คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #50 : สุริยะเคียงบัลลังค์ 6
ชายหนุ่มผู้นำสั่งกระจายกำลังค้นหาทันที
จนบัดนี้คนนับสิบกำลังตามหาคนๆเดียว และน่าแปลกที่หาไม่เจอ!!
“ไม่เจอเลยรึ!”
“เป็นไปไม่ได้!”
“เอาไงตงหาน?”
บุรุษนามตงหานสอดส่องสายตาไปรอบๆ
ก่อนจะสั่ง “หาต่อไป เจอแล้วฆ่าซะ”
“แต่พวกเราขนาดนี้หาคนๆเดียวไม่เจอนะตงหาน
เจอแต่กองไฟกับเห็ดแล้วก็ซากหน่อไม้ มันต้องมีคนอยู่แถวนี้แน่ๆ”
“มันต้องหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง
ข้ามั่นใจว่ามันต้องบาดเจ็บ” ดวงตาคมกริบนั้นฉายแววมุ่งร้าย “เปลี่ยนใจ ถ้าเจอมัน
อย่าเพิ่งฆ่าแต่จับตัวมาหาข้า หนีจากพวกเราได้ขนาดนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่”
“เจ้าจะทำอะไรตงหาน?”
“รอดูเถอะซิ่นสือ”
ว่าจบก็ทะยานหายไปพร้อมกับม้าทันทีปล่อยให้สหายส่ายหัวก่อนจะหาอีกทาง
ฝ่ายตงหานที่มามองหาโดยรอบพร้อมกับเปิดประสาทสัมผัสให้กว้าง
ไม่ว่าจะเป็นเสียงหรือกลิ่น ชายหนุ่มชักม้าให้หยุดก่อนจะลงจากมาและมองไปโดยรอบ
และโชคคงเข้าข้างฝั่งผู้ล่าไม่ใช่ผู้ถูกล่า
เพราะบริเวณนั้นคือที่ๆตะวันกำลังหลบอยู่บนต้นไม้
บ้าชิบ! ไม่แฟร์นี่หว่า! พวกมันมีม้า! หนีทันก็บ้าแล้ว!
ตะวันกัดฟันกรอดพลางคิดหาทางหนีทีไล่
เธอหนีกลับมาทางกองไฟก็พบว่าเหวินเจี้ยนไม่อยู่แล้ว นี่โดนพวกมันจับตัวไปรึเปล่าเนี่ย!
เอาไงดีวะ....
ฉันไม่ยอมตายหรอกนะโว้ย! แต่ปัญหาไม่ได้มีแค่เธอเสียเปรียบเพราะพวกนั้นมีม้า
เธอดันไปต่อให้เพราะว่าตอนลงนั้นข้อเท้าของเธอได้รับแรงกระเทือนอย่างหนักจนข้อเท้าทั้งสองเจ็บแปลบเวลาลงน้ำหนัก
แน่นอนว่ามันทำให้สปีดตก มือข้างซ้ายปิดที่แขนขวาบริเวณที่เป็นแผลเฉี่ยว
เหงื่อกาฬแตกเพราะความคิดไม่ตก
คิดสิคิด! จะรอดจากตรงนี้ไปได้ยังไง!
พวกมันมีธนูและมีดาบ
เธอมีแค่กริชเล่มเล็กๆ จะเอาชนะพวกมันแล้วหนีรอดไปได้ยังไง! ในสถานการณ์แบบนี้ขอความช่วยเหลือ?
จากใคร? เหวินเจี้ยนอยู่ไหนก็ไม่รู้และถึงจะอยู่เธอก็มั่นใจว่าเป็นตัวถ่วงแน่ๆ
และเธอที่อยู่รอบๆนี่ก็ไม่เห็นคนสักคน ขนาดสัตว์ยังไม่เจอ และเธอมีแค่สมอง กริช
และร่างกายที่บาดเจ็บส่วนสำคัญอย่างข้อเท้านี่ เธอจะหนีให้พ้นยังไง! พลันสายตาเธอก็หันไปมองอะไรบางอย่าง
ริมฝีปากเล็กแค่นยิ้ม
“.....วันนี้คงต้องวัดดวงกันทั้งวันแล้วสินะ”
ตงหานตวัดสายตาไปมองบนต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากที่ตัวเองอยู่
ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ก่อนที่จะหรี่ตาจับผิด มีอีกที่ที่เขาไม่ได้ดู คิดดังนั้นก่อนจะตะโกนสั่งทันที
“บนต้นไม้! ลองมองหาบนต้นไม้กับพุ่มไม้!”
