คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #47 : สุริยะเคียงบัลลังค์ 3
“บ้าชิบ...”
เสียงสบถที่รับรุ่งอรุณที่สดใสในวันต่อมานั้นไม่อาจทำให้ใจของผู้สบถเย็นลงได้
ตะวันที่ตอนนี้ยืนอยู่ริมหนองน้ำด้วยสภาพที่หนักใจอย่างสุดแสน
เกิดมาเบ็ดตกปลายังไม่เคยจับ
นี่จะให้มาจับปลามือเปล่าเนี่ยนะ!!
แว่นก็ไม่มี
เห็นก็ไม่ชัด จะให้แปลงร่างเป็นหมีดมกลิ่นแล้วควักปลาขึ้นจากน้ำรึไงตอบ!!
หลังจากที่เมื่อคืนเห็นว่าคนเจ็บได้หลับไปแล้ว
เธอก็เดินไปตักน้ำที่หนองน้ำอีกรอบและกลับมาเช็ดตัวให้กับคนป่วย
และเพราะไม่มียาลดไข้หรือว่าอะไรเลยเพราะเธอไม่รู้จักสมุนไพรใดๆในธรรมชาติยกเว้นก็แต่ว่านหางจระเข้
แต่ก็ไม่รู้จะไปหาที่ไหน
เธอถึงต้องเช็ดตัวให้เขาทั้งคืนป้องกันการไข้ขึ้นสูงจนช็อค
และตอนนี้เมื่อเห็นว่าไข้ลดมาในระดับที่ไว้ใจได้
เธอก็ต้มน้ำทิ้งไว้ให้ข้างตัวพร้อมกับผ้าเย็นที่แปะอยู่บนหน้าผากและออกมาที่หนองน้ำนี้
สรุปคือเธอได้เพียงแค่พักสายตาเป็นระยะๆ
แต่นั่นก็ไม่ได้มีปัญหามากมายอะไรสำหรับเธอที่อดหลับอดนอนอยู่เป็นประจำ
แต่ถ้าหน้ามืดล้มหน้าทิ่มในหนองน้ำนี่ก็ค่อยว่ากัน.....
เธอลองมองหาหินก้อนใหญ่ๆสองกันที่พอจะจับทุ่มใส่กันให้เกิดเป็นเสียงสั่นสะเทือนใต้น้ำให้ปลาเบลอ(หรือตาย)
แต่กระนั้นมันก็ไม่มี ซึ่งนั่นทำให้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก มันดีจริงๆที่ไม่มี เพราะเธอไม่อยากจับ
แต่เพราะว่ามีคนป่วยที่(จำเป็น)ต้องดูนั่นทำให้รู้สึกน้ำตาไหลพราก
แล้วจะเอาโปรตีนที่ไหนให้คนป่วยกินวะ...
ลองจับดูก่อนก็แล้วกัน
โอ๊ย! เจ้าแม่กวนอิมที่ลูกนับถือ! ลูกทำบาปมากเลยใช่ไหมเนี่ย!
เหวินเจี้ยนลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสบายตัวขึ้นถ้าเปรียบเทียบกับเมื่อวาน
ชายหนุ่มกระพริบตาสองสามครั้งเพื่อปรับโฟกัสก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่ง
แปลบ...
ความเจ็บที่แล่นปลาบเข้ามาทำให้ต้องมองลงมาที่หน้าท้องของตนเอง
ผ้าพันแผลที่ทำจากเถาวัลย์ตั้งแต่เมื่อวานทำให้เขานึกขึ้นได้
“...เสี่ยวหยาง?”
มองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นว่าผู้หญิงตัวเล็กๆนั่นอยู่แห่งใด
มีเพียงไฟที่ยังคงปะทุอยู่พร้อมกับกิ่งไม้ยาวๆสามอันที่ปักอยู่ข้างกับกองเพลิง
แกรก...
