ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    M E S S A F T E R S T O R M "

    ลำดับตอนที่ #51 : สุริยะเคียงบัลลังค์ 7

    • อัปเดตล่าสุด 29 ก.ค. 59


     

    (จากนี้ไปบทสนทนาระหว่างตงหานและตะวันจะเป็นภาษาไทย แต่ว่าสองคนนี้คุยกันภาษาอังกฤษค่ะ และจะมีสอดแทรกคำอังกฤษบ้างเพราะบางคำมันแปลได้หลายความหมาย เมื่ออรรถรสและแสดงถึงนิสัยตัวละครค่ะ -..-)

    ซ่า!!

    น้ำที่ถูกสาดมานั่นทำให้คนที่สลบอยู่สะดุ้งสุดตัว ตะวันเบิกตาโพลงก่อนจะหันซ้ายขวา ก็พบว่าตัวเองอยู่ในที่คล้ายกระโจมที่ตรงยอดกลับเปิดกว้างจนเห็นพระจันทร์ครึ่งวงส่องสว่างพอที่มองเห็นโดยรอบ และเธอก็ถูกจับมัดแขวนไว้ตรงศูนย์กลางของกระโจมนี่

    “หลับได้อย่างวางใจเหลือเกินนะเจ้า”

    เธอหันไปมองตามต้นเสียงภาษาอังกฤษนั่น ก็พบกับเงาคนที่ไม่ได้อยู่ใต้แสงจันทร์ทำให้มองไม่เห็น ซึ่งอีกฝ่ายก็เดินออกมา แต่เพราะสายตาที่สั้นทำให้เธอก็ยังเห็นหน้าไม่ชัดจนต้องบอกแกมสั่งว่า “ขอโทษนะ แต่ฉันสายตาสั้น ช่วยเดินมาใกล้กว่านี้หน่อยได้ปะ?”

    “ปากกล้านัก”

    “ปากกล้าบ้านแกสิ! ฉันสายตาสั้น จะคุยกับแกแล้วเห็นหน้าไม่ได้รึไง”

    “เจ้าคือเชลย (You are my prisoner.)” แม้จะพูดแบบนั้นแต่ชายหนุ่มก็เดินเข้ามาจนอยู่ริมของแสงจันทร์ ห่างไปประมาณสองสามช่วงตัว ตะวันหรี่ตามองเล็กน้อยเพราะเห็นลางๆเป็นผู้ชายที่มีผ้าโพกหัว และมีผ้าอะไรสักอย่างกองอยู่ที่คอ แต่ก็ดีกว่าเมื่อครู่ที่ไม่เห็นอะไรเลย แต่คำเมื่อที่ได้ยินนั้นทำให้ต้องอุทานออกมา

    “ฮะ?” prisoner นี่มันนักโทษเลยนะ? นี่เธอไปทำผิดอะไรถึงเป็นนักโทษเขาล่ะ? “ฉันทำผิดอะไร?”

    “ข้าจับเจ้าได้”

    “แค่นั้น?” ตะวันเลิกคิ้ว ก่อนจะถามทีเล่นทีจริง “งั้นแสดงว่าที่นี่ถ้าใครจะใครได้คนนั้นก็เป็นนักโทษของคนที่จับได้งั้นสิ?”

    “หุบปากซะ เจ้าไม่มีสิทธิ์ถามข้า” ดวงตาคมเรียวมองอย่างรำคาญ “เจ้าเป็นใคร?”

    “คำถามนั้นมันกว้าง เจาะจงกว่านี้ได้ไหมฮะคุณผู้คุมนักโทษ”

    เพียะ!

    “อย่ามาต่อปากต่อคำกับข้า” ชายหนุ่มสะบัดไปจนเธอหน้าหันอีกครา เหมือนมันจะไปซ้ำแผลเดิมจนความเจ็บมันบวกเข้าไป แต่แค่นี้ไม่สามารถทำให้เธอหุบปากได้หรอก เธอไม่ได้ท้าทาย แต่แค่พูดอย่างที่คิด มุมปากที่มีรอยแตกยกยิ้ม

    ยังไงหมอนี่เก็บเธอมาถึงตอนนี้ หมายความว่าเธอมีสิทธิ์รอดมากกว่าตาย

    “เจ้า - เป็น - ใคร?” ชายหนุ่มถามย้ำ ซึ่งเธอก็ถอนหายใจออกมาแล้วตอบ

    “นักเรียน”