ชายสองคนบนหลังม้าตวัดสายตามองตามต้นไม้ทันที
และเพราะตามองแต่ด้านบนทำให้ไม่เห็นด้านล่างว่ามีเถาวัลย์พาดอยู่
และเมื่อม้าที่ควบมาใกล้เถาวัลย์เส้นนั้นก็ถูกกระตุกให้ตึง
“เฮ้ยยย!!!”
ม้าสองตัวล้มลงไปกองกับพื้นเช่นเดียวกับคนที่อยู่บนหลังมันที่กระเด็นไปไกล
คนที่อยู่บริเวณนั้นตวัดสายตาไปมองก่อนจะทะยานไปหาทันที
“เฮ้ย!!”
ม้าและคนอีกคู่หนึ่งเจอแบบเดียวกันขณะที่อีกสองคู่นั้นกระโดดข้ามได้ทันและหนึ่งในนั้นคือซิ่นสือ
ชายหนุ่มตวัดสายตาไปมองด้านหนึ่งก็พบเพียงแผ่นหลังลางๆที่วิ่งหายไป “ตงหาน! ทางนั้น!”
ตงหานขึ้นหลังม้าและวิ่งไปทางที่ถูกชี้ทันที
เห็นแผ่นหลังไวๆก็ตามไป จนมาเห็นชัดก็ตรงที่เจอกองไฟ
ผู้หนีวิ่งไปหยิบกระบอกไม้ไผ่ต้นเล็กยาวเกือบเท่าตัวพร้อมกับเถาวัลย์ใช้แล้วมาแล้ววิ่งไป
ความคล่องแคล่วนั่นทำให้ผู้ตามต้องสบถ ก่อนจะควบม้าให้เร็วขึ้นพร้อมออกปากสั่ง
“ดักซ้ายขวาทางด้านหน้าซะ!”
ม้าสองตัววิ่งเข้ามาขวางทางด้านหน้าของผู้หนี
พร้อมกับที่ธนูถูกขึ้นสายเตรียมเล็ง แต่แทนที่จะหยุด ผู้หนีกับเร่งความเร็วขึ้นอีกจนคนเตรียมยิงนั้นปล่อยลูกศรในมือ
ฟ้าว!
!!
ดวงตาสามคู่เบิกกว้างเมื่อเห็นว่าธนูทั้งสองดอกนั้น
ผู้ถูกล่าสามารถหลบหลีกไปได้แม้จะแลกกับแผลเฉี่ยวเล็กน้อย แต่นั่นไม่สำคัญ
เพราะคนหนีได้วิ่งลอดตัวใต้ม้าและใช้ไม้ไผ่ในมือเกี่ยวขาม้าตัวที่ลอดมาจนล้มไปทั้งคนและม้า
“บ้าชิบ!”
ผู้ถูกล่าคนนี้ไม่ใช่ธรรมดาจริงๆด้วย!
“ตามไป! อย่าลงจากหลังม้า
ระวังให้ดีอย่าให้เข้าใกล้! เหยื่อตัวนี้ไม่เหมือนตัวก่อนๆ!”
ทุกคนควบม้าตามไปโดยพยายามรักษาระยะห่าง
และครั้งนี้ม้าสามตัวก็ถูกขวางไว้พร้อมกับที่หนึ่งธนูและสองมีดสั้นปามา แต่ผู้ถูกล่ากลับหมอบต่ำจนอาวุธพวกนั้นผ่านหัว
ความเร็วในการวิ่งเพิ่มขึ้นพร้อมกับที่ไม้ไผ่ในมือถูกใช้ยันกับรากข้างทางและเหวี่ยงตัวกระโดดข้ามม้าและคนทั้งสามไป
“นั่นอะไรน่ะ!”
