ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    M E S S A F T E R S T O R M "

    ลำดับตอนที่ #54 : สุริยะเคียงบัลลังค์ 10

    • อัปเดตล่าสุด 3 ส.ค. 59



    ตะวันแหงนหน้ามองที่หน้ากระโจมเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา และเพียงอึดใจกระโจมก็ถูกแหวกออกโดยผู้เป็นเจ้าของ ตงหานเดินเข้ามาโดยปรายตามองเธอเพียงเล็กน้อยก่อนจะล้มตัวนอนกับที่นอนโดยไม่แม้แต่จะสนทนาอะไรแม้แต่คำเดียว

    ใช่ซี่.... เมื่อไม่นานมานี้หมอนั่นเพิ่งจะมัดขาเธอกับเสาไม้แถวปลายที่นอนที่เหมือนเอาผ้าหลายชิ้นมาทับกันพร้อมกับโยนเสื้อผ้ามาใส่หัวเธอและออกไปนอกกระโจม 

    ฉันไม่ใช่ลิงเก็บมะพร้าวที่ต้องมัดไว้กลัวหนีนะโว้ย!!!

    ตะวันจิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์ขณะมองเชือกที่มัดข้อเท้าขวาเธออย่างเซ็งๆ อาวุธเพียงชิ้นเดียวถูกยึดไปแต่เธอจะไม่คิดมากเลยถ้ามันไม่ใช่ของเธอ! มันเป็นกริชของเหวินเจี้ยนที่ดูราคาโคตรแพง ถ้าตงหานไม่คืนเธอแล้วเธอต้องทำงานกี่ชาติกว่าจะหามาใช้คืนเหวินเจี้ยนได้วะ

    แล้วขอโทษนะพี่ชาย.... เสื้อผ้ามีเล็กกว่านี้ไหม... เสื้อนี่มันก็จะร่วงลงมาถึงเสื้อในเธออยู่รอมร่อจนต้องใส่ร่นไปด้านหลัง กางเกงไม่ต้องพูดถึงเพราะเสื้อนรกนี่มันก็จะยาวถึงตาตุ่ม เท่าที่ดูมันก็ถือว่ายาวถ้าตงหานเป็นคนใส่ อาจจะใส่ในกางเกงทำให้ดูทะมัดทะแมง แต่ช่วยดูหน่อยเถอะโว้ย! ฉันกับแกตัวเท่ากันรึไง!! ที่สำคัญกว่านั้น หมอนั่นยึดรองเท้าผ้าใบคู่เก่งของเธอ!!!

    “ตงหาน"

    “….”

    “ตงหาน”

    “…..”

    หลับเร็วเกินไปรึเปล่า? เมื่อไม่ถึงสองนาทีที่แล้วเธอยังเห็นเขาหยิบอะไรมาดูอยู่เลยเถอะ ตะวันเดินเข้าไปใกล้ในระยะที่เชือกที่มัดข้อเท้าเธอจะยืดถึง แม้ว่าเวลาเดินลงน้ำหนักแต่ละข้างมันจะเจ็บแปลบแต่ก็ไม่เป็นปัญหามากไปกว่าขาซ้ายที่ถูกไม้เสียบทะลุเมื่อวานที่ตอนนี้เธอแทบจะลากมันเดินอยู่รอมร่อ เธอยื่นหน้าเข้าใกล้ ลมหายใจที่สม่ำเสมอนั่นบ่งบอกว่าอีกฝ่ายคงหลับไปแล้ว เธอขมวดคิ้วก่อนจะตัดใจเรื่องเสื้อผ้าและรองเท้าพลางเอื้อมมือไปดึงผ้าขึ้นมาห่มให้

    เธอเองก็ง่วง... เมื่อคืนก็ไม่ค่อยได้นอนหลังจากที่โดนปลุกเพราะตงหานพยายามดึงไม้ออกที่ขา และทำไปทำมาเธอก็เจ็บจนไม่ได้นอนหลังจากที่ดึงออกแล้ว เธอลุกเดินไปนั่งพิงกับเสาไม้ที่มัดขาของตน อาศัยเสื้อตัวยาวๆนี่กันดินและฝุ่น แม้น่องจะเจ็บแต่เธอก็ฝืนที่จะชันเข่าขึ้นมา สองแขนกอดเข่าไว้ก่อนจะฟุบหน้าลงกับแขนตัวเอง

