เข้าใจ แต่พอจะจับความได้ว่าเด็กสองคนนี้คงมาสมัครเป็นนักเรียนกัน เธอจึงพูดแทรกขึ้นมา
“ขอโทษนะพ่อหนุ่ม เธอสองคนจะมาสมัครเป็นนักเรียนโรงเรียนพระราชานี่เหรอ”
“ใช่ๆ ป้ามีอะไรเหรอ” ลูคัสถามกลับ ให้หญิงขายไอติมมองอย่างไม่ค่อยพอใจที่ถูกเรียกว่าป้า
“ก็ไม่มีอะไรหรอกนะ แค่อยากจะบอกว่าพวกที่เขามาสมัครกันน่ะ เข้าไปในโรงเรียนตั้งเป็นชั่วโมงแล้ว” คำพูดที่ทำให้ลอเรนซ์กับลูคัสเบิ่งตากว้าง
“ตายละหว่า นาฬิกาของฉันตาย” ลูคัสพูด
“โธ่เว้ย เพราะนายแท้ๆ เลยเชียว” ลอเรนซ์พูดอย่างหงุดหงิดแล้วรีบวิ่งเข้าไปทั้งๆ ที่ในมือก็ถือไอศกรีมกินไปตามทาง
“นั่น แล้วว่าไม่อยากกิน” ลูคัสพึมพำ ก่อนจะหันมาหาหญิงขายไอติม “ขอบใจนะป้าที่เตือน ไปล่ะ”
“ไอ้หนุ่มนี่ ปากมัน...จริงๆ เลย” หญิงขายไอติมพึมพำเบาๆ
ภายในบริเวณโรงเรียนมีผู้คนพลุกพล่านมากมาย แต่ทั้งลอเรนซ์และลูคัสก็ไม่สนใจ เพราะทั้งคู่ต่างรีบวิ่งไปยังโต๊ะรับสมัครทันที
“เอ่อ... ย..ยังรับสมัคร.. อยู่หรือเปล่าครับ” ลอเรนซ์ถามอย่างกระหืดกระหอบ ไอศกรีมโคนเพิ่งถูกยัดเข้าไปทั้งอันเมื่อไม่นานมานี้
“ค..ค่ะ บอกชื่อและอาชีพด้วยค่ะ” คนรับสมัครตอบอย่างตกใจ เพราะลอเรนซ์หอบได้อย่างน่ากลัว
“ผมลอเรนซ์ ดอร์น เดอะพรีสต์ออฟแอเรียสครับ”
“ผมลูคัส ซาโดเรีย เดอะซอร์เซอร์เรอร์ออฟทริสทอร์ครับ” ทั้งสองพูดอย่างรวดเร็วขณะที่คนรับสมัครก็จดชื่อมือเป็นระวิง
“ผมโรเวน ฮาเวิร์ด เดอะปริ๊นซ์ออฟเจมิไครับ” เสียงที่สามดังขึ้นจากข้างหลังให้ลอเรนซ์กับลูคัสต้องหันไปมองอย่างประหลาดใจ
“อ้าว นาย...” ทั้งสามคนพูดพร้อมกันอย่างไม่อยากเชื่อสายตา เพราะไม่คิดว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อตอนที่พบกันตอนขายดาบปักษาจันทรามันจะเกิดขึ้นจริง
“ว่าแล้วเชียวว่าต้องได้พบกับพวกนายอีกที ฉันโรเวน ฮาเวิร์ด เดอะปริ๊นซ์ออฟเจมิไน” โรเวนพูดแนะนำตัว แล้วลูคัสกับลอเรนซ์ก็แนะนำตอบกลับ
“หวังว่าจะได้อยู่หอพักเดียวกันนะ” โรเวนพูด แต่ไม่ทันที่ทั้งสามจะได้แยกกันไปเสียงหอบของคนสองคนก็ดังขึ้นเหมือนที่พวกเขาสามคนเพิ่งเป็นเมื่อครู่ เนื่องจากรีบวิ่งมาลงชื่อ
“โซมาเนีย มิสทรัล เดอะฮีลเลอร์ออฟซาเรสค่ะ”
“ชิวาส เดเบส เดอะเรนเจอร์ออฟเอเธนส์ครับ”
ทั้งสองคนพูดพร้อมกัน ก่อนจะจ้องตากันอย่างไม่พอใจ
“นี่เธอจะให้ฉันก่อนไม่ได้หรือไง ฉันเป็นผู้หญิงนะ” โซมาเนียแว้ดขึ้นก่อนด้วยเสียงหวานผิดกับอารมณ์ของเจ้าหล่อน
