คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #49 : สุริยะเคียงบัลลังค์ 5
ผ่านพ้นคืนที่สองไป
หน้าตาของตะวันนั้นโทรมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เธอเรียกได้เลยว่า ‘อดนอน’ อย่างเต็มรูปแบบ
เพราะตั้งแต่ตื่นมาเมื่อวาน เธอก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากลองปิ้งหน่อไม้
รวมถึงลองหาอะไรแหลมๆพอที่จะเป็นเข็มได้เพื่อที่จะได้ลองเย็บแผล
ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ไม่มี แน่นอนว่าปลาก็จับไม่ได้
ใช่
เธอหิว!
หน่อไม้ที่เธอปิ้งนั้นมีแต่ไหม้กับไม่สุก! และเธออยากกินอย่างอื่นที่ไม่ใช่หน่อไม้!
“เมื่อคืนไอ้เหวินเจี้ยนก็ดันไข้ขึ้นสูงกว่าวันก่อน
วันนั้นยังพอได้งีบแต่เมื่อคืนไม่ได้งีบ เช็ดตัวให้แม่งจนนิ้วจะเปื่อยลอกอยู่รอมร่อกว่าไข้จะลด
เดี๋ยวแม่ก็จับเอาน้ำแม่น้ำที่มีปลาเล็กปลาน้อยกรอกเข้าปากแบบที่เธอโดนตอนครั้งแรกที่มาให้รู้แล้วรู้รอด! บ้าชิบ!”
ริมฝีปากเล็กๆยังคงบ่นไม่ขาดสายขณะที่มือหนึ่งถือกริชไว้กรีดต้นไม้ตามทาง
ดวงตาหรี่ลงพยายามสอดส่องหาต้นไม้หรือผลไม้อะไรก็ได้ที่พอจะดูว่ากินได้ และวันนี้เธอออกมาจากทางเดิมที่ไปเพียงหนองน้ำและป่าไผ่
“ผลไม้ก็ยังอร่อยกว่าหน่อไม้ล่ะวะ.....”
เธอก้มลงมองมือตัวเองที่เมื่อวานนั่งปอกหน่อไม้
มันมีอาการระคายและเป็นแผลถลอกเต็มมือเต็มแขน
แต่เมื่อเช้าก็ล้างน้ำไปอาการระคายก็ดีขึ้นบ้าง ตะวันมองซ้ายมองขวาและเดินอย่างเชื่องช้าเพราะต้องการหาอะไรก็ตามที่มันกินได้จริงๆ
“จริงๆเรายังเดินรอบแม่น้ำไม่ทั่วเลย...
แม่น้ำมันน่าจะมีทางเชื่อม และของกินน่าจะเยอะเพราะอุดมสมบูรณ์นะ แต่ก็ช่างเถอะ
เดี๋ยวค่อยลอง”
เธอเจอเห็ด
ที่ไม่รู้ว่าเป็นพิษหรือไม่เป็นพิษแต่เธอเก็บมาเท่าที่เห็น เธอถือชายเสื้อให้ออกมาคล้ายถุงก่อนจะเดินกลับเมื่อได้เห็ดเต็ม
และเมื่อเดินกลับมาก็พบว่าเหวินเจี้ยนนั้นยังหลับอยู่ เธอตรงไปวัดไข้ เช็ดแผล
ก่อนจะเปลี่ยนผ้าบนหน้าผาก และเธอเดินกลับมาสำรวจรอบๆหนองน้ำอีกครั้งโดยที่ก่อนมาไม่ลืมจะเติมไม้ให้กองไฟ
และดูเหมือนสุดท้ายโชคก็เข้าข้างเธอ
“แจ๊กพ็อตแตก
นั่นไงต้นมะพร้าว!!”