    อยากจะชวนตงหานคุยเพราะเขาคุยกับเธอรู้เรื่อง แต่จะเป็นใครก็ได้เธอแค่อยากจะคุยหรืออยากจะทำอะไรเพื่อที่ไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่าน เธอย้อนอดีตมาแปดร้อยกว่าปีและมาที่จีนได้ยังไง และเธอจำก่อนที่เธอจะตื่นขึ้นมากลางหนองน้ำนั่นไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

    “แม่จะรู้รึเปล่านะ... ขอให้มันเหมือนในหนังที่ย้อนอดีตมาแล้วกลับไปเริ่มที่ก่อนจะมาเถอะ..."

    ไม่อยากให้พวกเขาเป็นห่วง... แต่เธอจะกลับไปได้ยังไง น่ีแหละเรื่องใหญ่ตอนนี้ ชีวิตที่นี่ดูจะแขวนบนเส้นด้ายเพราะเธอสู้ไม่เป็นและไม่รู้อะไรเลย สิ่งที่เธอมีพอที่จะเอาชีวิตรอดคือร่างกายนี้ที่ถูกฝึกจากการเป็นนักกีฬากรีฑามา เธอไม่ค่อยชอบจีนทำให้ไม่รู้ประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรมของมัน สิ่งที่ชอบมีแค่หนังจีนกับการที่อยากจะไปพิชิตกำแพงเมืองจีนเท่านั้น

    “รู้งี้ทนๆเรียนไปก็ดี... แต่ใครจะคิดว่าได้มาจีนล่ะวะ... ไม่ได้มาธรรมดาแต่ย้อนอดีตมาด้วยแม่ง...”

    Xiǎoyáng

    “หือ?” เธอเงยหน้ามองตามเสียงทุ้มที่เรียก ก็พบว่าตงหานได้มายืนอยู่ตรงหน้าเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบได้ เธอเผลอถามออกไปเป็นภาษาไทย “ตื่นแล้วเหรอตงหาน หลับไปแปปเดียวเองนี่”

    ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกก่อนจะพูดเป็นภาษาอังกฤษโดยที่ลดเสียงลงให้ได้ยินกันสองคน “ข้าบอกเจ้าว่าห้ามใช้ภาษาบ้านเกิดเจ้า ลืมแล้วรึ?”

    เธอสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะยิ้มแห้งๆพลางว่า “ตุ้ยปู้ฉี่...”

    “มีอีกเรื่องที่ข้าลืมบอกเจ้า” ตงหานว่าต่อ “ห้ามพูดกับคนอื่นไม่ว่าใครก็ตาม และมีอีกคนหนึ่งไว้ข้าจะให้เจ้าไปรู้จักหากมีโอกาส คนที่ยิงขาเจ้าหากเจ้าจำได้”

    “เยี่ยมมาก ให้ฉันไปรู้จักคนที่ยิงฉัน” เธอหัวเราะ ก่อนจะยักไหล่ “แต่ช่างเถอะ หน้ากับแขนเขาน่าจะมีรอยเท้าฉันเพราะงั้นเสมอกัน”

    ตงหานออกอาการประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะว่าต่อ “อย่าได้ใว้ใจใครเด็ดขาด จำไว้ว่าถ้าพวกเขารู้ว่าเจ้าพูดอังกฤษได้ เจ้ามีสิทธิ์โดนประหาร”

    “งั้นฉันถามสองข้อสิ” เธอว่า “ทำไมนายไม่ฆ่าฉัน ทั้งที่ตอนแรกจะฆ่าไม่ใช่เหรอ?”

    “…เพราะการเคลื่อนไหวของเจ้า” ตงหานถอนหายใจ “การเคลื่อนไหวระดับนั้นแสดงถึงการถูกฝึกมาอย่างดี และเจ้าคนเดียวทำฝั่งข้าป่วนไปหมด นั่นทำให้ข้าคิดว่าเจ้าเป็นนักฆ่ามือดีที่อาจจะลอบสังหารคนสำคัญ

    “ฉันควรดีใจไหมเนี่ย” เธอหัวเราะเสียงต่ำ “ถ้าฉันเป็นนักฆ่าจริงฉันฆ่านายไปตั้งแต่แรกไม่ดีกว่ารึไง อีกอย่างแถวนั้นคนสำคัญมีที่ไหนกัน"

