ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    M E S S A F T E R S T O R M "

    ลำดับตอนที่ #58 : สุริยะเคียงบัลลังค์ 14

    • อัปเดตล่าสุด 8 ส.ค. 59




    ตะวันเหล่มองเลือดของเธอที่เปรอะเต็มศาลาแล้วก็ต้องเหงื่อแตก พยายามแงะมือใหญ่ให้ออกจากการปิดปากของตน มือทั้งสองข้างใช้แขนเสื้อยาวๆของตนถูกับพื้นไม้จนผ้าสีฟ้าอ่อนเลอะไปด้วยเลือดซีดๆก่อนจะถามทั้งที่ยังดูไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด “นี่เอาตามจริง? พรินซ์ที่เป็นลูกของคิงน่ะนะ”

    Huángdì (หวงตี้) คือคิงของจีน” ตงหานอธิบาย “และพรินซ์คือ Wángzǐ (หวังจื่อ) และใช่ เขาเป็นว่าที่หวงตี้คนต่อไป”

    “รัชทายาทด้วย!?” เธอหน้าเหวอหนักกว่าเก่าจนน่าขันในสายตาคนมอง ก่อนที่สีหน้านั้นมีความกังวลและหันไปหาตงหาน “แล้ว.. เขารู้ได้ไงว่านายพูดอังกฤษได้”

    “…”

    “อย่างนี้นายจะไม่โดนประหารเหรอ?”

    “…ถ้าข้าโดน เจ้าโดนด้วย และเลิกขัดพื้นไม้ได้แล้ว” คำตอบบวกคำสั่งของชายหนุ่มทำให้เธอมองอย่างไม่ค่อยพอใจที่อีกฝ่ายเปลี่ยนประเด็น จนเธอต้องถามซ้ำแต่ขยายความกว่าเดิมทั้งที่มือยังคงไม่หยุดเช็ด

    “เขาเป็นเจ้าชาย เขามีสิทธิ์สั่งประหารนายได้ มันยิ่งกว่าการเป็นกงกงอีกนะ เพราะนายบอกว่ามันผิดที่ใช้ภาษาอังกฤษ แล้วอย่างนี้....”

    “ถ้าเขาสั่งประหารข้า เขาจะคุยกับเจ้าไม่ได้”

    “ฮะ?”

    “…เขาอยากคุยกับเจ้า” ตงหานถอนหายใจ “หวังจื่ออยากคุยกับเจ้า”

    “หวังจืื่อ?”

    ดวงตาคมตวัดมามองเขม็งก่อนจะว่า “ข้าเพิ่งบอกเจ้าไปเมื่อครู่”

    “โทษที.. แต่พอดีฉันโง่และความจำสั้น...” เธอว่าพร้อมยิ้มแห้ง ก่อนจะถาม “สรุปนายจะตอบคำถามฉันได้รึยัง”

    “เจ้าลืมไปแล้วรึว่าหวังจื่อยังอยู่ที่นี่” ตงหานถอนหายใจ “และข้าบอกแล้วว่าเขาคุยกับเจ้า และเจ้าอย่าลืมว่าตอนนี้เจ้าเป็นบุรุษ”

    “เออใช่ เรื่องนั้นก็ด้วย”

    “ไว้ค่อยว่ากัน” ตงหานว่า “ถ้าคุยกันรู้เรื่องข้าจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น เพราะเขาเองก็อยากคุยกับเจ้าตรงๆมากกว่าผ่านข้า”

    ว่าจบก็หันหลังให้และยืนอยู่ทางเดินเดี่ยวเพื่อออกจากศาลากลางน้ำนี่ เธอหันไปมองชายหนุ่มตรงหน้า ยิ้มแห้งๆให้ก่อนจะก้มหัวให้เล็กน้อย เพราะตอนนี้เธอนั่งอยู่และหมดปัญญายืน มือทั้งสองข้างปัดๆขัดๆพื้นไม้ก่อนจะว่าสั้นๆ “หนีห่าว...”

    Nǐ hǎo

    จู่ๆเธอก็นึกคำหนึ่งออก ก่อนจะถามต่อ​ “หนีห่าวมา?”

    เหวินเจี้ยนดูจะแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะตอบ “Wǒ hěn hǎo.

    เหินห่าวนี่สบายดีสินะ เพราะมันไม่มีคำว่าปู้ไง... โอเคได้ศัพท์ใหม่ละ!