ผู้ถูกล่าที่ไม่ยอมปล่อยไม้ไผ่ลงด้วยท่าข้างลงก่อนจะหมุนตัวและวิ่งต่อไปทันที
มีอาการเสียจังหวะเล็กน้อยแต่ก็ไม่สามารถพ้นสายตาของบางคนไปได้ ตงหานสั่ง “ซิ่นสือ”
เจ้าของชื่อพยักหน้าก่อนจะควบม้าตามไป
มือหนึ่งถือหน้าไม้เล็งไปที่ขาที่วิ่งหนีนั่นก่อนจะยิงไปอย่างไม่ลังเล
สวบ!
ผู้ถูกล่าล้มลงทันทีเมื่อถูกยิงเข้าที่น่อง
ซิ่นสือดึงสายบังเหียนก่อนจะลงจากหลังม้า
เพราะคำสั่งที่ไม่ให้ฆ่าทำให้ไม่ได้เล็งที่จุดตาย และเท่าที่ดู
ผู้ถูกล่านี่ก็เป็นเด็กผู้หญิงเสียด้วย
“?!”
เถาวัลย์ที่เธอถืออยู่นั้นถูกมัดรวมกันเป็นเส้นเดียวกันจะจัดการฟาดลงมาเหมือนแส้ทั้งที่ยังนอนอยู่
ซิ่นสือหลบได้พลันและสุดท้ายก็ต้องชักดาบมาตัดเถาวัลย์เมื่อมันตวัดมาอีกทาง
“เป็นเด็กที่ฤทธิ์เยอะจริงๆ”
ซิ่นสืออดหัวเราะไม่ได้
แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเธอเหวี่ยงอะไรมาสักอย่างจนต้องหลบ
มันคือไม้ไผ่เหลาที่ดูก็รู้ว่าเหลาแบบมือสมัครเล่น และอันที่จริงซิ่นสือแทบไม่ต้องหลบเลยด้วยซ้ำ
อาจเพราะอาการบาดเจ็ดหรือเจ้าตัวไม่แม่นอยู่แล้ว เพราะมันห่างไปประมาณช่วงตัว ซิ่นสือเก็บดาบเพราะไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องใช้กับเด็กผู้หญิงที่ไร้อาวุธ
แต่ดูท่าจะคิดผิด เมื่อคนที่คิดว่าสิ้นฤทธิ์กลับมีเถาวัลย์เหลือ เพราะทันทีที่ซิ่นสือเข้ามาใกล้
เถาวัลย์นั้นก็ถูกจับเหวี่ยงรอบขาและดึงทันทีทำให้ชายหนุ่มล้มหน้าทิ่มกับพื้น
“อย่าคิดว่าจะหนีพ้น!” ซิ่นสือจับข้อเท้าไว้ได้ทัน
แต่กลับกลายเป็นว่าผู้ถูกล่านั้นกระโดดกระทืบแขนและถีบไปที่หน้า
และเมื่อสบโอกาสก็วิ่งไปที่ม้าที่ถูกปล่อยทิ้งไว้เพราะเจ้าของมันกำลังกุมหน้าตัวเองที่โดนถีบ
เธอกระโดดขึ้นหลังม้า แต่เพราะขาที่เจ็บและกระโดดไม่พ้นม้า
ทำให้อาชาตกใจและวิ่งพรวดทันที ซิ่นสือตะโกนบอก
“ตงหาน! นางขึ้นม้าข้าไปทางตะวันตก!”
ตงหานที่ได้ยินดังนั้นก็ควบม้าตามไปทางที่ถูกบอกขณะที่พึมพำกับตัวเอง
“นางงั้นรึ? ขนาดซิ่นสือยังพลาด เป็นสตรีประเภทใดกัน”
“บ้าชิบ!!”
ตะวันสบถออกมาเมื่อม้าที่ตัวเองขี่นั้นบ้าคลั่งควบไม่สนอะไร
แถมเธอยังอยู่ในสภาพที่ไม่อยู่บนหลังม้าเต็มๆ
สองมือจับตัวและบังเหียนมันแน่นเพราะกลัวร่วง
“เหวอ!!”
