ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    M E S S A F T E R S T O R M "

    ลำดับตอนที่ #93 : ZODIAC VIII+IV

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 17
      0
      28 พ.ย. 59




    มัธธายน์สะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงปักษาส่งเสียงกู่ร้องนอกหน้าต่าง หัวใจเต้นรัวเร็วและเหงื่อไหลโชมกาย ท่านชายลุกขึ้นนั่งก่อนจะหันมองรอบๆก็พบว่าอยู่ในห้องนอนของตน ฝ่ามือใหญ่ทาบที่หน้าอกก่อนจะปรับจังหวะหายใจให้กลับมาเป็นปกติ

    นั่นมันความฝันหรือความจริงกัน?

    เขาฝันว่าเทพพิทักษ์เอเรียลมาหาเขาถึงสวนส่วนตัว ได้เล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟัง แล้วเขาก็เผลอหลับไป มัธธายน์ยกมือลูบหน้าของตนก่อนจะเสยผมขึ้นเรียกสติของตน

    ก๊อกๆๆ

    เสียงเคาะนั้นทำให้ท่านชายหนุ่มหันไปมองต้นเสียง แล้วอาการที่เหมือนยังไม่ตื่นดีก็แทบตกตะลึง เมื่อเห็นว่าต้นเหตุของเสียงนั้น คือวิหคสีม่วงเข้มเกือบดำที่ใช้ปากที่แหลมคมของมันเคาะกระจกห้องเขา เจ้าของห้องรีบถลาไปเปิดหน้าต่างทันที และเมื่อเห็นว่าเป้าหมายมาเปิดหน้าต่างให้ ฟีนิกซ์ที่มัธธายน์เพิ่งเห็นว่าในปากคาบม้วนกระดาษเอาไว้ก็วางสิ่งที่อยู่ในปากลงตรงขอบหน้าต่าง ก่อนจะบินออกไปทันที

    มัธธายน์มองตามอย่างสงสัย ก่อนจะคลี่ม้วนกระดาษออก สิ่งที่อยู่ในกระดาษสาเก่าๆนั้นคือลายมือกึ่งหวัดที่ไม่คุ้นตา

    ‘ถ้าอยากรู้เรื่องที่สงสัย ออกมา จะรออยู่ที่หน้าประตูปราสาทอัคคี สิบห้านาทีเท่านั้นที่จะรอ แต่งสามัญชนมาล่ะ’

    เพียงแค่นั้นดวงตาสีครามก็เบิกกว้าง ท่านชายรีบเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวและออกจากคฤหาสน์เซซาริสทันทีโดยบอกข้ารับใช้แค่ว่าจะออกไปข้างนอกเท่านั้น ร่างสูงเหวี่ยงตัวเองขึ้นหลังม้าแล้วควบออกไปยังประตูใหญ่หน้าวังหลวงของปราสาทอัคคีทันที เมื่อมาถึงท่านชายเซซาริสก็ฝากม้าให้นายทหารเฝ้าประตูดูแล ก่อนที่จะสั่งให้เปิดประตูธรรมดาๆที่มีขนาดให้คนเข้าออกได้อยู่ข้างประตูใหญ่ แม้นายทหารจะสงสัยแต่ก็ไม่มีสิทธิ์ถามอะไร นอกจากทำตามคำสั่งเท่านั้น

    เมื่อท่านชายแห่งเซซาริสออกมายืนอยู่หน้ากำแพง หันซ้ายหันขวาก็ไปสะดุดกับคนที่นั่งยองพิงปราสาทอัคคีอยู่ห่างออกจาหน้าประตูไปประมาณเกือบสิบก้าว ชุดมอซอที่เหมือนเคยเห็นเมื่อไม่นานมานี้ทำให้มัธธายน์ก้าวเร็วๆเข้าไปหาทันที

    “หืม” คนที่นั่งอยู่ครางออกมาในลำคอก่อนจะเงยหน้ามองคนที่มาหยุดอยู่ข้างตัว ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ “ตรงเวลาดีนี่ คิดว่าจะสายกว่านี้เสียอีก”

    ท่านชายหนุ่มมองร่างโปร่งตรงหน้าอย่างพิจารณาอีกครั้ง ชุดมอซอที่เหมือนกับเอาเศษผ้าสิบๆชิ้นมาคลุมกายเสียมากกว่าจะเป็นเสื้อผ้าจริงๆ เรือนผมสีดำสนิทระต้นคอดูยุ่งเหยิงแต่ก็ไม่อาจปิดความงดงามของใบหน้านั่นได้ ผ้าคาดศีรษะเก่าๆที่ชายผ้าถูกปล่อยให้เลยไหล่ลงมา

    ไม่ผิดแน่....

