ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    M E S S A F T E R S T O R M "

    ลำดับตอนที่ #56 : สุริยะเคียงบัลลังค์ 12

    • อัปเดตล่าสุด 5 ส.ค. 59




    “เจ้ารู้รึเปล่า พวกหลิ่วอี้เฟยมันเอาอีกแล้ว ตำหนักของขุนนางเฉียนโดนปล้นเมื่อคืน กวาดไปได้หลายร้อยตำลึงทีเดียว"

    “อะไรกัน”

    “ข้าว่าอีกไม่นานพวกมันคงได้เข้าเมืองหลวงเป็นแน่ ขุนนางเฉียนอยู่ห่างจากที่นี่ไปแค่ไม่กี่สิบลี้”

    ประโยคเหล่านั้นเข้ามาในหูแต่ก็ไม่ได้เรียกความสนใจให้กับชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้ากองโจรกลุ่ม ‘หลิ่วอี้เฟย’ อย่างตงหาน ที่บัดนี้กำลังดันแผ่นหลังของคนตัวเล็กกว่าไปตามทางเดิน เวลายามสายนี้ผู้คนมากมายทำกิจกรรมต่างๆกันไป ดวงตาคมเรียวหันซ้ายแลขวามองหาร้านเสื้อผ้า ก่อนจะตรงไปทันทีเมื่อเจอ

    “ข้าขอชุดที่ดูทะมัดทะแมงพร้อมรองเท้าชุดหนึ่ง”

    “หืม?” เถ้าแก่ร้านลูบหนวดเคราตัวเองก่อนจะถาม “นั่นเสื้อเจ้าใช่ไหมพ่อหนุ่ม”

    “ใช่”

    “ไปเล่นซนมารึไงถึงต้องเอาเสื้อพี่มาใส่นะหืมเจ้าหนู” มือที่เริ่มเหี่ยวย่นลูบศีรษะคนตัวเล็กอย่างเอ็นดู ซึ่ง ‘เจ้าหนู’ ก็ฉีกยิ้มซนๆให้ “ดูจะซนแสบจริงๆด้วยสินะ รอสักครู่” เจ้าของร้านหัวเราะออกมากับท่าทางแก่นนั่นก่อนจะเดินหายเข้าไปหลังร้าน ทิ้งให้ลูกค้าทั้งสองยืนคอย ตงหานถอนหายใจเมื่อโดนมองเป็นพี่น้อง แต่กระนั้นก็ยังดีเพราะนั่นเป็นหลักฐานว่าการแต่งกายแบบลวกๆนี่ยังสามารถปลอมเสี่ยวหยางให้เป็นบุรุษได้ ฉะนั้นมันคงไม่มีปัญหาใดๆ

    “ตงหาน"

    ชายหนุ่มมองตามเสียงเรียกก็พบว่านางชี้อะไรบางอย่าง เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าของร้านออกมาพร้อมกับชุดในมือ “เอ้า ลองดู ข้าไม่แน่ใจว่าจะสวมได้รึเปล่า”

    ตงหานรับมาก่อนจะยื่นให้กับเสี่ยวหยางก่อนจะชี้ไปทางหลังม่าน นางถือชุดเข้าไปเปลี่ยนโดยปล่อยให้ชายสองวัยสนทนากัน

    เมื่ออยู่ข้างนอก เขาจะไม่ค่อยพูดมาก พูดเพียงแค่เท่าที่จำเป็น อันที่จริงตงหานก็ไม่ใช่คนที่พูดมากอะไรอยู่แล้ว ชายหนุ่มมองรอบร้านก่อนจะถาม “มีผ้าปิดหน้ารึเปล่าเถ้าแก่”

    “แบบไหนล่ะ”

    ตงหานดึงผ้าปิดหน้าของตนที่เลื่อนไปอยู่ที่คอดูให้เป็นแบบอย่าง 

    “ให้เจ้าหนูนั่นรึ?”

