ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Going Crazy : เฮ้ย! นี่ผมชอบผู้ชาย : HaeEun (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.ย. 52


    ตอนที่ 1

    “ดงแฮ!! นายทำบ้าอะไรน่ะ!!”

    ผมตกใจมองมือขวาของดงแฮที่กำลังมีเลือดไหลออกมา.... แล้วทรุดลงไปหาเจ้าคนที่ตอนนี้เห็นจะบ้าไปแล้ว!!

    “นี่นายทำแบบนี้ทำไม” ไม่มีคำตอบจากดงแฮ มันยังคงตาลอยๆ มองไปที่ไหนไม่รู้ นี่มันได้ยินผมมั๊ยเนี๊ย!!! เงยหน้ามองกระจกเงาบานใหญ่.. โอ้ว!! พระเจ้า!!! คิดดูนะครับกระจกในห้องน้ำกว้างเกือบเมตรมีรอยแตกแบบยุบๆ ตรงกลาง แสดงว่ามันคงชกแรงมาก

    “ป่ะ! ไปหาหมอ” ผมพูดอย่างนี้ เพราะเห็นท่าไม่ดี ก็มันไม่ตอบสนองผมเลยครับ ไม่รู้เป็นอะไร... ใครว่าอะไรมันรึเปล่า... ชกกระจกซะจนมือพังยับขนาดนี้... แล้วยังอยู่ในอาการเหม่อลอยไม่รับรู้อะไร

    ผมประคองให้ไอ้ทึ่มนี่ลุกขึ้น แล้วพามันเดินออกไป... พอดีกับที่พี่อิทึกกับพี่คังอินเดินมา

    “เฮ้ย!!! ดงแฮเป็นอะไรน่ะฮยอกแจ” พี่อิทึกมองที่มือดงแฮแบบตกใจเอามาก

    “เออ!! เป็นอะไรวะดงแฮ” พี่คังอินมองแผลแล้วมองหน้าดงแฮ ถามด้วยความตกใจอีกเช่นกัน แต่น้อยกว่าพี่อิทึกหลายระดับ... ถึงอย่างนั้นก็อย่าหวังว่าจะได้คำตอบจากดงแฮเลยครับ

    “อย่าเพิ่งถามเลยพี่ ไม่รู้สติมันไปอยู่ไหน ไปหาหมอก่อนเถอะ” ผมพูดไปอย่างร้อนใจ

    “เออ! ไปๆๆ เฮ๊ย! คังอินไปเอารถออกสิ รถนายน่ะ”

    “โอเคๆ” พี่คังอินวิ่งไปเอากุญแจรถ ผมกับพี่อิทึกก็พยุงดงแฮออกไปรอ คนอื่นๆ ไม่รู้หายไปไหนหมด เหลือกันอยู่แค่ 4 คน

    ระหว่างทางดงแฮก็ยังไม่ยอมพูดกับใคร เอาแต่นั่งเงียบ ตาลอยเหมือนคนเสียสติ ดีที่ผมเอาผ้าพันห้ามเลือดที่มือมันไว้หลวมๆ แต่ว่าตอนนี้เลือดเริ่มจะซึมออกมาจนมองเห็นสีแดงๆ บนผ้าแล้วอ่ะ

    ผมก็ใจเสียสิครับ อยู่ดีๆ ดงแฮก็เป็นแบบนี้ ทั้งๆ ที่ไม่มีวี่แววมาก่อน ถ้ามันเป็นบ้าไปจริงๆ แล้วผมจะทำยังไงล่ะครับ