    “ท่านเอ...”

    “ฉันชื่อเอลาซ”

    คนที่ถูกขัดคำพูดขมวดคิ้วมุ่นทันที คนที่เรียกตัวเองว่าเอลาซนั้นกลับขมวดคิ้วมองท่านชายตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะส่ายหน้า “อย่างที่คิดเลย ดีนะที่เอามาเผื่อ”

    มัธธายน์มองผ้าคลุมในมือขาวที่ถูกยื่นมาให้ ก่อนที่คำอธิบายจะตามมา “ฉันไม่อยากไปเดินเล่นกับท่านชายที่ทุกคนรู้จักหน้าตาดี คลุมไว้ซะ”

    ท่านชายยอมรับมันมาก่อนจะทำตามคำสั่งทั้งที่สมองยังตามไม่ทัน แม้รูปลักษณ์ภายนอก การแต่งกาย รวมถึงท่าทางการพูดจะเปลี่ยนไปและเหมือนกับที่เขาเห็นผู้บุกรุกในคืนก่อน แต่คนตรงหน้าเป็นเทพพิทักษ์ราศีธนูแน่ๆ มัธธายน์อดไม่ได้ที่จะถาม “ทำไมท่านถึงอยู่ในร่างนั้น”

    “ร่างไหน นี่ก็ตัวฉัน”

    “ท่านเอ...”

    คำเรียกชื่อนั้นถูกหยุดไว้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้มือเรียวขาวเป็นฝ่ายเอื้อมมามาปิดปากไว้ก่อนที่จะเขาจะพูดจบ ดวงตาสีน้ำเงินสวยฉายแววหงุดหงิดเล็กๆ “ถ้าคิดจะเรียกชื่อนั้นอีกรอบ ฉันจะส่งนายกลับปราสาท”

    คนเตี้ยกว่าละมือออกมาเมื่อเห็นว่าท่านชายตรงหน้าเงียบลงได้ ก่อนจะกล่าวสำทับ “วันนี้จะไม่มีท่านชายและเทพพิทักษ์อะไรทั้งนั้น จดหมายนั่นก็บอกแล้วไม่ใช่รึไงว่าวันนี้จะเป็นสามัญชน นั่นหมายความว่าคำสรรพนามไร้สาระนั่นก็ต้องไม่มี แต่ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ ก็กลับไปซะ”

    คำขาดที่ยื่นมาทำให้ท่านชายหนุ่มไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยอม ก่อนที่จะสังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูงแข็งแรงที่กะทางสายตาคงเกือบสองเมตร ยืนอยู่ด้านหลังของเทพพิทักษ์ ดวงตาสีอเมทิสต์ที่มองเขานิ่งๆกับเรือนผมสีม่วงเข้มจนเกือบดำสั้นที่มีหางเต่ายาวลงมาเกือบถึงเอว

    ผู้ชายคนนี้...

    “ฉันต้องแนะนำไหม พวกนายเคยเจอกันแล้วนี่” เอเรียล หรือเอลาซยิ้มขำกับสีหน้าคลางแคลงใจของท่านชายหนุ่ม “อย่างที่นายคิดนั่นแหละ ไม่ต้องแปลกใจหรอก”

    “แล้วทำไม....” ถึงหนุ่มขนาดนี้? เอเรียลหัวเราะออกมาลั่นทันทีที่เห็นว่าใบหน้าหล่อเหลาของท่านชายแห่งโฟเซียมีเครื่องหมายคำถามแปะเต็มไปหมด

    “ฟีนิกซ์เป็นอมตะนะ แค่สังขารภายนอกเปลี่ยนได้อยู่แล้ว ตอนนี้ก็คงประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหกอายุมนุษย์” ร่างโปร่งกระทุ้งศอกกับฟีนิกซ์จำแลงข้างกายแล้วว่าต่อ “เด็กคนนี้ยิ่งโตยิ่งเงียบ อยู่กับเธโอมาร์มากเกินไปรึเปล่าไม่รู้ ซึมซับนิสัยมาเสียหมด”

    ดวงตาสีม่วงเพียงแค่มองผู้เป็นนายของตนแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ซึ่งเอเรียลก็ไม่ได้ว่าอะไร ร่างโปร่งหมุนตัวไปอีกทางโดยไม่ลืมเอ่ยชวน “ไปกันเถอะ”