ดวงตาเรียวหันมามองสิ่งที่อยู่ใต้ร่าง
มันคือเสียงหญ้าแห้งที่เขาใช้นอนเมื่อคืนที่เสียดสีกันยามที่เขาขยับ
และเมื่อไล่สายตาห่างออกไปเล็กน้อย
ข้างๆที่นอนก็มีกระบอกไผ่ใส่น้ำวางไว้อยู่สองกระบอก
เหวินเจี้ยนยื่นมือออกไปก่อนจะยกจิบ ความร้อนที่แทบจะไม่มีบ่งบอกว่าคนทำคงวางทิ้งไว้นานแล้ว
แล้วเสี่ยวหยางหายไปไหน?
“&*$? @%&((#”
เหวินเจี้ยนหันไปมองตามต้นเสียงแล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าคนที่ตนมองหานั้นเปียกโชกตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า
มือข้างหนึ่งถือสิ่งที่หน้าตาไม่เคยเห็นแต่จำได้ว่าเป็นสิ่งที่เสี่ยวหยางสวมใส่
และสิ่งนั้นรู้สึกจะเป็นสิ่งเดียวที่ไม่เปียก
“เจ้าไปทำอะไรมา?” เหวินเจี้ยนถาม
แต่แทนที่เขาจะได้รับเป็นคำตอบที่รู้ว่าฟังให้ตายก็ไม่รู้เรื่อง เสี่ยวหยางกลับเอาสิ่งที่อยู่ในมือวางแล้วเอามือประกบกันพลางทำท่าเลื้อยไปมา
....
อะไรน่ะ?
ดูท่าว่านางจะรู้ว่าเขาไม่เข้าใจ
เสี่ยวหยางชี้ไปที่ทางไปบ่อน้ำ ทำท่าเมื่อครู่อีกครั้ง
ก่อนจะทำท่าเหมือนใช้ตักอะไรสักอย่างเข้าไปในปากตัวเอง
จะบอกว่าไปแม่น้ำจับปลามาทำเป็นอาหารรึ?
แต่ดูท่าจะล้มเหลว
เพราะการที่นางกลับมามือเปล่าและทั้งตัวเปียกโชก
เสี่ยวหยางถอนหายใจออกมาก่อนจะพาตัวเองไปยืนอยู่ข้างกองไฟและกางแขนออก
.....
นางกางแขนออกทำไม
และคำตอบก็ประจักษ์และทำให้เขาหันหน้าหนี
ดวงหน้าคมขึ้นสีเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเสี่ยวหยางเปิดอาภรณ์ของตนแล้วสะบัด
คงตั้งใจจะทำให้ตัวเองแห้ง
แต่นางน่าจะรู้ว่าเขาที่เป็นบุรุษยังอยู่ตรงนี้
“Wénjiàn” คำเรียกนั้นทำให้เขาหันไปมอง
ก็พบว่าเสี่ยวหยางมาอยู่ตรงหน้าทั้งที่เรือนผมสีดำที่รวบตึงยังคงเปียกชุ่ม
นางชี้มาที่ท้องของเขาก่อนจะกอดตัวเองไว้แล้วทำสีหน้าเจ็บปวด
และหันมามองหน้าเขาเหมือนกับรอคำตอบ
เสี่ยวหยางถามเขาว่ายังเจ็บอยู่รึเปล่า
งั้นรึ?
เขาส่ายหัว
ก่อนที่จะเผลอสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อนางตรงหน้าแนบหลังมือที่หน้าผากของเขา
ขณะที่อีกข้างจับของตัวเอง ก่อนที่หลังมือนั้นจะเลื่อนมาแตะที่ข้างแก้มและลำคอก่อนจะถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
เสี่ยวหยางผละออกไปโดยที่ไม่ลืมจะหยิบเศษผ้าที่เข้มที่ร่วงหล่นไปขึ้นมาและเดินตรงไปที่หนองน้ำ
เพียงอึดใจนางก็กลับมา แขวนผ้าผืนน้อยไว้ที่ไม้ที่เสียบอยู่ข้างๆกองไฟ
และเดินไปทางอีกมุม ซึ่งนั่นทำให้เขาประหลาดใจออกมา
เพราะบริเวณนั้น
มีเถาวัลย์และไม้ไผ่เต็มไปหมด
เหวินเจี้ยนแหงนหน้ามองแสงสุริยะ
คาดเดาเวลานี่คงเป็นยามสาย นางตื่นตั้งแต่ยามใดกัน?