    ก็ผมมีมันเป็นเพื่อนรักเพื่อนแค้นมาตั้งหลายปี ไม่มีมันเหมือนชีวิตขาดอะไรไป แรกๆ ก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่ตั้งแต่ย้ายมาอยู่บ้านเดียวกันความสนิทสนมที่เดิมก็มากอยู่แล้ว สำหรับผมมันเพิ่มขึ้นมาก เมื่อก่อนสมัยเรียนมัธยมอยู่ห้องเดียวกัน เลิกเรียนก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันมันก็ธรรมดา แต่พอเรียนมหาลัย ได้ย้ายมาอยู่ด้วยกันตอนปี 2  ตอนเรียนไม่ได้เจอกัน เพราะเรียนคนละคณะ แต่กลับบ้านมาเจอกัน มันก็เป็นอีกแบบหนึ่ง เรื่องที่คุยกันมันก็ต่างไป เอาเป็นว่ามันเป็นเพื่อนรักผมแล้วกันครับ ตอนนี้ผมกับมันกำลังจะเรียนปี 4 แต่ปิดเทอมอยู่ก็เลยเปรียบเสมือนนักศึกษาที่เพิ่งจบปี 3 หมาดๆ ที่กำลังรอคอยเวลาเริงร่าเมื่อภาคการศึกษาใหม่มาถึง ก็รอน้องใหม่ สดใสๆ ที่จะมาสร้างความชื่นช่ำหัวใจให้ชีวิตไงล่ะครับ

    “ดงแฮ พูดบ้างสิ ทำแบบนี้ฉันใจไม่ดีนะ” ผมจับไหล่ดงแฮเขย่าเบาๆ

    ไม่มีเสียงตอบกลับมา เฮ้อ!!! ผมจึงคิดย้อนกลับไปว่าอะไรทำให้ดงแฮทำแบบนี้ แล้วตอนนี้ก็ทำยังกับเป็นคนไข้โรคจิตโรคซึมเศร้าไปแล้ว ไอ้บ้านี่มันบ้าอะไรของมันวะเนี่ย !! รู้มั๊ย...ว่าคนเขาเป็นห่วง

    จะว่าไป...เมื่อวานดงแฮดูหนังทั้งวัน พอออกมาจากห้องตัวเองก็มานั่งดูทีวีที่ห้องนั่งเล่น แต่เรียกว่าเป็นที่สุมหัวของบ้านมากกว่า

    ผมเดินเข้าไปทักทายมันตอนเย็นๆ มันก็พูดกับผม...แบบลอยๆ

    “นายว่าฉันมัวทำแป๊ะอะไรอยู่...ตั้ง 20 กว่าปีวะฮยอก!”

    “เป็นบ้าอะไรอีกล่ะ” เป็นเพื่อนที่ดีมั๊ยละครับ

    “เออ! ตลอดชีวิต 20 ปีที่ผ่านมาของฉัน ฉันมัวแต่บ้าอยู่ไง” มันทำหัวเสียใส่ผม แล้วเดินเข้าห้องไปเลย

    เวลาอาหารเย็นก็ไม่ออกมากินข้าว

    “มันกำลังอินกับหนังอยู่ ฉันเรียกแล้ว แต่คงไม่เข้าถึงโสตประสาทที่จะรับรู้ของมัน เลยเดินออกมาเนี๊ย” พี่ชินดงรูมเมทดงแฮแถลงเหตุการณ์ในห้องให้สมาชิกในบ้านฟัง แล้วเดินเข้ามานั่งลงที่ประจำตัวเอง เราเอาโต๊ะกินข้าวมาไว้ในห้องนั่งเล่นสุดกว้างขวางครับ เอาไว้หลังโซฟา หน้าทีวีพอดี เพราะควาดคิดนี้มีการลงมติและได้คะแนนเป็นเอกฉันท์ ก็เนื่องจากหลายคนชอบกินข้าวไปดูทีวีไปนั่นแหล่ะ

    “มันดูหนังอะไรวะ เห็นเช่ามาเยอะแยะ” พี่ทึกถาม

    “รึว่าดงแฮเป็นโรคมูวี่ลิซึ่ม แบบว่า คิดว่าตัวเองเป็นตัวละครในหนังไปแล้วอ่ะ” พี่ฮีชอลพูดออกแนวบ้าจินตนาการเกินคนที่กำลังถูกพูดถึงไปแล้ว ตาโตๆ ของเฮียแกบอกไม่ได้หรอกครับว่าคิดแบบนั้นจริงรึกำลังพูดเล่นอยู่