    “ท่าน....คุณจะไปไหนครับ?” มัธธายน์ถามอย่างสงสัยขณะยอมเปลี่ยนคำเรียก ซึ่งคนชวนก็แค่ยิ้มออกมาบางๆก่อนจะตอบ

    “ฉันนัดไว้อีกคน แล้วเดี๋ยวพวกเราจะไปเดินเล่นกัน”


    เพียงอึดใจ ท่านชายหนุ่มก็ประจักษ์ว่าคนที่ว่านั่นคือใคร เมื่อเทพพิทักษ์เดินนำมายังหลังกำแพงหลังวังและพบว่ามีคนรออยู่ก่อนแล้ว อีกฝ่ายก็ดูตกใจไม่น้อยที่เห็นเขา เรือนผมสีบลอนด์ขาวกับรูปร่างสูงหนากว่าเขาเล็กน้อย ดวงตาสีแดงซีดมองมาที่ผู้มาใหม่ทั้งสามก่อนจะหยุดสายตาที่คนผมสีดำ

    “ไงฮาน” เอเรียลทักทาย แต่กระนั้นเจ้าของชื่อก็ยังคงดูสับสนอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่ฮานจะถามออกมาอย่างไม่มั่นใจ

    “นายคือเทพพิทักษ์เอเรียล....จริงๆใช่ไหม?”

    “ตอนนี้ไม่ใช่” แต่เอเรียลก็ดูไม่ใส่ใจกับท่าทางสับสนนั่น เพราะร่างโปร่งยักไหล่ก่อนจะแนะนำชายหนุ่มสองคนด้านหลัง “นี่เลราเจ กับมัธธายน์”

    ร่างโปร่งชี้นิ้วมาที่ตัวเอง ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่ฮานคุ้นตามาหลายปีพร้อมกับบอก “ฉันไม่ได้อยู่ในรูปลักษณ์ของเทพพิทักษ์ เพราะงั้น เอลาซ อาเคย์โร คือชื่อของฉันตอนนี้”

    “...ท่านทำแบบนี้ทำไม?” ฮานถามโดยใช้คำที่ห่างเหิน “ท่านลงมาเป็นเพื่อนกับข้าทำไม?”

    เอลาซเอียงคอมองเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองชายหนุ่มสองคนข้างหลังตน ก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นแววตาจริงจังเคร่งเครียดของท่านชายหนุ่มเช่นกัน “ให้ตายเถอะ นี่เพิ่งยามสามเช้า จะรีบกันไปไหนเนี่ย”

    “กรุณาอย่าเปลี่ยนเรื่อง” ชายหนุ่มผมสีบลอนด์ขาวมองอย่างคาดคั้นและผิดหวัง “ทั้งหมดที่ท่านบอกข้ามา มีอะไรที่มันเป็นความจริงบ้าง ท่านเอเรียล”

    “ขอฉันพูดอะไรก่อนสักอย่างนะ” เอเรียลหรี่ตามองก่อนจะถอยออกมาเพื่อที่จะได้มองหน้าของผู้มีสิทธิ์ในราชาทั้งสองคนพร้อมกัน “ฉันจะตอบคำถามที่พวกนายสองคนอยากรู้แค่ทีละข้อเท่านั้น และจะบอกแค่ที่สมควรรู้ซึ่งอาจจะไม่เกี่ยวกับที่พวกนายถาม อีกอย่างที่ฉันชวนออกมานี่ก็แค่มีที่ๆอยากพาไปก็แค่นั้น”

    เทพพิทักษ์คราบคนจรสูดลมหายใจลึก ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “สิ่งแรกที่ควรรู้ไว้ คือพวกนายทั้งสองคนมีสิทธิ์ที่จะเป็นราชาเท่ากัน ฉันจึงส่งให้เลราเจไปอยู่กับท่านชายเซซาริส และฉันมาอยู่กับผู้มีสิทธิ์อีกคน คำตอบง่ายๆ คือเพื่อจับตาดู ส่วนที่ว่าทำไมต้องดูแบบใกล้ชิดแบบนี้ คงยังไม่ลืมนะว่าฉันจะไม่สามารถกลับดินแดนสีขาวได้จนกว่าจะเลือกราชัน”

    ดวงตาสีน้ำเงินเข้มตวัดไปมองท่านชายที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ก่อนจะว่าต่อ “ถ้าถามว่าทำไมฉันถึงไม่เลือกอยู่กับท่านชายเซซาริส คำตอบก็คือ ทางเดียวที่จะเข้าใกล้ตระกูลหลักที่เก่าแก่ขนาดนั้นได้คือเป็นข้ารับใช้คนสนิท และการที่จะทำให้ดยุคฮาร์เวียร์นั่นไว้ใจมากพอก็ต้องสร้างผลงานระดับหนึ่ง มันยุ่งยากเสียเวลา ยิ่งนิสัยแบบนั้นด้วย”

