ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    M E S S A F T E R S T O R M "

    ลำดับตอนที่ #99 : สุริยะเคียงบัลลังค์ 34

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 18
      0
      11 ธ.ค. 59











    ตะวันยืดเหยียดกล้ามเนื้อช่วงเวลาสายในห้องนอนที่เจ้าของห้องออกไปครู่ใหญ่ขณะที่มือหนึ่งก็นวดหางตาสลับกับหัวตาตัวเองด้วยแรงไม่เบานักจนเรียกได้ว่าเป็นขยี้

    รู้สึกตากระตุกบ่อยเกินไป....

    ด้วยความที่เริ่มเดินได้ ไม่สิ อันที่จริงเริ่มวิ่งเหยาะๆได้แล้วด้วยซ้ำแม้ว่าเวลาลงน้ำหนักมันจะสะเทือนอยู่บ้างแต่มันก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะทำให้เธอนั่งๆนอนๆอยู่เฉยๆ

    ชุดคนสมัยก่อนแม่งหลวมโพรกพราก ถ้าเป็นกางเกงบ้านเรารู้แน่ๆว่ามันคับขึ้นชัวร์ๆ.... แต่นี่คือไม่รู้แต่เธอมั่นใจว่าเธออ้วนขึ้น

    รอขาหายก่อนเหอะจะลดน้ำหนัก!!!! ถ้าวิ่งช้าลงเพราะหนักพุงใครรับผิดชอบ!

    เธอขยี้ศีรษะตัวเองอย่างกลัดกลุ้มเพราะว่านี่ก็เดือนหนึ่งได้แล้วที่เธอเอาแต่นั่งกินนอนกินไม่ได้ออกกำลังกายอะไรเลย อยู่ที่นี่ป้าหลินซินจับผิดเธออย่างกับอะไร เดินนิดหน่อยก็ดุ พอเจ้าของบ้านมาไม่ต้องพูดถึงแทบจะมัดเธอกับเตียงให้นั่งอยู่เฉยๆอยู่รอมร่อ วันก่อนเห็นป้าหลินซินไปตลาดก็อยากจะไปด้วยแต่ก็ติดว่าโดนห้ามไว้ อย่าให้เธอปีนหนีออกจากวังเองนะเว้ย!

    รู้สึกโชคดีจริงๆที่ปีนต้นไม้คล่อง... หกปีที่ใช้ชีวิตเด็กบ้านนอกมันก็มีประโยชน์แบบนี้แหละ...

    เธอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะมองกริช(ที่ต่อไปนี้คงต้องมองเป็นกริชโคตรเจ้าปัญหา)ที่นอนนิ่งอยู่บนที่นอนของเธอ มันไม่ใช่อะไรเลยถ้าเมื่อเช้าเธอไม่ค้นกระเป๋าแล้วมันอยู่ในนั้น! จนต้องไปเคลียร์กับเจ้าของกริชตัวจริงที่ทำไมถึงไม่ยอมเอาคืนไปสักที!

    เธอเห็นเหวินเจี้ยนถอนหายใจเพราะเขารู้ว่าเธอฟังไม่รู้เรื่อง ซึ่งมันทำให้เธอมองเขาเขม็งอย่างเอาเรื่องเพราะนั่นควรเป็นเธอต่างหากที่ต้องถอนหายใจ! เหวินเจี้ยนมองกริชในมือก่อนที่สองมือใหญ่นั่นจะเอื้อมมาและจับมือเธอให้กำมันไว้ หนำซ้ำยังดันกลับพร้อมพูดสั้นๆด้วยคำที่เธอเข้าใจว่า ‘ไม่ใช่ตอนนี้’

    ไม่เอาตอนนี้แล้วจะให้เธอเก็บไปตัดต้นถั่วงอกรึไงล่ะโว้ย!