    “มั่วแล้วพี่ ดงแฮมันแค่ดูหนัง ไม่ได้มาห้อยโหนหลังคาเป็นสไปเดอร์แมน และก็ไม่ได้ลุกมาใส่ชุดดำซิ่งมอไซค์ยามวิกาลเหมือนพี่คริสเตียน เบลเป็นแบทแมนซะหน่อย” พี่คังอินแย้งเฮียฮีชอลอย่างสนุกปาก ตามด้วยเสียงหัวเราะของพวกผม

    กินข้าวเสร็จก็สุมหัว พร้อมหน้าพร้อมตาอยู่หน้าทีวี แน่นอนครับยกเว้นดงแฮ แรกๆ ก็คุยกันเครียดๆ เรื่องดงแฮ แต่เริ่มออกแนวล้อเลียนจนเป็นเรื่องตลกไปได้ ไม่นานก็มีหัวข้อสนทนาอื่นมาแทนจนลืมเรื่องนี้ไป ไม่ปฏิเสธครับว่าผมก็เป็นกับเขาด้วย ยิ่งเรื่องบ้าๆ ไร้สาระยิ่งคุยกันได้ไม่เลิก นี่ละครับชีวิตชายโสดที่หาแก่นสารไม่ได้ จนเมื่อเช้าผมตื่นมาทุกคนก็หายไปไหนหมดไม่รู้ วันหยุดแท้ๆ รึว่า เขาไปหาแก่นสารให้ชีวิตกัน!!!

    ก็เหลือแต่ที่เห็นนั่งอยู่ในรถตอนนี้แหละครับ

    หันมาหาดงแฮ ก็นั่งคอตกอยู่ ไม่รู้วิญญาณออกจากร่างไปแล้วรึเปล่า เป็นอะไรของมันเนี๊ย! จนถึงตอนนี้ ผมพยายามถามมัน พูดกับมันเท่าไหร่มันก็ไม่ตอบ

    “ถึงแล้ว” พี่อิทึกเปิดประตูลงไป แล้วมาช่วยผมประคองดงแฮ

    ที่จริงมันก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากมายหรอกครับ แค่มือเจ็บไกลหัวใจเยอะ แต่จิตใจมันนี่สิน่าเป็นห่วง

     

    “ฉันว่าฉันโทรบอกฮันกยองดีกว่า” ระหว่างที่เราสามคนรอดงแฮทำแผล พี่ทึกก็หยิบโทรศัพท์มากดเบอร์พี่ฮันกยองแล้วก็คุยกันสองสามประโยค

    ดงแฮกับพี่ฮันกยองเป็นพี่คนสนิทของดงแฮครับ เฮียฮันแกชวนมาอยู่ด้วยเพราะอยู่ชมรมเดียวกันไปค่ายด้วยกัน นับถือกันเป็นพี่เป็นน้องเพราะดงแฮช่วยชีวิตเฮียตอนเลื่อนตกหน้าผาตอนเดินป่า พอดงแฮมีเรื่องกับพวกต่างคณะที่เขม่นกันอยู่ก็ได้เฮียฮันนี่แหละช่วย

    พอวันที่ผมย้ายมาอยู่บ้านพี่ทึกวันแรกก็เห็นดงแฮนอนกระดิกเท้าดูทีวีอยู่ โลกมันกลมครับ

    ตอนนี้ผมยังไม่มีกะใจจะทำอะไร เพื่อนผมมันเป็นอะไรของมัน ไม่ตอบสนองใดๆ แบบนั้น มันจะบ้ารึเปล่า เป็นจิตเสื่อมไปแล้วรึเปล่าเพื่อนตรู!! พอดีกับหมอเดินออกมา พวกผมก็กรูกันเข้าไปถาม

