ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    M E S S A F T E R S T O R M "

    ลำดับตอนที่ #57 : สุริยะเคียงบัลลังค์ 13

    • อัปเดตล่าสุด 7 ส.ค. 59


    พระราชวังที่แทบจะคล้ายกับในซีรีย์ที่เคยดูทำให้ตะวันหันซ้ายหันขวามองอย่างตื่นเต้นทั้งที่อยู่บนหลังของตงหาน เธอตื่นเต้นจริงๆ ไอ้ขบวนนี่มันเหมือนกับขบวนเสด็จของพระมหากษตริย์ไม่มีผิด! แล้วที่ทหารมาคุยนั่นถึงแม้เธอจะฟังที่เขาพูดไม่รู้เรื่องแม้แต่ประโยคเดียว แถมยังได้รับสายตาดุๆเอาเรื่องของตงหานไปหลายรอบ และดูเหมือนการที่เธอส่ายหัวจะเป็นคำตอบที่ผิดจนทำให้อดบ่นในใจไม่ได้

    อะไรเล่า... เล่นบีบแขนเตือนแค่นั้นใครจะไปรู้ล่ะว่าไม่ให้ส่ายหน้า! ที่พยายามเนียนๆไปนี่ก็สุดๆแล้วนะ!

    เธอไม่รู้หรอกว่าเธอพยักหน้าหรือส่ายหน้ามันจะมีผลอย่างไร แต่จู่ๆที่ตงหานนั่งลงตรงหน้าเหมือนจะให้เธอขี่หลังก็ยิ่งงงจนได้รับสายตาดุๆเหมือนว่าเธอยืดยาดชักช้านั่นแหละถึงได้ลองไปเกาะ และมันก็จริงเมื่อตงหานประคองเธอขึ้นหลังแถมยังเดินตามขบวนเสด็จอีกต่างหาก ทั้งที่จะปล่อยเธอเดินเองแต่ก็ไม่ จนเอาจริงๆก็อดเขินไม่ได้

    ถ้าไม่นับตอนเด็กที่ขี่หลังพ่อแม่ เธอไม่เคยขี่หลังใครมาก่อนเลยนะโว้ย!! เขินนี่ไม่ผิดนะ!

    แต่กระนั้นเธอก็ยังคงยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี เพราะเธอยิ่งมั่นใจว่าผู้ชายโหดๆที่ลงมือกับผู้หญิงอย่างตงหานนั้นรักพวกพ้องและใจดีขนาดไหน แถมดูเหมือนจะซึนอีกต่างหาก

    อย่างกับผู้ชายในเกมจีบหนุ่มหลุดออกมาเลยแฮะ


    เสียงหัวเราะคิกคักข้างหูนั่นทำให้ชายหนุ่มที่เดินตามขบวนทหารแปลกใจ เพราะจู่ๆเสี่ยวหยางก็หัวเราะออกมาแบบไม่มีสาเหตุ แถมยังดูหันซ้ายหันขวามองนั่นนี่อย่างตื่นเต้น มีการชี้ให้เขาดูอีกต่างหาก

    ทำตัวยิ่งกว่าบ้านนอกเข้ากรุง ทั้งที่เลือดนี่แทบจะหยดเป็นทางที่เดินมา

    ดวงตาคมกริบมองกำแพงวังที่ทอดยาวสูง ข้างบนนั้นมีทหารคอยเฝ้ายามอย่างเคร่งครัด ตงหานเหลือบมองแถวหน้าขบวนที่อยู่ไม่ไกลแล้วก็ต้องถอนหายใจ เกี้ยวสีแดงสดเข้าประตูวังไปทำให้เขาหยุดตามขบวนก่อนที่นายทหารคนเดิมจะมาหาเขาพร้อมกับแสดงสีหน้าตกใจเมื่อเห็นเลือดเปรอะแขนของเขาและหยดตามทาง

    “เลือดไหลเยอะขนาดนั้นเชียวรึ?!”