    “…. เห็นหน้าเหวินเจี้ยนแล้วได้คำใหม่ทันทีแต่อยู่กับตงหานไม่ได้คำอะไรเลยนอกจากรองเท้า... ซึ่งลืมไปแล้วด้วย...”

    Xiǎoyáng

    “หือ?” เมื่อได้ยินชื่อเรียกนั้นทำให้เธอนึกขึ้นได้ ก่อนจะชูขึ้นมาสองนิ้วแล้วพูด “สรุปว่าเสี่ยวหยาง? หรือหยางชุน?”

    “….Xiǎoyáng

    “แล้วหยางชุนมาจากไหน?”

    ชายหนุ่มถอนหายใจ สายตาคมนั้นเหมือนจะหันไปมองทางอื่นเล็กน้อยก่อนที่จะนั่งตรงหน้าเธอ มือใหญ่กว่ากันมือเธอไว้ให้หยุดเช็ด จนเธอพึมพำ “ตุ้ยปู้ฉี่... ฉันทำไม้นายเลอะ”

    เหวินเจี้ยนไม่ได้พูดอะไร มือข้างที่ใช้หยุดเธอเมื่อครู่เลื่อนไปสัมผัสที่น่องอย่างแผ่วเบาก่อนจะลากนิ้วไปตรงข้อเท้าแล้วว่าช้าๆ “Nǐ shòushāngle ma?

    “หนี่ช่าวชางเลอมา?” เธอทวนงงๆ แล้วมองการกระทำก่อนจะร้องอ๋อ “นายถามฉันว่าได้แผลมายังไง? รึเปล่าวะ?”

    เหวินเจี้ยนพยักหน้า ก่อนที่เธอจะชี้ไปที่ตงหานแล้วต้องเถียงกับตัวเอง “ไม่ๆ ตงหานไม่ได้ยิง ชื่ออะไรวะที่ยิงขาฉัน”

    คิ้วโก่งสวยของชายตรงหน้าขมวด ก่อนจะถอนหายใจจนตะวันงง และนั่นทำให้เธอนึกขึ้นมาได้ เธอชี้ไปที่ท้องตัวเองก่อนจะชี้กลับไปที่ชายตรงหน้า เธอเอื้อมมือไปที่หน้าผากคล้ายจะวัดไข้แต่แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่าคนตรงหน้ามีตำแหน่งอะไร เธอชะงักมือก่อนจะพึมพำ “..ตุ้ยปู้ฉี่”

    เหมือนจะเห็นอาการประหลาดใจขององค์รัชทายาทเบื้องหน้า เหวินเจี้ยนดูแปลกใจก่อนที่จะยิ้มออกมาบางๆและจับมือเธอขึ้นสัมผัสหน้าผากเขาโดยใช้หลังมือ และอุณหภูมิปกติที่เธอรับรู้ผ่านสัมผัสก็ทำให้เธออดโล่งอกไม่ได้ เธอจึงถามต่อ “แล้วแผลล่ะ?” เธอลดสายตามองต่ำไปตรงช่วงท้องที่มีบาดแผล ก่อนจะเงยมองชายตรงหน้าอีกครั้งแล้วถามเสียงเบา “เจ็บอยู่รึเปล่า?”

    เหวินเจี้ยนมองตามสายตาแล้วก็เข้าใจได้ เธอเห็นว่าเขายิ้มนิดๆและเอื้อมมือมาลูบศีรษะเธออย่างแผ่วเบาพร้อมคำสั้นๆ “Xièxiè

    เธอกะพริบตาสองสามครั้งก่อนจะยิ้มออกมา นั่นหมายความว่าไม่เจ็บแล้วสินะ พลางตอบ “เหมยซื่อ”

    ยังไงเขาก็กลับเมืองเขาโดยสวัสดิภาพ ที่สำคัญเธอไม่น่าจะเป็นห่วงจริงๆนั่นแหละ หมอหลวงคงไม่ปล่อยให้เจ้าชายของพวกเขาบาดเจ็บนานนักหรอก

    เหลือเธอเนี่ยแหละ.. เมื่อไหร่จะหาย.. คิดแล้วก็ถอนหายใจออกมาไม่ได้ ชีวิตมันคงไม่ง่ายแน่ถ้าเธอเดินไม่ได้ คงต้องยอมสงบตัวเองแล้วล่ะมั้งตะวัน...