    “แผลไม่เป็นไรหรอกครับ ทำแผลแล้ว แต่หมอต้องให้เพื่อนคุณอยู่ก่อนเพื่อสังเกตอาการทางจิต”

    อ๊ากกกก!!! อาการทางจิต อย่างที่กังวนใจอยู่เลย เพื่อนผมจะเป็นบ้าไปได้ง่ายๆ อย่างนี้ได้ไง!! พี่สองคนที่ยืนข้างผมก็ตกใจไม่แพ้กัน

    “คนไข้ไม่ตอบสนอง แถมยังมีพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง ถ้าผลชัดเจนแล้วเขาอาจต้องอยู่ในความดูแลของจิตแพทย์สักระยะหนึ่ง”

    “มันเกิดจากอะไรหรือครับหมอ” พี่คังอินถามขึ้น เป็นคำถามเดียวกับที่ผมกำลังคิดอยู่เลยครับ

    “ผมต้องถามพวกคุณแล้วล่ะ ตอนนี้หมอไม่มีข้อมูลชี้สาเหตุ อาจมีเหตุการณ์อะไรที่กระทบต่อจิตใจเขาถึงขั้นยอมรับไม่ได้ รู้เพียงว่าเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นมาจากสภาวะจิตใจไม่ปกติ ซึ่งคงต้องให้เวลาวินิจฉัยต่อไป ช่วงนี้ต้องให้คนไข้อยู่ในความดูแลของแพทย์และพยาบาลอย่างใกล้ชิดครับ”

    .

    .

    .

    .

     

     

     

    กลับมาถึงบ้าน ทุกคนนั่งหน้าสลอนกับครบทีมครับ เพราะพี่อีทึกบอกว่าดงแฮแค่เจ็บที่มือ ไม่ได้เป็นอะไรมาก จึงบอกว่าไม่ให้ตามไปโรง’บาลก็ได้

    “อ้าว!! แล้วไหนล่ะ ดงแฮ” พี่เยซองเหลือกตาถาม ผมว่าพวกพี่ๆ น้องๆ เขาคงนั่งรอกันนานแล้วล่ะครับ

    ลืมบอกไปครับ ว่าพี่อิทึกเป็นเจ้าของบ้านหลังใหญ่นี้

    พี่อีทึกส่ายหน้า แล้วเดินไปนั่งลงตรงที่ๆ ว่าง เขาคงว่างไว้ให้พี่แกนั่นแหละ

    “ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะพี่อีทึก ดงแฮมันเป็นอะไร” ดูก็รู้ว่าชีวอนมันเป็นห่วงเพื่อนรักมันแค่ไหน คิดแล้วเคืองเหมือนกันนะครับ ช่วงหลังดงแฮมันปันใจไปให้ชีวอน มันสนิทกันเพราะเรียนด้วยกัน ยิ่งทำโปรเจคด้วยกัน อ่านการ์ตูนแนวเดียวกัน แถมยังบ้าแมนยูเหมือนกัน มันสองคนก็สนิทกันชนิดไม่ลืมหูลืมตา ที่จริงเหตุผลที่มันสนิทกันอาจไม่ใช่แค่นี้นะครับ เพราะที่บอกไปน่ะ ผมคิดเอง !!!

    ผมเคืองที่มันแย่งตำแหน่งเพื่อนสนิทหมายเลขหนึ่งของผมไป

    ที่ผมว่าไปแบบนั้นที่จริงไม่มีอะไรหรอกครับ ปันจงปันใจก็ว่าไปให้ตลกอย่างนั้นแหละ

    “ดงแฮเป็นอะไรไม่รู้ ไม่ยอมคุยกับใคร หมอบอกว่าต้องอยู่ในความดูแลของจิตแพทย์” พี่อิทึกเริ่มชี้แจง ให้สมาชิกในบ้านฟัง