    “…เขาบาดเจ็บก่อนหน้านี้แล้ว แผลแค่เปิด”

    “งั้นก็พอเหมาะ องค์ชายรับสั่งให้ข้ามาดูอาการบาดเจ็บของน้องเจ้าพอดี” มือกร้านจากการจับดาบเอื้อมไปยีศีรษะของคนที่อยู่ด้านหลังพร้อมกับยิ้มกว้างอย่างอิจฉาไม่จริงจัง “ให้ตายเถอะ องค์ชายดูท่าจะเมตตาเจ้าไม่ใช่น้อย แถมเจ้ามีพี่เอาใจใส่ดี น่าอิจฉาจริงๆไอ้หนู”

    “องค์ชายเมตตา?”

    “เจ้าเป็นนักเดินทางใช่รึเปล่า?”

    “…ใช่”

    ทหารหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะว่า “องค์ชายรับสั่งให้ไปที่ศาลาหลังวัง รับสั่งว่าอยากฟังเรื่องราวการเดินทางของพวกเจ้า เพราะคนเมืองธรรมดาไม่น่าจะมีความสามารถเยี่ยงนั้น และจะให้คนมารักษาบาดแผลที่ขาให้ น่าตกใจไหมล่ะว่าเจ้าได้เข้าเฝ้าองค์ชายเชียวนะ!! เห็นน้ำพระทัยและความเอาใจใส่ของพระองค์หรือยัง!”

    “แล้วสวนหลังวังนี่...?” ตงหานถาม

    “อา มันเป็นที่ๆองค์ชายชอบสนทนากับสามัญชนหรือทหาร บางครั้งก็เป็นที่เจรจาส่วนพระองค์ พระองค์รับสั่งให้สร้างขึ้นมาเป็นเอกเทศจากวัง ตามข้ามาสิ น้องเจ้าคงต้องรีบรักษาก่อนที่โลหิตจะไหลหมดตัว” นายทหารว่าก่อนที่จะสั่งให้คนหามเกี้ยวเดินนำไปโดยที่ไม่เข้าประตูใหญ่ด้านหน้า เดินไปเพียงครู่ก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้นานาพรรณ นายทหารที่ดูแลความสงบอยู่ยืนกันเป็นทางยาวและโค้งรับเสด็จ ศาลาไม้เนื้อดีกลางสระดอกบัวสวยดูเย็นตาและร่มรื่นเพราะความเขียวชะอุ่มรอบศาลา

    เกี้ยวสีสดถูกวางลงกลางศาลาก่อนที่ม่านลูกปัดมุกจะถูกแหวกออกโดยคนที่อยู่ด้านใน ตงหานคุกเข่าโค้งต่ำเบื้องหน้าเกี้ยวดั่งสามัญชนชั้นผู้น้อยที่ไม่อาจมองพระพักตร์เชื้อพระวงศ์เช่นเดียวกับที่มือข้างหนึ่งเอื้อมไปกดศีรษะของสตรีจำแลงที่อยู่บนหลังของตนให้ก้มต่ำที่สุดซึ่งโชคดีที่อีกฝ่ายไม่ได้ฝืนมาก ชายหนุ่มรับรู้ถึงสายตาที่มองมา

    “พวกเจ้าไปได้ ข้าอยากสนทนากับพวกเขา”

    “พะยะค่ะ”

    ตงหานรับรู้ได้ถึงแรงขืนจากเสี่ยวหยางทันทีหลังจบประโยคขององค์ชายจนต้องออกแรงต้านไว้ เหล่าทหารไม่แปลกใจก่อนจะเดินออกไปจากทางเดินเดี่ยวพร้อมกับเกี้ยวและไปเฝ้าอยู่ทางเข้าแทน เพราะหลายครั้งที่องค์ชายผู้นี้ต้องการสนทนาตามลำพัง นายทหารคนนั้นยักคิ้วให้กับสองพี่น้องกำมะลอเล็กน้อยก่อนจะออกไป และเมื่อมั่นใจว่าพวกเขาไม่ได้ยินตงหานจึงปล่อยมือออกจากศีรษะ และทันทีที่นางแหงนหน้ามา ใบหน้าที่มีคราบฝุ่นมอมแมมก็เบิกตากว้างก่อนจะชี้นิ้วไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าและอุทานเสียงดัง “เหวินเจี้....!!”