    แต่เพราะสีหน้าและท่าทางรวมทั้งความรู้สึกลึกๆที่บอกมันก็ทำให้เธอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะยอมพยักหน้าหน่ายๆ เหวินเจี้ยนยิ้มออกมาก่อนที่จะลูบศีรษะเธอ สีหน้าที่ดูแล้วเหมือนยังคงมีอะไรคาใจทำให้เธอถามเป็นภาษาจีนไป ‘มีอะไรอีกไหม?’

    ‘....ไม่มี’

    เธอหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างจับผิด เพราะไอ้อาการที่คิดไปก่อนตอบนี่มันผิดสังเกต แต่เธอก็ยักไหล่ไม่สน มันอาจจะมีแต่คงมีปัญหาเรื่องภาษาที่ตอนนี้ก็ยังพูดอะไรกันยาวมากไม่ได้ เมื่อคิดถึงตอนนี้ตะวันก็หัวเราะออกมา เมื่อวานออกไปข้างนอก แถมยังคงมีคนพูดกับเธอด้วย อย่างน้อยๆก็เด็กรับใช้ของเหวินเจี้ยนที่ชื่อชินเซียนนั่นก็ยังดูไม่สงสัยว่าเธอฟังที่เขาพูดไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อวานแค่เดาจากสีหน้าท่าทางเท่านั้น ซึ่งเธอคิดว่าเธอทำได้ดีมากจนไม่อยากจะยอตัวเอง

    แต่ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครล่ะ? คนที่เธอช่วยออกมาเมื่อวาน ดูทุกคนเป็นห่วงกันและชุดก็ดูต่างกับผู้หญิงคนอื่นๆ เป็นเมียกับลูกขุนนางที่อยู่ในวังล่ะมั้ง....

    เธอถอนหายใจออกมาอีกครั้งขณะที่ก้มมองมือตัวเองที่เมื่อวานถ้าเธอไม่ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากข้างใน และโชคดีที่สมัยนั้นหน้าต่างยังไม่ใช่เหล็กดัด และโชคซ้ำสองที่ไฟมันยังลามมาไม่เยอะทำให้เธอทำอะไรบ้าบิ่นแบบนั้นลงไป แต่ก็ดีที่มันสำเร็จและไม่มีใครตาย ตะวันหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ก่อนจะพึมพำกับตัวเองเสียงเบา

    “เราได้เลือดพ่อมาเต็มๆเลยแฮะ ทั้งความบ้าบิ่นนั่นจนคนอื่นมองเป็นบทฮีโร่... และไอ้ความถูกชะตากับไฟนี่ก็ด้วย... ลูกพนักดับเพลิงก็แบบนี้ล่ะมั้ง”

    ใช่ พ่อของเธอเป็นพนักงานดับเพลิง และถ้าเธอไม่คิดไปเองล่ะก็...ตะวันขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะถอนหายใจและปัดความคิดนั้นทิ้งไป เพราะไม่อยากจะยุ่งอะไรมากมายกับยุคสมัยนี้ และเธอเพียงแค่อยากจะกลับโลกตัวเอง มันอาจจะมีอย่างในซีรีย์ก็ได้พวกกบฎอะไรแบบนั้น

    “ท่านเง็กเซียนแปดเซียนขอร้องเลย... พาลูกกลับบ้านทีเถอะ...”

    ก่อนที่เธอจะรู้สึกว่าตัวเองจะงานเข้าจริงๆ...


    Xiǎoyáng!!!

    เสียงนั้นทำให้เธอหันมามองอย่างสงสัยเมื่อจู่ๆป้าหลินซินก็พุ่งพรวดเปิดประตูเข้ามาหาเธอ ใบหน้าอวบๆใจดีนั้นดูตื่นตระหนกอย่างบอกไม่ถูก ผู้หญิงสูงวัยตรงหน้าจับมือเธอสองข้างแล้วว่า

    Huángdì lái dào zhèlǐ! (ฮ่องเต้เสด็จมาที่นี่!)

    “ฮะ??”

    Tā xiǎng jiàn nǐ. (พระองค์อยากพบเจ้า)” ไม่ว่าเปล่าป้าหลินซินก็ลากเธอมาซึ่งเธอก็ยังคงงงๆอยู่ เท่าที่ดูเหมือนจะมีคนมา แต่มันเกี่ยวอะไรกับเธอ?

