ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    M E S S A F T E R S T O R M "

    ลำดับตอนที่ #55 : สุริยะเคียงบัลลังค์ 11

    • อัปเดตล่าสุด 4 ส.ค. 59




    “ข้าไม่เข้าใจ!” ชายร่างใหญ่พูดพลางมองเขม็งไปยังคนตัวเล็กๆที่ยืนอยู่ข้างอาชาสีดำสนิทก่อนที่จะเลื่อนสายตาไปยังผู้ขี่อาชาตัวนั้นอย่างโมโห “ทำไมตงหานถึงไม่ฆ่าไอ้เด็กนั่นไปซะ!! ป่วนเราเสียขนาดนั้น!”

    “เพราะว่าเขาไม่ใช่นักฆ่าอย่างที่เราเข้าใจน่ะสิ” ซิ่นสือบังคับม้าให้มาอยู่ข้างๆก่อนจะหันไปมอง “ก็แค่เด็กปีนต้นมะพร้าวเพราะอยากลอง แต่เพราะยังไม่ยอมปริปากบอกอะไรมากกว่านั้นตงหานถึงได้ตัดสินใจแบบนั้น จะหนีเราก็ไม่แปลกเพราะว่าเรายิงใส่ ส่วนเรื่องที่มาป่วน ได้ข่าวว่าข้าโดนมากกว่าเจ้าข้ายังไม่ได้คิดอะไรเลยนะจินเกอ”

    จินเกอมองแผ่นหลังกว้างของคนที่อยู่เบื้องหน้าขบวนสิบห้าคนอย่างเอาเรื่อง และยิ่งไม่ชอบใจยามที่เห็นตงหานหิ้วร่างเล็กๆนั่นขึ้นมาแล้ววางไว้ด้านหน้าคล้ายกับตอนที่จับได้ ต่างกันที่ครั้งนี้มือนั้นไม่ได้ถูกมัดไว้ก็เท่านั้น 

    “ถึงอย่างไรนั่นก็เชลย เด็กอาจจะโกหกก็ได้ จะเชื่อได้มากแค่ไหนเชียว อาจจะเล่นทีเผลอก็ได้”

    “ถึงต้องให้ตงหานคุม” ซิ่นสือว่าต่อ “เป็นผู้ที่จับได้และคุมอยู่ ฉะนั้นถ้าเกิดเหตุอันใด ตงหานก็แก้เอง”

    “เจ้าดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจเกินไปรึเปล่าซิ่นสือ” จินเกอหรี่ตามอง แต่นั่นก็ไม่ทำให้ชายหน้าบากสะเทือน เพราะเขาเลิกคิ้วมองแล้วถาม

    “แล้วเจ้าจะเดือดร้อนอะไรเล่าจินเกอ” มุมปากของซิ่นสือกระตุกยิ้ม “ถ้าเด็กนั่นมีปัญหา ก็ฆ่าเสีย คราวนี้ไม่รอดเหมือนครั้งก่อนแน่”

    ม้าที่เริ่มออกฝีเท้าทำให้บทสนทนาถูกหยุดลง ซิ่นสือถอนหายใจเมื่อสามารถตัดบทไปได้ชั่วคราวขณะมองไปยังอาชาสีดำที่นำขบวนอยู่ไม่ห่างก่อนจะอดคิดกับตัวเองไม่ได้

    บอกแล้วไงว่าเจ้าปฏิบัติกับนางไม่เหมือนเชลย... โชคยังดีที่ยังไม่มีใครคลางแคลงว่าเชลยที่ว่าเป็นสตรี

    แต่เด็กงั้นรึ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

    ก่อนที่จะออกเดินทางเขาได้เข้าไปหาตงหานที่กระโจมเพื่อแก้ผ้าพันแผลที่น่องและพันที่ข้อเท้าทั้งสองข้างเพิ่ม เพราะทั้งกองโจรนั้นมีเขาคนเดียวที่รู้เรื่องการรักษามากที่สุด เสื้อของตงหานที่อีกฝ่ายสวมอยู่ทำให้อดไม่ได้ที่จะมองไปยังเพื่อนสนิทแบบเย้าแหย่ ก่อนที่เขาจะถาม

    ‘เจ้าอายุเท่าใดรึ?’