    ยังไม่ทันจะจบประโยคดี หลังมือใหญ่ของตงหานก็สะบัดไปซัดกับหน้าผากที่มีผ้าคาดศีรษะนั่นตัดคำพูดของเสี่ยวหยาง ชายหนุ่มถอนหายใจ แม้ทหารจะอยู่ไกลพอที่จะไม่ได้ยิน แต่อุทานเสียงดังขนาดนั้นต่อให้หูไม่ดีอย่างไรก็ได้ยิน และก็คงเห็นแน่ว่าสตรีจำแลงนางนี้ชี้นิ้วใส่หน้าองค์ชายของพวกเขา แต่มันอาจจะไม่ดีเหมือนกันยามที่นางร้องออกมาเมื่อโดนเขาโขกใส่ เสี่ยวหยางทำท่าจะตะโกนเรียกชื่อเขาจนทำให้ต้องมองเขม็งเป็นเชิงสั่งให้หุบปาก

    ขี้โวยวายเสียจริง สตรีอะไรความเป็นกุลสตรีสิ้นเชิง!


    (ตั้งแต่ฉากนี้ไปจะกลับมาบรรยายเป็นมุมมองของตะวันเหมือนตอนต้นๆค่ะ จะมีภาษาจีนพินอินมาแทน)

    ตะวันบ่นขมุบขมิบแต่ก็ยอมเงียบขณะในใจก็บ่นไม่หยุด บอกดีๆก็ได้ทำไมต้องสะบัดมือใส่หน้าขนาดนั้น เธอลูบหน้าผากตัวเองเบาๆก่อนจะหรี่ตามองอย่างพินิจ สายตาของเธอที่สั้นนั่นทำให้ไม่อยากจะเชื่อว่าคนตรงหน้าคือคนเจ็บเมื่อไม่กี่วันก่อน ก่อนที่เธอจะลองพึมพำ “เหวินเจี้ยน?”

    ชายตรงหน้าพยักหน้าและเหมือนเธอจะเห็นรอยยิ้มจางๆบนใบหน้านั้น เธอแตะบ่าของตงหานเบาๆก่อนจะพยายามลง เธอขยับเข้าไปใกล้และหรี่ตามองอย่างจับผิดว่ามันใช่คนเดียวกับที่เธอช่วยรึเปล่า

    ทำไมออร่ามันเปล่งปลั่งขนาดนี้ล่ะวะ!! นี่ bright มากเลยรู้ตัวไหมเนี่ย!! ออร่าพวกคนมีกะตังทุกรูขุมขน!

    แล้วไอ้เกี้ยวนั่น เท่าที่เธอจำได้คนที่นั่งเกี้ยวต้องเป็นพวกขุนนาง แล้วขุนนางบ้านไหนประชาชนหมอบขนาดนั้นวะ!? ไหนจะกำแพงเมืองใหญ่ๆอย่างกับวังในหนังนั่นอีก!!

    หรือว่าเหวินเจี้ยนมันมีหลายคน?

    Xiǎoyáng

    … โอเค้ เหวินเจี้ยนคนเดียวกันกับที่เธอรู้จักแน่ๆ เธอจ้องหน้าชายตรงหน้าเขม็งอย่างคาดคั้นเอาเรื่อง สรุปแกเป็นใครตอบ!!!

    เดี๋ยวนะ... ตงหานบอกว่าสมัยนี้มีค่านิยมที่ห้ามคนพูดอังกฤษ และเธอมีสิทธิ์โดนประหารถ้าใช้ภาษาอื่นนอกจากจีน เท่าที่ดูแล้วเหวินเจี้ยนน่าจะเป็นพวกคนรวย และทุกสมัยคนรวยย่อมมีอำนาจ แล้วตอนอยู่กับหมอนี่เธอเล่นพ่นภาษาไทยไปขนาดนั้น...

    “เอ่อ...”