    “ครับ” 

    “อืม... สักครู่”

    ชายแก่เดินกลับไปทางหลังร้าน เขามองเสื้อผ้ารอบตัวขณะที่หูก็ฟังเสียงพูดคุยภายนอกไปด้วย ก่อนจะหันไปตามต้นเสียงเมื่อได้ยินเสียงม่านเลื่อน

    “…” เขาพิจารณากับภาพตรงหน้า เมื่อใส่ชุดนี้ทำให้นางดูเหมือนบุรุษมากขึ้น กางเกงขายาวนั้นดูจะยาวเกินไปเล็กน้อยจนนางพับประมาณสองทบ ฮั่นฝูสีฟ้าอ่อนแถบสีกรมท่าที่ยาวและผ้าคาดเอวที่ผูกผิดๆ และรองเท้าที่เถ้าแก่ให้นั้นนางถือด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างถือเสื้อของเขาที่เจ้าตัวสวมใส่ตอนแรก

    “รองเท้านั่นใส่ไม่ได้รึ?”

    เสี่ยวหยางขมวดคิ้วเอียงคอมองงงๆ ทำให้เขาต้องถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ พลางชี้ “รองเท้า”

    “ลองเท่า?”

    “ไม่ใช่” ตงหานส่ายหัว “รอง - เท้า”

    “รอง...ท้าว”

    การออกเสียงที่ใกล้เคียงนั่นก็เพียงพอ ชายหนุ่มดึงรองเท้าสีเข้ากับชุดออกมาจากมือ นั่งยองและวางลงตรงหน้า เสี่ยวหยางมองคล้ายทำความเข้าใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะลองสวม และนั่นทำให้ตงหานอดพึมพำกับตัวเองเบาๆไม่ได้

    “ยังมีการหักเท้าอยู่จนถึงตอนนั้นรึไงกัน...”

    มือหนามองผ้าคาดเอวที่ผูกผิดๆตรงหน้า ถอนหายใจอย่างแผ่วเบาก่อนจะแก้และผูกให้ใหม่ และนั่นมันทำให้ดูทะมัดทะแมงมากขึ้น และเมื่อเงยหน้ามองก็พบกับเสี่ยวหยางที่จ้องเขม็งที่มือของเขาที่ผูกผ้าให้ ก่อนจะยิ้มออกมาพร้อมว่า

    “ขอบคุณ”

    “เอ้า พ่อหนุ่ม แบบนี้ได้ไหม” เถ้าแก่กลับมาพร้อมกับที่ผ้าในมือประมาณสี่ห้าแบบ เสี่ยวหยางมองผ้าที่ถูกยื่นมาตรงหน้าก่อนจะหันไปมองตงหาน และเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าเธอก็หยิบผืนสีกรมท่าขึ้นมาจนทำให้เถ้าแก่อดทักไม่ได้ “ดูท่าจะชอบสีนั้นนะ ข้านี่เดาแม่นจริง”

    ตงหานไม่ได้พูดอะไร พลันสายตาเหลือบไปเห็นยางรัดผมของเสี่ยวหยาง หยิบกรรไกรที่วางอยู่ไม่ไกลมาตัดผ้าคาดเอวที่ยาวเกินไปเล็กน้อยนั่นและใช้ผูกผมแทน มือหนารูดยางรัดผมของเก่าออกจากผมเกล้าของเสี่ยวหยางอย่างเร็วจนไม่ได้สังเกต

    “เจ้าดูโอ๋เขาดีนะพ่อหนุ่ม” เถ้าแก่หัวเราะจนเห็นคนรุ่นลูกถอนหายใจออกมา ก่อนจะอุทานเล็กน้อยเมื่อตงหานยื่นรองเท้าคืนให้ “อะไรกัน ใส่ไม่ได้รึ?”

    “ครับ”

    “นั่นเล็กสุดในร้านข้าแล้ว” เถ้าแก่ลูบเคราตัวเองก่อนจะถาม “ถ้าเป็นของใช้แล้วเจ้าจะว่าอะไรไหม? เพราะถ้าข้าจำไม่ผิด ข้ามีอยู่เป็นของหลานข้า สภาพยังดี แต่ตอนนี้มันโตแล้วใส่ไม่ได้”

    “ได้ครับ” ตงหานพยักหน้า เถ้าแก่รับคำก่อนจะเดินกลับไปหลังร้านอีกครั้ง เหตุที่ต้องเดินไปหลังร้านในตอนแรกเพื่อที่จะหาขนาดและของใหม่ ชายหนุ่มเก็บยางรัดผมขณะที่ก็ได้ยินเรียกอีกครั้ง

    “ตงหาน”