    กึก...

    Xiǎoyáng

    จะไม่ให้เธอหยุดได้ยังไงเมื่อนึกได้ว่าเมื่อวานเธอไปทำอะไรไว้ และทำไมป้าหลินซินต้องลากเธอไปหา และตอนนี้ไอ้การที่ภาษาจีนเธอก็ใช่ว่าจะฟังออกทั้งหมดแม้มันจะดีขึ้นแล้วก็เถอะ แต่จะหวังอะไรกับคนโง่ๆที่เรียนจีนในสภาพไม่มีตัวช่วยอะไรเลย

    และตรูไม่พร้อมจะไปคุยกับขุนนางที่เป็นผัวรึพ่อไอ้คนที่เธอไปช่วยเมื่อวาน...​เหวินเจี้ยนก็ไม่อยู่เธอไม่พร้อมเด็ดขาด!!!

    Nǐ zài zuò shénme? Huángdì zài děngzhe! (เจ้าทำอะไรน่ะ? ฮ่องเต้รอเจ้าอยู่นะ!)

    “หวงตี้?” ตะวันขมวดคิ้ว ก่อนจะอ้าปากค้าง เดี๋ยวๆ หวงตี้นี่มันฮ่องเต้ไม่ใช่เหรอวะ? แล้วมันก็ยิ่งไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลยรึเปล่า?! แล้วจะลากเธอไปเพื่อ!?

    Xiǎoyáng!!

    ตะวันยิ่งฝึนตัวเองไม่ไปอย่างเต็มที่ และอยากจะสะบัดผู้หญิงแก่ตรงหน้านี่ให้ปล่อยเธอเสียที คือเธอยังไม่อยากโดนประหารโอเคไหม? แล้วไอ้คนที่ใหญ่ที่สุดในวังตอนนี้ก็อยากจะเจอเธอ(มั้ง) มันจะมีอะไรนอกจากหัวกุดเล่าถ้าเขารู้ว่าเธอไม่ใช่คนจีนน่ะ!! ป้าหลินซินฟังผิดว่าฮ่องเต้มาหาเหวินเจี้ยนที่เป็นลูกเขารึเปล่า?

    และเสียงฝีเท้าที่ดังมานั้นทำให้ตะวันรู้สึกเสียวสันหลังวาบ และมันไม่ได้มาเพียงคู่เดียว และไม่ต้องมีสายตาหรือแม้แต่หันไปมองก็บอกได้เลยว่ามันมีพยานหลายคนที่พร้อมจะรอดูเธอเชือด! หลินซินไม่รอช้าดึงเธอนั่งลงคุกเข่าแล้วบังคับให้ก้มหน้าติดพื้นทันทีจนบอกเลยว่ามีสะเทือนทั้งหัวทั้งขา แต่กระนั้นก็พยายามนึกทวนศัพท์ในใจ ก่อนจะปาดเหงื่อเงียบๆ

    …แกควรจะเขียนพินัยกรรมทิ้งไว้ได้แล้วนะตะวัน เผื่อมันจะเหลือรอดถึงยุคปัจจุบัน




    “หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะฝ่าบาท!”

    ไม่รู้ทำไมทั้งที่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษแต่ชายวันห้าสิบกว่านั้นก็รู้สึกว่ามันน่าขันยิ่งนัก เมื่อสตรีที่เป็นอดีตแม่นมของเหวินเจี้ยนนั้นตัวสั่นหงึกขณะบังคับให้คนตัวเล็กกว่าข้างกายให้ก้มศีรษะ

    “ไม่เป็นไรหรอกแม่นมเหอ” ดวงตาที่เริ่มฝ้าฟางไปบ้างฉายแววยิ้มก่อนที่จะว่า “เด็กคนนั้นรึ?”