เธอวิ่งปรี่ไปยืนอยู่หน้าต้นสูงที่อยู่ริมหนองน้ำไม่ไกลจากฝั่งที่เธอมักจะไปตักน้ำ
บอกแล้วไงมันต้องมีเพราะริมแม่น้ำดินต้องอุดมสมบูรณ์! ตะวันยืนท้าวสะเอวมองความสูง เธอลองหยิบหินแถวๆนั้นมาก่อนจะโยนขึ้นไป
ปรากฏว่ามันไปคนละทางกันมะพร้าวที่อยู่บนต้นเลยด้วยซ้ำ
“บุญมีแต่กรรมมาบังชัดๆ.....
ขนาดเล่นงานวัดใกล้ๆฉันยังปาไม่เคยโดนเลยเถอะ...”
ตะวันจ้องไปยังมะพร้าวบนต้นอย่างคิดไม่ตก “เอาไงดีวะ ต่อให้โยนแม่นบางทีมะพร้าวอาจจะไม่ร่วงก็ได้”
เธอหันซ้ายหันขวา
ลองจับๆที่ลำต้นของมัน ขนาดที่ไม่ใหญ่มากทำให้เธอก็กอดได้มิด
ตอนนี้ในหัวเธอกำลังมีอยู่สองคำ
เอาไงดีตะวัน...
ปีนไม่ปีน?
ใช้เวลาเพียงสามวินาที
เธอก็ได้ข้อสรุปกับตัวเอง พลางยิ้มเหี้ยมออกมา “เอาซี่... อย่ามาดูถูก...
ไม่เคยปีนต้นไม้ก็จริงแต่ฉันไวเป็นลิงนะเว้ย เพราะงั้นก็ต้องปีนได้ดิ!”
เธอตัดสินใจที่จะสวมรองเท้าเมื่อไม่ให้อะไรบาด
ดีจริงๆที่รองเท้าที่เธอใส่อยู่นั้นเป็นรองเท้าผ้าใบ
และกางเกงขาสั้นเหนือเข่าประมาณสองฝ่ามือ
เธอลองยึดให้มั่นก่อนจะกอดต้นมะพร้าวและค่อยๆกระดึ๊บขึ้นไป
เอาวะ! น่าจะรอด! ไม่ลองไม่รู้เพราะงั้นมาสักตั้ง!!
“ท่านแม่ทัพหลี่”
นายทหารคนหนึ่งชี้ไปที่เหนือป่าจุดหนึ่งหลังจากที่ขี่ม้าลัดเลาะมาริมหนองน้ำ
“นั่นมัน.. ควันรึเปล่าขอรับ”
“ใช่”
ผู้นำตอบเสียงเรียบขณะหรี่ตาลง “มีคนอยู่กลางป่า”
“อาจจะเป็นฝ่าบาทก็ได้นะขอรับ”
“ลองไปดู”
แม่ทัพหลี่เลื่อนมือไปยังกระบี่ที่เอว “ระวังตัวด้วย
อาจจะเป็นผู้ใดที่อยู่กลางป่าที่ไม่ประสงค์ดี เตรียมตัวให้พร้อม”
“ขอรับ!”
ด้วยระยะทางที่ไม่ห่างกันมาก
ไม่ช้ากองทัพขนาดย่อยก็มาถึงริมหนองน้ำบริเวณกองไฟ
ดวงตาคมดุจอินทรีย์ของแม่ทัพหลี่คมกริบขึ้นมาเมื่อเห็นรอยเท้าบริเวณหนองน้ำ
ที่สำคัญ
ยังดูใหม่เสียด้วย
แต่ชายร่างสูงกำยำกลับชักม้าไปทางที่ควันไฟมา
เพียงชั่วอึดใจก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อเห็นภาพตรงหน้า
ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งที่นอนราบอยู่
“ฝ่าบาท!!”
