ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    M E S S A F T E R S T O R M "

    ลำดับตอนที่ #52 : สุริยะเคียงบัลลังค์ 8

    • อัปเดตล่าสุด 30 ก.ค. 59


     

     

    “ข้าบอกแล้วไงว่าถ้าแต่งเรื่องโกหกข้าเจ้าจะไม่ได้ตายดี!

    “งั้นช่วยแหกตาดูหน่อยได้ไหม ฉันมีหลักฐาน!” ใบหน้านั้นก้มมองชุดของตัวเองก่อนจะว่าต่อ “การแต่งกายหัวจรดเท้านี่นายเคยเห็นบ้างไหม ถ้านายรู้จักแดนตะวันตกจริงฉันมั่นใจว่านายไม่เคยเห็นชุดหรือรองเท้าที่ฉันใส่อยู่นี่! อาจจะคล้ายแต่ไม่เหมือน!

    “เจ้าเปิดเผยเนื้อหนังเจ้า ไร้ยางอาย” สายตาคมมองที่ต้นขาชั่วครู่ก่อนจะเบนหน้าหนี และนั่นเรียกให้ตะวันอยากจะด่า โธ่พ่อคุณ! นี่ไม่สั้นถึงหูยังด่าว่าว่า no ashamed ไม่มีความละอายเนี่ยนะ? ขอโทษที! นี่แค่ครึ่งต้นขานะโว้ย! แต่สุดท้ายเธอก็เลือกเมินสิ่งที่ได้ยินก่อนที่จะระเบิดอารมณ์ออกมา ก่อนจะเข้าเรื่องต่อ

    “ฉันเป็นลูกครึ่งจีนที่รู้จีนไม่กี่คำ ฉันไม่รู้อะไรเลยและฉันไม่ใช่ชาวตะวันตกหรือมองโกล ที่สำคัญ.....” ตะวันเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันก่อนจะว่า “ยุคสมัยของฉันมันเปิดแพร่หลายทางภาษาและวัฒนธรรม และการแต่งตัวอย่างฉันเนี่ยเรียกว่าเรียบร้อยแล้ว”

    “ตรงไหนของเจ้าที่เรียกว่าเรียบร้อย?” ชายหนุ่มว่า ก่อนจะแปลกใจเมื่ออยู่ดีๆเชลยกิตติมศักดิ์ก็พูดไปอีกเรื่อง

    แหงสิ! ถ้ามัวแต่เถียงเรียบร้อยไม่เรียบร้อยวันนี้คงไม่จบ!

    “คำถามที่สองของฉัน”

    “เดี๋ยว นี่เจ้า...”

    “นายชื่ออะไร?”

    “....เจ้าว่าอะไรนะ?” ชายหนุ่มถึงกับค้างไปชั่วครู่เมื่อโดนเชลยถามชื่อ แต่เธอไม่ได้สนใจท่าทางนั้น กลับถามมาอีกครั้ง

    หนี่เจี้ยวเฉินเมอหมิงจื้อ?

    “...Wǒ jiào Chén Dōnghán

    “ตงหาน....? โอเค ฉัน....” ตะวันชะงักค้างไป รู้สึกลังเลใจว่าควรบอกชื่อของตัวเองหรือชื่อจีนที่มีคนตั้งให้ดี แต่แล้วเธอก็ตัดสินใจบอกเป็นภาษาอังกฤษ “ฉันชื่อตะวัน (Tawan) และอย่าพูดจีนใส่ฉัน ถ้าเป็นประโยคฉันได้แค่นั้น”

    “ชื่ออะไรนะ...?” ตงหานถามเป็นภาษาอังกฤษ ก่อนจะบอกแกมสั่ง “เจ้าพูดช้าลงหน่อย ข้าฟังเจ้าไม่ทันบางครั้ง ภาษานี้ข้าเองก็ไม่ได้ใช้มาพอสมควร”