    เธอชี้ไปที่เหวินเจี้ยนอีกครั้ง เอานิ้วปาดคอตัวเอง ก่อนจะชี้มาที่ตัวเอง แต่การที่ชายตรงหน้าไม่ตอบและเหมือนจะเห็นเลิกคิ้วมองเธอ

    สรุปคือไม่เข้าใจที่เธอจะสื่อว่า ’เธอต้องโดนประหารรึเปล่า’ ใช่ไหมเนี่ย

    แถมตรงนี้ก็เป็นไม้ไม่ใช่ดิน แล้วเธอจะวาดรูปอธิบายยังไง?

    หมับ!!

    “โอ๊ย!!” เธอร้องออกมาด้วยความเจ็บเมื่อจู่ๆก็มีมือมาตะปบที่ข้อเท้าจากด้านหลังจนเธอทรุดลงไปนั่งกับพื้นไม้ เธอหลับตาแน่นสะกดความเจ็บที่แล่นริ้วๆขึ้นมาก่อนจะหันไปมองตัวต้นเหตุแล้วเอ่ยเรียกชื่อเสียงต่ำอย่างเอาเรื่อง “ตงหาน...”

    แต่ชายตรงหน้าหาได้ฟังไม่ ในมือมีม้วนผ้าพันแผลที่ไม่รู้ไปเอามาจากไหน ตงหานยื่นให้ก่อนจะชี้ไปที่ขากางเกงข้างที่มีเลือดอาบจนเธออุทานออกมาเป็นภาษาไทย “ชิบหายละ! ไม้เปื้อนเลือด! จะเช็ดออกไหมเนี่ย! ฉันไม่มีปัญญาจ่ายนะ”

    หมับ!

    ฝ่ามือใหญ่ของตงหานปิดปากเธอทันทีพร้อมกับสายตามองเขม็ง ขณะที่มืออีกข้างถลกขากางเกงของเธอขึ้น เผยให้เห็นผ้าพันแผลที่ชุ่มไปด้วยโลหิตสีแดงลามมาถึงผ้าที่พันข้อเท้าอยู่ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นมันเละกว่าที่คิด เธอลองจิ้มๆที่ขาตัวเองสองสามที เหมือนจะได้ยินเสียงสบถในลำคอพร้อมกับที่ตงหานกระชากผ้าพันแผลออกจนเธอต้องเผลอครางออกมา โอเค! ใจดีมากเลยไอ้ตงหาน! ถ้าจะกระชากมาแบบนี้เอามีดตัดขาเลยไหมหา! เธอปัดมือออกที่ปิดปากอยู่ออกอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะแย่งผ้าพันแผลมาจากมือ และทันทีที่มือทั้งสองข้างของตงหานว่าง ตงหานก็หยิบกระปุกอะไรบางอย่างที่วางอยู่ไม่ไกล เปิดออกและทาที่แผลทะลุขานั่นทันทีจนเธอต้องกัดฟันแน่นเพราะความแสบ

    ไอ้ต่งต๊งนี่!! จะทำอะไรบอกก่อนได้ไหมเนี่ย!

    “ไม่เอา!”

    เธอถอยหนีไป และคาดว่าตงหานคงใส่ยาให้เสร็จเพราะไม่ได้มีการตาม เธอรู้สึกเจ็บขาและแสบจนมือไม้สั่น ตวัดสายตามองคนลงมืออย่างเอาเรื่องก่อนจะพยายามพันแผลที่ขา และเมื่อพิจารณาแผลของตัวเองจริงๆก็ต้องร้องออกมาเบาๆ

    “…เป็นรูจริงๆด้วยแม่ง... ฮือ... น่องเป็นรูเลย...”