แม่ทัพใหญ่ลงจากหลังอาชาพร้อมกับตรงไปที่ร่างนั้น
แล้วก็ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าหน้าอกของร่างตรงหน้านั้นกระเพื่อมอยู่
แต่จากที่โล่งอกก็ต้องขมวดคิ้ว เมื่อท่อนบนนั้นมีเศษผ้าสองผืนปกคลุมไว้
และเมื่อเปิดออกก็เห็นบาดแผลที่หน้าท้องที่ไม่มีรอยเลือดแม้แผลจะยังสด สิ่งที่รองรับใต้ร่างคือหญ้าแห้งที่เอามากองสุมๆกัน
ยังไม่นับไม้ไผ่แก่อ่อนที่กองเรียงกันเป็นตั้ง มีไม้ไผ่ถูกตัดที่วางอยู่ข้างๆคนที่นอนอยู่
และเมื่อลองเทออกมันคือน้ำเปล่า อีกทั้งยังมีซากหน่อไม้ที่กองอยู่มุมหนึ่ง ชุดเกราะแตก
รวมถึงเห็ดที่เหมือนโยนโครมทิ้งไว้เฉยๆ ที่ดูดีที่สุดคงเป็นกองไฟที่ไฟยังคงลุก
เหมือนมีคำถามปรากฏอยู่ในใจ
ดวงตาสีเข้มคมดั่งพญาอินทรีย์มองเป็นคำถามไปยังชายตรงหน้า ก่อนจะตัดสินใจเรียกเบาๆ
“ฝ่าบาท”
ไร้เสียงตอบรับ
มือหนาเอื้อมไปแตะที่ไหล่กว้างเบาๆก็พบกับความร้อนที่สูงกว่าระดับปกติเล็กน้อย
และยังมีผ้าสีเข้ม ไม่สิ.. ควรเรียกว่าเศษผ้ามากกว่า
เมื่อลองคลี่ออกมามันคือผ้าที่ถูกตัดหยาบๆไม่เป็นระเบียบ คำถามยิ่งปรากฏขึ้นมากมายและคนที่จะตอบได้คือคนที่นอนอยู่ตรงนี้
คราวนี้แม่ทัพหลี่ลองเขย่าแรงขึ้นเล็กน้อย
“....เสี่ยวหยาง?”
ชื่อที่ไม่คุ้นหูนั่นที่ถูกพึมพำออกมาจากริมฝีปากได้รูปนั่นทำให้บุคคลเดียวที่ได้ยินยิ่งขมวดคิ้ว
เปลือกตาของคนป่วยกะพริบเล็กน้อยก่อนจะหรี่ลงเมื่อเห็นว่าใครที่เป็นคนปลุก “แม่ทัพหลี่งั้นรึ?”
“พะยะค่ะ
กระหม่อมหลี่ ไป๋ซาน” เหวินเจี้ยนไม่ได้ตอบอะไร ก่อนจะพยายามพยุงตัวเองขึ้นนั่งก่อนจะหันไปมองรอบๆ
ก่อนจะถาม
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“กระหม่อมออกตามหาฝ่าบาทพะยะค่ะ”
ราชนิกูลหนุ่มพยักหน้าพอใจกับคำเรียกนั่นขณะที่สายตายังคงสอดส่องโดยรอบ
และนั่นอยู่ในสายตาของแม่ทัพหลี่ตลอด ดวงตาคมกริบมองไปยังสภาพโดยรอบก่อนจะถาม “ฝ่าบาทไม่ได้จัดการพวกนี้ด้วยตัวพระองค์เองใช่ไหมพะยะค่ะ?”
“ท่านแม่ทัพหลี่! กริชขององค์ชายหายไปขอรับ!”
“อะไรนะ!” แม่ทัพหลี่เลื่อนมือไปที่กระบี่ข้างเอว แต่กลับถูกหยุดไว้โดยเจ้าของกริช
“ไม่เป็นไร”
“แต่กริชเล่มนั้นสำคัญมากนะพะยะค่ะ!”
