ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    M E S S A F T E R S T O R M "

    ลำดับตอนที่ #26 : Varupaksha | Destinesia [ Y ] (MC)

    • อัปเดตล่าสุด 17 ม.ค. 59


    Application

    " ถึงเจ้าจะบอกว่าตัวเองสูงศักดิ์มากเพียงใด แต่พอตายไป พวกสีเข้มอย่างเจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับพวกสีซีดนั่นแหละ :)"
    .
    .
    "ถ้าความหวังคือสิ่งที่ปรารถนาจะทำหากเรื่องนี้จบลง ข้าก็คงไร้ซึ่งความหวัง..."
    .
    .
    "ชีวิตที่เหลืออยู่ของข้ามีหน้าที่เติมเต็มความหวังของคนที่จากไปเท่านั้น"



    ชื่อ - นามสกุล: เซลาเดรียน ราจ Seiradlien Raj (ปกติก็จะบอกแค่ ซาร์ ราจ) 
    ชื่อเล่นหรือชื่อให้เรียก: ซาร์ Sarr
    เพศ: ชาย
    อายุ: 23
    ลักษณะเมื่อดูจากภายนอก: ชายหนุ่มที่บอกไปคงไม่เชื่อว่าอายุยี่สิบสามในเมื่อมีใบหน้าที่เด็กเหมือนเด็กวัยรุ่นอายุไม่น่าเกินสิบแปดสิบเก้า ผิวค่อนข้างขาวแต่ก็ไม่ได้เผือก เรือนผมสีแดงอมม่วงเข้มที่เจ้าตัวไปซ่าทำตรงปลายผมเป็นสีเงิน ผมที่ยาวระต้นคอพอจะผูกได้ถูกปล่อยยุ่งๆเหมือนเจ้าของไม่ใส่ใจอะไรมากมาย ดวงตาสีเหลืองนวลเหมือนสีของดวงจันทร์คมเรียวเป็นประกายที่ใต้ตาคล้ำคล้ายคนอดนอน รูปร่างโปร่งประมาณ 171 ซม. และมุมปากที่มักจะยกยิ้มอยู่ตลอดเวลา และที่ขาดไม่ได้คงเป็นผ้าคาดศีรษะเก่าๆซึ่งปมมันอยู่ใต้ท้ายทอยและปลายของผ้าคาดนั่นถูกปล่อยยาวลู่ลม ซาร์ไม่ใช่คนหน้าตาดีชนิดที่ให้เหลียวหลังมอง จัดอยู่ในค่อนข้างดี แต่เขามีเสน่ห์ดึงดูดที่ไม่มีใครเลียนแบบได้ก็เท่านั้น
    ลักษณะการแต่งกาย: ซาร์จะมีผ้าคลุมเก่าๆสีมืดมีฮู้ดไว้เสมอ โดยที่สิ่งที่ทำให้ผ้าคลุมนั้นอยู่ติดร่างคือเชือกที่ผูกไว้ตรงคอ มันเป็นผ้าคลุมตัวใหญ่เกือบถึงพื้น แต่ยามที่ซาร์ยกแขนก็เห็นว่าภายใต้ชุดคลุมนั้นข้างในจะเป็นเสื้อรัดรูปสีดำแขนยาวห้าส่วน และทับด้วยเสื้อคอวีสีอ่อนยับๆที่แหวกเกือบถึงอกจนเห็นเสื้อรัดรูปข้างใน และเพราะขนาดเสื้อที่ดูใหญ่ไม่พอดีตัวทำให้แขนเสื้อที่สั้นยาวอยู่ตรงประมาณข้อศอก ท่อนล่างเขาจะใส่กางเกงขายาวสีมืดโดยที่ซาร์จะดึงขากางเกงข้างหนึ่งขึ้นมาจนถึงเข่าจนเป็นเอกลักษณ์ และมีเข็มขัดหนังที่ซาร์ผูกถุงเล็กๆสองสามถุงไว้ แต่รองเท้ากลับเป็นรองเท้าสานรัดข้อเสียอย่างนั้น มันทำจากไม้ไผ่และไม่อยากจะบอกว่าซาร์เป็นคนทำเอง และผ้าผูกคอสีแดงสดซึ่งปมหันข้าง (เป็นผ้าที่บางครั้งซาร์ใช้เช็ดหน้า แต่ส่วนใหญ่ซาร์ไม่ชอบเช็ดหน้าหรอก ปล่อยให้แห้งเอง ถถถถ) ถุงมือสีดำแบบเปลือยข้อนิ้ว การแต่งกายของซาร์จะเป็นแบบเดิมๆไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไหร่ และมองภายนอกนั้นมันเหมือนพวกเร่ร่อนเพราะเครื่องแต่งกายที่ดูเก่าๆเกือบทั้งชุด ยกเว้นผ้าพันคอที่ดูจะใหม่ที่สุด
    เผ่าพันธุ์: เผ่าเนตร