    “อะไร?” เขาหันไปตามเสียงเรียก เสี่ยวหยางอยู่แถวบริเวณที่นางอยู่ในตอนแรก นางวิ่งกลับมาก่อนจะยื่นอะไรบางอย่างให้เขาดูพลางฉีกยิ้มและมองเขา ไม่รู้ทำไม มันให้ความรู้สึกว่าตาที่จ้องมองเขาอยู่นี่มันดูเป็นประกายแวววาวชอบกล

    “เจ้าจะเอาผ้าคาดศีรษะไปทำอะไร?” ตงหานถาม แต่เสี่ยวหยางมองผ้าสีแดงในมือก่อนจะวิ่งกลับไปบริเวณนั้น แล้วกลับมาใหม่พร้อมสีกรมท่าแล้วยื่นให้เขา จนทำให้อีกฝ่ายรู้สึกปวดหัว

    เขาไม่ได้บอกว่าสีมันไม่เข้า.... แต่คือจะไม่ให้เอาต่างหาก

    “หลานข้าไม่ชอบสีกรม มีแต่เทานี่แหละ” ชายแก่เจ้าของร้านกลับมาพร้อมรองเท้าสองคู่ ก่อนจะเบิกตากว้างแล้วยิ้มขำเมื่อเห็นภาพตรงหน้าและอดไม่ได้ที่จะแซว “น้องเจ้าอ้อนเจ้าจะเอาผ้าคาดศีรษะรึ ดูสิ ตาวาวเชียว”

    สรุปที่นางฉีกยิ้มและมองเขาแบบนั้นนี่คือกำลัง ‘อ้อน’ จะเอาของรึ

    ตงหานรู้สึกอยากกุมขมับอย่างไร้เหตุผล รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพี่เลี้ยงเด็กเข้าไปทุกวันและคาดว่ามันคงเป็นเช่นนั้นไปแล้วในสายตาของเถ้าแก่ร้านเสื้อผ้า ก่อนสายตาจะไปสะดุดกับรองเท้าอีกคู่ในมือของเถ้าแก่ที่ผิดจากรองเท้าทั่วไป

    “รองเท้าสาน?”

    “ใช่ ไม้ไผ่อย่างดี” เถ้าแก่โฆษณาเล็กน้อยก่อนจะว่าต่อ “เพราะเจ้าบอกอยากได้ที่มันทะมัดทะแมง และความเห็นส่วนตัวข้า รองเท้าสานมันเคลื่อนไหวถนัดกว่า ยิ่งซนๆอย่างน้องชายเจ้าด้วย”

    ตงหานมองรองเท้าสองคู่ตรงหน้าก่อนจะเอื้อมไปหยิบรองเท้าคู่สีเทา แต่ประเด็นคือดันมีอีกมือหนึ่งหยิบรองเท้าสานไป และนั่นทำให้ชายแก่เจ้าของร้านหัวเราะออกมาอีกครั้ง 

    “ฮ่าๆๆ พี่น้องเลือกคนละคู่เสียแล้ว”

    เสี่ยวหยางหันมามองเขาอย่างแปลกใจ และนั่นทำให้เขามีความรู้สึกว่า นางคิดว่าเขาให้เลือกรองเท้าอย่างไรอย่างนั้น ถึงได้หันมามองท่าทางแปลกใจเสียขนาดนั้น ตงหานถอนหายใจเป็นรอบที่สาม วางรองเท้าในมือตัวเองลงขณะที่หยิบผ้าคาดศีรษะและรองเท้าสานในมือเสี่ยวหยางขึ้นมาชูตรงหน้าแล้วถาม “ข้าให้แค่อย่างเดียว”

    เพียงแค่การกระทำก็น่าจะเพียงพอที่นางจะเข้าใจ เพราะเสี่ยวหยางมองสลับซ้ายขวาทำหน้าเหมือนเลือกไม่ถูก คิ้วนั้นขมวดกันจ้องของสองสิ่งในมืออย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนที่จะพ่นลมออกมาจากจมูกเสียยาวและหยิบผ้าคาดศีรษะไป ชายหนุ่มควานหาถุงเงินที่ผูกเอวก่อนจะยื่นเงินให้พร้อมกับรองเท้าสาน แต่เถ้าแก่กลับปฏิเสธ

    “เอาไปเถอะ ถือว่าคู่นั้นข้าแถมให้”

    “แต่..”