    “…..เพคะ”

    “ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยฮองเฮาของข้าและเสวี่ยเอ๋อเมื่อวาน”

    “…ไม่เป็นไรพะยะค่ะ”

    ได้ยินเสียงอู้อี้จากการที่ก้มเสียจนติดพื้นนั้นตอบมา ก่อนที่ฮ่องเต้จะตรัสต่อ “อันที่จริงพวกนางก็อยากจะอยากจะมาด้วยตัวเอง แต่หมอหลวงให้พวกนางพักผ่อนก่อน อีกประการ พวกเจ้าก็ยืนขึ้นเถอะ”

    “ขอบพระทัยเพคะ” เหอหลินซินเอ่ยรับก่อนจะลุกยืนโดยดึงแขนสตรีจำแลงข้างตัวให้ยืนขึ้นด้วย ในใจนั้นรู้สึกวิตกกังวลอย่างมากเพราะไม่รู้ว่าจะช่วยเสี่ยวหยางอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อฮ่องเต้เสด็จมาเพราะผลงานของนางเมื่อวาน อันที่จริงเท่าที่รู้เสี่ยวหยางตอนนี้ก็เป็นที่สนใจของแทบทั้งวังอยู่รอมร่อตั้งแต่ที่ว่าองค์ชายอุปการะมาแล้ว ตอนนี้คงเพียงแต่ภาวนาให้เจ้าของตำหนักกลับมาโดยเร็ว เพราะเธอเองก็ไม่อาจขัดพระราชโองการใดๆได้

    ทางด้านฮ่องเต้หยางจิ่นอู๋นั้นเมื่อมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของคนรุ่นลูกรุ่นหลานตรงหน้าก็รู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งการที่หรี่ตาเล็กๆมองพระองค์อย่างสำรวจคล้ายกับสัตว์ตัวน้อยที่เจอบางอย่างแปลกใหม่ไม่เคยเห็น ยังไม่นับที่เหมือนกับว่าจะนึกบางสิ่งออกเพราะท่าทางนั้น และสุดท้ายก็ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งประกบกับกำปั้นอีกข้างแล้วว่า “สวัสดี เอ่อ... ยินดีที่ได้รู้จักพะยะค่ะ”

    เนตรเบิกกว้างเมื่อได้ยินถ้อยคำที่ไม่คาดคิด คงไม่ต้องบอกว่าคนรอบข้างคงตะลึงไปแล้ว เพราะได้ยินเสียงติจากทหารข้างกายว่า “นี่เจ้า.. ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน!”

    “ไม่เป็นไร” ฮ่องเต้ว่าขัดขณะที่ใบหน้ามีรอยยิ้มประดับอย่างรู้สึกขำยิ่งเมื่อเห็นใบหน้าเหลอหลานั่น คนอ่อนวัยตรงหน้าโค้งให้โดยหันไปทางนายทหารที่ติก่อนที่จะว่า

    “ขอโทษพะยะค่ะ”

    และครั้งนี้เอง ที่ฮ่องเต้หลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้กับคำพูดผิดๆถูกๆนั่น ก่อนที่จะหันไปถามอดีตแม่นมของบุตรชายที่ดูคล้ายเหมือนจะเป็นลม “เหวินเจี้ยนออกไปนานรึยัง?”

    “ออกไปตั้งแต่ยามสายแล้วเพคะ”

    “งั้นรึ” ฮ่องเต้วัยเกือบหกสิบลูบเคราตัวเองก่อนจะว่าต่อ “เอาเถอะ ถึงอย่างไรเสียข้าก็ไม่ได้จะมาหาลูกข้า” ดวงเนตรหันไปมองทหารและเหล่าผู้ติดตามทั้งหลายก่อนจะโบกมือพร้อมรับสั่ง “พวกเจ้าออกไปรอนอกตำหนัก หากเหวินเจี้ยนกลับมาค่อยมาบอกข้า ข้าอยากจะสนทนาตามลำพังสักครู่”

    แม้จะรับสั่งแบบนั้น แต่มีหรือที่เหล่าทหารจะยอมง่ายๆ ยิ่งยามนี้สิ่งใดก็ไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะกับเด็กที่ไร้สัมมาคารวะตรงหน้านี่ด้วย “แต่ฝ่าบาท...”