    ลักษณะที่บ่งบอกถึงเผ่าพันธุ์: อันที่จริงภายนอกนั้นซาร์ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดาๆเลยด้วยซ้ำ ยิ่งการแต่งกายที่ดูแปลกแหวกแนวไปเลย แต่ถ้าสังเกตดีๆภายในดวงตาสีเหลืองนวลของซาร์มันจะมีรอยสลักอยู่ภายใน และยามที่ซาร์ใช้พลัง สีภายในดวงตาจะเปลี่ยนจากเหลืองนวลเป็นไล่สีจากสีเข้มอย่างทองสว่างจนไปถึงสีขาวสว่าง (อยู่ในดวงตาข้างเดียวค่ะ) ซึ่งมันเป็นประกายสุกสกาวและไม่มีใครเหมือน 
    ความสามารถพิเศษของเผ่า: เผ่าเนตรเป็นเผ่าที่ดวงตาสามารถมองเห็นได้ในระยะไกลและแยกสิ่งมีชีวิต-ไม่มีชีวิตได้จากพลังงานที่แผ่ออกมา แน่นอนว่าไม่มีปัญหาแม้จะมืดสนิท (นึกถึงซาฟีร่าในเอรากอน แบบนั้นเลยค่ะ ถถถ) ซึ่งนั่นยังไม่ใช่พลังของเผ่าเนตรอย่างแท้จริง พลังของซาร์มีสองแบบ คือตาซ้ายและตาขวา พลังของตาขวาของซาร์นั้นจะสามารถเห็นอีกห้วงเวลาหนึ่งของสถานที่นั้นๆได้ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรืออนาคต คือเหมือนกับว่าเขาเห็นว่าที่ตรงนั้นเกิดอะไรขึ้นเมื่อในอดีต หรือว่าจะเกิดอะไรในอนาคต ซึ่งพลังนั้นซาร์ไม่สามารถบอกเวลาที่แน่ชัดได้ว่ามันจะเกิดเมื่อไหร่ แต่สามารถบอกได้แค่คร่าวๆเท่านั้น 
    ส่วนพลังของตาซ้ายคือยามที่ใครมองเข้าไปในดวงตานั้น เขาจะไม่มีสิทธิ์ขัดขืนทันทีราวกับร่างกายนั้นไม่ใช่ของตน ซาร์สามารถล้วงลึกเข้าไปได้ถึงจิตวิญญาณและอดีตของคนๆนั้นได้ รู้ว่าคนๆนั้นกำลังวางแผนจะกระทำอะไรต่อไป รู้ว่าในอดีตเขาได้ทำอะไรมาบ้าง มันคล้ายกับว่าซาร์ได้เข้าไปในจิตวิญญาณของคนนั้นๆ ซึ่งอันที่จริงดวงตาข้างซ้ายของซาร์สามารถสะกดจิตคนได้ถ้าคนนั้นรู้สึกละอายต่อสิ่งที่ตัวเองกระทำ แต่ถ้าไม่รู้สึกผิดแม้แต่เพียงนิดก็ยากที่จะควบคุมหรือสะกดจิต โดยเฉพาะพวกที่มีจิตปรารถนาด้านลบอย่างแรงกล้า (เช่นจะฆ่าๆๆๆโดยที่ไม่รู้สึกผิด) ผลกระทบจะกลับมาที่ซาร์ทันที ผลเสียของตาซ้ายก็คือ เพราะซาร์ได้เข้าไปสัมผัสกับจิตวิญญาณ ได้รับรู้ถึงความทุกข์ทรมาน ความมืด และช่องโหว่ในใจ มันทำให้ซาร์ได้รับผลกระทบของความรู้สึกนึกคิดนั้นๆไปด้วย ซึ่งซาร์จะไม่ค่อยใช้ตาซ้ายพร่ำเพรื่อ 
    ปล. ซาร์ไม่จำเป็นต้องหลับตาข้างใดข้างหนึ่งถ้าจะใช้พลังนั้นๆ เพียงแค่ถ้าจะใช้ตาขวา ซาร์ต้องหลีกเลี่ยงที่จะมองคนหรือให้ใครมองมา แต่กับตาซ้ายนั้นอาจจะพิเศษออกไป อย่างที่บอกคือซาร์ไม่จำเป็นต้องมองใคร ขอเพียงแค่ใครมองมาที่ดวงตาไล่สีสว่างของเขาก็เพียงพอที่จะทำให้คนที่มองตกอยู่ในห้วงความมืดในใจตัวเองได้แล้วโดยที่ซาร์ไม่ต้องสบตากลับด้วยซ้ำ ซึ่งกรณีนี้ซาร์จะไม่ได้รับผลกระทบเพราะไม่ได้เข้าไปในจิตใจ แต่ถ้าซาร์สบเข้าไปในดวงตานั้นก็จะเข้าไปในใจ แม้การมองปกติซาร์ไม่จำเป็นต้องปิด แต่ถ้าต้องการล้วงลึกเข้าไปในความมืดนั้นมากๆซาร์จะก็หลับตาข้างขวาลง