    “สอนมาดีนะ” ชายแก่ชมขัดขณะมอง ‘เด็กชาย’ ที่กำลังผูกผ้าคาดศีรษะแล้วหันมาเหมือนจะอวดว่า ‘เข้าไหม’ จนอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบศีรษะมนนั่นอีกครั้งอย่างเอ็นดูจนได้รับรอยยิ้มกว้างๆซนๆไปอีกครั้ง ดวงตาที่เริ่มฝ้าฟางมีรอยยิ้มเช่นเดียวกับปากก่อนจะหันไปมองชายหนุ่มข้างกาย “สมัยนี้ข้าเห็นเยอะ เด็กที่ร้องจะเอาของแล้วงอแง และอีกคนก็ตามใจ แต่พวกเจ้าสองคนไม่มีอาการนั้น”

    “….”

    “รองเท้าสานนั่นถือว่าข้าแถมให้สำหรับที่ให้ข้าได้เห็นอะไรเจริญตา อีกประการ หลานข้าก็ใส่ไม่ได้ ฉะนั้นเจ้าเอาไปเถอะ”

    “…ขอบคุณครับ”

    ตงหานตัดสินใจรับมาเพื่อตัดบทก่อนจะเดินออกจากร้านไปโดยมีเถ้าแก่ร้านยืนส่ง ชายหนุ่มเก็บรองเท้าสานใส่ย่ามแล้วยื่นให้เสี่ยวหยางถือเอง มองสตรีจำแลงข้างกายที่ดูมีความสุขขึ้นทันตาจากรอยยิ้มและเสียงฮัมพร้อมกับการเดินที่เหมือนจะกระโดดลองรองเท้านั่นทั้งที่ขาเจ็บแล้วก็พาลอยากจะถอนหายใจอีกรอบ

    เขาเหมือนพี่น้องกันขนาดนั้นเลยรึไง

    “องค์ชายเสด็จ!”

    เสียงที่ดังมาจากเบื้องหลังนั่นทำให้ดวงตาคมกริบตวัดไปมองอย่างเคร่งเครียด มือหนึ่งดึงเสี่ยวหยางให้เข้ามาใกล้ก่อนจะหลบไปอยู่ริมถนน ผู้คนเริ่มหลีกทางให้พร้อมกับเสียงจ้อกแจ้กที่องค์ชายของเมืองลงมาพบทั้งที่เพิ่งจะบาดเจ็บเมื่อไม่กี่วัน คนที่แออัดนั้นทำให้เคลื่อนไหวยาก ตงหานดึงผ้าตรงคอให้ขึ้นมาปิดจนถึงปากและขยับผ้าโพกศีรษะของตนให้ต่ำลง มือหนึ่งก็ยังจับแขนเสี่ยวหยางไว้ ดวงตาสอดส่องพยายามหาตรอกช่องเพื่อหลบ หูก็ได้ยินเสียงกลองจนต้องสบถในใจ

    เสด็จทีเล่นเสียเอิกเกริกเชียวรึฝ่าบาท

    “ขอให้องค์ชายอายุมั่นขวัญยืนพะยะค่ะ!!”

    “ขอให้องค์ชายมีพระพลานามัยแข็งแรงเพคะ!!”

    และอีกคำมากมายที่เข้าหู ตงหานจิ๊ปากเมื่อขบวนมาเร็วกว่าที่คาดและหางตาเห็นเกี้ยวสีแดงสดไกลๆที่คนที่นั่งอยู่บนนั้นคงไม่ใช่ใครอื่น ประชาชนที่อยู่ขอบทางขบวนก็ก้มลงหมอบ คงทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากก้มหมอบให้ผ่านๆไป ตงหานกดหัวของเสี่ยวหยางให้คุกเข่าลงตามคนอื่นๆเพื่อรอรับขบวนเสด็จที่จะผ่านมาอีกไม่กี่อึดใจ

    ปัง!

    !!

    พลันเสียงพลุก็ดังขึ้นจากร้านขายของเล่น จนม้าที่นำขบวนอยู่นั้นตกใจจนร้องออกมาเสียงดัง หัวหน้าขบวนที่อยู่ใกล้ที่สุดต้องจับบังเหียนม้าไว้ทันทีเมื่อมันควบห้อบึ่งมาเช่นเดียวกับคนอื่นที่คุมอาชาของตนไม่ให้ตื่น แต่ยังพอปลอบมันได้เพราะไม่ได้อยู่ใกล้มากเช่นคนนำขบวน

    “อ๊ะ.. ลูกบอล...”