    ถ้อยคำที่กล่าวอย่างตรงไปตรงมานั้นทำให้ท่านชายหนุ่มบอกไม่ถูกว่าควรหัวเราะดีไหม แต่เอเรียลก็หันไปมองยังชายหนุ่มผมบลอนด์ขาวที่ยังคงรับฟังอย่างนิ่งเฉย ก่อนที่ร่างโปร่งจะยักไหล่และพูดต่อ “แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทำไมต้องไปให้เห็นตัวเป็นๆ เพราะการจับตาดู ฮาน ชาร์เลสแบบไม่เผยตัวเป็นเรื่องที่ง่ายมาก แต่ที่เป็นทำไมถึงเป็นเพื่อน พูดได้ว่าส่วนหนึ่งก็อยากเป็น แต่อีกส่วนก็แค่อยากพิสูจน์”

    “พิสูจน์?” ฮานทวนคำอย่างไม่เข้าใจ ซึ่งเทพพิทักษ์หนุ่มก็ส่ายหน้า

    “คำถามนั้นไม่เหมาะสมกับตอนนี้ ฉันจะยังไม่ตอบ” เอเรียลยิ้มออกมาบางๆ “ส่วนที่นายถามว่าที่ฉันเคยบอกนายไปมีอะไรบ้างที่เป็นความจริง นอกจากชื่อ ทุกอย่างที่นายเห็นและสัมผัสได้คือความจริง”

    “แล้วที่ว่าเป็นเด็กกำพร้า?”

    “อา...” เอเรียลครางออกมาเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองท่านชายหนุ่มที่มองมาทางตนเช่นเดียวกัน “อยากให้ตอบว่าไงล่ะ”

    “...”

    “เชื่อหรือไม่ก็ตามใจ มันสิทธิ์ของนาย ฉันแค่มีหน้าที่ตอบ” ร่างโปร่งยักไหล่แบบไม่ค่อยสนถ้าผู้มีสิทธิ์ในบัลลังค์ทั้งสองจะคิดแบบนั้น ก่อนจะชะงักไปนิดกับคำถามของท่านชายแห่งเซซาริส

    “แล้วที่ท่านบอกว่าข้าโลกสวย หมายความว่าเช่นไร? ชีวิตของท่านก่อนที่จะมาเป็นเทพพิทักษ์น่ะ”

    รอยยิ้มบางๆที่ฉายแววเย้ยหยันปรากฏออกมาให้เห็นทันทีหลังสิ้นคำถามนั้น พร้อมกับที่ทั้งฮานและมัธธายน์รู้สึกได้ว่ามีมือใหญ่มาตะปบที่ไหล่ของตน เมื่อหันไปมองก็พบว่ามันคือมือของฟีนิกซ์หนุ่ม ดวงตาสีอเมทิสต์ของเลราเจที่เคยเรียบเฉยบัดนี้กลายเป็นสองโทนสีไล่ระหว่างม่วงเข้มกับม่วงอ่อนวาวโรจน์อย่างมาดร้ายคล้ายดวงตาของผู้ล่า ฮานและมัธธายน์รู้สึกร้อนระอุทันทีบริเวณที่ถูกจับไว้

    “สายเลือดเซซาริสมีสิทธิ์อะไรสร้างแผลให้เอเรียลอีก!?”

    สายเลือดเซซาริส? สร้างแผลให้อีก? หมายความว่าไง?

    “ปล่อยพวกเขาซะ เลราเจ” เอเรียลสั่งเสียงเรียบ “ข้าเป็นคนตัดสินใจเอง”

    ดวงตาสองโทนสีตวัดมามองคนพูดอย่างไม่เชื่อหูตน ก่อนที่เลราเจจะถามออกมาแบบไม่เข้าใจ “เอเรียลไม่ได้คิดจะบอกพวกเขา... ใช่ไหม?”

    “เรื่องมันผ่านมานานแล้ว” ดวงตาสีน้ำเงินเข้มฉายแววจริงจัง “ข้าไม่เป็นไร”

    “แต่...”

    “ไม่มีแต่” ร่างโปร่งขัดคำพูด “ข้าบอกแล้วไงว่าข้าไม่เป็นไร”

    “แล้วเอเรียลจะทำอะไรต่อหลังจากที่บอก?”