“Wénjiàn #^&*@&$^&” เหมือนเสี่ยวหยางจะพูดอะไรสักอย่าง
นางหยิบกริชที่เป็นของเขาขึ้นมาก่อนจะค่อยๆตัดเถาวัลย์ที่พันอยู่ที่เอวอย่างใจเย็น
ได้ยินเสียงบ่นงึมงำอยู่ตลอดเวลายามที่นางตัด และเมื่อเถาวัลย์หลุดออกมา
นางก็ยิ้มกว้างออกมาทันที
ผ้าทั้งสองผืนนั้นเลือดก็ไม่มากและเป็นสีเข้มเรียบร้อย
หมายความว่าเลือดหยุดไหลมาพอสมควร
“*#*)&@!&*(@^$!@#$%^&*” เสี่ยวหยางพูดอะไรอีกครั้ง
ก่อนที่จะเอาปลายผ้าสีขาวที่เคยเป็นอาภรณ์ของเขา
เอาบริเวณที่ยังไม่เปื้อนเลือดจุ่มน้ำที่นางเตรียมไว้ในไม้ไผ่
ก่อนจะบรรจงเช็ดคราบเลือดรอบๆแผล ก่อนจะเดินกลับไปทางแม่น้ำอีกครั้ง
เขาก้มลงมองแผลของตัวเองที่ไม่ลึกมาก
แม้บัดนี้ยังเป็นแผลสดแต่คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
พวกทหารคนอื่นๆน่าจะเริ่มออกตามหาเขา ประมาณวันพรุ่งหรือหลังวันพรุ่งก็น่าจะเจอเขา
เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็อดแค่นหัวเราะออกมาไม่ได้
กลับไปมีเรื่องเตรียมสะสางแน่
ฐานคิดลอบกัดเขา
“Wénjiàn?” เสียงเรียกนั้นทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมอง
ก็พบเสี่ยวหยางที่ขมวดคิ้วอยู่ไม่ไกล ด้านหลังของนางมีผ้าสองผืนที่ใช้ปิดแผลที่ถูกตากไว้
นางดูจะถามอะไรสักอย่างที่เขาฟังไม่เข้าใจ แต่การที่นางเอื้อมมือมาแตะหน้าผากเขาทั้งที่มือตัวเองมีความเย็นจากสายน้ำ
นางมองแผลที่ท้องเขาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองแล้วพูด
“อะ...
อะไร?”
หืม?
เมื่อครู่นางถามข้าว่า ‘อะไร’ รึ?
สีหน้าที่ดูลุ้นๆนั่นหลังจากที่พูดออกมาว่า
‘shén me?’ ทำให้เขาเผลอขมวดคิ้วออกมาได้ไม่ยาก
นางพยายามจะสื่ออะไร แต่เสี่ยวหยางก็ชี้ไปที่ศีรษะของตัวเอง
ก่อนจะเลื่อนไปชี้ที่หน้าท้องของตัวเอง และชี้มาที่คิ้วตัวเองพลางทำหน้าขมวด
แล้วชี้กลับมาที่เขา ก่อนนางจะถามออกมาอีกครั้ง “อะไร?”