    ลูกบอลไม้ไผ่เล็กๆที่กลิ้งมาและตามมาด้วยเด็กชายวัยไม่เกินสิบขวบที่น่าจะเป็นเจ้าของที่วิ่งมาเก็บ และปัญหาคือมันอยู่ทางขบวน และมันก็อยู่ในทางม้าที่กำลังคลั่ง!!

    “หลีกไปเจ้าหนู!!!”

    เสียงกรีดร้องดังออกมาจากข้างทาง เพราะดูยังไงก็ไม่น่าจะทัน เด็กนั่นตายแน่!!

    ฟุบ!!

    จู่ๆก็มีคนวิ่งมาเยื้องหน้าจากม้าไปไม่กี่ช่วงตัว ร่างนั้นทะยานไปด้านหน้าแทบจะขนานคู่กับอาชาคลั่งด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ และเวลาเพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่ม้าจะถึงตัวก็สามารถกระโจนไปคว้าตัวเด็กชายที่มีลูกบอลไม้ไผ่ในมือให้ออกจากทางม้าควบได้ บุคคลปริศนากดร่างเด็กไว้กับอกขณะที่ด้านข้างไถลไปตามแรงเฉื่อยจนควันฟุ้ง เหตุการณ์ทั้งหมดส่งผลให้ขบวนเสด็จถึงกับชะงักทันใด

    “!?!” ตงหานเบิกตาเล็กน้อยเมื่อเห็นชายผ้าคาดศีรษะและอาภรณ์คุ้นตาของผู้กล้าหาญที่ช่วยเหลือเด็ก ทำให้ต้องหันมามองข้างตัวก็พบว่าเสี่ยวหยางหายไปจนต้องสบถออกมา ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่นางพุ่งตัวไปช่วยเด็กนั่น!!


    “ข้าได้ยินเสียงประทัดกับเสียงม้า” เสียงที่ดังมาจากหลังม่านลูกปัดมุกเพื่อไม่ให้ประชาชนเห็นพระพักตร์ทำให้นายทหารที่ยืนอยู่ใกล้สุดต้องทูล

    “เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยพะยะค่ะ”

    “เล็กน้อยงั้นรึ?” องค์ชายหนุ่มถามอย่างคลางแคลง 

    “ม้าที่เตลิดไปคุมได้แล้ว และเด็กคนนั้นปลอดภัยพะยะค่ะ”

    คิ้วโก่งสวยขมวดเข้าหากันเล็กน้อย นายขบวนอุทานขนาดนั้นหมายความว่าเด็กคนน้ันอยู่ไม่ห่างมาก จะบอกว่าเด็กที่ว่ามีสติมากพอจะหลบงั้นรึ?

    “จื่อลู่!!” 

    เสียงหวานของสตรีที่คาดว่าน่าจะเป็นมารดาเด็กเรียกชื่อเสียงดังทำให้องค์ชายหนุ่มแง้มม่านตรงหน้าออกเล็กน้อยพอให้ตนเห็น แต่ก็ไร้ประโยชน์เมื่อทหารด้านหน้าบัง แต่เพียงอึดใจก็เห็นสตรีตรงหน้าโค้งหมอบเขาพร้อมกับว่าเสียงดัง “หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะ! หม่อมจะระวังให้มากกว่านี้” นางจูงเด็กชายที่มือหนึ่งยังกอดลูกบอลไม้ไผ่แน่นพร้อมกับพยุงร่างของคนๆหนึ่งพลางว่า “เจ้าน่ะ หลบขบวนขององค์ชายเร็ว แล้วขอบใจเจ้ามากที่ช่วยลูกข้าไว้ เจ้าเร็วมากเลยนะ”

    “….ไม่เป็นไร”

    !!?!

    เสียงที่รู้สึกคุ้นหูกับประโยคสั้นๆแค่คำว่า ‘เหมยซื่อ’ ที่ดูออกเสียงไม่ตรงมากมายทำให้มือที่ลดลงหวังปิดม่านชะงักไป ขณะที่หูก็ยังได้ยินเสียงสตรีคนนั้นอุทาน “ตายแล้ว! ขาเจ้ามีเลือด!”

    ฟึบ!