    ทั้งฮานและมัธธายน์ไม่เข้าใจกับบทสนทนาของสองคนนี้ ในเมื่อยิ่งฟังก็ยิ่งงง แต่ดูเหมือนกับว่าเอเรียลคิดจะบอกอะไรกับพวกเขาสักอย่างที่เป็นเรื่องสำคัญ เทพพิทักษ์ราศีถอนหายใจเมื่อรู้ว่าตนนั้นสร้างความงุนงงให้กับว่าที่ราชัน จึงบอกแกมสั่งกับฟีนิกซ์ของตนว่า

    “ไปหาเธโอมาร์ซะ เลราเจ” ดวงตาหงส์นั่นคมกริบขึ้นมาเมื่อเห็นว่าฟีนิกซ์ของตนจะพูดอะไรบางอย่าง “ข้าไม่อนุญาตให้เจ้ามาวันนี้กับข้าตั้งแต่ต้น หมอนั่นอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ กลับไปหาเขาซะ และบอกด้วยว่า การคัดเลือดราชันอัคคีมันเป็นสิทธิ์ขาดของข้า”

    “....”

    “...”

    “ก็ได้”

    ฟีนิกซ์หนุ่มยอมความแต่โดยดี ร่างสูงใหญ่หันมามองเทพพิทักษ์ตรงหน้า ซึ่งก็ดูท่าว่าคนถูกมองจะรู้ว่าเลราเจต้องการอะไร ร่างโปร่งพยักหน้าเบาๆ ฟีนิกซ์เห็นดังนั้นก็ยิ้มออกมา แสงสีม่วงอ่อนปกคลุมจนไม่เห็นร่าง ก่อนที่แสงนั้นจะย่อส่วนลงมาเหลือเป็นส่วนสูงขนาดเด็ก และแสงร่างเด็กนั้นกระโดดกอดเอเรียลหนึ่งครั้งก่อนจะถีบตัวกระโจนขึ้นบนอากาศหายไป

    “...ให้ตายเถอะ” ร่างโปร่งเสยผม ก่อนจะหันกลับมามองยังบุคคลที่ถูกลืมทั้งสองก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “หน้าตาบอกเลยนะว่าสงสัยและอยากรู้มากน่ะ”

    “ที่ฟีนิกซ์ตนนั้นพูดหมายความว่ายังไง?” ฮานขมวดคิ้วมอง “ท่านมีเรื่องอะไรจะบอกพวกข้า? เกี่ยวอะไรกับสายเลือดเซซาริส”

    “บอกแล้วไงว่าอย่าใช้คำสรรพนามพวกนั้นน่ะ” เอลาซติง “เรื่องพวกนั้นพวกนายจะรู้ในอีกไม่ช้า ฉะนั้นถึงจะเค้นคอฉันตอนนี้ไปยังไง ฉันก็จะไม่ตอบ”

    “...”

    “มันไม่นานเกินรออะไรขนาดนั้นหรอก อย่างน้อยก็ก่อนที่ฉันจะเลือกราชันนี่แหละ” ร่างโปร่งว่า ก่อนจะบิดขี้เกียจเล็กน้อยแล้วถามอีกครั้ง “จะไปรึเปล่า? ไม่ไปก็ไม่บังคับนะ แต่ถ้าไปขออย่างเดียวคืออย่างเรียกฉันเอเรียล เพราะฉันใช้ลูกเล่นนิดหน่อยที่พวกคนในเมืองจะยังเห็นฉันเป็นพวกเร่ร่อนเหมือนเดิม รวมถึงนายสองคนก็จะไม่มีคนรู้ว่าเป็นผู้มีสิทธิ์ในบัลลังค์”

    “ไปครับ” มัธธายน์ตอบรับก่อนจะเดินตาม ขณะที่ฮานยังไม่พูดอะไร สีหน้านั้นช่างดูเรียบเฉย แต่กระนั้นก็ยอมก้าวขาตามไป เอเรียลยิ้มออกมาบางๆก่อนจะเดินนำ เข้าสู่ตลาดหน้าวังโฟเซีย ก่อนที่เทพพิทักษ์จำแลงเหมือนจะนึกอะไรได้ จึงหันมาถามเพื่อนร่วมเดินทาง “กินอะไรกันมารึยัง?”