    “ข้าใช้รูปประโยคอดีต” ตงหานหรี่ตามองก่อนจะถอนหายใจ “แต่หลังจากจับเจ้ามาก็มีหลายอย่างที่ไม่เหมือนมือสังหาร ไม่สิ ไม่มีส่วนไหนเหมือนแม้แต่นิดเดียว”

    “อือฮึ ขอบคุณนะ”

    “ขอบคุณข้าเรื่องอันใด?” ชายหนุ่มตรงหน้าเธอดูจะไม่เข้าใจ มันน่าเข้าใจยากตรงไหนกัน? ถึงจะคิดแบบนั้นแต่เธอก็ตอบ

    “ก็ที่ตอนนี้ยังไม่ฆ่าฉัน” ตะวันยิ้มร่า “อันที่จริงตั้งแต่นายได้ยินฉันพูดอังกฤษ นายจะฆ่าฉันเลยก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาเค้นคอหรอก”

    “อะไรของเจ้า”

    “ช่างเถอะ นายอาจจะคิดไม่ถึง” เธอหัวเราะคล้ายเยาะเย้ยจนคิ้วโก่งเรียวของตงหานขมวดมุ่น ใช่ เธอด่าทางอ้อมว่าโง่นี่เอง เธอยักไหล่ก่อนจะอธิบาย “เพราะถ้าฉันตาย ก็จะไม่มีใครรู้ว่านายพูดอังกฤษได้ และถ้าฉันเป็นนักฆ่าด้วยก็เหมือนยิงปืนครั้งเดียวได้นกสองตัวไง”

    “ข้าไม่มีปืนของตะวันตก อีกประการ ข้าไม่ได้ยิงนก”

    “….” เป็นเธอเสียเองที่เงิบ ก็ใช่ที่ภาษาอังกฤษมันใช้คำตรงตัว แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าผู้ชายตรงหน้าจะซื่อบื้อขนาดนี้ หมอนี่มัน.... คิดแค่นั้นเธอก็หัวเราะออกมาลั่นกระโจมจนตงหานต้องปิดปากไว้

    “หัวเราะอะไรของเจ้า! ไร้ความเป็นกุลสตรีสิ้นดีเสียงดังเช่นนั้น”

    ตงหาน!! แกช่วยเข้าใจหน่อยว่ามันตลก! อีกอย่างการที่แกเถียงมาหน้าเคร่งๆมันน่ารักเกินไปแล้วโว้ยยยย!! 

    “นายจะให้ฉันปลอมเป็นผู้ชายอยู่แล้วไม่ใช่รึไง? ฮ่าๆๆ ไม่เป็นไรหรอกน่า” เธอโบกไม้โบกมือพยายามเอามือหนาที่จะตรงมาปิดปากของเธออีกครั้งออก ก่อนจะอธิบายทั้งที่พยายามกลั้นหัวเราะ “มันเป็นสุภาษิต มีความหมายว่าทำอย่างเดียวแต่ได้ประโยชน์สองอย่าง กรณีที่ฉันพูดคือนายฆ่าฉัน นายก็ไม่ต้องเสี่ยงว่าฉันจะเป็นนักฆ่าและฉันจะทำให้นายซวยว่านายเองก็พูดอังกฤษได้ เข้าใจปะ?”

    “…”

    “เงียบนี่เข้าใจรึเปล่าเนี่ย?”

    “…คิดว่า” ชายหนุ่มตรงหน้าถอนหายใจก่อนจะมองเขม็ง “เจ้าจะหยุดหัวเราะหยุดยิ้มได้รึยัง"

    ตอนแรกที่ว่าใกล้จะหยุด แต่เมื่อตงหานสั่งสีหน้าจริงจังมันไม่รู้ทำไมถึงไปกระตุ้นต่อมบ้าจี้เธอได้ เธอยิ่งเป็นคนขำง่ายอยู่ด้วย แต่แล้วเธอก็กระแอมไอเพื่อเรียกสติและขวัญ สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดเสียงจริงจัง “แล้วก็อีกคำถาม”

    “…”

    “ฉันไว้ใจนายได้ใช่ไหม?”

    “…อะไรนะ?”