    “จิตแพทย์!!” หลายๆ คนร้องขึ้นพร้อมกัน

    “อย่าบอกนะว่า...ดงแฮมันเป็นโรคจิตไปแล้วอ่ะ” หน้าพี่ฮีชอลออกแววตกใจ ไม่อยากเชื่อ...แต่ก็กำลังเชื่อ!!! พี่ฮีชอลเป็นเพื่อนพี่ทึกครับ เรียนมหาลัยด้วยกัน แต่ตอนนี้พี่ทึกกับพี่ฮีชอลเรียนจบแล้ว ทำงานแล้วครับ

    ผมก็อึ้งกินเหมือนกันครับ อึ้งตั้งแต่ตอนเข้าไปดูดงแฮแล้ว มันไม่สนใจใครเลย เหมือนมันบ้าไปแล้วจริงๆ ไม่อยากเชื่อครับ เมื่อวานมันยังค้อนให้ผมอยู่เลย มันแกล้งรึเปล่า?? แต่มันชกกระจกซะมือโชกเลือด ถ้าจะแกล้งทำเรียกร้องความสนใจจากผม...มันก็เกินไป ซึ่งผมก็ตัดประเด็นนี้ทิ้งไปเพราะไม่ได้คิดว่าตัวเองจะสำคัญอะไรขนาดนั้น ผมเดินคอตกออกมาจากห้องคุณหมอพร้อมกับพี่อีทึกพี่คังอิน จิตใจห่อเหี่ยวครับ เพื่อนรักผมทั้งคน

    “เราจะทำไงดีพี่ จะบอกพ่อแม่ดงแฮมั๊ย หรือว่าจะรอดูอาการก่อน เดี๋ยวแม่ดงแอตกใจ ไม่เป็นลมล้มไปเลยเหรอ ลูกชายเป็นแบบนี้อ่ะ” พี่คังอินเสนอความคิดอย่างสร้างสรรค์ มองดูหน้าแกก็คงเป็นห่วงดงแฮอยู่ไม่น้อยครับ ก็เขาเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน เรียนคณะเดียวกันอ่ะนะ

    “ใจเย็นๆ ครับพี่ ไม่กี่วันดงแฮก็ต้องหาย ผมไม่เห็นว่าจะมีอะไรกระทบใจมันอย่างที่หมอว่าเลย” เป็นไงล่ะครับอดีตเพื่อนสนิทอันดับหนึ่งของดงแฮ แม้จะห่างๆ กันแต่ก็คิดถึงมันอยู่ตลอดเวลา!! แสดงความคิดเห็นยังกับว่าเพื่อนมันบ้าเพราะนอนดึกอย่างไงอย่างงั้น เดี๋ยวพอนอนเยอะๆ ก็หายเองแหละ!!!

    “เยซอง ไปดูซิมันเช่าหนังอะไรมาดู” พี่อิทึกสั่งเสร็จ พี่เยซองกับพี่ชินดงก็เดินเข้าไปในห้อง ถือหนังแผ่นเป็นตั้งออกมา

    “โหพี่ มีทั้งหนังเก่าสมัยขาวดำยันหนังใหม่ล่าสุดเพิ่งลาโรง แต่ละเรื่องงี๊โรคจิตติสแตกทั้งนั้นเลยพี่” พี่เยซองพูดเสียงดังเซอร์ราวน์ชนิดทีมพากย์มาตรฐานวงการภาพยนตร์มาเอง

    “เห็นมั๊ยฉันบอกแล้ว โรคชนิดใหม่ ที่ค้นพบโดยคิมฮีชอล... มูวี่ลิซึ่ม!!” พี่ฮีชอลแกพูดอย่างภาคภูมิใจ ตกลงมีใครห่วงดงแฮที่มันกำลังจะบ้าไหมนี่

    “สรุปคือดงแฮอาการไม่ได้หน้าเป็นห่วงจนเข้าขั้นเสียสติใช่มั๊ยครับ” เสียงนุ่มของคิบอมดังขึ้น ไอ้บอมน้องรักมันเป็นห่วงพี่คนสนิทของมันครับ