    ทั้งสองส่ายหน้า เอเรียลนิ่งคิดไปครู่ ก่อนจะยิ้มออกมาเหมือนนึกสนุกแล้วพูดกับตัวเอง “อา เป็นแผนที่น่าจะไม่เลว ตามมา”

    ว่าจบก็เดินนำเข้าไปในตลาดทันที และสิ่งที่เทพพิทักษ์หนุ่มทำก็ทำให้ท่านชายหนุ่มมองแบบไม่อยากเชื่อ ทำไมน่ะเหรอ....

    “ลุงฮะ ผมขอเนื้อติดมันสองกิโล”

    “อ้าวไอ้หนุ่ม วันนี้กินเยอะนะ”

    “คนกำลังโตก็แบบนี้แหละลุง!”

    ...

    “ป้าครับ นี่ผักอะไรอะ? ทำไมวันก่อนผมไม่เห็น”

    “ป้าเพิ่งเก็บมาน่ะเอลาซ ลองเอาไปกินดูไหม?”

    “จัดมาเลยครับป้า!”

    ไม่ถึงสิบนาที สองมือของเอลาซก็เต็มไปด้วยของสดนานาชนิด และปริมาณของมันก็เยอะเสียจนไม่น่าจะกินหมด

    “คุณซื้อเยอะขนาดนี้ไปทำอะไร?” มัธธายน์มองถุงในมือตัวเองที่ถือผลไม้สามสี่อย่างอยู่ ก่อนจะหันไปมองฮานที่แม้จะไม่พูดอะไรสักคำแต่กระนั้นก็ยังมีน้ำใจช่วยถือถุงเนื้อถุงใหญ่ คนถูกถามหันซ้ายหันขวาขณะตอบ

    “กินสิ ไม่กินจะให้ขายต่อรึไง?”

    “เยอะขนาดนี้...” มัธธายน์ยังคงไม่เข้าใจ ก่อนจะถามต่อ “แล้วทำไมถึงซื้อของสด”

    “เลิกสงสัยสักเรื่องได้ไหมมัธ อ๊ะ! รอครู่หนึ่งนะ” ร่างโปร่งหยุดลงที่ร้านๆหนึ่งโดยที่ไม่มองอาการขมวดคิ้วของคนถูกย่อชื่อก่อนจะเรียกเสียงใส “เฮ้! จูเลียส!”

    คนถูกเรียกจูเลียสหันกลับมามอง เป็นเด็กชายวัยประมาณสิบเอ็ดสิบสอง หน้าตามอมแมม ดวงตาสีน้ำตาลเป็นประกายทันทีเมื่อเห็นคนเรียก “พี่เอลาซ!”

    “ไง” เอเรียลยิ้มให้ “พี่ขอผลอิกนิลสักห้าลูกสิ”

    “ได้เลยพี่” จูเลียสหยิบผลไม้สีแดงเพลิงใส่ตะกร้าขณะถาม “จะไปหาพี่แอร์รี่เหรอ?”

    “ใช่” ว่าพลางชูของในมือให้ดู “จะมาด้วยกันไหม”

    “พี่เอลาซจะทำอาหารอีกเหรอ!” เด็กชายมีสีหน้าตื่นเต้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะตะโกนวิ่งไปหาหญิงสาววัยกลางคนที่นั่งปะเสื้ออยู่ข้างหลัง “แม่ๆ ผมไปกับพี่เอลาซได้ไหม?!”

    คนเป็นแม่หันมามองเอลาซเล็กน้อยซึ่งคนถูกมองก็โค้งศีรษะอย่างนอบน้อมพร้อมกับยิ้มกว้างให้ ซึ่งหญิงสาวก็ยิ้มตอบก่อนจะอนุญาต เด็กชายร้องออกมาอย่างดีใจ ก้มลงหอมแก้มมารดาของตนก่อนจะขอตัวไปล้างหน้า และกลับมาในเวลาไม่ถึงนาที

    “นั่นใครน่ะพี่เอลาซ” จูเลียสที่ในมือมีตะกร้าผลอิกนิลที่เจ้าตัวอาสาถือถามขณะมองไปยังสองชายหนุ่มด้านหลัง ซึ่งเอลาซก็ตอบออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ แต่คำตอบนั้นทำให้คนถูกพาดพิงขมวดคิ้ว

    “คนใช้พี่เอง”

    “หา?” เด็กชายครางอย่างสงสัยก่อนจะทวน “คนใช้?”