    “ฉันชื่อตะวัน มันเป็นภาษาบ้านเกิดฉัน มีความหมายว่าพระอาทิตย์” เธอพูดช้าลงอย่างที่อีกฝ่ายสั่ง มองตรงเข้าไปนัยน์ตาเรียวคมนั่นก่อนจะว่า “ฉันไม่มีอะไรที่จะต้องโกหกนาย และฉันไม่รู้จริงๆว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แต่ขอร้อง เชื่อฉันเถอะตงหาน”

    “แล้วความสามารถของเจ้าที่จัดการคนของข้า เจ้าจะอธิบายอย่างไรว่าเจ้าไม่ใช่นักฆ่า” ชายหนุ่มถามกลับ ซึ่งเธอก็ตอบมาทันที

    “สมัยของฉันมันก็มีการเรียนเป็นขั้นๆ และสิ่งที่ฉันใช้หนีพวกนายคือสิ่งที่ฉันถูกฝึกมา แลกกับการได้เรียนฟรีที่ต่างประเทศ มันคือกีฬาชนิดหนึ่ง” ตะวันอธิบาย ก่อนจะย้ำ “ถ้านายอยากรู้ ฉันเล่าให้นายฟังได้เท่าที่ฉันรู้ แต่ฉันไม่ใช่นักฆ่า ฉันไม่เคยฆ่าใคร ขนาดสัตว์ฉันยังไม่เคยฆ่า ถึงแม้ว่าจะกินเนื้อสัตว์ก็เถอะ”

    เธอพูดจบพร้อมกับมองเข้าไปในตาของตงหานอย่างไม่หลบ เธอไม่รู้จริงๆว่าจะเอาอะไรมาเป็นหลักฐานได้อีกนอกจากที่เธอพูดไป เธอก็แค่หวังว่าคนตรงหน้าจะมีส่วนดีและเหตุผลพอที่จะฟังเธอบ้าง ใช่ ตะวันรู้อยู่เต็มอกว่านี่มันเรื่องน่าเหลือเชื่อที่ตัวเองหลุดมาในโลกอดีต แต่ความเจ็บปวดพวกนี้เป็นหลักฐานว่าเธอไม่ได้ฝันไป ไม่แปลกถ้าจะไม่มีใครเชื่อ ถ้าเธอไม่ได้เป็นคนท่องโลกแบบนี้เองก็ไม่เชื่อ แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็หวังลึกๆให้บุรุษตรงหน้านี้ อย่างน้อยๆก็เชื่อว่าเธอไม่ได้เป็นนักฆ่าหรืออะไรพวกนั้น

    ถ้าเป็นนักฆ่าจริงแกไม่ได้มายืนสอบสวนอย่างนี้หรอกไอ้หอกห่านนี่! แม่จะเจี๋ยนแกตั้งแต่ที่แกตุ๋ยท้องกันแล้ว! นี่ไม่มีออมมือกับผู้หญิงเลยรึไง! เธอยังเจ็บท้องไม่หายเลยนะโว้ยตอนนี้ไอ้นรกตงหาน!!

    คำสรรเสริญในใจนั้นก็ถูกหยุดลงเมื่อจู่ๆก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างถูกตัด เธอทรุดลงไปทันทีพร้อมกับความเจ็บที่แล่นจากน่องขึ้นมาจนต้องเผลอร้องออกมาเพราะว่ายังมีไม้เหลาคาอยู่ เธอเงยหน้ามองชายตรงหน้าที่ใช้มีดที่จ่อคอเธอเมื่อไม่นานมานี้ตัดเชือกที่แขวนเธออยู่

    “รู้ใช่ไหมว่าเรื่องที่เจ้าพูดมามันเหลือเชื่อ” เขาถาม ซึ่งเธอพยักหน้าก่อนจะตอบพร้อมกับถอนหายใจก่อนจะตอบตามความจริง

    “ถ้าฉันไม่ผ่านประสบการณ์เฉียดตายและความเจ็บปวดที่นายทำนี่คงคิดว่าตัวเองฝัน” ประโยคนั้นทำให้คนฟังขมวดคิ้ว แต่เธอไม่เห็นเพราะกำลังอดกลั้นกับความเจ็บและกล้ามเนื้อทั่วตัวที่กรีดร้องประท้วง แต่กระนั้นเธอก็ยังว่า “Thankไม่สิ เซี่ยเซี่ย”