    คิบอมนี่เป็นลูกพี่ลูกน้องพี่อิทึก เรียนปีเดียวกับผม แต่มันเรียนเร็วไปปีนึง ตอนแรกที่เข้ามาอยู่พี่ทึกบอกคิบอมเรียกทุกคนว่าพี่ยกเว้นรยออุกกับคยูฮยอนที่เรียกชื่อเฉยๆ ได้ แต่พอสนิทกันใครที่มันไม่อยากเรียกพี่มันก็ไม่เรียกครับ

    เรื่องความเป็นมาของสมาชิกในบ้านถ้าให้เล่ามันยาวครับ เอาไว้ว่างๆ จะเล่าให้ฟัง

    “เท่าทีดู ดงแฮมันก็เหม่อๆ” พี่ทึกตอบ หน้าแกก็ยังออกแววกังวน พี่อิทึกดีมากนะครับ เป็นเหมือนพ่อในบ้านประมาณนั้น คิดดูสิครับชวนมนุษย์ที่ไม่ธรรมดามาอยู่บ้านด้วยตั้ง 12 คน ใจกว้างสุดๆ เอาเป็นว่ากว้างอย่างกะมหาสมุทรแอตแลนติกแล้วกันครับ ในความดีก็มีมุมที่เยือกเย็นน่ากลัว ตอนนั้นก็ไม่มีใครกล้าหือกับพี่แกแล้วครับ

    “เฮ้ย!!! อิทึก ดงแฮเป็นไงบ้างวะ” พี่ฮันกยองเพิ่งกลับมาเหรอเนี๊ย ผมก็ไม่ทันได้สังเกต รีบร้อนหืดขึ้นคอมาเลยนะเฮีย

    “กำลังคุยกันอยู่ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ไปดูดงแฮกัน ไปกันทั้งบ้านนี่แหละ เผื่อเห็นพี่เห็นเพื่อนแล้วสติมันจะกลับมา”

    ไม่มีเสียงตอบรับให้พี่อิทึก แต่ทุกคนพยักหน้าตามกัน

    แต่ฮยอกแจไม่ไหวแล้วครับ ห่วงเพื่อนเป็นบ้า เฮ้อ!! คิดหนักแล้วง่วง!!!! ไปนอนก่อนดีกว่าครับ!!!!!

    .

    .

    .

    .

    พวกเราตื่นแต่เช้าแต่งตัวจนเรียบร้อยทุกคน ก็วันนี้วันอาทิตย์ เป็นที่เข้าใจว่าวันนี้ทุกคนว่าง!!!

    จะไปโรงพยาบาลกันครับ

    พอถึงในโรงบาล ก็เดินเกาะกลุ่มกันเข้าไปเป็นขโยง 12 คน ผมล่ะกลัวคนเขาจะแตกตื่นกัน ดูแต่ละคนสิครับ แต่งตัวยังกะมาเฟีย นักฆ่า รึไม่แน่!!! อาจถูกมองว่าเป็นจิ๊กโก๋!!! แจ็คเก็ต แว่นดำกันแถบทุกคน มันจะใส่มาทำไมกันไม่รู้ ผมก็ไม่น้อยหน้าครับ แว่นกันแดดยี่ห้อดัง ที่คิดว่าเท่ห์ที่สุดแล้ว ยิ่งผมสวมมันยิ่งดูมีราคา!!!!! 55555