    เหวินเจี้ยนถึงกับแหวกม่านออกเพื่อดูหน้าของคนที่เข้าช่วยเด็กชัดๆ ใบหน้าที่หลุบต่ำที่ค่อยๆถูกประคองขึ้นมาทำให้เห็นได้ไม่ชัด รวมทั้งการแต่งกายก็ไม่เหมือนกับที่จำได้ ดูภายนอกแล้วเหมือนเด็กผู้ชายวัยสิบห้าสิบหกที่รูปร่างเล็ก แต่เพียงแค่นั้นเขาก็จำได้ทันที

    “เสี่ยว...”

    “หยางชุน!!”

    เสียงที่เรียกดังตัดคำนั้นพร้อมกับร่างของชายหนุ่มที่ตรงมาดึงเอาร่างเล็กๆนั่นให้หลุดจากการพยุงของสตรีแม่บ้านแล้วหิ้วปีกเสียเอง พลางว่า “ขอบคุณที่ช่วยประคอง นี่น้องชายของข้าเอง”

    “ขอบคุณอะไรกันพ่อหนุ่ม ข้าต่างหากต้องขอบคุณ” สตรีนางนั้นว่า กันที่ทั้งสี่จะโค้งคำนับให้พร้อมกับที่หลบออกจากทางขบวน เช่นเดียวกับที่ขบวนเตรียมจะเดินต่อถ้าไม่ติดว่ามีเสียงรับสั่ง

    “เดี๋ยวก่อน”

    “มีอะไรรึพะยะค่ะองค์ชาย?”

    “เรียกสองพี่น้องนั่นมาหาข้า” สุรเสียงเว้นไปน้อย ก่อนจะว่าต่อ “ให้ตามกลับไปที่วัง ที่เหลือข้าจัดการเอง นี่เป็นคำสั่ง”

    ตงหานถึงกับสบถออกมาทันทีเมื่อได้ยินคำสั่งนั้น ดวงตาคมกริบตวัดมองคนที่ตนจับแขนอยู่อย่างคาดโทษ แบบนี้คิดว่าเขาสั่งให้หุบปากไว้เพื่ออะไรกันถ้านางจะหาเรื่องจนได้เข้าเฝ้าขนาดนั้น?

    “พวกเจ้าสองคน” นายทหารคนหนึ่งเดินตรงมาที่เขา ก่อนจะว่า “องค์ชายมีรับสั่งให้พวกเจ้าตามขบวนเสด็จไป”

    “เป็นพระกรุณาย่ิงพะยะค่ะ” ตงหานก้มศีรษะให้ขณะที่มือหนึ่งก็เลื่อนดึงผ้าให้ขึ้นมาเล็กน้อยจากการที่มันร่นลงไป “แต่น้องชายของข้าบาดเจ็บ...”

    “คงไม่ถึงชีวิตกระมัง” นายทหารกล่าวแย้งขณะที่หันมามองคนอ่อนวัยข้างตัวเขาแล้วถาม “รับสั่งให้เจ้าเข้าเฝ้าเชียว โอกาสนี้ใช่ว่าใครจะได้นะ เจ้าจะปฏิเสธเชียวรึ?”

    มือใหญ่ของตงหานบีบต้นแขนที่จับอยู่แน่นขึ้น นางมองทหารตรงหน้าก่อนจะมองหน้าเขา รู้สึกถึงการสะดุ้งเล็กน้อย เสี่ยวหยางหันไปมองนายทหารอีกครั้งก่อนจะส่ายหน้า และนั่นเรียกให้ตงหานอยากจะหยิบมีดมาเชือดทั้งทหารและสตรีข้างตัวให้รู้แล้วรู้รอด เพราะการที่นางส่ายหัวแบบนั้นมันก็หมายความว่าไม่ปฏิเสธที่จะไปเข้าเฝ้า

    เสี่ยวหยาง!

    “ดีมาก เพราะถ้าเป็นข้าต่อให้ตายข้าก็จะไม่พลาดโอกาสนี้” นายทหารยิ้มร่าก่อนจะยีศีรษะที่ยุ่งไปบ้างให้ยุ่งกว่าเดิม “สมเป็นชายชาตรี ความเร็วเยี่ยมยอด” พลางหันมามองเขาแล้วถาม “เจ้าเดินไปถึงประตูวังไหวใช่ไหม? หรือจะไปม้าแยกกัน?”