และผลกระทบที่ทั้งร่างกายและจิตใจของซาร์ได้รับมันก็มากขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นยามที่ซาร์ใช้พลังไม่ว่าจะตาซ้ายหรือตาขวา เขาจะต้องหลีกออกมาและต้องไม่ใช้ใครมองดวงตาของเขาเป็นอันขาด เพราะมันจะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี ทุกคนมักจะมีบาดแผลในใจกันทั้งนั้นไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นคนดีหรือไม่ แต่ถ้าจ้องมาที่ดวงตาของเขาเมื่อไหร่ มันจะทำให้คนๆนั้นตกอยู่ในห้วงฝันร้ายของตัวเองซ้ำ และบางครั้งมันก็ทำให้คนๆนั้นบ้าคลั่งขาดสติไร้ซึ่งความรู้สึกเหมือนกับว่าถูกปลุกความมืดขึ้นมาให้กลายเป็นสัตว์ป่า
    ความสามารถพิเศษทั่วไป: ทักษะการเอาชีวิตรอด และความรู้เรื่องใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นป่า ทะเลทราย ถ้ำ ภูเขา และซาร์สามารถพยากรณ์อากาศได้ (ไม่ใช่พลังเนตร) นอกจากนี้ยังมีความรู้เรื่องยาและสมุนไพรต่างๆดีเยี่ยมด้วย 
    ทัศนคติต่อโลกใบนี้และแนวทางที่อยากให้เปลี่ยนแปลง: "....โลกนี้มันสกปรก มันไม่ต่างอะไรกับนรกที่เต็มไปด้วยพวกปีศาจที่จิตใจดำมืด" ซาร์ถอนหายใจ "แน่นอนว่าข้าอยากให้เปลี่ยน อยากให้คนขาวกับคนดำอยู่ร่วมกันได้ ถ้าถามความเห็นของข้าว่าควรทำเช่นไร ข้าไม่คิดว่าเจรจาแบบสันติ หรือแม้แต่ใช้กำลังจะได้ผล ความสูญเสียจะไม่ทำให้พวกมันเจ็บปวด แต่จะทำให้พวกมันยิ่งอยากแก้แค้นเรามากขึ้น" ชายหนุ่มยิ้มออกมาบางๆก่อนจะพูดทีเล่นทีจริง "คงต้อง.... ฆ่าทิ้งทุกคนกระมัง"
    ทัศนคติต่อพวกสีเข้ม: -
    ทัศนคติต่อพวกคนซีด: "ถ้าเปรียบแค่ผิวเผิน พวกเขาน่าเห็นใจและเจ็บปวด แต่กระนั้นก็มีบางกลุ่มที่น่ารังเกียจ" ซาร์พูดเสียงกร้าว "เซอร์คอฟเองก็ถูกพวกคนซีดดูถูก ไม่ใช่แค่เพราะหมอนั่นเป็นสีขาว แต่เพราะเป็นเกิดในพวกสีเข้มจึงทำให้ยิ่งถูกเหยียดหยาม พวกเขาไม่รู้หรอกว่าความคิดนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับพวกสีเข้มนักหรอก" ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างระบายอารมณ์ก่อนจะพูดต่อ "ถ้าพูดถึงโดยรวม ข้าไม่ได้รังเกียจพวกเขา ถ้าให้เลือก....ข้าก็เลือกพวกคนสีซีด เพราะข้าชิงชังสีเข้ม พลังที่พวกเรามีไม่สมควรจะใช้กดขี่ข่มเหงพวกเขา"
    นิสัย: ซาร์เป็นคนที่เข้ากับคนได้ง่ายและหาเพื่อนใหม่ได้เร็ว แม้จะไม่ใช่คนสดใสร่าเริงน่าเอ็นดูแต่ก็เป็นคนที่รวยรอยยิ้มพอสมควร เป็นคนห้าวๆลุยๆและรักสนุก ขี้เล่น ชอบแหย่ชอบแกล้งและชอบแซวคนในวารูปักษ์เป็นประจำ รอยยิ้มกรุ้มกริ่มเหมือนกับกลั้นยิ้มและดูรู้อะไรนั่นมันกวนอารมณ์คนมองเสมอ ไม่ต้องบอกเวลาที่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมามันทำให้คนถูกหัวเราะเยาะอยากไล่เตะมากแค่ไหน เป็นเหมือนพี่ใหญ่ที่ไม่เคยปฏิเสธคำชวนและคำขอของคนอ่อนวัยกว่า ชอบเล่นกับเด็ก (อายุอ่อนกว่าซาร์เรียกเด็กหมด!) อยู่ที่ว่าใครควรเล่นแบบไหน มีหน้าที่เป็นกรรมการคอยแยกเวลาที่ใครทะเลาะกัน และเพราะเป็นคนที่จริงใจให้กับทุกๆคนไม่เสแสร้งนั่นแหละทำให้เด็กติด และมีวาทศิลป์ในการพูดจา ไม่ว่าจะล่อหลอก กล่อม หรือให้โมโห เขาสามารถทำได้ทั้งหมดด้วย