    “โกหก”

    “แล้วคิดว่าฉันเป็นอะไรถ้าบอกว่าฉันโกหก?” อดไม่ได้จริงๆที่จะสวนกลับไปทั้งที่เธอตั้งใจว่าจะยอมตอบดีๆ ถึงได้บอกไงเล่าว่าคำถามที่ว่า who are you แค่นั้นมันกว้างเกินไป อีกอย่างการที่ถูกมัดห้อยแบบนี้โดยที่ขาไม่ติดพื้น ตัวเปียก แถมยังไม่นับขาที่ยังคงมีลูกดอกหน้าไม้ปักคาไว้และข้อเท้าที่พลิก นี่ยังไม่รวมแผลถลอกปอกเปิกตามตัวนะ! มันทำให้เธอรู้สึกปวดไปหมดเพราะไม่เคยมีแผลเยอะขนาดนี้

    “เจ้าทำงานให้ใคร?”

    “มหาลัย”

    “....”

    “....”

    “..ข้าไม่รู้จักคำที่เจ้าว่า”

    โอ๊ย! ไอ้ห่านี่มันโง่จริงหรือแกล้งโง่วะเนี่ย! University ไม่รู้จักรึไง?! เธอพยายามที่จะใจเย็นก่อนจะอธิบาย “ที่ๆนักเรียนแบบฉันเรียนกันก่อนจะไปทำงาน”

    ฟุบ!

    “งั้นเจ้าก็ฝึกการต่อสู้เพื่อที่จะมาฆ่างั้นสิ” มีดสั้นที่เหน็บอยู่ที่ข้างเอวนั้นถูกชักออกมาจ่อที่คอของเธอ ตะวันลอบกลืนน้ำลายเรียกสติเพราะความตกใจที่จู่ๆโดนมีดจ่อ แต่กระนั้นก็ไม่เข้าใจเช่นเดียวกันกับที่อีกฝ่ายว่ามา

    “ฝึกการต่อสู้? มาฆ่า? หมายความว่าไง?”

    “อย่ามาแสร้งไม่รู้เรื่อง!” ชายหนุ่มดึงกริชที่พกอยู่ออกมา “เจ้าได้สิ่งนี้มาได้อย่างไร! ใครให้เจ้ามา!

    “ก็บอกแล้วไงว่าขอยืมมา”

    “ใคร!!

    “เดี๋ยวนะ... ขอฉันถามอะไรสักอย่าง” ตะวันที่ควรจะตอบกลับเป็นฝ่ายถาม “ฉันเป็นคนเดียวที่นายจับมาใช่ไหม?”

    “เจ้ามีพรรคพวกอีกรึ?!

    “โว้ย! ไอ้บ้านี่! อื้อ!!” เธอทนไม่ไหวอยากจะด่าแต่กลับถูกมือใหญ่ที่สวมถุงมือเปลือยข้อคู่เดิมปิดปากไว้ เจ้าของมือกดเสียงต่ำ

    “อย่าได้โวยวาย ไม่งั้นเจ้าจะทำข้าเสียงาน” ดวงตาคมกริบฉายแววหงุดหงิด “เจ้ารู้อังกฤษมาจากที่ใดกัน”

    “เรียนมาจากโรงเรียน และตอนนี้ฉันเองก็ต้องใช้อังกฤษในชีวิตประจำวัน” คำตอบนั้นทำให้ผู้ถามขมวดคิ้วก่อนจะถาม

    “เจ้าไม่เหมือนชาวตะวันตกหรือมองโกล”

    “ปู่กับย่าฉันมาจากจีน แต่พ่อฉันเกิดที่ไทย และแม่เป็นคนไทย ฉะนั้นฉันเป็นลูกครึ่งไทยจีน”

    “ไทย?”

    “สยาม บางกอก ไทยแลนด์ แกไม่รู้จักรึไง ในหลวงร.9ดังคับฟ้าขนาดนั้น!!” เธอมองอย่างเอาเรื่อง “ประเทศแอกซี่ (Axey) ประเทศที่มีรูปร่างเหมือนขวานน่ะ!!