    เธอพันทับกันเป็นทบๆ แต่กับถูกจับแขนไว้ก่อนคล้ายจะให้หยุด ตะวันหันไปมองเจ้าของฝ่ามือก็พบว่าเป็นมือของเหวินเจี้ยน ทันทีที่เธอหันมามองชายหนุ่มก็ปล่อยราวกับต้องของร้อน แต่เธอไม่สน ตอนแรกมันก็เจ็บพอทนไหวแต่ตอนนี้เธอบอกเลยว่าแค่ลุกเดินยังไม่อยากจะลุก

    Xiǎoyáng

    “ฉันยุ่งอยู่นะเห็นไหมเนี่ย!” เธอขึ้นเสียงเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆพัน เหมือนจะได้ยินภาษาจีนอะไรสักอย่างที่เธอไม่คิดจะสนใจฟัง แต่สิ่งที่ทำให้หยุดคือมือใหญ่ของตงหานที่จับข้อมือของเธอก่อนจะส่ายหัว ทำให้เธอต้องขมวดคิ้วไม่เข้าใจ

    จะบอกว่าเลือดโชกขาแบบนี้แต่ไม่ให้พันแผล? แล้วจะปล่อยให้แมลงวันบินเข้าออกน่องเธอรึไงไม่ทราบ!!

    “*#$^$&)_#@^&(” ตงหานพูดเป็นภาษาจีนออกมาจนเธอต้องกลอกตา กูฟังไม่รู้เรื่องครับไอ้ตงหาน!! ชายตรงหน้าดูจะเหนื่อยหน่ายใจแต่กระนั้นเขาก็เอานิ้วชี้แนบกับริมฝีปากของตนทำนองให้เงียบ และเป็นจังหวะเดียวกับที่มีชายหนุ่มปริศนารีบร้อนเข้ามาตรงศาลา การแต่งกายชุดสีฟ้าที่คล้ายในละครทำให้เธอต้องพินิจว่าคนตรงหน้านี่เป็นใคร จะว่าขุนนางก็ไม่ใช่ เหมือนจะเพิ่งเคยเห็นเมื่อไม่นานมานี้ และยิ่งเมื่อเห็นกล่องสี่เหลี่ยมที่อีกฝ่ายถือมาถูกเปิดออกก็ถึงบางอ้อ

    น่าจะเป็นหมอ

    แต่ที่ทำให้เธอต้องมองเขม็งคือการที่คนมาใหม่นี่คุกเข่าลงต่อหน้าและโค้งคำนับข้างกายตงหานที่ยังคงคุกเข่าอยู่ และข้างหลังเธอคนที่ยืนอยู่ก็มีคนเดียว

    ขุนนางนี่ต้องเคารพกันขนาดนี้เลยรึไง? หรือเหวินเจี้ยนเส้นใหญ่? แล้วใหญ่ขนาดไหนล่ะ??

    ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งไม่เข้าใจ แต่เพราะมีคนอื่นอยู่ด้วยทำให้เธอพูดอะไรไม่ได้นอกจากมองคนเดียวคนเดียวที่ตอบเธอได้ ตงหานส่ายศีรษะเล็กน้อยจนแทบจะไม่เห็น แต่สายตามีมองเขม็งมาก็ทำให้เธอพอจะเดาได้ว่าเขาไม่ให้พูดอะไรทั้งนั้นจนต้องลอบถอนหายใจอย่างเซ็งๆ

    อยากได้วุ้นแปลภาษาโดราเอมอนว้อย!!

    Yángchūn

    อะไรนะ?? เธอทำหน้าเอ๋อเมื่อโดนสะกิดปลายเท้า ดวงตาคมกริบมองก่อนจะพูดกับคนมาใหม่ การพูดที่ช้ากว่าปกติทำให้เธอคิดว่าเขาคงให้ฟัง

    Wǒ dìdì de míngzì shì Yángchūn. (นี่น้องชายของข้านามหยางชุน)

    เอิ่ม... ตงหานพูดอะไร? หว่อ...ฉัน แล้วตี้ติคือ? หมิงจื้อชื่อ? นั่นมันไว้ใช้เวลาถามชื่อ แล้วอะไรนะ หยางชุนเหรอ???

    ตี้ติ.... เหมือนจะคุ้นๆ มันพวกญาติโกโหติการึเปล่านะ?

    สรุปคือเธอเป็นญาติตงหานชื่อหยางชุน? ใช่ไหมนะ?