“ถ้าไม่มีกริชเล่มนั้น
ข้าคงไม่ได้หายใจอยู่แบบนี้”
“....หมายความว่าเช่นไรพะยะค่ะ”
แม่ทัพหลี่หรี่ตามองอย่างจับผิด “ผู้ใดเป็นคนช่วยชีวิตองค์ชายไว้”
เหวินเจี้ยนไม่ตอบขณะมองไปรอบๆ
สิ่งที่เพิ่มมาคงเป็นเห็ดที่วางกองๆไว้ ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะยิ้มขำในใจ
แม้ไม่แสดงออกทางสีหน้าแต่แววตามันบอก
ซึ่งแน่นอนว่าผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมอย่างแม่ทัพหลี่ย่อมไม่พลาด คนยศต่ำกว่าถามย้ำอีกครั้ง
“คนผู้นั้นอยู่ที่ใดพะยะค่ะ?”
“...ข้าไม่รู้”
นั่นคือคำตอบตามสัตย์จริง เพราะน้อยครั้งที่เขาตื่นมาแล้วจะเห็นเสี่ยวหยางอยู่ที่นี่
ถ้าไม่ตื่นเพราะถูกปลุกหรือตอนปฐมพยาบาลแล้วเจ็บจนตื่น เขาจะแทบไม่เห็นเธอเลย
“คนผู้นั้น
มีนามว่าเสี่ยวหยางรึพะยะค่ะ?”
สีหน้าแปลกใจของราชนิกูลหนุ่มทำให้คนเป็นแม่ทัพถอนหายใจ
ก่อนจะเฉลย “พระองค์เอ่ยเรียกนามนั้นตอนกระหม่อมปลุกพะยะค่ะ”
“...สถานการณ์ในวังตอนนี้เป็นเช่นไร?”
การที่เฉไปอีกเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยนั้นทำให้แม่ทัพหลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
แต่ก็ยอมตอบแต่โดยดี “ไม่ค่อยดีพะยะค่ะ แต่ก็ไม่ได้แย่ขนาดจะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้”
“แล้วเสด็จพ่อล่ะ?”
สุรเสียงที่สั่นขึ้นมาเล็กน้อยทำให้สีหน้าของแม่ทัพใหญ่วัยกลางคนฉายแววเอ็นดูขึ้นเล็กน้อย
ก่อนจะตอบตามสัตย์จริง “ทรุดลงเล็กน้อย แต่ถ้าองค์ชายกลับไป
กระหม่อมมั่นใจว่าฮ่องเต้จะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอนพะยะค่ะ”
“งั้นรีบกลับกันเถอะ”
เหวินเจี้ยนพยายามยันตัวขึ้นยืน ซึ่งมันลำบากเล็กน้อยจนแม่ทัพหลี่ต้องช่วยประคองแต่ได้รับการปฏิเสธ
“องค์ชายรอสักครู่พะยะค่ะ
กระหม่อมให้คนกลับวังไปเตรียมรถม้า พระองค์บาดเจ็บทรงม้าลำบาก”
ดวงตาคมกริบหรี่ลงก่อนจะว่าต่อ “อีกประการ
กระหม่อมอยากเห็นหน้าของเสี่ยวหยางพะยะค่ะ”
นั่นแหละประเด็นใหญ่
เหวินเจี้ยนลอบถอนหายใจ เขาไม่อยากให้เสี่ยวหยางกับแม่ทัพหลี่คนนี้เจอกัน
ยุคสมัยตอนนี้สำหรับผู้คนที่รู้ภาษาอื่นจะไม่เป็นที่ยอมรับเพราะการกดขี่จากมองโกลในสมัยก่อน
แม้ตอนแรกเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้นจากค่านิยม แต่ในเมื่อ ‘คนที่รู้ภาษาอื่น’ ที่ว่าตอนนี้เป็นผู้ช่วยชีวิตเขา
และเขามั่นใจว่าเสี่ยวหยางไม่ใช่แค่รู้ภาษาอื่น แต่เป็น ‘คนชาติอื่น’
ซึ่งไม่น่าใช่มองโกล
และมันจะยิ่งยุ่งยากถ้าให้เสี่ยวหยางมาเจอกับแม่ทัพหลี่ผู้เคร่งครัด
เสี่ยวหยางมีสิทธิ์ที่จะถึงขั้นถูกประหารได้ต่อให้เป็นผู้ช่วยชีวิตเขาก็ตาม
เหมือนโชคจะเข้าข้าง
เมื่อนายทหารคนหนึ่งควบม้ามาก่อนจะถวายสาส์นให้แก่แม่ทัพหลี่ ชายวัยกลางคนรับมาก่อนจะมีสีหน้าเคร่งเครียดและสั่งทันที
“เตรียมกลับวังหลวงเดี๋ยวนี้
และคุ้มกันองค์ชายไว้ด้วยชีวิตพวกเจ้า!”