    “คิดจะขัดคำสั่งข้ารึ?”

    “….รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ”

    มุมปากนั้นแย้มยิ้มอย่างพอใจ ก่อนที่จะหันไปมองยังอดีตแม่นมซึ่งตอนนี้เป็นคนดูแลตำหนักนี้ก่อนจะว่า “เจ้ามีสิ่งใดก็ไปทำเสียเถอะ”

    “แต่หม่อมฉัน...”

    “และข้าเองก็อยากดื่มชาด้วย” ฮ่องเต้พูดแทรกก่อนที่อีกฝ่ายจะว่าจบ รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าก่อนจะว่า “รบกวนเจ้าด้วยนะ”

    “...หม่อมฉันจะรีบนำมาถวายเพคะ” เหอหลินซินโค้งรับราชโองการ แต่แล้วยังไม่ทันที่นางจะไป ก็รู้สึกได้ว่ามีมือมาจับที่ปลายแขนเสื้อยาวที่สวมใส่ และเมื่อหันไปมองก็พบกับสตรีจำแลงที่รั้งนางไว้พร้อมกับสายตาและสีหน้าที่ขอความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ หญิงชราเม้มปากก่อนจะสั่นหน้าและค่อยๆปลดมือเสี่ยวหยางออก ในเมื่อฮ่องเต้มีรับสั่งเช่นนั้นราวกับไล่นางเสียเต็มประดาเช่นนั้น

    ‘ข้าขอโทษนะเสี่ยวหยาง’



    เมื่ออยู่กันตามลำพัง ฮ่องเต้ก็มองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ดูคงอยู่ราวๆวัยรุ่น รูปร่างที่ดูเล็กนั้นทำให้คาดเดาอายุได้ยาก แต่เดาน่าจะสิบห้าสิบหกประมาณเหมยอิง ผิวขาวสะอาดสะอ้านทำให้ดูแล้วไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไปนัก แต่ที่ทำให้รู้สึกเอ็นดูและถูกชะตา คงเป็นเพราะการที่นั่งคุกเข่าลงหลังจากที่แม่นมเหอออกไปสักครู่ราวกับว่าไม่รู้จะทำอะไร แต่ถึงกระนั้นกลับจ้องพระพักตร์ของพระองค์ด้วยแววตาที่ดูอยากรู้อยากเห็นเสียเต็มประดาว่าพระองค์มีธุระอะไรกับตน แต่แล้วก็มีอาการสะดุ้งและหันไปมองทางประตูและก้มหน้า แต่กระนั้นเพียงชั่วครู่ก็เงยหน้ามามองอีกครั้ง เป็นเช่นนี้อยู่ประมาณสามครั้ง และตอนนี้เด็กหนุ่มตรงหน้าก็ก้มหน้าอยู่ และท่าทางแสดงออกที่ซื่อตรงนั้นทำให้ต้องอมยิ้ม ก่อนที่จะเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาเสียเอง “เจ้าชื่อเสี่ยวหยางใช่ไหม?”

    ใบหน้านั้นแหงนมองก่อนที่จะพยักหน้าพร้อมว่า “พะยะค่ะ”

    “แค่เสี่ยวหยาง?”

    “…พะยะค่ะ”

    พระขนงขมวดเล็กน้อย ก่อนที่จะถามต่อ “แล้วเจ้าอายุเท่าใดรึ?”