    แล้วทำไมไม่ใช่เสี่ยวหยาง?? ตอนแรกตงหานยังเรียกเธอเสี่ยวหยางอยู่เลยไม่ใช่เหรอ? มีตอนที่มาหลังจากเธอขอบคุณผู้หญิงคนนั้นที่เธอได้ยินคำว่าหยางชุน

    จู่ๆชายตรงหน้าก็หันมายิ้มให้เธอ ดูแล้วหนุ่มกว่าที่เธอคิด น่าจะแก่กว่าไม่ก็พอๆกันกับเธอได้มั้ง พร้อมกับว่า “Gǎnxiè nín bāngzhù wǒ de dìdì. (ขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยชีวิตน้องข้าไว้)

    เอิ่ม..... ฟังทันแค่ตี้ติคำสุดท้าย..... มึงบ่นอะไร..... และปัญหายังคงตามมาไม่จบเมื่อชายตรงหน้าพูดต่อ “Wǒ jiào Zhāng Tiānlán. Wǒ hěn gāoxìng rènshi nǐ Yángchūn. (ข้ามีนามว่าจางเทียนหลาน ยินดีที่ได้รู้จัก หยางชุน)

    ……..

    เอิ่ม..... กินจุดสิงานนี้ เธอพยายามทวนอย่างขมักเขม้น ประโยคแรกได้ยินบ่อย น่าจะแนะนำตัว ชื่ออะไรนะ? หว่อเจี้ยวจางเทียนหลาน? จางเป็นแซ่แล้วเทียนหลานเป็นชื่อสินะ ประโยคหลังฟังทันแค่หยางชุน ซึ่งเธออุปมาว่านั่นคงเป็นเธอ

    Verb to เดา.. ปกติแนะนำตัวเสร็จแล้วต้องยินดีที่ได้รู้จัก งั้นเธอเดาว่าประโยคหลังที่อะไรสักอย่างนั่นเป็นว่ายินดีที่ได้รู้จักเธอละกัน

    แล้วเธอจะตอบกลับยังไงล่ะว่ายินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน?

    โอ่ย... อยากร้องไห้... ย้อนเวลามาทั้งที่ทำไมมาจีน... ทำไมไม่ไปไกลๆที่ใช้ภาษาอังกฤษหรือว่ายังอยู่ในไทยก็ได้ เธอฟังไม่รู้เรื่องเลยโว้ย!

    อาจเพราะสีหน้ารึอะไรก็ไม่รู้ เพราะจู่ๆตงหานก็พูดอะไรสักอย่างออกมาจนคนที่เธอคิดว่าน่าจะชื่อเทียนหลานกระวีกระวาดก้มดูขาเธอ เหมือนจะเห็นสีหน้าตกใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเธอแบบ.. สยอง? สงสาร? ไม่รู้วะ ขี้เกียจเดาแล้ว!! เทียนหลานแกะผ้าพันแผลที่ข้อเท้าของเธอทั้งสองข้างซึ่งเธอก็มองอยู่ แล้วก็ต้องยิ้มแบบหัวเราะเยาะตัวเอง

    บวมฉึ่งแทบม่วง สรุปเวลาสองสามวันนี่คงไม่หาย เลือดที่น่องทะลักอีก เยี่ยมเลย!!

    โอ่ย.. ฉันอยากกลับไปวิ่ง...

    เทียนหลานใช้เวลาสักพักในการทายาและและพันแผลที่น่องและข้อเท้าทั้งสองข้าง บทสนทนายังคงมีเข้าหูไปเรื่อยๆ แต่ตอนนี้เธอขี้เกียจฟังและไม่รู้สึกเจ็บมากมายเพราะความรู้สึกอยากร้องไห้มันมีมากกว่าความรู้สึกทั้งสอง สงสัยมันจะเป็นอย่างที่ตงหานว่าจริงๆคือเธอบ้า!!