    นางทำหน้างงก่อนจะหันไปมองตงหาน ซึ่งอีกฝ่ายถอนหายใจยาวเหยียดก่อนจะพูดช้าๆคล้ายกับสอน ‘เจ้า อายุ เท่า ใด’

    แต่ผลปรากฎว่านางชี้มาที่ตัวเองแล้วทำหน้างงเสียยิ่งกว่าเก่า และนั่นทำให้เขารู้ได้ทันทีว่านางไม่เข้าใจภาษาแมนดาริน อาจจะรู้บ้างไม่กี่คำ เขาจึงลองชี้มาที่ตัวเองแล้วบอก ‘ข้าอายุยี่สิบเก้า’

    ‘ยี่...สิบ...เก้า’

    ดูน่าขันยามที่นางทวนตัวเลขพร้อมกับเหมือนพยายามทำความเข้าใจว่าเขาพูดอะไร ซึ่งเขาก็ชี้ไปที่ตงหานก่อนจะบอก ‘ตงหาน ยี่สิบห้า’

    ‘ยี่สิบห้า....’ ก่อนที่นางจะหันมามองเขาแล้วว่า ‘ยี่สิบเก้า’

    เขาพยักหน้ารับ ซึ่งนางเหมือนจะเข้าใจ ก่อนที่จะชี้มาที่ตัวเอง และเขาก็หลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นนางนับนิ้ว ก่อนจะตอบกลับมาว่า ‘สิบเก้า’

    ‘นางแก่กว่าที่ข้าคาด คิดเหมือนข้ารึเปล่าตงหาน’ ซิ่นสือหันไปถามด้วยรอยยิ้มขณะที่มือก็พันที่ข้อเท้าให้ ‘ข้าเดาประมาณสิบห้า คงเป็นเพราะนางตัวเล็กและไม่ได้ผัดหน้าด้วยกระมัง’

    ตงหานไม่ได้ตอบอะไรกับประโยคนั้นนอกจากถอนหายใจออกมาแล้วบอก ‘เจ้าคงต้องมาช่วยข้าสอน’

    ‘เจ้าเป็นครูที่แย่มาก’ ได้โอกาสซิ่นสือจึงย้ำเข้าให้เพื่อเอาคืนที่โดนเหน็บแนมเมื่อเช้า เขามัดปมผ้าพันแผลก่อนจะบอก ‘เอ้า เสร็จแล้ว ลองเดินดู’

    นางค่อยๆลุกขึ้นยืนก่อนจะลองบิดข้อเท้าไปมา ก่อนจะหันมามองเขาพลางว่า ‘ขอบคุณ’

    ‘ไม่เป็นไร’

    ไม่รู้ว่าคำว่าไม่เป็นไรของเขามันทำไม เพราะนางหันไปหาตงหานก่อนจะยิ้มร่าออกมาจนอีกฝ่ายตัดบทโดยการเดินออกจากกระโจม นางโค้งตัวให้เขาก่อนจะเดินตามไป แต่จู่ๆก็หันมาทางเขาพร้อมกับชี้หน้าและแขนตัวเองก่อนจะว่า ‘ขอโทษ’ ก่อนจะเดินออกจากกระโจมไป ทิ้งให้เขาแปลกใจกับการที่จู่ๆได้รับคำขอโทษ และอีกอย่างคงจะขำกับภาพที่เห็น

    ไม่รู้ทำไม เหมือนลูกหมากับเจ้าของ.... เพราะดูแล้วเสี่ยวหยางเองก็จะเริ่ม ‘ติด’ ตงหาน และถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเองเขาคงไม่เชื่อแน่ว่าสตรีตรงหน้าเป็นคนเดียวกับที่ป่วนกองโจร และถีบหน้าเขา

    แต่ไม่พอ แค่นั้นไม่พอที่จะทำให้ชายหนุ่มอย่างตงหาน ‘สนใจ’ ได้หรอก 

    ให้ตายสิ เขาอยากจะรู้จริงๆว่าระหว่างสองคนนี้เกิดอะไรขึ้นมันถึงได้เปลี่ยนจากฟ้าเป็นดินได้ในช่วงเวลาไม่สิบสองชั่วยาม แถมไม่รู้ว่าตงหานจะรู้ตัวรึเปล่า ว่าตนเองปฏิบัติกับเสี่ยวหยางไม่เหมือนเชลย