    “ก็นายบอกว่าอย่าไว้ใจใคร” เธอย้อนกลับ “แต่ในเมื่อทั้งนายและฉันต่างก็รู้อังกฤษ ไม่สิ... มันใช้วิธีอื่นได้นี่ เพราะนายไม่จำเป็นต้องพูดอังกฤษกับฉัน...” เธอพึมพำก่อนจะเงยหน้ามองสบกับบุรุษตรงหน้าที่ยืนค้ำหัวเธอ “แต่ฉัน... ไว้ใจนายได้ใช่ไหม?”

    จากบรรยากาศขำขันเมื่อไม่ถึงนาทีที่แล้วกลับกลายเป็นความเงียบ เธอมองตรงเข้าไปในดวงตาของบุรุษตรงหน้า แม้จะเห็นไม่ชัดมากแต่ก็ไม่เป็นปัญหา ก่อนที่เธอจะว่าต่อ “และฉันเดา ว่าคนที่นายจะให้ฉันไปรู้จักนั่นก็คงรู้เรื่องของนาย ไม่งั้นนายคงไม่ให้ฉันรู้จัก”

    “…..ใช่” ตงหานยอมรับ “แต่ไม่ต้องไปพูดอังกฤษกับเขา เขาฟังไม่รู้เรื่อง แต่เขาปิดปากเงียบเรื่องที่ข้าพูดได้” ชายหนุ่มมองสบตากลับไป ก่อนจะว่าต่อ “และสำหรับคำถามของเจ้า ข้าคงต้องบอกไว้ก่อนว่าข้ายังไม่มีความคิดที่จะไม่ฆ่าเจ้า เจ้าแค่ยืดเวลาตายออกไป และถ้าเมื่อใดปัญหามันแดงขึ้นมา ข้าจะฆ่าเจ้าทันที”

    “อือฮึ ฉันรู้อยู่แล้ว” เธอพยักหน้า “ถึงยังไงฉันก็เป็นเชลย ง่ายๆก็ทาส นายจะทำอะไรฉันก็เป็นเรื่องของนาย”

    “…เจ้าไม่กลัวเลยรึไง?” สุดท้ายดูเหมือนอีกฝ่ายอดไม่ได้ที่จะถาม เธอเองก็ถามคำถามนี้กับตัวเองเหมือนกันเมื่อวานยามที่อีกฝ่ายจับเธอได้ ทำไมเธอถึงทำใจที่จะตายได้ เธอมีความกลัวรึเปล่า?

    “กลัวสิ” เธอตอบตามสัตย์ ใช่ เธอมี มนุษย์ทุกคนมีความกลัว และเธอเองก็มีความกลัว “ฉันกลัวว่าฉันจะไม่ได้กลับไป ฉันเองก็มีหน้าที่ในโลกของฉัน แต่ถึงไม่มีแต่แน่นอนว่าฉันก็กลัวตาย แต่ทำไงได้ ถ้าฉันทำที่สุดแล้วจะโดนฆ่าก็ถือว่าฉันดวงกุดแค่นั้น”

    เมื่อวานเรียกได้ว่าไม่ต่างอะไรกับหมาจนตรอกกับการที่เธอหนีเอาตัวรอด ใช่ว่าเธอจะนอนรอความตายให้เชือดเสียเมื่อไหร่ ไม่งั้นเธอก็คงไม่กระโดดลงจากต้นมะพร้าวแบบนั้นหรอก ตะวันถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ “และฉันต้องบอกไว้ก่อน ว่าถ้านายคิดจะฆ่าฉัน ฉันก็จะไม่อยู่ให้นายฆ่า แต่ฉันจะตายไม่ตายนั่นมันคนละเรื่อง”

    “…..”

    “แต่ถึงยังไง ฉันก็ตัดสินใจไปแล้วว่าจะเชื่อใจนาย"

    “!?” 

    “เพราะงั้นนั่นไม่ใช่คำถาม แต่ฉันแค่บอกนาย ตกลงนะ?” ตะวันว่าอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับค่อยๆเหยียดขาออก ใบหน้านั้นเบ้ด้วยความเจ็บน่อง และนั่นทำให้เธอนึกขึ้นได้ว่ามีอีกเรื่องที่ยังไม่ได้พูด เธอเงยหน้ามองชายตรงหน้าที่ยังคงยืนนิ่งก่อนจะว่า “แล้วชุดกับรองเท้าฉัน...”