    Yángchūn

    คำนั้นถูกเรียกมาอีกครั้งทำให้เธอหันไปมองคนเรียกหน้าเบลอๆ ก็พบว่าแผลทั้งหมดถูกพันแผลไว้อย่างเรียบร้อย เธอหันไปมองเทียนหลานก่อนจะว่าพร้อมยิ้มนิดหนึ่ง “เซี่ยเซี่ย เทียนหลาน”

    คล้ายจะเห็นสีหน้าประหลาดใจของชายตรงหน้า ตรงข้ามกับตงหานที่เอามือปิดหน้าแล้วบ่นอะไรสักอย่างกับตัวเอง เธอเอียงคอพลางเลิกคิ้วมอง เธอพูดอะไรผิดงั้นเหรอ? หรือว่าเธอฟังชื่อผิดแล้วหมอนี่ไม่ใช่เทียนหลาน? แต่หมอหนุ่มตรงหน้าก็ยิ้มตอบเธอพลางว่า “Bùyòng xiè. Zhè shì wǒ shì shuí yīnggāi gǎnxiè nǐ. (เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก ข้าเสียอีกที่ต้องเอ่ยคำนั้น)

    …..

    Zàijiàn Yángchūn. Xīwàng néng zàicì jiàn dào nǐ. (ลาก่อนหยางชุน ข้าหวังว่าจะได้พบกันอีก)

    เขาขอตัวลาไปแล้ว และเธอเองก็คงไปด้วย ขอไว้อาลัยให้กับตัวเองสักสิบวิ... ไอ้ประโยคยาวพรืดนั่นเธอฟังออกแค่ ‘ไจ้เจี้ยนหยางชุน’ ที่เหลือก็บ๊ายบาย.. ไม่รู้เรื่องสักประโยค

    Xiǎoyáng

    “สรุปพวกแกจะเรียกฉันหยางชุนรึเสี่ยวหยางไม่ทราบ....” เธอถามเสียงเนือยเหมือนกับเบลอเป็นภาษาไทย ใช่ เธอเบลอจริงๆ เล่นพูดพรืดแบบนั้นใครจะไปฟังรู้เรื่อง เธอได้แค่ประโยคสั้นๆบางคำเองด้วย สองมือถูกยกขึ้นกุมขมับตัวเองเพราะเธอตามอะไรไม่ทันเลย หมอนั่นเป็นใครและพูดอะไร? ที่สำคัญเธอไร้มารยาทมากที่ไม่สามารถตอบกลับได้สักประโยคซึ่งนั่นไม่ใช่ความผิดเธอ และอีกอย่าง เหวินเจี้ยนเป็นขุนนางชั้นไหนกันแน่

    หรือมันเป็นขันที? ภาษาจีนเขาเรียกอะไรนะ กงกง? ใช่ๆเธอเคยดูในหนังกำลังภายใน ตะวันหันหลังกลับไปมองเหวินเจี้ยนทันทีพร้อมกับถาม “หนี่กงกง?”

    หนี่ ที่แปลว่าคุณ และกงกง ขันที...

    เหวินเจี้ยนเหมือนจะเลิกคิ้วก่อนที่จะขมวดก่อนจะทำหน้าเหมือนครุ่นคิด ก่อนที่เจ้าตัวจะพูดอะไรสักอย่างเป็นภาษาจีนแต่สายตาไม่ได้มองมาที่เธอคล้ายว่าประโยคนั้นไม่ได้บอกเธอ และเหมือนตะวันจะได้ยินเสียงถอนหายใจจากด้านหลังพร้อมกับหูได้ยินภาษาอังกฤษ

    “เจ้าถามเขาว่าเป็นกงกงรึเปล่างั้นรึ?”

    “ใช่” เธอตอบ

    “เจ้ารู้ความหมายของมันรึเปล่า?”

    “รู้สิ พวกขุนนางที่ตัดไอ้นั่นออกไง ฉันรู้มาจากหนัง” ก่อนที่เธอจะอุทานออกมาแล้วถามเร็วๆ “ไหนบอกว่าห้ามใช้อังกฤษและห้ามฉันพูดไง!”