    มือใหญ่บีบเข้าที่คางของตะวันขัดประโยคทันที ดวงตาเรียวคมฉายแววหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมพร้อมว่า “ถ้าจะแต่งเรื่องมาโกหกข้า เจ้าจะไม่ได้ตายดี”

    “นี่ ฉันไม่ได้... อื้อ!!” มือนั้นเลื่อนมาปิดปากอีกครั้งเมื่อเชลยตัวดีอย่างเธอเริ่มจะออกปากโวยวาย

    “ข้าไม่ได้ความอดทนสูงที่จะรอฟัง ถ้าไม่เพราะเจ้ามีกริชนั่นอยู่กับตัวและเจ้าพูดอังกฤษได้” ดวงตานั้นมีแววคุกรุ่นคล้ายภูเขาไฟใกล้ระเบิด ก่อนจะถามย้ำอีกครั้งด้วยประโยคเดิม “เจ้าเป็นใคร?”

    มือหนาละออกมาจากริมฝีปากแตกเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายตอบได้ แต่ตะวันที่แทบจะขาดอากาศเพราะมืออีกฝ่ายช่างใหญ่เหลือหลายจนปิดจมูกเธอมิดแทบขาดอากาศหายใจ เธอหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะพูดเสียงเบาลง “ขอฉันถามสักสองคำถามก่อน ได้ไหม?”

    เพราะคำว่า please ที่ลงท้ายประโยค หรือเพราะท่าทางที่อ่อนลง หรือจะอะไรก็ช่าง ทำให้ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรแต่สำหรับตะวันนั่นคือการอนุญาต เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ค้านไม่ให้เธอถาม เธอจึงถามทันที “ปีนี้ปีอะไร?”

    Yǐ bǐng (ประมาณปีค.ศ.1369ค่ะ) คำตอบนั้นทำให้ตะวันถึงกับเอ๋อก่อนจะถาม

    “อย่าตอบฉันเป็นภาษาจีนสิ แล้วอี๋ปิ่งที่ว่ามาฉันไม่รู้ว่าปีอะไร” คิ้วขมวดอย่างใช้ความคิดก่อนจะถาม “รู้จักศตวรรษไหม?”

    “รู้จัก แต่ข้าไม่แน่ใจวิธีนับปีศตวรรษของตะวันตก”

    “งั้นพอจะรู้รึเปล่า ประมาณก็ได้ นี่ศตวรรษที่เท่าไหร่?” เธอถามอย่างร้อนรน ขอให้สังหรณ์ของเธอผิดด้วยเถอะ! ชายหนุ่มที่ดูไม่เข้าใจกับท่าทางนั้น คิ้วเข้มกดลงอย่างใช้ความคิด ก่อนจะตอบ “ข้าจำไม่ได้ แต่น่าจะศตวรรษที่13 หรือ14”

    “นายมั่นใจใช่ไหม?” ตะวันหน้าเหวอทันทีก่อนจะกลืนน้ำลายที่รู้สึกบาดคอเหลือคณา ในหัวพยายามหาวิธีเถียง แต่ก็ดูจะยาก ประเทศจีนตอนนี้ยังมีม้าอยู่เหรอ? ทำไมพวกเขาไม่มีปืน? อีกอย่างกระโจมกับอะไรแบบนี้มันดูจะเหมือนในซีรีย์จีนมากเกินไป แถมยังมีชุดเกราะอีก สมัยนี้มันมีชุดเกราะแบบนั้นอีกเหรอ?

    “สรุปเจ้าจะตอบคำถามข้าได้รึยัง?” ชายหนุ่มที่รอคำตอบจนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้ มีเพียงสีหน้าเหมือนกับโลกแตกจนน่าจะหยุดหายใจ และสีหน้าเคร่งเครียดและริมฝีปากที่ขมุบขมิบนั่นมันไม่ใช่ให้เข้าใจมากขึ้นเลย “เจ้าเป็นใคร”

    ตะวันกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะตอบออกมาเสียงเบา “ฉันเป็นคนจากศตวรรษที่21”

     

     

     “องค์ชายเสด็จ!