    “…เจ้าไม่มีสิทธิ์ใส่ชุดนั้น”

    “ฉันรู้ว่านั่นมันแสดงให้เห็นว่าฉันไม่ใช่คนยุคนี้หรือคนที่นี่” เธอพยายามยืนอย่างทุลักทุเลโดยเกาะแท่งไม้ที่เชือกมัดข้อเท้าเธอพันอยู่ ก่อนจะกางแขนออกโดยใช้สีข้างพิง “แต่เสื้อที่นายให้ฉันมันใหญ่"

    “กางเกงอยู่ไหน?”

    “ฉันวางไว้ตรงนั้น” เธอชี้ไปแถวๆที่นอนก่อนจะว่าต่อเสียงอ่อย “แล้วรองเท้าฉัน... นั่นรองเท้าวิ่งคู่โปรดฉันนะ...”

    “ข้าบอกแล้วไง เจ้าใส่ไม่ได้ และข้าตั้งใจจะหาที่ทำลายมัน”

    “แต่ถ้าไม่มีมันฉันก็วิ่งแล้วเจ็บขาสิ..."

    “เจ้าจะวิ่งเพื่ออะไร จะหนีรึ?” ตงหานหรี่ตามองก่อนจะนั่งลง ยื่นมือข้างหนึ่งมาที่ข้อเท้าเธอแล้วบีบจนเธอต้องกอดเสาไม้และซี้ดปาก หมอนี่บีบคนละข้างกับที่โดนยิงแล้วเธอจะยืนยังไงไม่ทราบ! แต่ยังไม่ทันจะด่าอีกฝ่ายก็พูดก่อน “ข้อเท้าเจ้าบาดเจ็บทั้งสองข้างตอนกระโดดลงจากต้นมะพร้าว และอันที่จริงข้าว่าเจ้าบาดเจ็บทั้งตัว”

    “มันเป็นเพราะใครเล่า!” เธออดเถียงไม่ได้ ใช่! ร่างกายเธอปวดไปหมดและกล้ามเนื้อมันแทบจะประท้วงทุกครั้งเวลาเธอขยับ! กี่วันจะหายวะเนี่ย! แต่แล้วอารมณ์คุกรุ่นก็หายไปเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของตงหาน

    “ข้าจะเก็บไว้ให้ก่อน” 

    “จริงเหรอ!?” เธอหันไปถามอย่างดีใจจนลืมความเจ็บ 

    “แค่รองเท้า”

    “ไม่เป็นไร แค่รองเท้านั่นแหละที่ฉันอยากขอ”

    “ส่วนเสื้อผ้าและรองเท้า พวกข้ากำลังจะเข้าเมือง แล้วจะหาให้”

    “อื้อ เซี่ยเซี่ยตงหาน” เธอขอบคุณด้วยรอยยิ้มกว้าง แหงสิ! นั่นรองเท้าคู่โปรดคู่เก่งของเธอ! ตงหานไม่ตอบอะไร สักครู่เขาลุกขึ้นยืนก่อนจะสั่ง 

    “อย่าลืมเสียล่ะ หวังว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะคุยอังกฤษกัน จัดชุดเจ้าให้เรียบร้อยซะ เรากำลังจะออกเดินทาง"

    เธอก้มมองตัวเองแล้วคิดขำๆ นี่จัดดีสุดแล้ว เธอต้องหาเชือกมามันตรงเองให้มันดูแยกเป็นสองท่อนรึไง? แม้จะคิดแบบนั้นแต่เธอก็ลองหาของหรืออะไรก็ตามแล้วแต่ความยาวเชือกจะอำนวยที่จะช่วยให้เสื้อบนตัวเธอมันดูดีกว่านี้ เธอหัวเราะกับตัวเองเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าจะเก็บรองเท้าเธอไว้ให้

    โหดแบบนั้น จริงๆใจดีใช่ย่อยเลยนี่

    ตอนนี้เธอคงต้องเกาะติดตงหานไว้ก่อน หมอนี่เป็นฟางเส้นสุดท้ายของเธอ เป็นคนเดียวที่คุยรู้เรื่องและบอกเล่าเรื่องราวให้เธอฟังได้ ถึงหมอนั่นจะปฏิเสธที่จะคุยอังกฤษตั้งแต่ตอนนี้ไป แต่อย่างน้อยๆเธอก็ไปหาเขาได้เวลาที่เธออยากจะถามหรืออยากจะบอกอะไร 

    “เอาล่ะ! ได้เวลาปลอมเป็นไอ้ใบ้แล้วสินะตะวัน!!”



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×