    ซาร์ไม่ใช่คนมีระเบียบเรียบร้อยอะไร ออกจะเป็นพวกชอบแหกกฏมากกว่ารักษากฏด้วยซ้ำ ถ้ามีระเบียบจริงคงไม่แต่งตัวแบบนั้นหรอก ถ้าเปรียบให้เห็นภาพซาร์ก็เป็นพวกที่พอกลับถึงบ้านแล้วจะโยนเสื้อผ้าไปไว้คนละที่ละทางแทนที่จะโยนใส่ตะกร้า (//หัวเราะ) แต่ก็มีบางครั้งที่มีกลิ่นอายของพวกสูงส่งแผ่ออกมา ชอบทำตามใจตัวเองแต่ก็คงไม่มีใครเชื่อเพราะเจ้าตัวตามใจคนอายุอ่อนกว่าเกือบทุกครั้ง แต่ถ้าไม่มีใครเดือดร้อนหรือเกี่ยวอะไร และเห็นว่าไม่มีอันตราย ซาร์ก็มักจะชอบโดดไปเดินเดี่ยวๆคนเดียวบ่อยๆอยู่หลายครั้ง คือเป็นพวกไปไหนแล้วไม่บอกจนบางครั้งทุกคนก็ห่วงเก้อนั่นแหละ
    ไม่ว่าจะเจอกับคนแปลกหน้า อยู่กับคนที่เพิ่งรู้จัก หรือแม้แต่รอบกายมีแต่คนสนิท นิสัยของซาร์ก็ยังคงเหมือนเดิมเสมอต้นเสมอปลายไม่เคยเปลี่ยน แค่กับคนสนิทอาจจะพูดตรงขึ้นมาอีกนิดนึงก็เท่านั้นเพราะรู้จักกัน แต่ก็เป็นคนที่ดูไม่มีพิษมีภัยอะไร 
    เป็นคนที่ง่ายๆ ไม่เรื่องมาก อะไรก็ได้ และเป็นคนตรง ไม่ว่าจะพูดหรือการกระทำ ซาร์เป็นคนที่คิดก่อนพูดเสมอว่าจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร 
    เป็นคนหัวไว ช่างสังเกตและเอาใจใส่คนอื่นแม้ในจุดเล็กน้อยๆที่คนมักจะมองข้าม อาการผิดปกติเพียงเล็กน้อยเขาก็สามารถรับรู้ได้ ใจดีและเสียสละ จนบางครั้งมันก็มากเกินไป เป็นพวกชอบปิดทองหลังพระ เป็นที่พึ่งได้ดีเสมอ เพราะประสบการณ์การท่องโลกที่มีมากทำให้เวลาเกิดปัญหายังสามารถควบคุมสติของตนไว้ได้ ไม่ใช่คนสายบู๊ เขาไม่ได้เก่งการต่อสู้อะไรมากมายโดยเฉพาะการสู้ประชิดตัว ถ้าระยะไกลก็ยังพอทำได้ และเขาถนัดพวกอาวุธเล็กๆและอาวุธซัดคล้ายพวกลอบสังหาร ซาร์เป็นคนที่ค่อนข้างเร็วแม้จะไม่ได้เร็วที่สุด แต่ก็เพราะมีดวงตาที่เป็นต่อทำให้ได้เปรียบหากจะแข่งการลอบสังหาร ไม่ใช่คนเก่งบุ๋นแต่ก็จะไปช่วยทุกครั้งที่มีการวางแผน
    เป็นคนที่มองโลกเป็นกลางค่อนไปทางแง่ร้าย ยึดถือหลักความเป็นเหตุเป็นผลและความเป็นจริง ซาร์เกลียดการตั้งความหวังไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ แต่กระนั้นก็ไม่ใจร้ายพอที่จะพูดดับความหวังใคร แค่เงียบและยิ้มบางๆไม่ออกความเห็นเท่านั้น แต่ถ้าเรื่องมันร้ายแรงก็อาจจะพูด ชีวิตของซาร์ไม่เคยมีคำว่าอาจจะ มีแต่คำว่าได้ กับ ไม่ได้ ซึ่งจริงๆเรื่องที่จะไปล้มพวกไม่เท่าเทียมและให้พวกนั้นเห็นค่า ในใจของซาร์นั้นตัดสินแล้วว่าคำตอบของการกระทำนี้คือ 'ไม่ได้' แต่ถ้าถามว่าในเมื่อคิดว่าตัวเองจะแพ้แน่ๆทำไมถึงยังอยู่และสู้ต่อ ซาร์เองก็ตอบไม่ได้เช่นกัน คงเป็นเพราะอยากจะดูการกระทำและผลคำตอบนี้อย่างใกล้ที่สุดกระมัง และแม้เขาจะเกลียดความหวัง แต่ก็เป็นเพราะความหวังที่ทำให้เขามาเจอกับวารูปักษ์ และท่าทางกระตือรือร้นและรอยยิ้มของทุกคนยามที่มีความหวัง เขาไมใจกล้าพอจะลบมันจริงๆ