    “ใช่” เอเรียลหัวเราะออกมาขณะที่เหล่มามอง ‘คนใช้’ ด้านหลังตน ก่อนจะสะอึกกับประโยคต่อมาของเด็กชาย

    “ผมว่าเขาเลี้ยงพี่มากกว่ามั้ง ดูแล้วพี่ไม่น่ามีปัญญาจ้างเขาหรอก” จูเลียสกระแอมไอสองสามทีก่อนจะดัดเสียงนิดๆ “ถ้าคุณเลี้ยงผม คุณจะติดหนี้ผมเลยนะ ผมจะทำตามที่คุณบอก อะไรแบบนี้"

    “เด็กแก่แดดไม่อยากกินข้าวใช่ไหมล้อเลียนแบบนี้น่ะ” ร่างโปร่งหรี่ตามองก่อนจะขยี้ผมฟูๆนั่นอย่างหมั่นเขี้ยว มัธธายน์หันไปมองคนข้างตัวเหมือนจะขอความคิดเห็น แต่ฮานกลับมองตรงไปที่เทพพิทักษ์หนุ่มเช่นกัน และสีหน้าและสายตาที่ท่านชายเห็น ก็ดูแล้วฮานเองก็ดูแปลกใจและสงสัยเช่นกัน

    เพียงอึดใจก็มาถึงย่านที่อยู่อาศัย มัธธายน์และฮานเดินตามหนึ่งเทพพิทักษ์จำแลงและหนึ่งเด็กชายมาเรื่อยๆ ก่อนที่คนเดินนำจะเลี้ยวเขาไปยังตรอกเก่าๆอย่างคุ้นเคย และเดินตรงไปยังบานประตูที่ดูใหม่กว่าบานอื่น เอเรียลหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากชุดเศษผ้าของตน แล้วจัดการแหย่แท่งเหล็กเล็กแหลมในมือไปยังรูกุญแจ ก่อนที่มันจะเปิดออกอย่างง่ายดายหลังจากที่ขยับเพียงสองสามครั้ง

    ภายในดูเก่าๆโทรมๆ เอเรียลหันมามองท่านชายผู้สูงศักดิ์เล็กน้อยก่อนจะเลิกสนใจ ซึ่งมัธธายน์เองก็รู้สึกไม่สบายตัวกลับสถานที่แบบนี้ แต่กระนั้นก็เก็บอาการพร้อมกับเดินเข้าไปข้างใน

    “มาทิอัส! ไอ้มาทิอัส! ประตูบ้านโดนไขยังไม่รู้เรื่องอีกเหรอวะ!”

    ฮานกับมัธธายน์สะดุ้งทันทีที่จู่ๆเทพพิทักษ์หนุ่มตะโกนออกมาแบบนั้นขณะที่จูเลียสหัวเราะออกมาอย่างถูกใจ ชั่วครู่ก็มีคนแหวกผ้าออกมาจากห้องๆหนึ่ง ใบหน้าคมกร้านที่มีไรหนวด เสื้อแขนกุดขาดๆสีน้ำตาลที่แทบจะกลมกลืนไปกับสีผิวน้ำผึ้งของมัดกล้ามใหญ่บนท่อนแขนเหมือนคนใช้แรงงาน ก่อนที่ดวงตาสีดำจะมองคนที่ยืนจังก้าอย่างหงุดหงิด ก่อนจะพึมพำออกมา

    “เอลาซ...” มือใหญ่ขยี้เรือนผมสีน้ำตาลไหม้ของตัวเองอย่างเซ็งๆ “ฉันบอกกี่รอบแล้วว่าอย่าใช้กุญแจผีไขประตูบ้านฉัน”

    “ทำไมฉันจะไขไม่ได้ ลืมแล้วเหรอใครเปลี่ยนประตูบ้านผุๆให้แก” ดวงตาสีน้ำเงินหรี่ลงกับสภาพอีกฝ่ายก่อนจะส่ายหน้า “ตะวันทิ่มก้นยังไม่ตื่น นอนกินบ้านกินเมืองเป็นบ้า”

    “คนเร่ร่อนไม่มีงานแบบแกไม่มีสิทธิ์มาว่าฉัน” มาทิอัสหาวออกมา

    “น้องแกล่ะ?”