    “ลูกว่าจะลงไปดูความเป็นอยู่ของประชาชนพะยะค่ะ”

    “จะดีรึเหวินเจี้ยน” ชายสูงวัยไอออกมาเล็กน้อยก่อนจะว่าต่อ “เจ้าบาดเจ็บมาเพิ่งจะดีขึ้นเองไม่ใช่รึ”

    “เหลือเพียงแค่บาดแผล อาการเจ็บลูกแทบไม่รู้สึกแล้วพะยะค่ะ” เหวินเจี้ยนประคองแก้วโอสถให้บิดาตน “เสด็จพ่อรู้สึกเช่นไรบ้างพะยะค่ะ?”

    “อาการของฝ่าบาทดีขึ้นตั้งแต่ที่องค์ชายปลอดภัยกลับมาพะยะค่ะ” หมอหลวงจิ้นฝูทูล ซึ่งฮ่องเต้ก็พยักหน้ารับ ใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวบ้างตามวัยเกือบหกสิบแย้มสรวลก่อนจะลูบศีรษะบุตรชายอย่างเอ็นดูพลางถาม “เจ้ามีอะไรในใจรึ?”

    “เหตุใดทรงถามลูกเช่นนั้น?”

    “ก็ดูเจ้าเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง แถมดูจะเหม่อด้วย” ฮ่องเต้ยักคิ้วใส่อย่างรู้ทันก่อนจะดึงให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้พอที่จะได้ยินกันเพียงแค่สองคน “ถึงแม่นางเสี่ยวหยางรึ?”

    สีหน้าของเหวินเจี้ยนดูแปลกใจในคำของบิดาที่ตอนนี้หัวเราะออกมาจนไอ ฮ่องเต้ของแผ่นดินโบกมือไล่พลางบอก “ถ้าจะไป ค่อยไปพรุ่งนี้เหวินเจี้ยน พักอีกสักวันให้หมอหลวงดู”

    “….พะยะค่ะ” 

    “ส่วนเรื่องเมื่อครู่” ฮ่องเต้ทอดกายนอน สายตามองบุตรชายของตนอย่างอ่อนโยนก่อนจะว่า “คนเป็นพ่อย่อมคาดเดาเรื่องในใจลูกตนเองได้... ขอให้เจ้ามีความสุขก็เพียงพอลูกข้า”

    เหวินเจี้ยนคำนับให้บิดาตนเองก่อนจะเดินออกมาจากตำหนัก หลังจากที่ได้รับการรักษารวมถึงพักผ่อนอย่างเพียงพอ ทำให้อาการของเขาดีขึ้นมากภายในวันเดียวจนเหลือเพียงอาการเจ็บยามที่ถูกกระทบกระเทือนโดยตรง แต่ยามนี้คิ้วโก่งสวยขององค์ชายหนุ่มกลับขมวดมุ่น

    เหตุใดบิดาเขาจึงรู้ได้ว่าเสี่ยวหยางเป็นสตรี? แล้วเรื่องที่ตรัสหมายความเช่นไรกัน?

    “องค์ชาย”

    เหวินเจี้ยนหันไปตามเสียงเรียกก็พบกับแม่ทัพหลี่แล้วก็ต้องลอบถอนหายใจ คงไม่พ้นมาเรื่องกริชสินะ...

    “กระหม่อมให้คนไปสำรวจบริเวณนั้น พบคราบเลือดและรอยเท้าม้าบริเวณโดยรอบ และมีลูกดอกหน้าไม้และธนูอยู่พะยะค่ะ”

    “!? เจ้าว่าอะไรนะ” เหวินเจี้ยนหันไปมองทันที ก่อนที่เนตรคมสวยจะหรี่ลงแล้วถาม “เจ้ายังมีอะไรที่ไม่ได้บอกข้า แม่ทัพหลี่ สาส์นนั้นคืออะไร”

    “แจ้งเตือนถึงพวกกวงเหิงเหอ และกองโจรที่อยู่รอบๆนั้นพะยะค่ะ” แม่ทัพหลี่คำนับ “พวกมันจะไม่หยุดจนกว่าจะปลิดชีพองค์ชายได้สำเร็จ การที่องค์ชายยังมีชีวิตอยู่คงเป็นเรื่องไม่น่ายินดีสำหรับพวกมัน”

    เหวินเจี้ยนกระตุกยิ้ม

    “และอีกประการ... ยิ่งมีกริชของราชวงศ์หยางอยู่กับตัว ข้าไม่คิดว่าเสี่ยวหยางจะ...”