    “... เจ้ารู้คำอะไรบ้าง?” ชายหนุ่มถาม ก่อนที่เธอจะนึกแล้วไล่

    “หนีห่าว ไจ้เจี้ยน เซี่ยเซี่ย ตุ้ยปู้ฉี่ เหมยกวานซี เหมยชื่อ” เธอนึก ก่อนจะร่ายตัวเลข “อี เอ้อ ซัน ซื่อ อู่ ลิ่ว ชี ปา จิ่ว สือ” ก่อนจะพูดต่อเมื่อนึกคำอื่นออก “หว่ออ้ายหนี่”

    กึก!!

    “หือ??” เธอร้องออกมาอย่างสงสัยเมื่อจู่ๆได้ยินเสียงอะไรบางอย่างตก เมื่อเงยมองก็พบว่ามีดสั้นในมือของตงหานตก พร้อมกับที่ชายหนุ่มตรงหน้ามองเธออย่างกับเห็นผี แล้วว่าตะกุกตะกักเป็นภาษาจีนที่เธอฟังไม่รู้เรื่อง จนตะวันต้องถามกลับไปเป็นภาษาอังกฤษ “เป็นอะไรไปตงหาน?”

    “จะ.. เจ้า” ตงหานสูดลมหายใจลึกพยายามเรียกสติก่อนจะตอบเป็นภาษาเดียวที่สื่อสารกันยาวๆเข้าใจ “เจ้ารู้รึเปล่าว่าคำนั้นมีความหมายเช่นไร”

    “รู้สิ ไอเลิฟยูไง” ตะวันขมวดคิ้วก่อนจะถามกลับ “ก็นายถามฉันว่ารู้คำว่าอะไรบ้างไม่ใช่เหรอ? เท่าที่ฉันจำได้รู้สึกฉันจะจำได้แค่นั้น”

    เมื่อไม่ได้ยินอะไรตอบกลับ เธอก็หันไปมองอย่างสงสัย ก่อนจะเรียก “ตงหาน?”

    “มีอีกสองเรื่อง ที่ข้าจะบอกและถาม และข้าต้องได้คำตอบ” เขาเปลี่ยนเรื่องไป ซึ่งเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่เห็นท่าทางที่ดูเย็นลงและรับฟังเท่านั้นมันก็ทำให้เธอโล่งอกมากมายแล้ว เธอมองสบตาขณะที่หูฟังคำถาม

    “เจ้าไปได้กริชเล่มนั้นมาจากไหน?”

    “คือฉันบอกแล้วไงว่าขอยืม” เธอยกมือที่ยังคงถูกมัดติดกันอยู่ลูบต้นคอตัวเองก่อนจะพยายามอธิบาย “ยืมมาจากคนที่ฉันช่วย ฉันมาที่นี่สามวันก่อน กริชเล่มนั้นช่วยชีวิตฉันไว้...” เมื่อนึกถึงตรงนี้เธอก็เบิกตากว้างก่อนจะถามรวดเร็ว “สรุปฉันเป็นคนเดียวที่นายจับมาได้ใช่ไหม?! ไม่มีคนอื่น”

    “ใช่” คำตอบนั้นทำให้เธอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก อย่างน้อยๆเหวินเจี้ยนก็หนีไปได้สินะ.... แม้จะสงสัยว่าหนีไปได้ยังไงทั้งที่บาดเจ็บ แต่กระนั้นการที่เขารอดไปได้ก็เพียงพอ เพราะเธอยังเอาตัวเองไม่รอดฉะนั้นไม่มีปัญญาไปช่วยหมอนั่นแน่

    “ใคร?” เขาถามซ้ำ ซึ่งเธอก็ตอบแต่โดยดี

    “เขาเป็นคนที่ฉันช่วย เป็นคนป่วยและคนเจ็บ และเป็นเจ้าของกริชเล่มนั้น” เธอร่ายก่อนจะขยายความ “และฉันรู้แค่เขาชื่อเหวินเจี้ยน”

    !!