เหวินเจี้ยนดูแปลกใจเล็กน้อย
ก่อนจะเผลอหลุดยิ้มออกมาเมื่อพอจะเดาสิ่งที่นางจะสื่อได้
นางอยากจะถามเขา
ว่า ‘เป็นอะไร’ สินะ
การที่ชี้มาที่ศีรษะก็เพื่อจะถามว่าปวดหัวรึเปล่า ชี้มาที่ท้องก็ถามว่าเจ็บแผลรึเปล่า
คงเพราะนางเห็นเขาคิ้วขมวดเมื่อครู่ถึงได้ถามแบบนั้น ประกอบกับที่นางอังหน้าผากเขาเมื่อครู่
มันคงคิดเป็นอื่นไม่ได้นอกจากแบบนี้
“ข้าไม่เป็นไร”
แม้จะเป็นประโยคที่คิดว่านางอาจจะฟังไม่รู้เรื่อง
แต่มันมีคำว่า ‘ไม่’ อยู่ในประโยคนางอาจจะเข้าใจ
เพราะเมื่อเย็นวานนางยังสั่งเขาว่า ‘ไม่ๆๆๆ’ อยู่ ซึ่งเสี่ยวหยางก็หรี่ตาลง
ไม่ใช่ท่าทางที่ดูไม่เข้าใจ แต่เหมือนกับพยายามจับผิด
แต่แล้วก็ยักไหล่พลางหยิบเกราะของเขามาวางด้านหลังและพยายามดันให้ล้มตัวนอน
พลางพูดอะไรสักอย่างประกอบการกระทำ แต่เขาไม่เข้าใจ แต่ท่าทางแล้ว...
นางกำลังบังคับให้นอนทั้งที่เขาเพิ่งจะตื่นงั้นรึ?
“เสี่ยวหยาง
ข้าเพิ่งจะตื่น ข้าไม่ง่วง”
เขาว่าพลางจับที่ข้อมือเล็กกว่าทั้งสองข้างของนางเพื่อหยุดการกระทำ
และนั่นทำให้เขาเพิ่งจะเห็น
ข้อมือทั้งสองข้างของนางเป็นรอย
แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่าที่ลำคอที่เห็นได้ชัดเป็นรูปฝ่ามือ
“...ขอโทษ”
จู่ๆหลังจากที่เขาพูดคำนั้น
นางก็ตวัดสายตามามองเขาพลันจนเผลอสะดุ้ง
เสี่ยวหยางดึงมือออกจากเขาก่อนจะชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้วแล้วพูดอะไรสักอย่างที่เป็นประโยคซ้ำๆ
นางกำลังให้เขาพูดขอโทษอีกรอบ?
“ขอ
- โทษ”
ถ้าเป็นคนอื่นเขาอาจจะไม่ทำ
แต่นี่เป็นเสี่ยวหยาง
เพราะทันทีที่เขาพูดช้าๆชัดๆอีกครั้งนางก็กำหมัดแล้วอุทานออกมาอย่างดีใจ
ก่อนจะพูดออกมาเป็นประโยคยาวเหยียดซึ่งเขาจับใจความได้แค่คำว่า ‘ขอโทษ’
ที่เขาเพิ่งจะพูดให้นางฟังเท่านั้น
นางดีใจที่เขาขอโทษนางงั้นรึ?
“Wénjiàn” จู่ๆนางก็เรียกเขา พร้อมกับที่ชูกริชขึ้นมาแล้วบอกชัดถ้อยชัดคำ
“ขอโทษ!”
แล้วนางขอโทษเขาพร้อมกับชูกริชทำไม?
นางทำท่าทางพร้อมสั่งเป็นภาษาที่เขาไม่เข้าใจอีกครั้ง
แต่ท่าทางเหมือนกับให้เขานั่งอยู่เฉยๆ
ก่อนที่นางจะลุกยืนแล้ววิ่งไปอีกทางซึ่งเป็นคนละทางกับหนองน้ำอย่างอารมณ์ดี
โดยที่ในมือเล็กๆนั่นถือกริชของเขาติดมือไปด้วย เหวินเจี้ยนขมวดคิ้วงง
นางขอโทษเรื่องกริช....
เหตุอันใดล่ะ?
เมื่อวานก็เช่นกัน
นางโบกกริชในมือพร้อมกับยิ้มและพูดอะไรสักอย่าง
และสีหน้าที่นางขอโทษเมื่อครู่นั้นก็เป็นสีหน้าที่คล้ายกับเมื่อวานเช่นกัน
คิ้วโก่งสวยขมวดเป็นปมอย่างที่พยายามจะเข้าใจอย่างยิ่งว่าจู่ๆเสี่ยวหยางขอโทษพร้อมกับกริชทำไม
และเมื่อยิ่งคิดมันยิ่งทำให้ปวดหัวสุดท้ายเหวินเจี้ยนก็ยอมแพ้ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง
“เรื่องของคนแปลกหน้าทำให้ข้าปวดหัวยิ่งกว่าเรื่องของตัวเองเสียอีก...”