    “อย่าปากพล่อยไป” เหวินเจี้ยนตวัดสายตามองทันที “ข้าเชื่อว่าเสี่ยวหยางเอาตัวรอดมาได้ ต่อให้มันจะมีหลักฐานว่าบริเวณนั้นมีการต่อสู้ แต่ข้าไม่คิดว่าเสี่ยวหยางจะตาย”

    “ขอประทานอภัย แต่กระหม่อมขอถาม” แม่ทัพหลี่ขมวดคิ้ว “เหตุใดพระองค์จึงเชื่อในตัวเสี่ยวหยางเสียขนาดนั้นทั้งที่เพิ่งพบกันไม่กี่วัน”

    คำถามนั้นทำให้เหวินเจี้ยนต้องย้อนกลับมาคิด แต่แล้วคำตอบที่ผุดขึ้นมาและตอบออกไปก็คือ “ความรู้สึก”

    “อะไรนะพะยะค่ะ?”

    “…เสี่ยวหยางไม่ได้มุ่งร้าย และมีความสามารถ นั่นคือที่ข้ารู้” เหวินเจี้ยนมองแม่ทัพตรงหน้า “และข้ารบกวนท่านให้เลิกคิดที่จะป่าวประกาศจับเสี่ยวหยางเสีย หากเขาคิดร้ายหรือเป็นนักฆ่าที่จ้องตลบหลังข้าจริง เขาคงไม่ทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยข้าโดยไม่คำนึงว่าการต่อยหน้าข้าจะมีผลอย่างไร”

    “….พะยะค่ะ”

    “มีแค่นี้ใช่ไหมเรื่องที่จะบอกข้า?”

    “พะยะค่ะ” แม่ทัพหลี่คำนับ “งั้นกระหม่อมทูลลา หากมีข่าวอันใดจะแจ้งให้ทราบเพิ่มเติมพะยะค่ะ”

    เหวินเจี้ยนพยักหน้า ลับหลังแม่ทัพหลี่ไปก็ต้องถอนหายใจอีกครั้ง เขาจะบอกได้อย่างไรเล่าว่าเสี่ยวหยางไม่รู้ว่าเขาเป็นองค์ชาย อาจจะเป็นคนต่างแดนที่บังเอิญมาพบเขาที่กำลังจะจมน้ำ เพราะที่เขาเชื่อว่านางยังไม่ตายเพราะว่าสตรีที่สามารถเอาตัวรอดกลางป่าและช่วยเขาได้โดยที่ไม่มีอะไร เผยให้เห็นถึงไหวพริบ เขาเชื่อว่านางสามารถเอาตัวรอดมาได้แน่ 

    “ข้าทั้งอยากเจอและไม่อยากเจอเจ้าจริงๆเสี่ยวหยาง...”

    จะมีทางใดที่ทำให้ทุกคนไม่อคติเรื่องที่นางไม่ใช่ชาวจีนได้



    ตะวันเอี้ยวตัวมองด้านหลังที่เป็นทางออกจากป่าเป็นถนนเส้นเดียว ก่อนจะมองไปยังคนที่ควบม้าตัวที่เธอนั่งอยู่ด้วยอาการสงสัย 

    ทำไมถึงมีแค่ตงหานคนเดียวล่ะ?​ แล้วคนอื่นๆทำไมไม่มา?

    “คนอื่นๆล่ะตงหาน”

    “….”