    “เขาเป็นคนสอนคำว่าเหมยชื่อกับเหมยกวานซีฉัน กว่าจะสื่อสารกันได้ นายไม่เข้าใจหรอกว่าใช้เวลานานแค่ไหน กว่าฉันจะรู้ชื่อเขา อ้อ แล้วเขาก็เรียกฉันว่าเสี่ยวหยาง” เธอยักไหล่ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆอย่างไม่รู้สถานการณ์ “คงเพราะชื่อฉันมันออกเสียงยากสำหรับคนจีนล่ะมั้ง อ้อ! แล้วก็อย่าถามนะว่าเป็นใครมาจากไหน ฉันบอกแล้วว่าคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง ได้มาแค่นี้นี่ก็นานโขแล้ว”

    ตะวันหัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่พยายามสื่อสารกันนั่น เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขา นอกจากที่รู้ว่าเป็นคนใจเย็นระดับหนึ่ง อาจจะใช้คำว่ามากเลยก็ได้ เพราะการที่สอนเธอให้เข้าใจคำสองคำนั้นโดยการอธิบายและพูดซ้ำๆ พยายามอย่างยิ่งที่จะให้เธอเข้าใจ และสุดท้ายก็เข้าใจได้ เท่าที่ดูแล้วเหวินเจี้ยนน่าจะเป็นครูที่ดี และเธอมีความรู้สึกว่าหมอนั่นเป็นพวกลูกคุณหนูแปลกๆ

    เพราะดูจะทำอะไรไม่เป็นเลย ทั้งที่เธอว่าเธอถูกเลี้ยงมาแบบคุณหนู แต่เธอก็ยังลองทำอะไรบ้างและมันออกมาเป็นผลที่น่าพอใจล่ะวะ....

    “มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องรู้ และเจ้ามีสิ่งที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด” จู่ๆชายหนุ่มตรงหน้าก็พูดออกมาเรียกให้เธอหลุดออกจากความคิดตัวเอง ตะวันพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเธอนั้นรอฟังอยู่

    “ห้ามใช้ภาษาอังกฤษตั้งแต่วันนี้”

    “หา!? ทำไมล่ะ!?

    “ยุคสมัยนี้ไม่เหมือนของเจ้า” ดวงตาเรียวคมมองตรงมาที่เธอก่อนจะว่าต่อ “ผู้ใดที่รู้ภาษาอื่นนอกจากภาษาแมนดารินจะถูกขับไล่และไม่เป็นที่ยอมรับ อาจจะถึงขั้นประหาร ฉะนั้น ห้ามเจ้าพูดอังกฤษ ข้าไม่สนว่าเจ้าจะตายหากมันจะไม่ทำให้ข้าติดรากแหไปด้วย”

    สรุปคือกลัวตัวเองตายสินะ เธอคิดในใจ ก่อนจะถามออกไป “แล้วนายไปรู้ภาษาอังกฤษมาจากไหน”

    สีหน้าที่เครียดขึงแข็งกร้าวขึ้นมาทันทีที่เธอถามเสร็จ ตะวันตกใจทันทีหันซ้ายหันขวาก่อนจะพูด “ตุ้ยปู้ฉี่! ตุ้ยปู้ฉี่!” เธอว่าเสียงดังเล็กน้อยก่อนจะลดเสียงลง “มันคงเป็นเรื่องที่นายไม่อยากเล่า ฉันขอโทษฉันไม่รู้ ไม่ต้องพูดนะ ฉันไม่ถามและสัญญาว่าจะไม่ถามอีก”

    “....ข้าจะสอนภาษาที่นี่ให้กับเจ้า”

    !!

    “และจำไว้ ห้ามพูดอังกฤษเป็นอันขาด ลืมไปซะว่าเจ้าใช้มันได้ ในเมื่อเจ้าสามารถคุยกับคนๆนั้นรู้เรื่อง เจ้าก็จะต้องคุยกับข้ารู้เรื่อง”

    เธอจิ๊ปากกับคำที่ถูกสั่งก่อนจะพึมพำเป็นภาษาไทยกับตัวเอง “ฉันเกลียดจีน..”