    “สิบเก้าพะยะค่ะ”

    ครั้งนี้ต้องแปลกใจหนักเสียยิ่งกว่าเก่าเมื่อคาดเดาผิด แต่แล้วก็ดูไม่แปลกใจอะไรมาก มุมปากของฮ่องเต้นั้นระบายรอยยิ้มก่อนที่จะว่า “ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามีความรู้เรื่องแพทย์และการเอาตัวรอดพอสมควร อันที่จริงข้าได้ยินชื่อเจ้าตั้งแต่ที่เหวินเจี้ยนกลับมาแล้ว ถึงอย่างไรก็ขอบใจมากนะที่ช่วยลูกข้าไว้”

    “…ไม่เป็นไรพะยะค่ะ”

    “ข้าเองก็ไม่เข้าใจ ว่าเหวินเจี้ยนเจอเจ้าทั้งทีเหตุใดต้องทำตัวลักซ่อนเสียขนาดนั้น” พระองค์ถอนพระปัสสาสะอย่างแผ่วเบา ก่อนที่จะว่าต่อ “เจ้ามาจากไหนรึเสี่ยวหยาง?”

    ครั้งนี้กลับไม่มีคำตอบ หนำซ้ำใบหน้ายังหลุบลงต่ำ และการที่เห็นว่าสองมือน้ันกำชายฮั่นฝูตัวเองแน่นจึงตัดสินใจบอก “ไม่เป็นไรหากไม่อยากพูด ข้าเองก็ขอโทษด้วยหากมันไปกระทบจิตใจเจ้า”

    “…ขอบพระทัยพะยะค่ะ”

    “ว่าแต่ข้ามีสิ่งหนึ่งที่อยากจะถาม และข้าคิดว่าสิ่งนี้ข้ามองไม่พลาด” คนอาวุโสกว่าหรี่ตามองขณะที่รอยยิ้มมุมปากนั้นกว้างขึ้น ซึ่งคนตรงหน้านั้นก็ขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย

    “เจ้าเป็นสตรีใช่รึไม่ เสี่ยวหยาง”





    ตะวันที่รู้สึกไม่ผิดจริงๆว่างานเข้าเพราะการที่ฮ่องเต้ตรงหน้านี่ไล่ทุกคนออกไปจนเหลือแค่เธอคนเดียว(ซึ่งจะไม่นับไอ้คนที่ถือกิโยตินตรงหน้าเตรียมประหารเธอเด็ดขาด) เธอไม่รู้หรอกว่าเหวินเจี้ยนเล่าเรื่องแบบไหนให้พ่อตัวเองฟัง เพราะถ้าฟังไม่ผิดนอกจากถามชื่อกับอายุ ก็น่าจะมีขอบคุณที่เธอช่วยชีวิตลูกเขา แต่ไอ้คำถามเมื่อกี้นี้ทำให้เธอคิดว่าฮ่องเต้ตรงหน้านี่ปล่อยกิโยตินมาประหารเธอแล้วจริง

    แต่นี่มันเมืองจีนไม่ใช่ฝรั่งเศส... และเธอเป็นคนธรรมดา... งั้นเอาเป็นว่าลงมีดแท่นประหารหัวสุนัขสับหัวเธอแล้วก็แล้วกัน...

    เพราะว่าเขาถามว่าเธอเป็นผู้หญิงรึเปล่าไม่ใช่รึไง!?!?!

    “หว่อชื่อหนานเหริน..” เธอแก้ตัวว่าเธอเป็นผู้ชายพร้อมกับโค้งต่ำนิดๆอย่างที่สามัญชนผู้น้อยควรทำ  

    Zhēn de ma? (จริงรึ?)

    โอ่ยสลัดผักอย่าถามย้ำได้ไหมเนี่ย!! อยู่รอดมาได้ตั้งนานโดยหลอกคนอื่นว่าเป็นผู้ชายแล้วทำไมฮ่องเต้ตรงหน้าเธอนี่ถึงดูออกวะ! จะบอกว่าเหวินเจี้ยนบอกพ่อตัวเองงั้นเหรอว่าพาผู้หญิงเข้าวังโดยให้ปลอมเป็นผู้ชายน่ะ?! เธอไม่ใช่ชู้ที่แอบเข้าบ้านผัวแล้วต้องปลอมตัวเพราะกลัวเมียหลวงมาดักตบนะ!