    อยากได้ผ้าคลุมย้อนเวลา จะได้ย้อนไปก่อนที่ขาจะเจ็บ ทำไมพระเจ้าไม่ส่งอะไรมาเป็นตัวช่วยเธอบ้างเล้ยยย!!!


    เหวินเจี้ยนมองมายังแผลที่ขาของเสี่ยวหยางอีกครั้ง ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมาบนใบหน้า ดวงตามองเขม็งไปยังแผลที่เห็นบนมุมปากและซีกแก้ม เขาถามเสียงดังขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้าทำอะไรนาง”

    คล้ายเสี่ยวหยางจะมองเขาเหมือนกับถามว่าเขาพูดอะไร แต่เขาไม่ได้พูดกับนาง เขาละสายตาจากแผลมามองแผ่นหลังของ ‘พี่ชาย’ ของคนตรงหน้า ซึ่งอีกฝ่ายดูท่าจะรู้เพราะตอบกลับมาสั้นๆ “จับนาง”

    “ฐานะอะไร?”

    “คนน่าสงสัย” ใบหน้านั้นหันกลับมามองเล็กน้อยและสายตามองไปยังแผ่นหลังเล็กนั่นๆก่อนจะขยายความ “ที่กำลังปีนต้นมะพร้าวอยู่”

    “…. อะไรนะ?”

    “อย่างที่ฝ่าบาทได้ยิน” อีกฝ่ายหันกลับมาตรงๆ “นางปีนต้นมะพร้าว และบอกกระหม่อมว่าจะขึ้นไปเก็บเอาน้ำมะพร้าว”

    เขากำลังพยายามทำความเข้าใจกับประโยคนั้น นี่สรุปหลังจากไปเก็บเห็ดที่หายไปไม่กลับมาคือไปปีนต้นมะพร้าวอยู่งั้นรึ? องค์ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะถามต่อ “แล้วแผลที่ขานางมาได้อย่างไร?”

    “พระองค์คงทราบดีอยู่แล้วว่ากระหม่อมเป็นใคร” ดวงตาคมเรียวมองอย่างเรียบเฉย ซึ่งอีกฝ่ายเงียบ ตงหานถอนหายใจก่อนจะว่าต่อ

    “นางหนี องค์ชาย” เขาเว้นไปครู่แล้วอธิบายต่อด้วยรอยยิ้มคล้ายยิ้มเยาะยามที่นึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้ “นางหนีพวกเราเกือบพ้น และแผลที่น่องนั่นคนของกระหม่อมยิงสกัด ถึงอย่างนั้นคงหนีพ้นไปแล้วถ้าขึ้นม้าไม่พลาด”

    เหวินเจี้ยนมองชายตรงหน้าเขม็ง นั่นคงเป็นอย่างที่แม่ทัพหลี่รายงานเขาแน่แท้ แต่ใช่ว่าอีกฝ่ายจะสน เพราะตงหานมองตอบ “แต่นางก็เอาตัวรอดมาให้ท่านเห็นได้ ฉะนั้นโปรดอย่ามองข้าแบบนั้น และกว่าจะจับนางได้ฝั่งเราก็มีฟกช้ำเช่นกัน”

    “แล้วเหตุใดข้อเท้านางบวมเสียขนาดนั้น วิ่งหนีต่อให้เท้าพลิกก็ไม่น่าจะช้ำแบบนั้นทั้งสองข้าง”

    บุรุษตรงหน้าถอนหายใจก่อนจะถามกลับ “ฝ่าบาทคิดว่าการที่กระโดดลงมาจากกลางต้นมะพร้าวจะไม่บาดเจ็บเลยงั้นรึ? ถึงจะมีต้นไม้อื่นรองรับก็ตาม”

    “….”

    “มันอาจจะไม่บวมเช่นนั้น ถ้าไม่เป็นเพราะนางพุ่งตัวไปช่วยเด็กจนแผลช้ำเปิดอย่างที่เห็น อีกประการ ฝ่าบาทคิดรึว่าจะได้เจอกระหม่อมจริงๆกลางเมืองหลวงในเวลาเช่นนี้”

    “…ข้าก็คาดไม่ถึงว่าจะเจอเจ้า แต่ก็ไม่คิดว่าตนดูผิดในคราแรกที่เจ้าปรากฎตัว” องค์ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน ก่อนจะว่าเสียงเรียบเฉย “เจ้าได้เรื่องถึงไหนแล้ว?”