    “และห้ามใช้ภาษาบ้านเกิดเจ้าด้วย”

    “ชิ” เธอเบ้ปากก่อนจะพยักหน้าแล้วถาม “แล้วมีอะไรอีกรึเปล่า?”

    “ข้าจะไม่ฆ่าเจ้าตอนนี้” ชายตรงหน้าบอก ซึ่งเธอก็หมายเหตุไว้ว่าไม่ฆ่าตอนนี้อาจจะฆ่าตอนหลัง แต่แล้วก็กลับมาตั้งใจฟังเมื่อเขาพูดต่อ “แล้วเจ้า.... ต้องปลอมเป็นบุรุษระหว่างที่อยู่ที่นี่”

    “จริงเหรอ?!” เธอถามเสียงใส เธอจะได้ปลอมเป็นผู้ชายแล้วใช้ชีวิต?! นี่มันเหมือนในนิยาย แกได้ทำอย่างที่แกอยากแล้วยัยตะวัน!! เธอยิ้มออกมาอย่างเริงร่าจนคนมองไม่เข้าใจ

    “เจ้าดีใจอะไรของเจ้า?” ให้ปลอมเป็นบุรุษมันมีอะไรน่ายินดีเสียขนาดนั้น

    “เปล่าหรอก ไม่มีอะไร” เธอว่าพร้อมรอยยิ้มยังไม่หายไปจากใบหน้า “เซี่ยเซี่ย”

    “....เรื่องอันใด?”

    “ที่นายเชื่อว่าฉันไม่ใช่นักฆ่า และไม่ฆ่าฉันตอนนี้” ดวงตาของเธอรู้สึกหนักขึ้นมาทันทีอย่างไร้เหตุผล อาจเป็นเพราะว่าความโล่งอกนี่กระมังทำให้เธอสบายใจขึ้นมาก เธอหอบออกมาเล็กน้อยก่อนจะว่าต่อเสียงอ่อนลง “ฉันไม่สัญญาเรื่องภาษา แต่จะพยายามให้ดีที่สุด แต่ตอนนี้ ฉันง่วงมาก...” เธอว่าขณะที่เหมือนตาจะปิดเสียให้ได้ แต่ปากของเธอก็ยังพยายามอธิบายต่อ “ฉันไม่ได้นอนมาสองวันเพราะเหวินเจี้ยนนั่นไข้ขึ้น...”

    “ห้ามหลับ” เหมือนเธอจะได้ยินเขาสั่งแบบนั้น ดวงตาพยายามปรือมองอย่างเต็มที่แม้สติจะไม่ค่อยอยู่ หูได้ยินคำถามว่า “เจ้าลืมไปแล้วรึว่าข้าทำอะไรเจ้าไว้?”

    “ไม่ลืม แต่ฉันไม่ได้สนใจ..” เธอหัวเราะออกมาเล็กน้อย “ฉันเคยดูในหนัง ยุคสมัยก่อนจะจับนักฆ่าหรือเชลยมาเพื่อรีดเอาความจริงและอุบาย นั่นเพื่อป้องกันการสูญเสียของฝั่งตัวเอง นายมองฉันเป็นนักฆ่าก็ไม่แปลกที่นายจะจับฉัน มันเป็นเหตุผลของนาย... และฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าทำไมพวกนายถึงเห็นฉันที่อยู่บนต้นไม้ได้... อีกอย่าง ฉันไม่โกรธ.. แต่ใช่ว่าจะไม่เอาคืนนะ”

    เหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอหรือไม่เธอก็หูฝาดไปเอง แต่ตอนนี้สติของเธอไม่ไหวแล้ว ร่างกายที่ปวดหนึบไปทั่วและรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว เธอถูกสาดน้ำเพื่อปลุกก่อนที่จะโดนสอบสวน ก่อนที่สติเธอจะหลุดลอยออกไปจริงๆพร้อมกับที่มีคำพึมพำออกมา “ตุ้ย..ปู้ฉี่...”