    Ń, wǒ bù rènwéi wǒ de érzi zhèngzài zhuǎnxiàng tóngxìngliàn. (อืม… ข้าก็ไม่คิดว่าลูกชายข้าจะเบี่ยงเบนไปชอบบุรุษหรอกนะ)

    นี่ไงนรกกว่าคำถามที่ว่าเธอเป็นผู้หญิงมันมาแล้ว คือคำศัพท์ที่เธอฟังไม่ออก... เธอฟังออกแค่ฮ่องเต้ตรงหน้าน่าจะคาใจอะไรสักอย่าง และประโยคต้น หว่อปู๋เริ่นเหวย... คือน่าจะบอกว่าไม่คิดว่า...​และหลังจากนั้นคือเธอก็ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ไม่คิดว่าอะไร

    Chú cǐ zhī wài, tā huílái hòu, wéixiào méiyǒu lǐyóu, nǐ méiyǒu kàn dào tā shì shénme shíhòu tā gàosù wǒ nǐ. (นอกจากที่ดูเหม่อลอยบ่อยหลังจากที่กลับมา อยู่ดีๆก็ยิ้ม เจ้าไม่เห็นว่าลูกข้าเป็นเช่นไรยามที่เขาเล่าเรื่องเจ้า)” สุรเสียงนั้นเว้นไปครู่ก่อนจะว่าต่อ “Cǐwài, tā méiyǒu tí dào Xuě é, yīnwèi tā yùjiànle nǐ. (ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่พูดถึงเสวี่ยเอ๋อเลยตั้งแต่ที่ได้พบเจ้า)

    ตะวันขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำหนึ่ง เสวี่ยเอ๋อเหรอ? ทำไมเหมือนเคยได้ยินคุ้นหูที่ไหนแต่นึกไม่ออก

    Tā de xíngwéi jiù xiàng yīgè zhuì rù àihé de rén, zhǐyǒu wǒ cóng tā nàlǐ tīngdào de rén shì nǐ. Suǒyǐ nǐ kěyǐ shuō wǒ jīntiān lái zhèlǐ jiàn dào nǐ. Sìhū wǒ de jiànyì shì zhèngquè de, Xiǎoyáng. (อาการราวกับบุรุษผู้ตกอยู่ในห้วงรักเช่นนั้น และคนเพียงคนเดียวที่ข้าได้ยินเรื่องจากเขาก็คือเจ้า ฉะนั้นจะพูดว่าวันนี้ข้ามาเพื่อดูหน้าเจ้าก็ไม่ผิด และข้าคิดว่าการคาดเดาของข้าถูก เสี่ยวหยาง)

    ฮะ? เธอทำไม? ตะวันที่กำลังไว้อาลัยให้ตัวเองเพราะการที่ฟังไม่รู้เรื่องสักแอะ หนำซ้ำคำศัพท์ก็ไม่เคยได้ยินทำให้เดาอะไรไม่ได้เลยนอกจากว่าเป็นฮ่องเต้กำลังพูดเรื่องที่เธอไม่เคยคุยกับคนอื่นมาก่อน แล้วเสี่ยวหยางเมื่อกี้คืออะไร? ไม่ได้ตั้งใจฟังเลยไม่รู้ด้วยว่าเป็นประโยคคำถามที่เธอต้องตอบรึเปล่า?

    Suǒyǐ wǒ huì zài wèn nǐ. (เพราะฉะนั้นข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง)” ตะวันที่เงยหน้ามองเมื่อประโยคนั้นเธอจำได้ว่าได้ยินหลายคนพูดบ่อยๆเวลาที่เธอเรียนเจียนกับพวกเขา มันน่าจะมีความหมายว่าจะถามอีกครั้งถ้าเธอเดาไม่ผิด ซึ่งตะวันก็กลืนน้ำลายขณะภาวนาให้เธอฟังออก ก่อนที่ฮ่องเต้ตรงหน้าจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังและแววตาที่กดดัน “Nǐ shì yīgè ài shàng Wén Jiàn de nǚhái, duì ba? (เจ้าคือสตรีที่รักกับเหวินเจี้ยน ใช่รึไม่)




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×