    “ได้ยินรึเปล่าเนี่ย”

    “…ข้าว่าข้าสั่งแล้วไม่ใช่รึว่าห้ามพูดอังกฤษ” ชายหนุ่มยอมตอบพร้อมถอนหายใจ แต่เธอก็ยักไหล่ก่อนจะว่า

    “นี่มีแค่นายกับฉัน แถมอยู่บนหลังม้า ไม่มีใครได้ยินหรอก” เธอพยายามเงยหน้ามองชายด้านหลังก่อนจะถามย้ำ “คนอื่นๆทำไมไม่มา”

    “…เดี๋ยวตามมาทีหลัง” ตงหานตอบ เธอพยักหน้าอย่างไม่ติดใจอะไรก่อนที่จะบ่น

    “ให้ตายเถอะ ฉันเมื่อยก้น”

    “เจ้านี่มัน....” เหมือนจะได้ยินเสียงคล้ายไม่ค่อยพอใจ ทำให้เธอต้องเถียง

    “อะไร? ฉันไม่เคยนั่งบนหลังมาทีเกือบทั้งวันแบบนี้นะ ฉันเมื่อยก้นแล้วผิดตรงไหน”

    “สำรวมซะบ้าง”

    “ฮะ? สำรวมยังไง?” เธอหน้างงก่อนจะถามขณะที่หรี่ตาลงเพราะลมมันตีหน้าเสียจนแสบตา “นายไม่ให้ฉันลงจากม้าฉันก็อยู่แต่บนหลังม้า ไม่ให้ฉันพูดฉันก็ไม่พูด อันที่จริงอยู่บนม้ากับนายก็คุยได้แค่นาย ฉันก็เงียบอย่างที่นายสั่งแล้วไง”

    “ไม่ใช่เรื่องนั้น” เป็นอีกครั้งที่เธอได้ยินเสียงถอนหายใจเหนือหัว ก่อนที่อีกฝ่ายจะว่า “ใช้คำอะไรของเจ้า อีกอย่างเจ้าไม่ต้องพูดก็ได้ มันไม่งาม”

    อะไรไม่งามวะ? เธอขมวดคิ้วพลางนึกทวน เธอแค่บอกว่าเมื่อยก้น... นี่อยากบอกนะคำว่า ‘my ass’ นี่มันไม่งาม?

    โว้ยยยยย อยากจะบ้า!!! 

    “เจ้าจำประโยคที่ซิ่นสือถามได้ไหม?” คำถามจากชายหนุ่มทำให้เธอออกจากความคิดตัวเอง เธอส่ายหน้าขณะที่ปากตอบ

    “ฉันจำประโยคไม่ได้ แต่ตอนนั้นเขาถามว่าฉันอายุเท่าไหร่ใช่ไหม”

    “ใช่” ตงหานเงียบไปครู่ก่อนจะถาม “ตอนที่เจ้าสื่อสารกับเขาเป็นแบบนี้หรือเปล่า?”

    “เขา? เหวินเจี้ยนน่ะนะ”

    “อืม”

    “แบบนี้นี่แบบไหน?” เธอขมวดคิ้วก่อนจะอธิบายโดยไม่รอคำตอบ “ตอนที่เขาสอน เหมยซื่อ กับเหมยกวานซี ให้ฉัน เพราะเขาขอบคุณฉันแล้วก็ย้ำให้ฉันพูดเหมยซื่อ แต่กว่าฉันจะเข้าใจว่าเขาจะสื่ออะไรก็นานอยู่”

    “เขาขอบคุณเจ้า?”

    “ใช่ ฉันเป็นคนปิ้งหน่อไม้ ก็เลยยื่นให้ อ้อ จุดไฟ หาน้ำ แล้วก็ปฐมพยาบาลให้เหวินเจี้ยนด้วยนะ” เธอว่าอย่างปลื้ม ก่อนที่ตงหานจะถาม

    “แล้วเหตุใดเจ้าถึงไปปีนต้นมะพร้าว”

    “ฉันจะปีนทำไมถ้าฉันจะไม่ขึ้นไปเก็บมะพร้าว”

    “….”

    “ฉันต่างหากที่ต้องถาม ฉันอยู่บนต้นไม้อย่างนั้นนายเห็นฉันได้ยังไง”

    “…แค่เลียบฝั่ง เงยหน้าสักนิดก็เห็นได้” ชายหนุ่มตอบ “และอีกประการ คนปกติดีๆเขาไม่ปีนต้นมะพร้าวกัน”

    “นี่หาว่าฉันบ้าเหรอ!?”