“ขอรับ!”
กริชเล่มนั้น
ข้าขอคงต้องขอฝากไว้ก่อน เพราะมันจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเจอกันอีก
ระวังตัวด้วย
เสี่ยวหยาง
ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะเอาตัวรอดผ่านจนมาเจอกับข้าได้
อีกด้านหนึ่ง....
ตะคริวจะกินแขนกูแล้วโว้ยยย!! ทำไมมันปีนยากงี้วะ!!!
ตะวันที่กระดึ๊บมาจนถึงกลางต้นรู้สึกขาสั่นในการปีน
มันใช้เวลานานกว่าและยากกว่าที่คิดหลายเท่า
บ้าชิบ! ค้างเติ่งตรงกลางแบบนี้เอาไงดีวะเนี่ย!!
“ปีนต่อสิยัยตะวัน....
เพื่อน้ำมะพร้าว!!”
เธอกัดฟันกรอดก่อนจะพยายามปีนขึ้นไป
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนที่เธอติดแหง็กอยู่กับต้นมะพร้าว
แต่เธอก็ยังพยายามที่จะลองปีนต่อ
อย่ามองข้างล่างนะตะวัน...
อย่ามองข้างล่าง.....
ไม่ใช่ว่ากลัวความสูง
แต่เธอไม่อยากคิดสภาพที่ว่าเธอปีนขึ้นมาโดยไม่มีอะไรเลยนอกจากตัวและกริช
ซึ่งถ้าตกลงมามันคงไม่เลี้ยงไม่โต เธอว่าเธอคงตายเลย
“เอาไงดี...
ปีนลง? แต่มาถึงนี่แล้ว...”
ฟิ้ว!!!
“เหี้EEEEEE!!!!”
จู่ๆก็มีอะไรวิ่งผ่านหน้าจนเธอตกใจแทบตกต้นไม้
มือและขากอดหนึบที่ต้นมะพร้าวอย่างใจหายก่อนจะมองลงไปข้างล่าง
...
นั่นใครวะ? ใส่ชุดดำๆปิดหน้ามิดชิดขนาดนั้น นินจารึไง?
ฟิ้ว!!
“นรกแตกเหอะ! นี่จะให้ฉันตกไปหัวแบะรึไงหา!!!” ตะวันด่าทันทีเมื่อคนด้านล่างประมาณสามสี่คนยิงธนูขึ้นมา
ก่อนที่คนที่อยู่หน้าสุดจะตะโกนอะไรออกมา
อย่างกับว่าเธอฟังรู้เรื่องอย่างนั้นแหละ!!
“ฉันจะเอาน้ำมะพร้าวโว้ย! พวกแกปล่อยลิงอย่างฉันไปได้ไหมหา!! แม่งอยู่บนต้นไม้แบบนี้เห็นได้ไงวะ”
ตะวันหรี่ตามองเพราะมองไม่ชัด
แต่เหมือนจะเห็นมีคนมาใหม่คนหนึ่งขี่ม้ามา
พวกนั้นคุยอะไรกันสักอย่างก่อนจะชี้มาที่เธอ
ซึ่งคนที่มาใหม่แหงนหน้ามองตามก่อนจะลงจากหลังม้า ก่อนที่จะหยิบธนูขึ้นมาเช่นกัน
สาบานได้ว่าเธอมีความรู้สึกว่าไอ้หมอนั่นมันจะยิงแม่นที่สุดในบรรดาพวกที่อยู่ข้างล่างนั่น!!