     

    ร่างเล็กๆที่ล้มตัวนอนกับผืนดินไปอย่างหมดเรี่ยวแรง ไม่รู้ตัวยามที่ชายหนุ่มนั่งยองอยู่ข้างหน้า ตงหานมองใบหน้าหลับสนิทของสตรีตรงหน้าแล้วก็ถอนหายใจออกมา

    ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่ความหงุดหงิดคุกรุ่นเตรียมระเบิดนั่นหายไป จนตอนนี้ไม่มีแม้แต่นิดเดียว

    อาจจะตั้งแต่ที่เถียงกับเรื่องสิ่งหลักฐานที่นางพยายามอธิบาย และจู่ๆนางถามชื่อเขา แถมยังมองตรงมาและขอร้องให้ฟังและเชื่อสิ่งที่นางพูด ไม่ใช่ให้เชื่อที่นางมาจากอนาคต แต่เป็นเรื่องที่นางไม่ได้ประสงค์ร้ายกับใคร

    เขาอาจจะระแวงนางเกินไปในตอนแรก เพราะตอนนี้ประจักษ์แล้วว่านางไม่มีส่วนไหนเหมือนนักฆ่าเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว เสียงเปิดกระโจมที่ดังด้านหลังเรียกความสนใจจากชายหนุ่มได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

    “ไปถึงไหนแล้ว ตงหาน” ซิ่นสือนั่นเองที่เข้ามา ก่อนจะอุทานออกมาอย่างแปลกใจ “หลับเสียแล้วรึ แถมเจ้ายังปล่อยนางอีก ถึงจะยังไม่แก้มัดก็เถอะ”

    “...เจ้าถูก ซิ่นสือ” เขาว่า “นางไม่ใช่นักฆ่า”

    “ข้าบอกเจ้าแล้ว” สหายคนสนิทหัวเราะ “แล้วไฉนเจ้าปล่อยนางหลับ?”

    “....นางสลบ ไม่ได้หลับ”

    “หา?”

    “รอนางฟื้นขึ้นมา แล้วค่อยตัดสินว่าจะเอาเช่นไรกับนาง” ตงหานว่าพลางลุกยืน “ข้าเค้นคอแต่สุดท้ายก็ไม่ได้เรื่องอะไร ไม่มีอะไรอย่างที่พวกเราคิด”

    “เจ้ากำลังยอมรับว่าเจ้าทารุณผู้บริสุทธิ์นะตงหาน” ซิ่นสือหัวร่อ “นางอายุเท่าใดกัน?”

    “....เจ้าอยากรู้อะไรของเจ้า?”

    “งั้นถามใหม่ นางเป็นใคร” ชายหน้าบากไล่มองก่อนจะว่า “แต่งกายเปิดเผยเนื้อหนังมังสาแต่กลับไม่ผัดหน้า ที่สำคัญนอกเหนือจากที่นางไม่เหมือนสตรี มือสมัครเล่นไม่มีใครหลบธนูได้ทันในระยะนั้น... นี่เจ้ายังไม่เอาศรหน้าไม้ออกอีกรึ?”

    “เจ้าเป็นคนบอกว่านางไม่ใช่นักฆ่า” ตงหานแย้ง แต่ซิ่นสือส่ายหน้าว่าอีกฝ่ายเข้าใจผิด

    “ข้าก็ยังยืนยันคำเดิมว่านางไม่ใช่มือสังหาร มีหลายอย่างที่เป็นมือสมัครเล่น ทั้งการขึ้นม้า การปาอาวุธ และการเหลาไม้ไผ่” ชายหน้าบากชูไม้ไผ่อันเล็กๆให้ดู “และข้าเจอไม้ไผ่รูปร่างต่างๆเต็มไปหมดบริเวณกองเพลิง”

    ตงหานรับมาก่อนจะพิจารณา มันถูกเหล่าทู่บ้างแหลมบ้าง และมีขนาดไม่เท่ากัน ขณะที่หูยังคงฟังต่อ “ปฏิกิริยาและไหวพริบของนางน่าสนใจ คนเพียงคนเดียวป่วนทางเราไปหลายคน และการเคลื่อนไหวนั่นถ้าไม่มีการฝึกจะทำไม่ได้ โดยเฉพาะการที่ดีดตัวกับไม้ไผ่นั่น ข้าไม่เคยเห็นมันมาก่อน มันจะเป็นประโยชน์กับเรา”

    “เจ้ากำลังจะบอกให้นางอยู่กับกองโจรงั้นรึ?”