    ชายตรงหน้าเงียบไปครู่ ลุกขึ้นยืนบ้างก่อนจะมองตอบเขาตรงๆโดยไม่หลบตา แล้วว่า “กระหม่อมบอกแล้ว โปรดใช้ชีวิตตามที่ควรเป็นอย่างไร้กังวล ส่วน ‘เรื่องนั้น’ กระหม่อมจะรีบจัดการให้เร็วที่สุด”

    ตงหานเข้ามาจับแขนของเสี่ยวหยางก่อนจะจับแบกบ่าไว้ข้างหนึ่ง รู้สึกถึงกำปั้นที่ทุบมาที่หลังแต่นั่นก็ไม่ทำให้สะเทือน ชายหนุ่มมององค์รัชชายเบื้องหน้าที่มองคล้ายกับตำหนิในการกระทำนั้น แต่เขาว่าต่อพลางโค้งคำนับให้ “ขอให้ฝ่าบาททรงมีพระพลานามัยแข็งแรงพะยะค่ะ”

    “เดี๋ยว”

    ตงหานชะงักขาของตนเพื่อรอฟัง องค์ชายหนุ่มถาม “เจ้าจะอยู่อีกนานเพียงใด?”

    “ถ้าหมายถึงเมืองหลวง... กระหม่อมมั่นใจว่าฝ่าบาทคาดไว้อยู่แล้วว่าเหตุใดกระหม่อมถึงอยู่ที่นี่”

    “…ข้าขอสองวัน”

    ตงหานถึงต้องหันกลับไปมองอย่างไม่เข้าใจกับประโยคคล้ายคำขอร้องนั้น องค์ชายหนุ่มว่าต่อ “ขอสองวันให้เจ้าอยู่เมืองนี้ ไม่ใช่หัวหน้ากลุ่มหลิ่วอี้เฟย แต่เป็นพี่ชายของเสี่ยวหยาง”

    ตงหานไม่แสดงสีหน้าอะไรกับรับสั่งนั้น รู้สึกว่าสตรีที่แบกอยู่นี่ผงกหัวขึ้นมาเล็กน้อยเพราะได้ยินนามตนเอง หัวหน้ากองโจรแค่นยิ้มก่อนจะถามอย่างไม่กลัวหัวตัวเองหลุดออกจากบ่า “ฝ่าบาททรงมีพระคู่หมั้นอยู่แล้ว และกระหม่อมไม่คาดคิดว่าคนอย่างองค์ชายเหวินเจี้ยนแห่งตระกูลหยางจะยอมผิดขนบธรรมเนียมออกมาจากวังยามวิกาล”

    เหวินเจี้ยนถึงกับเหล่มองก่อนจะหัวเราะออกมาในลำคอ ก่อนจะตอบกลับ “ทำเป็นไม่รู้จักในวังไปได้ อีกประการ ตอนนี้เจ้าให้นางปลอมเป็นบุรุษ ฉะนั้น มันไม่เกี่ยวกับที่ข้ามีคู่หมั้นหรือไม่มี”

    ตงหานเลิกคิ้วกับคำแถนั่น ดวงตาคมหรี่ลงก่อนจะถามเสียงจริงจัง “ฝ่าบาทสนใจเสี่ยวหยางงั้นรึ?”

    “ถึงอย่างไรนางก็เป็นผู้ช่วยชีวิตข้า” องค์ชายหนุ่มตอบซึ่งมันดูไม่ตรงคำถามของคนฟัง แต่เหวินเจี้ยนก็ว่าต่อ “และเพราะนางทำให้ข้าลดอคติเกี่ยวกับภาษาและเรื่องค่านิยมเหล่านั้น มันอาจจะเป็นผลดีกับเจ้า”

    “….”