“ทำไมล่ะ ก็ฉันมาถึงก่อนเธอนี่นา อย่ามาทำเป็นอ้างว่าผู้ชายต้องยกให้ผู้หญิงก่อนเลย ชอบเรียกร้องสิทธิสตรีมากนักไม่ใช่หรือไง พวกผู้หญิงน่ะ ถ้ามีสิทธิเท่าเทียมกัน แล้วทำไมผู้ชายต้องยอมผู้หญิงด้วยล่ะ” ชิวาสเถียงกลับ
“นี่ เธอ...” ก่อนที่สงครามน้ำลายจะบานปลาย หญิงคนรับสมัครก็เอ่ยขัดขึ้น
“ไม่ต้องทะเลาะกันแล้วค่ะ จดชื่อไว้แล้วทั้งสองคน พอได้แล้วค่ะ”
เท่านั้นสงครามน้ำลายก็สงบลง แต่ก่อนทั้งสองคนจะจากกันก็ยังจ้องตากันอย่างจะกินเลือดกินเนื้อแล้วค่อยเชิดหน้าเดินไปกันคนละทาง
ง่ะ ขออย่าให้ได้เรียนกับเจ้าพวกนี้เลยละกัน อารมณ์แรงกว่าเราอีกแฮะ
ลอเรนซ์คิดภาวนาในใจ
+ + + + + + + +
XX/XX/XX
อาทิตย์นึงแล้วหรือเนี่ย ไม่อยากเชื่อเลย วันนี้ฉันได้เข้าไปเป็นนักเรียนโรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์กเต็มตัว แต่ที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่านั้นก็คือไอ้ซาตานที่คอยเกาะฉันเป็นปาท่องโก๋เนี่ยมันจะติดมาด้วย ไอ้ตอนที่มันมาบอกว่ามันผ่านสัมภาษณ์แล้วก็อึ้งไปนิดๆ เหมือนกันแฮะ นึกว่าจะสลัดมันพ้นแล้วเชียว นอกจากนี้ยังมีเรื่องให้น่าตกใจอีก ก็ทั้งฉัน ลูคัส เจ้าชายโรเวนนั่น รวมไปถึงชิวาสกับโซมาเนียที่ทะเลาะกันวันนั้น ปรากฏว่าได้มาพักที่หอเดียวกันหมดเลย นั่นก็คือป้อมอัศวิน แถมฉันยังต้องพักห้องเดียวกับลูคัสอีก ท่าทางจะมีแต่เรื่องวุ่นๆ ไม่ใช่น้อยแฮะ ชีวิตในเอดินเบิร์กเนี่ย
XX/XX/XX
จนกระทั่งบัดนี้ยังไม่อยากเชื่อเลยว่ามันเป็นไปได้ยังไงกัน แต่มันก็เป็นไปแล้ว ฉัน ลูคัส โรเวน ชิวาส โซมาเนีย กลายเป็นเพื่อนสนิทกันไปแล้ว จริงๆ ฉันก็ไม่ได้อยากไปรวมกลุ่มกับพวกนั้นด้วยเท่าไหร่หรอกนะ เพราะฉันก็ไม่ค่อยจะชอบคุยกับใคร แต่พวกนั้นสิ วันๆ ก็เข้ามาคุยนู่นถามนี่ จุ้นจ้านวุ่นวาย ไอ้ลูคัสก็เกาะเป็นตังเมไม่เปลี่ยนเลย น่าเบื่อจริงๆ
XX/XX/XX
พวกรุ่นพี่จบไปแล้ว ทำให้ตำแหน่งของป้อมว่างลง ก็เลยมีการจัดแข่งขันหาผู้มาสวมตำแหน่งแทน โดยจะเป็นการเลือกตำแหน่งใหม่ทั้งหมด ขณะที่ฉันยังไม่รู้จะเลือกตำแหน่งไหนดีเพราะมันไม่ได้น่าสนใจเลยสักอย่าง (ถ้าไม่ต้องเลือกเลยได้จะดีมากๆ) ไอ้ลูคัสมันก็ดันลงไปให้ฉันเป็นผู้คุมกฎแล้วนี่เป็นไงล่ะ ดันได้เป็นจริงๆ ซะด้วย กลายเป็นว่าสี่ผู้คุมกฎก็มีฉัน ลูคัส โซมาเนีย แล้วก็ชิวาส มีแต่คนกันเองทั้งนั้นเลยแฮะ โรเวนก็ได้ตำแหน่งด้วยแต่รู้สึกจะเลือกตำแหน่งต่ำไปหน่อยแฮะ เป็นสิบสองผู้พิทักษ์ป้อมเนี่ย