    ยังไปไม่ถึงตัวดงแฮ เราก็ยกขโยงกันเข้าไปคุยกับคุณหมอ ชื่ออะไรผมก็จำไม่ได้

    “จากข้อมูลที่คุณให้มา คุณลีดงแฮอาจป่วยเป็นโรตจิตชนิดอารมณ์แปรปรวน หรืออาจจะแค่ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า.... คืออารมณ์เขาจะเปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมา ในช่วงมองโลกในแง่ดีก็จะสนุกสนานครื้นเครง พลังงานสูง กระตือรือร้น แต่ในช่วงที่มองโลกในแง่ร้ายก็จะมีอารมณ์โทมนัสซึมเศร้า พลังงานต่ำ มีความกังวน ตลอดทั้งรู้สึกตัวเองไร้ประโยชน์ ซึ่งอารมณ์แต่ละช่วงมักไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ภายนอก ตอนนี้หมอให้ยาไปก่อน ถ้าคนไข้ไม่มีอะไรกระทบจิตใจรุนแรงก็อาจไม่ใช่แค่ภาวะซึมเศร้า แต่อาจมีความผิดปกติที่สารสื่อประสาท ถ้าจะเยี่ยมก็ต้องให้หมอและพยาบาลอยู่ด้วยครับ”

    ผมฟังแล้วก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่

    สักพักพวกเราก็ยกขโยงกันอีกครับ นั่นไง ดงแฮนั่งเหม่อมองฟ้าอยู่ข้างหน้าต่าง

    พอพวกเราเดินเข้าไป มันก็มองเหมือนไม่รู้จักใครเลย เจ็บปวดครับ ทำไมสายตามันว่างเปล่าได้ขนาดนี้... ผมคงทำใจไม่ได้หรอกครับที่ต้องยอมรับว่าดงแฮป่วยแบบนี้

    ใครๆ ถามอะไรไปก็ไม่ได้รับคำตอบ คิบอมนั่งมองดงแฮนิ่งๆ อยู่ใกล้ๆ มันไม่พูดอะไรเลยนั่งเฉยๆ คงรับไม่ได้เหมือนผม ผมก็ไม่ถามอะไรมันครับ เมื่อวานผมพูดกับมันตลอดทางจนเหนื่อย

    สักพักทุกคนก็หมดปัญญา เดินเรียงแถวคอตกกันออกไป

    ผมคนสุดท้าย ก่อนไปก็ไม่ลืมจะหันมามองลามันหน่อย

    แต่!!!

    นั่นครับ!!!

     

    ดงแฮมันมองผม!!!!

     

     

    เหมือนอ้อนวอนให้อยู่ก่อน ไม่ใช่แววตาว่างเปล่าแล้วครับ

    ตื่นเต้น ตื่นเต้น พอก้าวเท้าออกมาผมก็ร้องบอกพี่หัวหน้าแก๊งมาเฟีย!!!

    “พี่ทึก ผมขออยู่ก่อนนะ กลับกันเลย” เรื่องอะไรผมจะบอกล่ะ ว่าดงแฮมองผมแบบนั้น ผมต้องการเป็นคนสำคัญคนเดียว!!! คิดแล้วก็กลัวจะเป็นโรคจิตเหมือนไอ้คนในห้องไปอีกคน

    ผมได้ยินหลายคนพูดคุยกันแต่จับใจความไม่ได้ เห็นพี่อิทึกโบกมือให้ แล้วยกขโยงกันกลับไป

     

    ผมรีบเปิดประตูเข้ามาในห้อง ก็ต้องแปลกใจ ไอ้คนบ้า แววตาเหม่อลอยเมื่อกี๊ มันยืนยิ้มอยู่ข้างเตียง

    ผมยังไม่ทันจะปิดปากพูดอะไร มันก็เดินเข้ามาดึงผมเข้าไปกอด รู้สึกดีครับ!! ไม่ถูกมันกอดซะนาน
    เฮ๊ย! ไหนว่ามันบ้า นี่แกไม่ได้บ้าแล้วใช่มั๊ยไอ้ปลาโรคจิต!!!

    จากนั้นไอ้โรคจิตมันก็หมุนตัว แล้วผลักผมลงไปบนเตียง มองผมตาเยิ้ม

    "เฮ้ย!! อย่าทำอะไรบ้าๆ นะว้อย ไม่งั้นฉันแหกปากร้องจริงด้วย" แต่ผมจะเอาปากที่ไหนร้องละครับ มันก้มลงจูบผมแบบไม่ทันได้ตั้งตัว

    รึว่ามันบ้าจนหน้ามืดไปแล้ว!!!