    “...เดี๋ยวข้าเดินไปเอง” มันคงไม่เหลือทางอื่นนอกจากยอมรับ ดวงตาคมกริบตวัดมองสตรีจอมยุ่งข้างตัวก่อนจะนั่งลงคุกเข่าข้างหนึ่งโดยหันหลังให้เสี่ยวหยาง ขณะที่ในใจก็เก็บอารมณ์คุกรุ่นไปด้วย เหตุที่ให้นางขึ้นหลังเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งใด ถึงยังไรตอนนี้พวกเขาก็เป็น ‘พี่น้อง’ กันไปแล้ว ปล่อยให้น้องชายที่ขาบาดเจ็บเดินเองก็มีแต่จะเป็นที่สงสัย แต่นางไม่ขึ้นมาสักทีจนต้องตวัดสายตาไปมอง เสี่ยวหยางสะดุ้งอีกครั้งก่อนจะชี้แผ่นหลังของเขา และเมื่อเห็นเขาจ้องเขม็งจึงค่อยๆขึ้นกอดคออย่างกล้าๆเกร็งๆ ตงหานสอดมือไปใต้ข้อพับเข่าทั้งสองข้างก่อนจะยืนขึ้น และนั่นเรียกให้นายทหารขมวดคิ้วเมื่อเห็นโลหิตหลั่งรินจนหยดลงบนพื้นจากกางเกงสีเข้ม

    “ไม่เป็นไรครับ” ตงหานตัดสินใจตอบตัดบทแค่นั้นก่อนจะออกเดินเพื่อไม่ให้โดนถามมากไปกว่านี้ และเป็นการบอกว่าเพื่อที่จะได้รีบรักษาแผลที่ขา นายทหารขมวดคิ้วกับท่าทางนั้นก่อนจะถอนหายใจออกมาและกลับเข้าแถวดังเดิม

    “…ขอโทษ”

    ตงหานได้ยินคำข้างหูเป็นภาษาจีน แม้จะอยากบ่นและอยากจะตอบอะไรไปแต่ก็ทำไม่ได้เพราะพูดไปเสี่ยวหยางก็คงไม่รู้เรื่อง ฉะนั้นทางเลือกอื่นจึงไม่มีนอกจากถอนหายใจ แต่แล้วมือที่โอบรอบคอนั้นก็ชูขึ้นมาข้างหนึ่ง คว่ำลงโดยมีสองนิ้วชี้และกลางชี้พื้น ขยับสลับกันก่อนจะชี้มาที่ตัวเอง นั่นทำให้ตงหานเลื่อนมือต่ำไปบีบข้อเท้าข้างที่ไม่มีหยาดโลหิตไหลจนคนที่อยู่บนหลังสะดุ้งตะปบไหล่เขาแน่นพร้อมกับได้ยินเสียงเหมือนกลืนน้ำลายจนต้องหัวเราะออกมาเบาๆอย่างเยาะเย้ย

    “ขาเดี้ยงสองข้างแบบนี้ยังแจ้นไปหาเรื่อง เจ้านี่มันบ้าจริงๆ”

    น่าฆ่าทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอด ปัญหาจะแดงขึ้นมาก็ครานี้ แถมไม่ใช่แค่เรื่องภาษากับตัวตนของนาง ยังมีเรื่องของเขาที่ยังไม่พร้อมจะเปิดเผยด้วย

    แล้วทำไมไม่ทิ้งเสียล่ะ? เมื่อครู่นั้นก็ไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำที่จะออกไปรับหน้า?

    ตงหานสบถในลำคออย่างหงุดหงิดตัวเองที่ให้คำตอบนั้นไม่ได้ ว่าเหตุใดจึงไม่สามารถปล่อยให้สตรีจอมยุ่งนี่ถูกจับไปแล้วจะได้ต่างคนต่างไปเสีย

    “..ขอโทษ”

    เสียงพึมพำข้างหูประโยคเดิมดังมาอีกครั้งพร้อมกับน้ำเสียงที่อ่อยลงกว่าคราแรก ตงหานระบายลมหายใจออกมาก่อนจะตอบกลับไป

    “…ไม่เป็นไร”

    คงต้องหาทางกำจัดทิ้งเร็ววัน เพราะดูท่าว่าหนามเล็กๆที่ชื่อเสี่ยวหยางนี่ มันจะไม่เล็กอย่างที่เขาคาดไว้ทีแรก.....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×