    “มีคำอื่นที่เหมาะกับเจ้าอีกรึ?” เหมือนอีกฝ่ายจะถามเสียงสูง แต่ไม่จบแค่นั้นเหมือนตงหานไม่รอให้เธอเถียง เพราะเขาสาธยายต่อ “กระโดดลงจากต้นมะพร้าว ลอดใต้ท้องม้า กระโดดข้ามม้า เจ้าทำได้ยังไง”

    “ฉันเคยฝึกมาอยู่ กระโดดแบบนั้น” เธอว่า “กรีฑามันแบบออกเป็นหลายแบบ ถึงจะไม่ใช่แบบที่ฉันเล่นอยู่แต่ฉันก็เคยฝึกกระโดดใช้ไม้แบบนั้น เอาจริงๆวันนั้นฉันวัดดวงกับตัวเองทั้งวัน” เธอเล่าราวกับเป็นประสบการณ์น่าสนุกสนานก็ไม่ปาน “ทั้งว่ากระโดดลงจากต้นมะพร้าวมาอีกต้นจะได้ไหมบ้างล่ะ จะหนีจากพวกนายพ้นไหมบ้างล่ะ จะกระโดดข้ามพ้นไหมบ้างล่ะ เยอะแยะ ทั้งที่ถ้าพวกนายไม่มีม้าอย่าหวังว่าจะจับฉันได้ และถ้าฉันขึ้นม้าไม่พลาดนายก็หมดสิทธิ์จับฉันได้เหมือนกัน”

    “ฟังแล้วเจ้าเองไม่มีความมั่นใจที่จะทำได้ ไฉนถึงทำ?”

    “ไม่ทำฉันก็ตายแน่นอนสิ” เธอตอบแบบอีกฝ่ายถมแปลกๆ “ฉันมีทางเลือกด้วยเหรอ บอกแล้วไงฉันจะทำทุกอย่างที่รู้เพื่อให้ตัวเองรอด เหมือนกับตอนที่มาที่นี่แรกๆ ฉันไม่อยากจะอวดหรอกนะ แต่ฉันต้องขุดเอาความรู้ที่มีในสมองคนโง่ๆไม่ค่อยชอบจำอย่างฉัน มาปฐมพยาบาลเหวินเจี้ยน ไม่นับช่วงเวลาสามวันที่ต้องจุดไฟ หาน้ำและอาหาร ฉันไม่เคยทำสักอย่าง โชคยังดีที่มีกริชเล่มนั้น นั่นช่วยชีวิตสุดๆเลยล่ะ”

    “เจ้าไปเจอเขาได้ยังไง?”

    “ฉันโผล่มาจากกลางแม่น้ำ ตอนที่ว่ายกลับฝั่งแล้วเห็นหมอนั่นเกาะอะไรสักอย่างแล้วจม ฉันเลยไปช่วย” ตะวันเล่าเหมือนเล่านิทาน แหงสิ เงียบมาทั้งวันเธอก็อยากพูดบ้างนะ และเอาจริงๆเธอก็อยากจะอวดเหมือนกันแหละ เธอยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธออยู่รอดมาได้ถึงตอนนี้!

    “เจ้าเอาเขามาอยู่ตรงกองไปตรงนั้นได้อย่างไร? มันไกลพอสมควร”

    “ถามแปลกๆ ฉันก็แบกมาสิ”

    “….อะไรนะ?” เหมือนจะได้ยินตงหานถามเสียงสูงเหมือนไม่อยากจะเชื่อ และนั่นก็ใช่ เพราะเขาถามย้ำ “เจ้าบอกว่าเจ้าแบกเขามางั้นรึ?”

    “นี่! ถึงฉันจะเตี้ยแต่ฉันบอกแล้วไงว่าฉันฝึกมา แค่ผู้ชายหนักกว่าตัวเองคนเดียวแค่นั้นฉันยกได้อยู่แล้ว ถึงจะมีเกราะเสริมเข้าไปด้วยทำให้นัก และเกราะนั่นก็ถอดยากบรรลัยเลย จะช่วยป้องกันหรือเร่งให้ตายเร็วก็ไม่รู้”

    “…”

    “จริงๆฉันก็อยากจะเล่าเยอะกว่านี้สำหรับความลำบากของฉันในช่วงที่ดูแลเหวินเจี้ยน หมอนั่นนี่ตัวถ่วงชัดๆเลย แต่ช่างเถอะ ฉันไม่อยากจะด่าคนป่วยและคนเจ็บ”

    “… มีอีกประการที่ข้าอยากจะรู้”

    “ว่า?”