ม้าที่กระโดดข้ามอะไรสักอย่างทำให้เธอตัวลอยและตกจากหลังม้า
แต่ปัญหามันคงไม่ได้ใหญ่ถ้ามือเธอไม่โดนบังเหียนพัน! โชคยังดีที่มือที่ถือกริชตลอดนั้นเป็นอีกข้าง
เธอพยายามตัดสายบังเหียนให้หลุดขณะที่ตัวยังครูดไปกับพื้น
เพราะเสื้อที่ถูกตัดจนเต่อทำให้เนื้อด้านหลังช่วงล่างแสบไปหมด
ตะวันพยายามอย่างยิ่งที่จะสะบัดให้หลุด
และเพราะความคมของกริชทำให้เธอหลุดออกมาจากการถูกอาชาลาก
เธอสบถออกมากับตัวเองทันที
“บ้าชิบ! ถ้าฉันโดดขึ้นม้าไม่พลาดนะ! ม้าทำไมมันสูงกว่าที่ฉันเคยขี่ตอนปีใหม่วะแม่ง!”
ฟุบ!
ดาบที่ถูกจ่อมาตรงหน้าทำให้เธอต้องจ้องเขม็งไปยังคนที่ตามเธอทัน
ตะวันมองซ้ายขวาหาทางหนีแต่ก็ไม่มี
เพราะถ้าเธอขยับพนันได้ว่าไอ้นินจาตรงหน้านี่กุดหัวเธอแน่
“สรุปยังไงก็แพ้สินะ
เฮ้อ” เธอแผ่หลากางแขนขากับพื้น ปวดไปหมดทั้งตัว
กระโดดค้ำถ่อที่ลงมาบนพื้นแข็งๆแล้วต้องหมุนตัววิ่งต่อมันทำให้แทบจุกเพราะแรงกระแทก
แม้โชคดีที่ไม้ไผ่ที่เธอหยิบมามันสามารถงอได้ แต่มันก็สั้นเกินไปทำให้กระโดดยาก
ไม่นับข้อเท้าที่แทบจะลุกไม่ขึ้น ขาที่มีอะไรเสียบ
และหลังที่แสบไปทั้งแผ่นเพราะมันครูดเป็นทาง และใช่
แขนเธอก็มีรอยถลอกยาวจนเลือดไหลซิบเช่นกัน ก่อนที่เธอจะหัวเราะออกมาอย่างไม่ถูกเวลา
“เกมวัดดวงคงน้อยไป ต้องเป็น dead or alive
นี่ก็คงเป็น dead end....”
ฟุบ!
จู่ๆเธอก็โดนกระชากคอเสื้อขึ้นมา
ดวงตาของผู้ชายตรงหน้าแข็งกร้าวขึ้นมาทันทีพร้อมกับพูดอะไรสักอย่าง
เธอขมวดคิ้วก่อนจะบ่น “จะฆ่าก็ฆ่าซะสิ ฉันฟังที่แกบ่นไม่รู้เรื่องโว้ย
อย่าให้ฉันทำใจเก้อได้ปะวะ”
“Dead
or alive…”
“เออ
ก็ Dead
or alive ไง อยู่หรือตาย และฉันคิดว่าฉันจะตาย เฮ้ยเดี๋ยวนะ”
ตะวันขมวดคิ้วก่อนจะเบิกตากว้าง “นี่พูดอังกฤษได้เหรอ?!”
มือหนาที่สวมถุงมือเปลือยข้อปิดปากเธอทันที
ชายหนุ่มจ้องในระยะใกล้ก่อนจะกดเสียงต่ำถาม “Understand me? (เข้าใจที่ข้าพูดใช่ไหม?)”
ตะวันพยักหน้า
อย่ามาดูถูก เธอเรียนอยู่ที่ออสเตรเลียนะเว้ยตอนนี้! ทุนโรงเรียนไม่ใช่ทุนกูด้วย!
“Shut
up (หุบปาก)” เขาสั่งเมื่อเธอส่งเสียงอู้อี้
ดวงตาคมกริบมองอย่างสั่งแต่ก็ใช่ว่าตะวันจะกลัว และนั่นทำให้อีกฝ่ายรำคาญจนสั่งซ้ำ
“Or else I will kill you. (ไม่งั้นข้าจะฆ่าเจ้า)”
เมื่อเธอเงียบไป
คนตรงหน้าก็ปล่อยมือออก ตะวันกระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะว่าตอบเป็นภาษาอังกฤษ “You plan to kill me from the beginning, don’t
you? So do it. (ตั้งใจจะฆ่าฉันตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่รึไง
ก็ทำสิ)”
หลังมือของตงหานสะบัดใส่หน้าเล็กๆจนหันไปอีกทางพร้อมกับเหยียบที่ข้อมือนั่น
ตะวันสบถก่อนจะด่า “เจ็บนะโว้ย! จะฆ่าก็ฆ่าสิวะ!”