    ซาร์เป็นคนใจเย็น โกรธยาก แทบไม่เคยมีใครเห็นเขาโมโหจนบางคนคิดว่าเขาโกรธไม่เป็นด้วยซ้ำ แม้ซาร์จะคลุกคลีอยู่กับคนอายุน้อยกว่าบ่อยครั้งแต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธว่าซาร์มีบุคลิกความเป็นผู้ใหญ่สูงและดูผ่านโลกมามาก ถึงซาร์จะเถียงว่าเพราะตัวเองอายุยี่สิบสาม แต่กระนั้นก็มีหลายคนบอกว่าแผ่นหลังของซาร์นั้นมันดูใหญ่แต่ก็เปราะบางอย่างน่าประหลาด เหมือนกับแบกอะไรไว้มากมาย บางครั้งซาร์ก็ดูโดดเดี่ยวและเหมือนกับมีพื้นที่ส่วนตัวที่ใครก็ไม่สามารถเปิดออก 
    จะว่าซาร์เป็นคนเก็บกดก็ไม่ผิด เพราะพลังที่สามารถรับความรู้สึกด้านลบของคนมา และซาร์ไม่สามารถปล่อยวางให้มันผ่านไปได้เหมือนกับยามที่รับฟังปัญหาของคนอื่น ชอบทำอะไรด้วยตัวคนเดียว ซาร์ไม่เคยขอความช่วยเหลือจากใครเวลาที่ตนมีปัญหาก็จะไม่เคยระบายให้ใครฟัง ขณะที่เวลามีใครเดือดร้อนหรือไม่สบายใจก็จะไประบายกับซาร์ทุกครั้ง ซาร์เป็นคนคิดมาก คิดอยู่เสมอว่าตัวเองคิดถูกแล้วเหรอที่ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไป และเวลามีใครตายซาร์ก็จะโทษเป็นความผิดของตัวเองเสียทุกครั้งว่าตนเป็นเผ่าเนตรควรจะรู้ตัวก่อน แต่ซาร์เป็นคนที่เก็บท่าทางสีหน้าได้ดีจึงไม่ค่อยมีใครสังเกต และอย่างที่บอก แม้ซาร์ดูเหมือนคนที่เปิดเผยเข้ากับคนง่ายแต่จริงๆก็ดูมีกล่องแพนโดร่าที่ไม่ควรยุ่ง ฉะนั้นแม้จะมีคนสังเกตและถามแต่ซาร์ก็ปฏิเสธอยู่ร่ำไปว่าไม่เป็นไร และซาร์ไม่เคยร้องไห้แม้แต่ครั้งเดียวตั้งแต่อายุแปดขวบ... ใช่ ตั้งแต่เขาออกความเห็นเรื่องพวกผิวซีดนั่นแหละ
    ซาร์เป็นคนที่ไม่รักตัวเองเท่าไหร่และไม่กลัวความตาย เห็นชีวิตตัวเองเป็นเรื่องเล่นๆขณะที่จะยอมช่วยทุกอย่างเพื่อให้คนอื่นรอด ซาร์เป็นพวกที่ชอบเอาตัวเองไปเสี่ยงช่วยคนอื่นและนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ทำโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง แม้จะเป็นคนที่เกลียดกันแต่ซาร์ก็ยังคงช่วยอย่างสุดความสามารถ เขาไม่ได้อยากทำตัวเป็นพ่อพระหรือให้ใครเยินยอ แต่แค่ความรู้สึกเวลามีคนจะตายตรงหน้ามันหนักหนาสาหัสเกินไป และถ้าเกิด... ถ้าหากว่าเขาช่วยไม่ได้จริงๆ เขาก็จะอยากจะรับรู้ความรู้สึกของคนๆนั้นและจะสานต่อสิ่งที่อยากจะทำให้ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ซาร์เก็บเป็นความลับกับตน และนั่นทำให้ซาร์ตั้งปฏิญาณไว้แน่ชัดแล้วว่าจะไม่ยอมตายแม้จะยืนเป็นคนสุดท้ายของวารูปักษ์ เขาจะรับปณิธานและความรู้สึกของทุกๆคนมาเอง