    “ตอนที่เจ้าหลบลูกธนูในรอบแรก ระยะแค่นั้นเจ้าหลบพ้นได้ยังไง รวมถึงรอบที่สองด้วย”

    “ปฏิกิริยาไง”

    “หมายความเช่นไร?”

    “อะไรเนี่ย นายเป็นนักรบไม่ใช่เหรอ” เธอว่าอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงดูจะงงกับสิ่งที่เธอว่า “ปฏิกิริยาของพวกเขา สายตา กล้ามเนื้อ ถึงตาฉันจะไม่ดีแต่ก็พอจะเห็น และนักกีฬากรีฑาแบบฉันต้องอาศัยความเร็วในการออกตัว ถึงจะยากเพราะเปลี่ยนจากหูมาเป็นตา แต่มันก็คล้ายๆกัน พอฉันเห็นมือเขาขยับนิดนึงฉันก็หลบ และฉันไม่อยากจะบอกว่าฉันออกตัวเร็วที่สุดในทีม” เธอหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะว่าต่อ “ฉันเองก็ไม่คิดว่าจะพ้นหรอก แต่ถ้าไม่พ้นมันคงเจาะกลางหัวฉันแน่ เพราะงั้นถือว่าฉันมีเรื่องสนุกๆไว้เล่าติดตัวเพิ่ม ใครจะเชื่อไหมเนี่ย ฮ่าๆๆ”

    เธอหัวเราะโต้ไปกับลมอยู่ชั่วครู่ และน่าแปลกที่ตงหานเองก็ไม่ได้ว่าอะไร อาจจะเป็นเพราะลมมันดังและยังไงก็ไม่มีใครได้ยิน เธอบิดคอตัวเองคลายเมื่อยเล็กน้อยก่อนจะถามขณะที่เลื้อยไปกับม้า “นี่ ฉันขอนอนได้ไหม...”

    “ม้าข้าไม่ใช่ที่นอนเจ้า” น้ำเสียงนั้นเหมือนจะดุ โดยเฉพาะประโยคหลัง “ตอนที่ข้าจับเจ้ามาตอนแรก ขนาดมัดมือไพล่หลังเจ้ายังหลับคาม้าข้า”

    “ก็ฉันง่วง... นี่ยังนอนไม่เต็มอิ่มเลยสักครั้งตั้งแต่มาที่นี่” เธอปิดเปลือกตาลงขณะที่ปากยังว่าไปเรื่อย “ไม่ให้ฉันนอนพิงม้าแล้วจะให้พิงอะไร อกนายรึไง?”

    “….”

    “นี่ฉันว่าตัวเองเป็นคนหลับง่ายกินง่ายนะที่นอนบนม้าได้ทั้งที่ไม่เคย แต่ก็ไม่แปลกมั้ง เพราะฉันเพลียจัด... ปวดขาด้วย... ปวดไปทั้งตัว เพราะงั้นถึงแล้ว... ปลุกด้วยนะตงหาน”

    เหมือนจะได้ยินประโยคอะไรสักอย่างแต่เธอไม่ได้ฟัง ยิ่งหูเธอไม่ได้ใกล้กับปากอีกฝ่ายและมีลมตีอย่างนี้ทำให้ถ้าไม่ตั้งใจฟังก็คงไม่ได้ยิน ม้าที่สั่นๆจากการที่มันควบวิ่งดูจะเป็นปัญหาเล็กน้อย แต่อย่างที่บอก อย่างน้อยๆตอนนี้หน้าเธอก็ไม่ได้แนบไปกับม้าแต่มีมือรอง และเธอก็ไม่คิดว่าจะไปกดม้า เธอพยายามลู่ตัวไม่ให้โดนลมมากเพราะเธอรู้สึกครั่นตัวไปหมด ให้ตายเถอะ เธอไม่เคยเจ็บหนักขนาดนี้มาก่อนจริงๆ อาจจะเพราะเธอล้าไปหมด จนรู้สึกเหมือนกับว่ามีมือมาจับที่หน้าผากทำให้เธอเผลอเรียกออกไปตามสัญชาตญาณ

    “แม่...”