ตงหานหาได้ใส่ใจไม่
ดวงตาเรียวคมมองไปยังกริชเล่มเล็กที่อยู่ในมือของสตรีใต้ร่าง
ลวดลายสลักที่อยู่บนด้ามทำให้ต้องดึงออกมาดู
และเพราะมันเป็นข้างที่ถูกเหยียบทำให้ตะวันไม่สามารถฝืนแรงได้นอกจากด่า
“Give
that back you son of a bitch!
(เอาคืนมานะเว้ยไอ้ห่านรกนี่!)”
เธอพลิกตัวใช้มืออีกข้างสับไปที่เอ็นร้อยหวายเต็มแรงก่อนจะตวัดขาหวังให้อีกฝ่ายล้ม
แต่คนตรงหน้าไม่ได้ป่วยแบบเหวินเจี้ยน และแน่นอนว่าย่อมมีฝีมือไม่ธรรมดา
เพราะเขาเพียงแค่ทรุดเล็กน้อยและสามารถหลบการจู่โจมนั้นได้
มือใหญ่พุ่งไปที่ลำคอเล็กนั่นก่อนจะจับกระแทกกับพื้น
“แค่ก!”
“Answer
me (ตอบข้ามา)” ชายหนุ่มชูกริชในมือพร้อมกับกดเสียงต่ำถาม “Where
did you get this? (เจ้าไปเอามาจากไหน?)”
แรงที่กำรอบคำเบาลงเล็กน้อยเพื่อให้ตอบได้
ซึ่งเธอก็ตอบกระท่อนกระแท่นเพราะความเจ็บจุกและหายใจลำบาก “Borrow
from a crocodile. (ยืมมาจากจระเข้)”
ตงหานรู้สึกเส้นอารมณ์กระตุกกับคำตอบกวนประสาท
ยังไม่ทันที่จะได้ลงไม้ลงมืออะไรเสียงม้าก็ดังมาจากด้านหลัง
มือข้างที่กำรอบคอนั่นละออกมาก่อนจะต่อยไปที่ท้องทันทีจนเธอต้องคู้ตัวด้วยความเจ็บที่พูดไม่ออก
ชายหนุ่มเก็บกริชไว้กับตัวพร้อมกับสั่งอะไรบางอย่าง
ตะวันที่เจ็บจนลืมตาแทบไม่ขึ้นรู้สึกเหมือนถูกหามและมีอะไรมามัดปากและปิดตา
เรี่ยวแรงที่เหลืออันน้อยนิดไม่สามารถช่วยให้ตัวเองออกมาได้
บ้าชิบ! ถ้าถูกต่อยท้องมันจะเจ็บขนาดนี้! รู้งี้น่าจะเล่นกล้ามท้องให้ซิกแพคขึ้นตั้งนานแล้ว!
ตงหานเหวี่ยงตัวขึ้นอาชาของตนควบไป
ซิ่นสือที่อยู่ไม่ห่างมองอย่างอ่อนใจก่อนจะว่า “เจ้าไม่ทารุณไปรึ? นั่นเด็ก
แถมสตรีอีกต่างหาก”
“แต่สตรีวัยเด็กที่เจ้าว่าก็ฝากรอยเท้าไว้ที่หน้าเจ้า”
ซิ่นสือมองเอาเรื่องก่อนจะดึงผ้าปิดช่วงล่างลง
เผยให้เห็นรอยช้ำตรงดั้งจมูกและโหนกแก้ม
ใบหน้าเข้มที่มีแผลเป็นตรงที่ซีกหน้าข้างขวาผ่าลงมาตั้งแต่คิ้วจนถึงแก้ม
หนุ่มหน้าบากถอนหายใจแต่ก็หัวเราะ “แต่เด็กนั่นก็แสบเอาเรื่อง
ข้าว่านางเหมือนบุรุษมากกว่าสตรี”
“จะบุรุษหรือสตรีข้าก็ไม่สน”
ตงหานมองอย่างเรียบเฉย “สตรีที่มีความสามารถระดับนั้นช่างไม่ต่างอะไรกับมือสังหาร”
“มือสังหาร?