    “เจ้าพูดเองนะ ข้าไม่ได้พูด ตงหาน” ซิ่นสือว่าพร้อมกับบิดขี้เกียจแล้วชี้ไปยังคนที่นอนอยู่กับพื้น “แล้วตอนนี้จะเอาอย่างไรกับนาง? จะปล่อยให้นอนอยู่นี่รึ?”

    “แล้วจะทำอะไรถ้าไม่ปล่อยไว้ ถึงอย่างไรนางก็เป็นเชลย” ตงหานตอบ ขณะที่สายตาเหลือบไปเห็นที่ฝ่ามือจนต้องเผลอคลี่ออกมาดู มันคือรอยบาดหลายสิบรอยทั้งฝ่ามือและปลายนิ้ว และเมื่อจับโดนผิวเนื้อนั่น ก็พบว่ามีความร้อนที่สูงกว่าอุณหภูมิปกติ

    “ฉันไม่ได้นอนมาสองวันเพราะเหวินเจี้ยนไข้ขึ้น...”

    “อ้าวๆ” ซิ่นสือยิ้มขำ “ผู้ใดกันบอกให้ปล่อยนางทิ้งไว้ ไฉนเลยบัดนี้ถึงประคองนางขึ้นมาเสียเล่า?”

    “ข้ากลัวนางจะหมดลมเสียก่อนหากปล่อยไว้” ตงหานช้อนร่างเล็กๆนั่นขึ้นมา คิ้วของนางขมวดเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ตื่น ก่อนจะหันไปมองอีกคน “กระโจมเจ้า....”

    “อย่ามาโบ้ยที่ข้าหัวหน้า แม้นางจะบาดเจ็บแต่กระโจมข้าไม่รับสตรี อยู่กระโจมท่านไปเลย” ชายหน้าบากหัวเราะพลางแซว “เจ้าทำทารุณนางขนาดนั้น อีกอย่างเจ้าเป็นคนจับนางได้ ก็รับผิดชอบไปเองสิ กระโจมเจ้าเจ้านอนคนเดียวอยู่แล้วนี่ อ้อ เดี๋ยวข้าเอาผ้าพันแผลมาให้ ฝันดีนะท่านหัวหน้าตงหาน”

    ซิ่นสือออกจากกระโจมไปทันทีปล่อยให้เขามองตามอย่างคาดโทษ จะบอกว่าให้เขาพยาบาลเชลยงั้นรึ? อย่างดีแค่เอาศรไม้นี่ออกก็เพียงพอ ตงหานคิดก่อนจะถอนหายใจออกมา เพราะการที่เธอโทรมขนาดนี้มันก็เป็นความผิดของเขา

    “ฉันเคยดูในหนัง ยุคสมัยก่อนจะจับนักฆ่าหรือเชลยมาเพื่อรีดเอาความจริงและอุบาย นั่นเพื่อป้องกันการสูญเสียของฝั่งตัวเอง นายมองฉันเป็นนักฆ่าก็ไม่แปลกที่นายจะจับฉัน มันเป็นเหตุผลของนาย...”

    แม้จะสงสัยว่า movie คืออะไร แต่เขาก็เข้าใจประโยคเสียส่วนใหญ่ และเพียงแค่นั้นก็บอกได้แล้วว่าผู้พูดเป็นคนเช่นไร ยิ่งการที่ขอโทษและขอบคุณเขาซื่อๆเหมือนคิดแล้วก็พูดไม่ได้คัดกรองนั่น มันคงเป็นสาเหตุหลักที่เขารับฟังและไม่มีอารมณ์หงุดหงิดตอนนี้เป็นแน่ คงเหลือแต่ความแปลกใจ ที่สำคัญ

    ถ้านางมาจากอนาคตจริง เขาอยากจะรู้เรื่องราวนั้น

    “ยินดีต้อนรับสู่กองโจรของข้า เสี่ยวหยาง...”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×