    เหมือนจะรู้สึกว่ามือนั้นชะงักไปเล็กน้อยก่อนทำท่าจะถอนออก ทำให้มือทั้งสองข้างของเธอที่ใช้หนุนเอื้อมไปดึงไว้ทันที ก่อนที่เธอจะพึมพำ “แม่... คิดถึงกับข้าวฝีมือแม่จัง...”

    มุมปากของเธอยิ้มน้อยๆราวกับอยู่ในห้วงฝันดี เธอมุดมือที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นนั่น นานแล้วที่ไม่มีคนเป็นห่วง เกือบสองปีที่ไม่ได้กลับบ้านและใช้ชีวิตอยู่คนเดียวและต้องแข็งแรงเสมอ มันไม่มีหรอกการที่เป็นห่วงนักกีฬาว่าจะเจ็บป่วย และคนเดียวที่เป็นห่วงเธอตอนที่เธอป่วยก็คือแม่เท่านั้น...

    แต่เธอคงไม่รู้ตัว ว่าทำให้อีกคนลำบากใจขนาดไหน

    ตงหานไม่เคยรู้สึกหนักใจเท่านี้มาก่อน แม้จะลองดึงมือออกแล้วแต่สตรีตรงหน้านี่ก็จับไว้แน่น ใบหน้าที่น่าจะชาจากการโต้ลมรู้สึกร้อนผ่าวเมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรนิ่มๆที่มาถูไถกับฝ่ามือ

    เกิดมายี่สิบห้าปียังไม่เคยถึงเนื้อถึงตัวสตรีคนใดเท่าสตรีเบื้องหน้านี่.... และเขาไม่ใช่คนเข้าหาเสียด้วย

    จะว่าใช้เข้าหาก็ไม่ได้ เสี่ยวหยางไม่ได้สนใจเขาแบบนั้น

    ‘แต่เวลาผ่านไปแค่ข้ามคืนเจ้ากลับผ่อนปรนนางเสียขนาดนั้น แถมขอร้องข้าเช่นนั้นอีก ไม่คิดว่ามันผิดวิสัยไปหน่อยรึ?’

    ประโยคที่สนทนากับซิ่นสือเมื่อย่ำรุ่งวันนี้เข้ามาในหัวนั่นทำให้ชายหนุ่มต้องสบถในลำคออย่างหงุดหงิดร่างกายของตัวเองที่ไปก่อนใจจะสั่ง เพราะเพียงแค่เห็นนางคู้ตัวแถมยังดูหลับเร็วทั้งที่อยู่บนหลังม้าทำให้เผลอเอื้อมมือไปสัมผัสหน้าผาก ตงหานดึงมือข้างที่ถูกซบออกและครั้งนี้ก็ถูกดึงออกโดยง่ายคงเพราะเสี่ยวหยางหลับไปแล้ว แต่กระนั้นความหงุดหงิดในใจก็ไม่ได้ลดเลย

    เพราะให้คำตอบตัวเองไม่ได้ ว่าทำไมถึงโอนอ่อนให้กับสตรีตรงหน้านี่อย่างง่ายดายเพียงนี้ทั้งที่เพิ่งเจอกันและนางก็อยู่ในฐานะเชลยของเขา ที่สำคัญ นางไม่ได้ใช้มารยาหรือบีบน้ำตาให้เขาใจอ่อนหรือสงสาร ถ้าทำแบบนั้นอาจจะง่ายกว่าอย่างที่นางทำกับเขาแบบนี้ แต่ถ้านางเป็นบุรุษ ก็อาจจะไม่รับประกันว่าที่นางพูดหรือทำมาจะทำให้เขาเชื่อและยอมเช่นตอนนี้

    “…ข้าน่าจะฆ่าเจ้าตั้งแต่แรก”

    เพราะตอนนี้รู้สึกเหมือนนางไม่ต่างอะไรกับหนามเล็กๆในใจที่มันทำให้รำคาญ แต่คงรำคาญตนเองเสียยิ่งกว่าเมื่อตอนนี้กลับทำอะไรนางไม่ค่อยลง 

    “…ทำไปแล้วอย่างกับนางรู้สึก โดนไปขนาดนั้นยังมีหน้ามาเชื่อใจข้าอีก”

    ….

    “ข้าจะฆ่าเจ้าให้ได้สักวัน เสี่ยวหยาง”




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×