    “ที่สำคัญ... การสนทนาระหว่างข้ากับนางคงไม่เหมาะที่นี่”

    “หึ สามัญชนผู้เอ่ยนามขององค์รัชทายาทห้วนๆ ซ้ำยังชี้หน้า หากผู้ใดเห็นนางคงไม่พ้นโทษประหารเป็นแน่” ตงหานโค้งคำนับให้ก่อนจะว่าต่อ “กระหม่อมทูลลา ขอบพระทัยที่ช่วยรักษาและมอบยาให้นาง”

    องค์ชายหนุ่มมองตามแผ่นหลังนั้น เห็นเสี่ยวหยางที่ผงกศีรษะขึ้นมา มือป้องปากซึ่งเขาอ่านปากได้ว่า ‘ลาก่อนเหวินเจี้ยน’ พลางโบกมือและยิ้มร่าให้จนต้องยิ้มตอบ และมีคำถามหนึ่งปรากฏขึ้นมาในใจ

    เสี่ยวหยางรู้รึเปล่าว่าตัวเองอยู่กับใคร?

    เหวินเจี้ยนถอนหายใจแล้วพึมพำกับตัวเอง “ว่าข้าสนใจนาง เจ้าเองก็ไม่ต่างกันกระมัง”

    ไม่ฆ่าเสียตั้งแต่ที่พบ และดูรอยฟกช้ำบนใบหน้าคงโดนจับทรมานระดับหนึ่ง คงไม่แคล้วว่าเสี่ยวหยางเป็นเชลยแน่ แต่เชลยประเภทใดกันที่ต้องออกรับหน้าแทนจนตัวเองต้องเสี่ยง ซ้ำยังดูแลและห่วงอาการบาดเจ็บและการกระทำคำพูดของนาง อีกทั้งซื้อชุดและให้ขึ้นหลัง ที่สำคัญ

    “…เจ้าเอาจุดยืนของตัวเองมาเสี่ยงกับนางในยามที่เจ้าปรากฏตัวต่อหน้าข้า”

    ดวงตาคมเรียวสวยทอดมองไปยังสองพี่น้องกำมะลอที่ออกจากบริเวณศาลานี้ไป สีหน้าและแววตาฉายแววอาทรก่อนจะพึมพำ “เจ้าถึงกับคิดชื่อนั้นออกมาเพื่อปกป้องนาง... หยางชุนงั้นรึ”

    มุมปากขององค์ชายหนุ่มกระตุกยิ้ม ทรุดกายลงนั่งและเหม่อมองไปยังสุริยะฉายบนท้องฟ้ากระทบกับผืนน้ำระยิบระยับ พลันความทรงจำก็ผุดขึ้นมาในหัว

    “ปู่มีเรื่องหนึ่งอยากจะบอกหลาน เหวินเจี้ยน”

    “เรื่องอันใดรึท่านปู่” องค์ชายหนุ่มวัยสิบชันษาว่า ซึ่งพระอัยกาก็ลูบศีรษะหลานชายของตนพลางสั่ง

    “อย่าให้เขาตกลงสู่ความมืด” ชายอาวุโสว่า “ดูแลเขา อย่าให้ชื่อที่มีความหมายดั่งแสงในฤดูใบไม้ผลิต้องมัวหมอง เขาอ่อนโยน และไม่ได้เป็นอย่างที่ใครคิดว่าเขาเป็น”

    “พะยะค่ะ” คนอ่อนวัยว่าเสียงจริงจัง “หลานเองก็เชื่อว่าเขาไม่ได้มีนิสัยเยี่ยงนั้น ฉะนั้นท่านปู่ไม่ต้องห่วง หลานจะรักกวงชุนเท่าที่พี่น้องจะรักได้”

    มือข้างหนึ่งขององค์ชายหนุ่มยกปิดพระพักตร์ เรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นมันทำให้เขาผิดสัญญา เขาไม่สามารถดูแลกวงชุนได้ มีเพียงสัญญาเดียวที่เขารักษา เขาเชื่อในตัว ‘พระอนุชา’ ของตน

    “…ต่อให้เจ้าจะกลายเป็นฤดูอันหนาวเหน็บในสายตาคนอื่นอย่างไร หลังเหมันต์ ใบไม้ก็จะผลิดอกออกผล และแสงแรกที่อบอุ่นก็จะมาเยือน”

    “เจ้ายังคงอ่อนโยนไม่ต่างจากที่ข้าจำได้ แม้เวลาจะผ่านมาร่วมสิบปีก็ตาม มิเช่นนั้นเจ้าคงไม่ช่วยนางถึงเพียงนั้น กวงชุน...”

    ขอให้เทพเทวาจงปกปักษ์คุ้มครองคนดีเช่นเจ้าด้วย



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×