    สองหญิงสาวต่างวัยหันมามองที่ประตู ก็พบกับชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่า ผ้าไหมสีงาช้างลายมังกรบอกถึงยศฐาของผู้สวมใส่ เรือนผมสีดำสนิทยาว และสองมือกำลังประสานเคารพพร้อมว่า “กราบทูลฮองเฮาพะยะค่ะ ลูกขอประทานอภัย”

    “ขออภัยเรื่องอันใดกันเล่า” หญิงสาววัยกลางคนที่แต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อยผู้มีตำแหน่งเป็นถึงฮองเฮา หรือจักรพรรดินี พูดอีกแง่คือมารดาเลี้ยงของเขา กำลังยิ้มกว้างอย่างยินดีและมีสกุล “เจ้าปลอดภัยกลับมา นั่นต่างหากที่สำคัญ”

    “สวรรค์ยังคุ้มครองลูกอยู่พะยะค่ะ” ชายหนุ่มว่าอย่างนอบน้อม ก่อนจะหันไปมองหญิงสาวอีกคน ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มพองาม นางยิ้มให้ก่อนจะโค้งกายถวาย

    “หม่อมฉันดีใจที่พระองค์กลับมาเพคะ องค์ชายเหวินเจี้ยน” ดวงหน้าหวานหันไปมองแม่ทัพใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง “ความดีความชอบนี้เป็นของท่านแม่ทัพหลี่โดยแท้”

    “ท่านกล่าวเกินไป ท่านเหมยอิง” แม่ทัพใหญ่โค้งให้กับท่านหญิงคนงาม และเมื่อนึกถึงตรงนี้ก็นึกขึ้นได้ “จะว่าไปแล้ว....”

    “เสด็จพ่อเป็นเช่นไรบ้างพะยะค่ะ?” เหวินเจี้ยนเอ่ยแทรกราวกับไม่ได้ยินประโยคที่พึมพำในลำคอของแม่ทัพหลี่ แม้จะเป็นการเสียมารยาทแต่เมื่อบุคคลที่พูดถึงที่นี่คือฮ่องเต้แห่งแผ่นดิน ฮองเฮาหันไปมองหลังประตูเล็กน้อยก่อนจะว่า

    “ฮ่องเต้บรรทมอยู่ อาการปกติดี ตื่นแล้วข้าจะให้นางกำนัลไปบอก” ดวงตาเรียวสวยหันไปหาแม่ทัพก่อนจะถาม “เมื่อครู่แม่ทัพหลี่มีเหตุอันใดจะกล่าวรึ?”

    “ความดีความชอบนี้ ไม่ใช่ของกระหม่อมหรอกพะยะค่ะ” แม่ทัพใหญ่ว่า “เพราะตอนที่กระหม่อมไปถึง องค์ชายก็ถูกปฐมพยาบาล... ใช่ไหมพะยะค่ะองค์ชาย?”

    “เหตุใดเจ้าจึงกล่าวแบบไม่มั่นใจเช่นนั้น” ฮองเฮาดูแปลกใจเมื่อท้ายประโยคแม่ทัพร่างสูงกำยำหันไปถามองค์ชาย ซึ่งแม่ทัพหลี่ดูมีแววหนักใจแต่กระนั้นก็เอ่ยต่อ

    “เพราะว่า... กระหม่อมพบเถาวัลย์เปื้อนโลหิต เศษผ้าเก่าๆ และอีกหลายอย่างที่ยากจะอธิบาย กระหม่อมขอบังอาจทูลเพียงเท่านี้พะยะค่ะ”

    คำบอกเล่าแบบก้ำกึ่งทำให้หญิงต่างวัยทั้งสองแปลกใจยิ่งนัก เหม่ยอิงยกมือป้องปากอย่างมีจริตดั่งผู้ที่ถูกอบรมมาอย่างดีก่อนจะว่า “เถาวัลย์เปื้อนโลหิตงั้นรึเพคะ?”

    “...ถูกใช้แทนผ้าพันแผลและห้ามเลือดที่แผลของข้า ส่วนเศษผ้านั้นใช้ทำความสะอาด” เหวินเจี้ยนตอบ และนั่นทำให้หลายคนดูจะนึกขึ้นได้ ฮองเฮารับสั่งทันที

    “เหวินเจี้ยน เจ้ากลับตำหนักไปก่อน ย่ำรุ่งค่อยมาหาฮ่องเต้ เจ้าเองก็บาดเจ็บสมควรพักผ่อน”

    “พะยะค่ะ” เหวินเจี้ยนคำนับอีกครั้ง “ลูกขอทูลลาเสด็จแม่”

    “ไว้หม่อมฉันจะไปเยี่ยมนะเพคะ” เหม่ยอิงว่าแล้วโค้งกายให้ เหวินเจี้ยนรับคำในลำคอก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากตำหนัก ทิ้งให้สองหญิงต่างวัยมองหน้ากันก่อนที่คนอ่อนวัยกว่าจะโค้งคำนับ