    แต่เรื่องอะไรจะยอม ผมยันมันไปสุดแรง ตัวเองก็ขึ้นมานั่งหอบอยู่บนเตียง

    "เป็นบ้าอะไรของนาย นี่นายบ้าจริงๆ รึกำลังแกล้งฉันอยู่วะ"

    คราวนี้มันเดินเข้ามา ทำหน้าตาหน้าสงสาร มือหนึงก็ประคองมือข้างที่พันผ้าก็อตเอาไว้ เหมือนเจ็บปวดซะเหลือเกิน
    แถมยังทำนำตาคลอมานั่งข้างๆ

    "เป็นอะไรอีกล่ะ เจ็บแผลเหรอ" เห็นหน้าแบบนี้แล้วใจไม่ดีครับ อดห่วงไม่ได้ เลยขยับไปนั่งใกล้ๆ
    เท่านั้นล่ะครับมันก็หันมากอดผม พอจะขยับออกมา มันก็ลากเข้าไปกอดแน่นยิ่งขึ้น

    "อยู่นี่ล่ะ อย่าเพิ่งไปไหน ขอฉันกอดหน่อย" โอ้ว!! เสียงไอ้ปลาโรคจิต ไม่ได้ยินซะนาน นี่เสียงแกมีอิทธิพลกับฉันขนาดนี้เลยเหรอเนี๊ย ได้ยินแล้วรู้สึกดีเป็นบ้า

    แต่เดี๋ยวก่อนนะ พูดแบบนี้ได้ แสดงว่าไม่ได้เป็นโรคจิตแปรปรวนอะไรนั่นใช่มั๊ยเนี๊ย

    "ตกลงว่านายแกล้งบ้าใช่มั๊ย"

    "คนอื่นเขาห่วงนายจะแย่แล้ว"

    ตอนนั้นผมก็รู้สึกได้ว่า ดงแฮมันล้วงมือเข้าไปในเสื้อผม แล้ววลูบไล้หลังผมอยู่

    อย่าเว้ย!! แต่ไม่เข้าใจทำไมถึงได้แค่ร้องประท้วงในใจ

    รึว่าสารสื่อประสาทที่หมอว่า มันผิดปกติจริงๆ
    ฮอร์โมนเพศมันไหลหลั่งเกินจำเป็น จนความต้องการทางเพศพรั่งพรู ซะจนหื่นไม่เลือกตัวผู้ตัวเมียอย่างนี้!!!!!

    "อย่านะโว้ย!! ถ้ายังไม่อามือออกมา พ่อจะไม่ย่างกรายมาเยี่ยมอีกเลย" ขู่เสียงเข้ม และก็ได้ผล มันเอามือออกมา แต่จมูกมันกลับมาซุกไซร้แถวต้นคอ ทำเอาสยิวไปเลย

    "นี่พูดภาษาคนไม่รู้เรื่องใช่มั๊ย" เอาเสียงนิ่งเข้าข่ม อย่าไปเผลอใจฮยอกแจเอ๋ย!

    "ก็บอกให้เอามือออก ก็เอาออกแล้วไง" เสียงมันกระซิบอยู่ข้างหูผม ได้ยินเสียงมันที รู้สึกตัวเองอ่อนระทวย!! ท่าจะบ้าไปแล้วฮยอกแจ ไม่ได้ ต้องเด็ดขาด

    ผมผลักไอ้คนโรคจิตไปสุดแรง คราวนี้ถึงแกจะเจ็บจริงก็จะไม่แล!!!

    "โอ๊ย!!! จะฆ่ากันให้ตายเลยรึไง" ไอ้บ้ากามพูดพร้อมลูบหัวที่เมื่อกี๊มันกระเด็นไปชนผนัง

    -----------------------------------


    ตอนเต็มลงแล้วนะ

    ไม่รู้จะชอบกันรึเปล่า

    อ่านกันนะคะ ดีกว่าอยู่เปล่าๆ ปลี้ๆ 5555
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×