XX/XX/XX
ง่า... หลายปีผ่านไป จากที่โรเวนเป็นสิบสองผู้พิทักษ์ป้อม ก็กลับกลายมาเป็นเสนาธิการฝ่ายซ้ายไปซะแล้ว กลายเป็นว่าเราสี่คนต้องขึ้นตรงต่อโรเวนเลย หุๆ จริงสิ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้สึกไว้ใจคนพวกนี้อย่างบอกไม่ถูก สนิทใจ เชื่อใจ โดยเฉพาะกับไอ้ซาตานบ้าเลือดลูคัสนั่น ไม่ค่อยจะเห็นมันบ้าคลั่งมานานแล้ว ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องกังวลอีก
===================
“อืม...” เสียงครางเบาๆ ให้คนที่กำลังลอบอ่านอยู่รู้ว่าคนหลับกำลังจะตื่น จึงรีบเก็บไดอารี่นั่นไว้ที่เดิมทันที แล้วกลับมานั่งเต๊ะท่าดื่มชาตามฟอร์ม
“ตื่นแล้วหรือ ลอรี่” คำทักที่ชวนให้หงุดหงิดใจ แม้จะเพิ่งตื่น แต่ก็ยังมีสติพอจะขว้างกริชสีเงินใส่คนตรงหน้า
“อยากตายนักหรือไงกันลูคัส” ลอเรนซ์ค่อยขยับลุกขึ้นนั่ง ก็เห็นเพื่อนตรงหน้านั่งดื่มชาไปยิ้มไปอย่างอารมณ์ดี
และเมื่อสติกลับมาครบก็จำได้ว่าตนวางไดอารี่ทิ้งไว้บนโต๊ะเลยรีบคว้าหมับมากอดไว้ทันที
“นี่นายยุ่งกับมันหรือเปล่า” ลอเรนซ์ถาม นัยน์ตาสีอเมธิสต์จ้องอย่างไม่ไว้ใจ
ลูคัสหัวเราะเบาๆ แล้วยักไหล่
“ของสำคัญนักหรือไง กอดแน่นเชียว”
“ไม่ยุ่งก็ดีแล้ว...” ลอเรนซ์ทำหน้ามุ่ย ยัดสมุดลงเสื้อแล้วเอื้อมไปหยิบน้ำชาของลูคัสมาดื่ม สงบอารมณ์
จะให้ยุ่งได้ไงล่ะ...
เกิดมันได้อ่านก็ได้ใจพอดี...
ฉีกหน้านั้นทิ้งซะดีไหมนี่...
===================
XX/XX/XX
ห้าปีแล้วที่ได้รู้จักกับลูคัส เวลามันผ่านไปรวดเร็วจริงๆ
ใช่... มันยังคงทำตัวน่ารำคาญเหมือนเดิม
ยังเรียกฉันว่าลอรี่ให้ฉันต้องขว้างมีดใส่มันทุกครั้ง...
แต่ถึงอย่างนั้น... ฉันกลับรู้สึกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของฉัน...
หลายคนเห็นนักบวชเป็นแสงสว่าง...
และเมื่อพูดถึงซาตานก็จะนึกถึงความมืด...
สมดุลแห่งธรรมชาติ ความมืดจะอยู่เคียงข้างกับแสงสว่างเสมอ...
เปรียบเหมือนลูคัสกับฉัน...
ไม่รู้เหมือนกันว่าหมอนั่นกลายมาเป็นสิ่งสำคัญไปตั้งแต่เมื่อไหร่
ตอนนี้ ฉันรู้แต่เพียงว่า...
ฉันยินดีจะให้นายอยู่เคียงข้างฉันตลอดไป...
ลูคัส ซาโดเรีย
ผลงานอื่นๆ ของ จอมโจรเด็กสีฟ้า ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ จอมโจรเด็กสีฟ้า
ความคิดเห็น