    “หม่อมฉันขออนุญาตกลับเรือนนะเพคะ”

    “ไปเถอะ นี่ก็ดึกมากแล้ว” ไท่ฟูฮองเฮาอนุญาต เมื่อคนรุ่นลูกละสายตานางก็แหงนหน้ามองจันทราครึ่งดวงก่อนจะรำพึงอย่างแปลกใจ

    “แปลก เหวินเจี้ยนไม่ได้ถามหาเสวี่ยเอ๋อ”

    จะบอกว่าไปหาก่อนก็ไม่น่าจะใช้ เมื่อแม่นางเสวี่ยเอ๋ออยู่ตำหนักของนางมาตั้งแต่ก่อนที่เหวินเจี้ยนจะกลับ และนางก็ไม่อนุญาตให้เสวี่ยเอ๋อไปหาเหวินเจี้ยนในตอนนั้นเหตุเพราะหมอหลวงดูอาการอยู่ อีกอย่างคนที่แปลกคือเหวินเจี้ยน ทั้งที่ปกตินั้นจะถามหาเสวี่ยเอ๋อตลอด บางครั้งก็ไปหา แต่ครั้งนี้กลับไม่มีสักคำ

     “เฮ้อ อาจจะบาดเจ็บหนักกระมัง เช่นนี้เมื่อใดข้าจะมีหลานตัวน้อยๆเสียที”

    อีกทางหนึ่ง ใครเล่าจะรู้ แม้สีหน้านิ่งเฉยสุขุมอย่างที่ใครต่อใครคุ้นเคย แต่ด้วยการเดินที่ช้ากว่าคนปกติเพราะว่าความเจ็บแผล แต่กระนั้นความเจ็บก็ไม่มากถ้าเทียบกับในใจของเหวินเจี้ยนที่กำลังขุ่นมัวและคาดโทษใครบางคน

    แม่ทัพหลี่! เจ้าจะเปิดประเด็นเรื่องเสี่ยวหยางเพราะเหตุอันใด!

    แต่โชคยังเข้าข้างที่ฮองเฮาไม่ได้ซักไซ้อย่างที่ควรเป็น อาจเป็นเพราะอาการบาดเจ็บ แม้ฮองเฮาจะไม่ได้พูดหรือแสดงอาการอะไรกับเรื่องที่แม่ทัพหลี่ทูล แต่เขารู้ว่าฮองเฮาไม่ชอบใจที่ใช้ ของสกปรกแบบนั้น เช่นเดียวกับเหม่ยอิง แต่ที่แน่นอนคือทั้งสองอยากเจอผู้ลงมือกระทำเป็นแน่ เช่นเดียวกับใครบางคนที่เขายังไม่อยากเจอตอนนี้ทั้งที่ถ้าเป็นปกติเขาคงไปหาเป็นคนแรก

    ไม่สามารถให้เหตุผลตัวเองได้ ว่าทำไมถึงไม่ไปหาแม่นางเสวี่ยเอ๋อ คู่หมั้นของเขา....

    ชายหนุ่มลอบถอนหายใจออกมาก่อนจะโยนเรื่องนี้ทิ้งไป ยังไม่นับเรื่องของกริชที่เขาจะปิดปากแม่ทัพหลี่และทหารได้อีกนานแค่ไหน มันคงไม่เป็นเรื่องใหญ่หากกริชเล่มนั้นไม่ใช่ของสำคัญที่เขาพกติดตัวอยู่ตลอด นอกจากมันจะมีความสำคัญทางราชสำนักและยังมีความสำคัญทางใจของเขา

    แต่ตอนนี้ข้อหลังไม่สำคัญ จะให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่ากริชเล่มนั้นถูกใช้ตัดเสื้อ หน่อไม้ และไม้ไผ่ไปแล้ว!

    และเมื่อคิดถึงตรงนี้ ก็พาลให้นึกถึงต้นเหตุทั้งปวง ลืมสิ้นเสียสิ่งที่กังวลเรื่องอื่น เขาเป็นหนี้บุญคุณนาง แต่เขาแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนางเลย ไม่รู้จริงๆแม้แต่เรื่องเดียว

    “ป่านนี้เจ้าจะเป็นเช่นไรนะ เสี่ยวหยาง...”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×