    “อะไรนะ? เจ้าพูดช้าๆซิ ลดเสียงด้วยถ้าไม่อยากตาย” ปลายประโยคเอ็ด แต่นั่นยิ่งทำให้เธอขมวดคิ้วหนักกว่าเก่า

    “ฉันถามว่า ไหนบอกว่าจะไม่ให้ใช้อังกฤษ และลดเสียงไปฉันก็คิดว่าเหวินเจี้ยนได้ยินอยู่ดี และอีกอย่างคือนายสั่งฉันห้ามพูด”

    ตงหานถอนหายใจออกมาทันทีที่เธอพูดจบ และคำตอบของอีกฝ่ายทำให้เธอตวัดสายตาไปมองเหวินเจี้ยน “ก็เขาเป็นคนสั่งให้ข้าถามเจ้า”

    เธอขมวดคิ้วมองเหวินเจี้ยนอย่างจับผิด สั่งแล้วตงหานยอมทำตามเนี่ยนะ? เธอค่อนข้างมั่นใจว่ามองคนไม่ผิด ดูอย่างไรตงหานก็เป็นพวกเอาแต่ใจและหัวสูงเอาเรื่อง แล้วทำไมถึงทำตาม? หูได้ยินตงหานพูดเป็นภาษาจีนซึ่งน่าจะแปลที่เธอพูดให้เหวินเจี้ยน ชายตรงหน้าเลิกคิ้วแบบแปลกใจเหลือคณาก่อนจะส่ายหน้าทั้งที่มุมปากยิ้มขำ และพูดสั้นๆ “Wǒ bù huànguān.

    “ฮ่วงกวนอะไร?”

    “กงกงเป็นฮ่วงกวนชั้นผู้ใหญ่ และเขาไม่ใช่ขุนนางที่ตัดไอ้นั่นอย่างที่เจ้าว่า” ตงหานแปลก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แต่เธอไม่สนใจเพราะตะวันหันไปมอง

    “ไม่ใช่ขุนนางใหญ่ๆแล้วทำไมสั่งนายได้ล่ะ!!”

    ตงหานหรี่ตามองเธอก่อนจะใช้มือหนึ่งปิดปากเธอไว้พลางตอบ “ถ้าข้าไม่ฟังคำสั่งขององค์ชายมีหวังหัวได้กุดกันพอดี”

    ?!!! อะไรนะ??

    เมื่อกี้ตงหานใช้คำว่า prince เหรอ??

    เธออ้าปากค้างพยายามหาคำแปลอื่นสำหรับคำว่าพรินซ์ แต่มันไม่มี สมองประมวลสิ่งที่เห็นวันนี้อย่างรวดเร็วก่อนจะอุทานออกมาเสียงดังซึ่งถ้าไม่มีมือที่สวมถุงมือคู่เดิมนี่ปิดปากไว้คงได้สนั่นแน่

    “นี่โกหกใช่ไหมเนี่ย!?”

    เหวินเจี้ยนเป็นเจ้าชายงั้นเหรอ!??

    คนที่เธอช่วยจากน้ำ ผายปอด ใช้เถาวัลย์พันแผล จับกดกับพื้น ต่อยหน้า ตบหน้า และอีกสารพัดนั่นเป็นเจ้าชายเนี่ยนะ?! ถ้าบอกแม่ทัพรึนักรบพวกนั้นคงตกใจน้อยกว่านี้ และเพราะมาแต่งแบบนี้แล้วมันทำให้ดูเหมือนพวกทำอะไรไม่เป็นเหมือนคุณหนู มันเหมือนผู้หญิงเธอถึงคิดว่าเขาเป็นกงกง แต่นี่เป็นเจ้าชาย?!

    เธอควรขอลายเซ็นของเขาแล้วเอาไปขายต่อดีไหม จะยุคไหนก็น่าจะเงินดี ถ้าเธอไม่ตายก่อนเพราะดันไปทำอะไรเทือกๆนั้นกับเจ้าชาย!

    อย่างเบาน่าจะมือกุด... อย่างหนักน่าจะคอหลุด... ซึ่งถ้าให้เลือกเธอเลือกอย่างหลัง เพราะเธอไม่อยากเป็นไอ้ด้วน

    ถ้ารอดไปได้แบบครบสามสิบสองเธอจะเลิกคิดที่จะไปสลักชื่อตัวเองบนกำแพงเมืองจีนตอนไปพิชิตมันสำเร็จเลยเอ้า!!!


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×