    ข้อมูลทางการแพทย์: ซาร์เป็นโรคเครียดและนอนไม่หลับ เพราะผลกระทบจากการรับรู้ความมืดและความเสียใจของคนยามที่ใช้ตาซ้าย มันทำให้ซาร์เป็นโรคจิตอ่อนๆยามหลับ ซาร์ห่างไกลคำว่าหลับสนิทและฝันดีมานานนับสิบปีตั้งแต่ก่อนจะมาร่วมกับวารูปักษ์ ซึ่งยานอนหลับอาจจะช่วยให้หลับสนิท แต่มันทำให้ซาร์จมอยู่กับห้วงฝันร้าย ซึ่งซาร์มักจะใช้อาการพักสายตาไม่เกินสิบนาที หรือดื่มสมุนไพรบำรุงเสียมากกว่าเพื่อพยายามไม่ให้ตัวเองหลับ
    ประวัติส่วนตัว: ตระกูลของเขาเป็นตระกูลที่มีพลังมากพอสมควรในหมู่เผ่าเนตร หรือก็คือซาร์เป็นพวกชนชั้นสูงนั่นแหละ ซาร์มีฝาแฝดหนึ่งคนเป็นผู้ชายเหมือนกัน และเป็นเจ้าของมีดสั้นอีกเล่มด้วย มันเป็นมีดสั้นที่พ่อของเขาสั่งให้ช่างตีขึ้นเป็นของขวัญแก่เขาและฝาแฝดของเขา ชีวิตก็ดูมีความสุขดี และชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปตอนแปดขวบ เมื่อเห็นถึงพวกสีซีดแล้วเกิดรู้สึกเห็นใจขึ้นมา และเขาได้เป็นเพื่อนกับพวกสีซีดคนหนึ่ง ซึ่งเขาเก็บเป็นความลับไม่ได้บอกใครแม้แต่ฝาแฝดของเขา แต่ยังไงเขาก็ยังเป็นเด็ก และเด็กก็ขี้สงสัย เขาถามพ่อแม่ของตนว่าทำไมต้องดูถูกพวกสีซีด ทำไมเขามาอยู่กับเราไม่ได้ ทำไมเขาต้องมองเราแบบกลัวและรังเกียจแบบนั้น และความคิดเห็นที่ว่าจริงๆแล้วพวกสีซีดก็เป็นคนดีและไม่ได้มีอะไรต่างกับพวกเรา และน่าจะปฏิบัติให้เท่าเทียม เพียงแค่นั้นจริงๆ ที่พ่อตบหน้าเขา และสั่งทำโทษเขา และเมื่อเขาพ้นโทษเขาก็แอบหนีไปหาเพื่อนสีซีดคนนั้น แต่กลับพบว่าเด็กคนนั้นถูกทรมานจนตาย โดยที่พ่อของเขาเป็นคนสั่งทำ แววตาของเพื่อนคนแรกของเขานั้นมองเขาอย่างโกรธแค้นและไม่เข้าใจ ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วก็ดูแดงก่ำเพราะความโกรธและผิดหวัง และนั่นเป็นครั้งแรกที่ 'ตาซ้าย' ของเขาตื่น เขารับมาทั้งหมด อารมณ์ความรู้สึกทุกอย่างของ 'เพื่อน' คนนั้น..... และมันคงเป็นแผลที่จะไม่มีวันลืม..... 
    ภูมิหลังเหตุการณ์ที่ตัดสินใจมาเข้าร่วมกับตัวเอก: เขาถูกผลักไสจากครอบครัว หาว่าเป็นพวกนอกคอกที่ไปเข้ากับพวกขยะไร้ค่าแบบนั้น อันที่จริงทุกคนจะยกโทษให้ถ้าเขากลับใจ แต่เขากลับยืนกรานและบอกว่าพวกสีเข้มเป็นพวกน่ารังเกียจ เขาตัวคนเดียวท่ามกลางความกดดันของคนรอบข้าง ถูกขังลืมไว้ใต้ดินและเรื่องที่เขาเข้าข้างพวกผิวซีดถูกเก็บไว้เป็นความลับภายในตระกูล ครอบครัวเขาตราหน้าว่าเขาเป็นพวกขยะทรยศสายเลือด เป็นบุตรแห่งพระเจ้าที่คิดทรยศพระเจ้า เขาถูกทรมานจนแผ่นหลังที่เคยเนียนเต็มไปด้วยรอยทรมาน เขาซึ่งเป็นแค่เด็กยังไม่เก้าขวบดีด้วยซ้ำ สุดท้ายเขาก็หาทางหนีออกมา โดยค้นพบว่า 'ตาซ้าย' ของเขาสามารถควบคุมจิตใจของผู้คุมคุกได้ แม้ความรู้สึกครั้งแรกนั้นมันจะทรมานแสนสาหัสแต่เขาก็สามารถสะกดจิตผู้คุมคนนั้นและหนีออกมาได้ เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลและทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด ซึ่งถ้าเขาไม่ใช่เผ่าเนตรก็คงไม่อาจหาทางหนีทีไล่มาได้ขนาดนั้นหรอก เขาทำทุกอย่าง เปลี่ยนจากเด็กชั้นสูงมาเป็นหัวขโมยขยะสังคม เร่ร่อนไปเรื่อยหลายแห่งจนเติบโต ได้เรียนรู้อะไรมากมาย มันทรมานและยากลำบาก เพราะเขาไม่สามารถเข้าหาพวกสีเข้มได้เพราะมันอาจจะถึงหูครอบครัวเขา และพวกสีซีดก็กลัวเขาเกินไป และทุกอย่างนั่นหล่อหลอมให้เขาเป็นเขาทุกวันนี้ มันคืออดีตที่เขาไม่เคยบอกใคร ละทิ้งระเบียบมารยาทดั่งผู้ที่ได้รับการอบรมไว้ทั้งหมด สิ่งเดียวที่ยังเก็บไว้ว่าเคยเป็นชนชั้นสูงคือมีดสั้นเล่มนั้นเท่านั้น ถ้าถามว่าทำไมมาอยู่กับเซอร์คอฟได้ ก็เพราะว่าถูกชะตาด้วย และมีอุดมการณ์เดียวกัน เขาตัดสินใจร่วมทางไปโดยที่ไม่ต้องคิดซ้ำสองด้วยซ้ำ
    ลักษณะการพูด: ไม่ว่าคู่สนทนาจะอายุมากน้อยแค่ไหน ซาร์ก็จะแทนตัวเองและอีกฝ่ายว่า 'ข้า - เจ้า' ทั้งหมด ต่อให้เป็นคนสูงศักดิ์ซาร์ก็จะยังคงใช้ 'เจ้า' อันที่จริงคาดว่าต่อให้ราชาอยู่ตรงหน้าซาร์ก็ยังคงไม่เรียก 'ท่าน' อยู่ดี ในเมื่อราชาสีดำคนนั้นเป็นคนปกครองทุกคนด้วยความกลัวจึงไม่ควรค่าที่จะเป็นราชา คนเพียงสองคนที่จะทำให้เขาเปลี่ยนคำเรียกเป็น 'ท่าน' ได้ คือพ่อกับแม่ของเขาเท่านั้น 

    "อา..." (เวลารับคำจะใช้คำนี้ตลอด)
    "หืม...?" (เวลาเหมือนกับคำถาม และรีดเค้นให้ระบายออกมา)
    "เจ้ามีอะไรจะบอกกับข้ารึเปล่า?" (เวลาจะให้ใครระบายหรือพูดอะไร เหมือนกับเป็นโอกาสว่าเขาจะรับฟัง)
    "มองตาข้าสิ มองดวงตาของข้า ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่มอง ข้าจะสัมผัสหัวใจเจ้าเอง...." (เหมือนเป็นคำพูดประจำที่จะใช้เวลาจะใช้ตาซ้ายไม่ว่าจะกับใครก็ตาม)
    "ความหวัง... มันคืออะไรกันแน่...."
    "อย่ามาทำรู้ดีไปหน่อยเลย ถึงข้าจะเป็นพวกสีเข้ม แต่ชีวิตข้าไม่ได้สวยหรูอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ เจ้าหนู" (อันที่จริงประโยคนี้ใช้แค่กับพวกวารูปักษ์ด้วยกันเท่านั้น เพราะถ้าเป็นคนนอกกลุ่มดูถูกและสงสัยเขา เขาจะเงียบอย่างเดียวไม่ได้พูดอะไร)
    "แก่กว่าข้าแต่สมองเจ้าเท่าเด็ก ข้าจะเรียกเจ้าแบบนั้นก็ไม่แปลกนี่ จริงไหม?"
    "ลืมตาตื่นได้แล้วไอ้หนู!! เจ้าลองหันไปมองรอบๆบ้างสิว่ามีสิ่งใดที่เรายังทำได้! ข้าไม่ได้ให้ความหวังเจ้า! แต่เตือนว่าเจ้ายังทำอะไรได้บ้าง!"
    "ข้าไม่เคยหวัง... เพราะมันเจ็บเกินไปหากสิ่งนั้นถูกทำลาย และข้าไม่มีความฝัน... เพราะสิ่งที่ข้าต้องการ... มันไม่โอกาสเป็นจริง...." 
    "ข้าน่าจะรู้ก่อน.... บุตรแห่งพระเจ้าบ้าบออะไรกัน...."
    "พระเจ้าให้พลังเรามาเพื่อช่วยเหลือพวกเขา แต่เรากลับงมงายในพลังนั้น ท่านเอาอะไรมาตัดสินว่าพระเจ้าดีใจกับสิ่งที่พวกสีเข้มอย่างเรากำลังทำ ท่านพ่อ......"