เจ้าตาบอดแล้วตงหาน” ซิ่นสือหัวเราะ “นางไม่ได้ฆ่าแม้แต่คนเดียวระหว่างหลบหนี
ทั้งที่ฆ่าคงง่ายกว่า แม้แต่ม้านางก็เพียงทำให้ล้ม และข้าคิดว่าเห็นกริชในมือ
นางไม่ใช้ด้วยซ้ำ และยิ่งมาเจอกับโจรอย่างพวกเรา
ต่อให้ไม่ใช่มือสังหารก็หวังปลิดชีพเป็นแน่ และอีกอย่าง” ชายหน้าบากตบอาชาสีดำสนิทที่อีกฝ่ายขี่อยู่เบาๆ
ก่อนจะว่า “มือสังหารจะไม่เปิดเผยหน้าตาตนเอง
แต่นั่นไม่สำคัญเท่าที่การที่ถูกเจ้าจับได้ แต่ไม่ฆ่าตัวตาย
นั่นต่างหากที่เป็นหลักฐานว่านางไม่ใช่มือสังหาร หัวหน้า”
หัวหน้ากองโจรไม่ได้ตอบอะไรนอกจากดึงบังเหียนไปอีกทาง
ก่อนจะออกคำสั่งกับคนหนึ่งที่เตรียมเอาเหยื่อพาดกับม้าตน “เอาเชลยมาให้ข้า จินเกอ”
“แค่เด็กคนเดียวข้าจัดการได้”
จินเกอตอบเสียงขุ่น แต่นั่นเรียกให้ดวงตาของหัวหน้ากองโจรวาวโรจน์
“แล้วไม่ใช่เด็กรึที่ป่วนกองโจรและจัดการส่งพวกเราหลายต่อหลายคนลงไปนอนกับพื้น”
ตงหานสั่งอีกครั้ง “ส่งเชลยมาให้ข้า”
ชายร่างใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้ามส่งเชลยกิตติมศักดิ์ให้แต่โดยดี
ตงหานจับร่างเล็กๆนั่นพาดคว่ำหน้าไว้ด้านหน้าตนราวกับตากผ้าก็ไม่ปาน
แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อโดนต่อยที่ขาจากร่างที่ห้อยหัวอยู่ทั้งที่สองมือนั้นโดนมัด
ชายหนุ่มดึงร่างนั้นขึ้นแล้วจับให้นั่งแบบปกติอย่างรำคาญ ตงหานแก้มัดและจัดการรวบมือทั้งสองมาไพล่หลัง
มือใหญ่กว่ากดหัวทุยๆนั่นแนบไปกับม้าก่อนจะก้มลงไปว่าอย่างหงุดหงิดให้ได้ยินแค่สองคน
“Don’t you dare move or try to escape. I still need your answer. (อย่าได้ริอาจขยับหรือคิดหนี
ข้ายังต้องการคำตอบจากเจ้า)”
ตงหานคล้ายจะได้ยินเสียงสบถอะไรออกมาจากลำคอนั่น
น่าแปลกที่ยังไม่สลบไปทั้งที่โดนต่อยไป
แต่ชายหนุ่มยังไม่ตัดประเด็นที่ว่าเชลยคนนี้คือมือสังหาร
จึงไม่แปลกที่จะมีความอดทนสูงกว่าสตรีอื่น
เขาละออกมาทั้งที่มือข้างหนึ่งยังคงกดศีรษะเชลยไว้แบบนั้นขณะที่อีกข้างถือสายบังเหียน
“กลับ”
คงได้มีการทรมานเพื่อเอาคำตอบกันในเวลาอีกไม่นานเป็นแน่
สตรีนี่อาจจะไม่เป็นมือสังหารอย่างที่ซิ่นสือว่า
แต่เหตุใดถึงมีกริชตราประทับราชวงศ์หยางอยู่กับตัวได้?
ความคิดเห็น