บ้าชิบ! ถ้าอยู่บนพื้นอย่าหวังว่าพวกนั้นจะมีโอกาสมาเล็งธนูใส่เธอแบบนี้!!
ฉึก!!
แม่งเอ๊ยมันแม่นจริงๆด้วย!!
เมื่อครู่นั้นมีลูกธนูปักตรงกลางระหว่างแขนและขาของเธอที่กอดต้นมะพร้าวไว้อยู่
จะว่าฟลุกก็ไม่น่าจะใช่ ชูนิ้วกลางใส่ดีไหมเนี่ย!
เฟี้ยว!!
“โอ๊ย!” ตะวันถึงกับซี้ดปากเมื่อคมธนูเฉี่ยวเข้าที่แขนจนมีเลือดไหล
เธอจิ๊ปากเมื่อเห็นว่าตัวเองไร้ทางหนีเพราะอยู่บนต้นไม้
และแถวนี้ก็ไม่มีที่อะไรให้เธอกระโดดแล้วจะรองรับได้เลย
หรือว่ามี!!
ตะวันตาเป็นประกายเมื่อเห็นต้นไม้อยู่ทางด้านข้างเยื้องไปทางด้านหลังที่เตี้ยกว่าบริเวณที่เธออยู่เล็กน้อย
ต้นมะพร้าวนี้อยู่ริมหนองน้ำ และพวกนั้นก็ยืนอยู่ริมหนอง
แต่ต้นไม้ที่อยู่ข้างหลังเธอนี่เป็นอาณาบริเวณป่า
เอาวะ
วัดดวงกันอีกสักรอบ!
คนที่อยู่ง้างคันธนูอยู่เบื้องล่างเห็นคนด้านบนมองซ้ายมองขวา
ก่อนจะหันมามองที่ตน
คิ้วเรียวขมวดเมื่อเห็นรอยยิ้มกับแววตาที่ท้าทายอย่างน่าโมโหที่ไม่รู้สถานการณ์ตัวเอง
แล้วดวงตาคมเรียวที่โผล่พ้นผ้าปิดหน้าก็ต้องเบิกกว้างเมื่อคนที่อยู่บนต้นมะพร้าวนั้นกระโดดลงมา
“ความสูงระดับนั้น… นั่นจะฆ่าตัวตายรึไง!” คนอื่นเองก็ไม่เข้าใจ เขาลดธนูในมือลงก่อนจะเก็บสะพายไว้และวิ่งไปทางที่ร่างนั้นกระโดดลงไปทันที
นั่นไม่ใช่สายตาของคนที่จะฆ่าตัวตาย
อีกอย่าง
ทางที่กระโดดนั้นมันต้นไม้ แต่ถึงอย่างไรก็น่าจะบาดเจ็บสาหัส
แต่เมื่อมาถึงที่ๆมั่นใจว่าน่าจะใช่
กลับพบเพียงใบไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้นมากผิดปกติ และมีบางส่วนที่ยังร่วงหล่นอยู่
และนั่นทำให้มีบางคนสบถและอุทานออกมา แต่คนที่อยู่หน้าสุดที่คาดว่าน่าจะเป็นหัวหน้ากลับสั่ง
“หาให้ทั่ว! ตกลงมาแบบนั้นต้องมีบาดเจ็บ! ไม่น่าจะไปไหนได้ไกล!”
ปีนขึ้นไปบนต้นมะพร้าว
แถมยังกระโดดลงมาและหนีไปได้ที่ความสูงระดับนั้น
คนๆนั้นเป็นใครกัน! แต่อย่าคิดว่าจะหนีไปได้!
ความคิดเห็น