    สิ่งที่คาดหวังกับวารูปักษ์: "ข้าไม่ได้คาดหวังสิ่งใดกับวารูปักษ์ทั้งนั้น" ซาร์ตอบ ดวงตาสีเหลืองนวลมองขึ้นไปบนฟากฟ้าก่อนจะพูดต่อ "โลกมีทั้งความดีและความชั่วปะปนกันไป และพวกเราเองก็ถูกสร้างมาจากสองสิ่งนั้น ไม่มีใครดีพร้อมหรือว่าจิตใจขาวบริสุทธิ์ดั่งทารกแรกเกิด หรือดำมืดดั่งเหวลึก เราทุกคนมีสีดำในตัว อยู่ที่ว่ามากน้อยเพียงใด แต่น่าแปลกที่สิ่งมีชีวิตที่มีความคิดอย่างพวกเรากลับมีสีดำมากกว่าสีขาว" ชายหนุ่มส่งเสียงหึในลำคอก่อนจะออกความเห็น "ข้าไม่คิดว่าโลกเรามันเท่าเทียมกันอยู่แล้ว ถ้าโลกเราเท่าเทียม มันก็จะไม่มีกษัตริย์กับประชาชน หรือบิดากับบุตร เพียงแต่กิเลสในใจของพวกผู้มีพลังอำนาจมันทำให้โลกนี้น่ารังเกียจ" ซาร์หัวเราะออกมาอย่างสมเพช "แค่มีสิ่งที่แตกต่างก็ถูกมองว่าแปลกแยก อย่าว่าแต่คนสีเข้มรังเกียจคนสีซีด แม้แต่พวกเดียวกันยังถูกรังเกียจ หากมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่แปลกแยก" ซาร์ยิ้มบางๆออกมา "พวกเราเป้นเพียงนักเดินทางกลุ่มเล็กๆที่มีเป้าหมายและความต้องการเหมือนกัน น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ และวารูปักษ์ก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำ ที่สุดท้ายก็จะถูกไฟเผาจนระเหยเป็นไอ......" คำพูดถูกหยุดไว้ ซาร์หันมามอง ดวงตาสีเหลืองนวลอ่อนแสงลงและแฝงไปด้วยแววหม่นๆ ก่อนจะพูดเสียงเบาแต่หนักแน่น "ข้าเกลียดความหวัง ฉะนั้นข้าจะไม่คาดหวังว่าพวกเราทำสำเร็จ สิ่งเดียวที่ข้าอยากจะรักษามันไว้นานๆคือความสัมพันธ์ พวกเขาคือสหายของข้า คือพี่น้องของข้า จะยังคงอยู่ข้างกันและเป็นคนสำคัญของกันและกันเช่นนี้ไม่เปลี่ยนแปลง การกระทำในวารูปักษ์เป็นก้าวแรกที่สำคัญถ้าอยากจะลบคำว่าแปลกแยกไร้ค่าออกไปจากโลก" 
    อาวุธติดตัว: ซาร์มีมีดสั้นสองเล่มค่ะ จะเหน็บไว้ที่เข็มขัดหนังตรงเอวทั้งสองเล่ม เล่มหนึ่งเป็นมีดสั้นธรรมดาๆที่ไว้ใช้ตัดนู่นนี่นั่น(ก็มีดสารพัดประโยชน์ซึ่งถ้าพังก็ซื้อใหม่) ส่วนอีกเล่มเป็นมีดสั้นที่สลักลวดลายสวยงาม แต่ซาร์จะไม่เคยหยิบออกมาใช้เลยค่ะ และไม่อยากให้ใครเห็นด้วย ซึ่งเพราะปกติมีผ้าคลุมอยู่แล้วและมีดสั้นอีกเล่มนี้ก็อยู่ค่อนไปทางด้านหลังจึงไม่มีปัญหาอะไร
    อยากให้ลูกมีคู่ไหม: มีหรือไม่มีก็ได้ค่ะ -..- ถ้ามีอยากให้ไม่สมหวัง //ผิดมาก ล้อเล่นค่ะ ขออย่างเดียวคืออยากให้ซาร์กินเด็กอย่างต่ำๆสักสี่ปีค่ะ ///// แล้วถ้าได้บทเผ่าเนตรจริง... มันก็ต้องมีข้อแม้สิที่จะมองเข้าไปในตาซาร์ได้แล้วไม่เป็นไร 555555
    สมัครบท: คนสนิทของเซอร์คอฟ แต่ถ้าคนสนิทของเซอร์คอฟไม่ใช่เผ่าเนตรก็ขอเป็นพวกผู้ช่วยเหลือปริศนาที่ชอบทำตัวปิดทองหลังพระก็แล้วกันค่ะ ถถถถ
    เพิ่มเติม: ซาร์จะมีพืชสมุนไพรติดตัวอยู่ตลอดเวลา จำพวกห้ามเลือด ทำให้เกิดควัน และนอนหลับ ส่วนที่เหลือต้องหาเอาจากแถวๆนั้นถ้าจะใช้

    สำหรับผู้ปกครอง
    1. ถ้าไม่ผ่านอยากจะเอาลูกกลับหรือให้เราหาบทอย่างอื่นให้รอคะ?
    - ถ้าไม่ใช่ตัวประกอบของโคตรประกอบก็ยกให้ค่ะ ^^ 
    2. ขอบคุณสำหรับความสนใจค่ะ :)
    - พล็อตน่าสนมากค่ะ! ข้อมูลอาจจะน้อยไปนิดนึงแต่จะรอนะคะ :D และไม่รู้ว่ารายละเอียดการแต่งกายและหน้าตาตัวละครโอเครึเปล่า.... คือหาที่รูปแบบตรงอิมเมจและที่อยากได้มันยากน่ะค่ะ ไม่ว่าจะเรื่องไหนๆ เพราะงั้นถ้าสงสัยอะไรถามได้นะคะ xD

    Vote
    ให้คะแนนตอนนี้


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×