เมื่อนึกถึงคนแปลกที่หน้าที่ว่าก็ทำให้เหวินเจี้ยนคิดพิจารณาอีกครั้ง
เสี่ยวหยางมาจากที่ใด? การแต่งกายที่ไม่เคยเห็นพร้อมกับที่ภาษาไม่คุ้นหู
แต่กระนั้นกลับรู้ภาษาจีนได้เป็นบางคำ
ตัวอย่างง่ายๆอย่างคำทักทายในตอนแรกที่เขาพยายามเรียกนางเมื่อวาน ถ้าให้เดา
นางน่าจะพูดคำว่า ‘สวัสดี’ ออกมาหลายภาษาเพื่อดูว่าเขาเข้าใจภาษาใด
แต่คำถามคือนางเป็นใครถึงได้รู้หลายภาษา
เพราะตอนแรกที่เขาขอบคุณนาง
ดูเหมือนนางจะเข้าใจว่าเขาขอบคุณ
เพราะนางยิ้มพร้อมโบกไม้โบกมือคล้ายกับบอกว่าไม่เป็นไร แต่กลับไม่พูดออกมา
หรือนางจะรู้เพียงแค่คำง่ายๆบทสนทนาพื้นฐาน?
ถ้าเป็นแบบนั้น
การที่เมื่อครู่นางให้เขาพูดขอโทษอีกครั้งเพื่อจะเรียนรู้งั้นรึ?
แต่เหมือนจะเป็นคำที่นางรู้อยู่แล้วแต่ลืมเพราะดูจากปฏิกิริยาของนาง
และเมื่อวานที่หลังจากเขาตัดสินใจจะเรียกนางว่า ‘เสี่ยวหยาง’
จู่ๆนางก็หัวเราะออกมาและพูดประโยคที่เขาฟังเข้าใจแต่ไม่เข้าใจที่นางจะสื่อ
เพราะนางพูดว่า
‘เสี่ยวหยาง...เสี่ยว’
แม้คำตรงกลางนั้นเขาจะไม่รู้ แต่การที่นางหัวเราะทำให้เขาเดาว่าคำว่า
เสี่ยวหยาง ไม่สิ คำว่าเสี่ยวน่าจะมีความหมายอื่นในภาษาของนาง
และคงเป็นคำที่น่าจะตลกพอดูถึงได้หัวเราะออกมาแบบนั้น แต่ในภาษาจีน
ชื่อของนางที่เขาตั้ง หมายถึง ‘พระอาทิตย์ดวงเล็ก’ จากการที่นางชี้ไปที่พระอาทิตย์และวาดรูปพระอาทิตย์ยามที่เขาถามชื่อนาง
และเขาคิดว่าชื่อ ‘เสี่ยวหยาง’ ดูจะเหมาะกับนางที่สุด
เพราะนางเป็นสตรีที่ช่วยชีวิตเขาไว้
ทำให้เขาได้ตื่นมาเห็นดวงตะวันอีกครั้ง
แม้จะยากที่อยากจะมีเรื่องมากมายที่อยากจะถาม
ทั้งการปฐมพยาบาล การจุดไฟ การหาน้ำ
เขาที่มองนางทำทุกอย่างอยู่ตลอดนั้นมันดูราวกับว่าเสี่ยวหยางเค้นเอาความรู้ทุกอย่างออกมาใช้เพื่อเอาตัวรอด
จะว่านางอาศัยอยู่ที่ป่าแห่งนี้ก็ไม่น่าจะใช่ หรือจะเป็นชนเผ่า?
รูปร่างหน้าตาก็ไม่คล้ายเสียเท่าใด
มันดูเหมือนกับว่านางเพิ่งจะมาที่นี่และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่ที่ไหน
จากการที่นางร่ายคำว่าสวัสดีมาหลายภาษาเพราะต้องการจะรู้ว่าเขาเป็นคนชาติใด
“เจ้าเป็นใครกัน
เสี่ยวหยาง...”
ความคิดเห็น