    “ออกไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้ว”

    เอเรียลพยักหน้าก่อนจะเดินไปทางที่เหมือนกับครัวแบบเปิดและวางของในมือลงบนโต๊ะเก่าๆที่ดูจะพังแหล่ไม่พังแหล่ หันไปมองเจ้าของบ้านเล็กน้อยแล้วเอ่ยปากไล่ “ไปจัดการตัวเองแล้วออกมากินข้าว ถ้าแกไม่มีแรงทำงานหาเงินเพราะหิวฉันจะสงสารแอร์รี่มัน”

    “เงียบน่ะ” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่มาทิอัสก็หันกลับไปในห้อง ดูไม่ได้สังเกตถึงผู้บุกรุกคนอื่นๆเสียด้วยซ้ำ เทพพิทักษ์จำแลงหันมามองเด็กชายข้างตัวแล้วบอก

    “ไปหาแอร์รี่ให้พี่หน่อยได้ไหมจูเลียส บอกว่าให้กลับมากินข้าวที่บ้าน นี่ก็ใกล้ยามสี่เช้าแล้ว เขาพักพอดี”

    “ได้ครับ” จูเลียสรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนจะวางตะกร้าผลอิกนิลไว้และออกจากบ้านไป ร่างโปร่งมองแขกกิตติมศักดิ์ทั้งสองทียังยืนนิ่งก็อดสั่งไม่ได้

    “เอาของมาวางแล้วไปนั่งสิ จะยืนเป็นหุ่นทำไม”

    “คุณจะทำอาหารเหรอครับ” แม้จะรู้ว่าเป็นคำถามที่โง่ แต่มัธธายน์ก็อดไม่ได้ที่จะถาม เอเรียลพยักหน้าส่งๆก่อนจะหันไปยักคิ้วให้กับฮานที่วางของสดในมือลงใกล้ๆตัว

    “ถึงนายจะไม่ถาม แต่ฉันจะบอก ที่ฉันหายไปตอนที่มาเมืองนี้ส่วนใหญ่ก็มาหามาทิอัสกับแอร์รี่นี่แหละ”

    ดวงตาสีแดงซีดหรี่ลง เห็นได้ชัดว่าเป็นคำถามว่า ‘ทำไม’ แต่เอเรียลไม่ตอบ ร่างโปร่งถกแขนเสื้อตนเองขึ้นจนถึงไหล่ก่อนจะลงมือล้างของสดและผัก ขณะที่ปากก็ยังว่า “นายสองคนไปตกลงกันซะก็ดีว่าจะถามอะไร อีกอย่างยังไงก็เป็นญาติกัน คุยๆกันบ้างไม่ตายหรอก”

    มัธธายน์หันไปมองฮานที่ยังคงยืนนิ่งอยู่มุมครัว จึงเดินเข้าไปหาขณะถามสิ่งแรกที่คาใจตน “ท่านเอเรียลทำอาหารเป็นเหรอ?”

    “ถ้าหมายถึงเอลาซ.... ใช่” ฮานรับคำเสียงเรียบขณะที่ดวงตายังคงมองคนที่จองพื้นที่ครัวอยู่คนเดียว ก่อนจะพูดเสริม “ไม่ใช่แค่ทำเป็น แต่ทำเก่งมากด้วย”

    “นายรู้จักเขารึเปล่า” ดวงตาสีครามปรายมองไปยังห้องที่เจ้าของบ้านอาศัย ซึ่งฮานก็ส่ายหน้า

    “ไม่” คิ้วเข้มกดลงอย่างใช้ความคิดขณะว่าต่อ “ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหมอนั่น... ท่านเอเรียลรู้จักคนเยอะขนาดนั้น”

    ดูรู้จักคุ้นเคยขนาดที่ว่ารู้จักชื่อ แถมยังหยอกเย้าสนิทสนม ขนาดที่เข้ามาทำอาหารที่บ้านคนอื่นได้ พวกเขาไม่แม้แต่จะสงสัยเลยว่าคนๆนี้เป็นถึงเทพพิทักษ์ ไม่นับที่ว่าเทพพิทักษ์ก้มหัวให้คนธรรมดาที่ไม่มีแม้แต่ยศถาบรรดาศักดิ์อะไรแบบนั้นอีก

    “ถ้าเล่าเรื่องมันจะยาว” คำพูดนั้นทำให้คนที่ยืนคุยอยู่ที่มุมห้องต้องหันไปมองคนพูดที่กำลังหั่นผักอยู่ ร่างโปร่งพลิกเนื้อที่อยู่บนกระทะ ก่อนจะอธิบายต่อทั้งที่ตายังไม่ละสายตามาจากผักในมือ “ฉันเดินทางไปเรื่อยๆตั้งแต่ออกมาจากดินแดนสีขาว แต่ไม่เคยกลับมาเหยียบที่เมืองโฟเซีย ใกล้ที่สุดก็ป่าอัคคี แล้วประมาณหกปีก่อนฉันไปเที่ยวในป่า ฉันไปเจอมาทิอัสกับแอร์รี่ก็ตอนนั้นแหละ จูเลียสก็ตามสองคนนั้นมาด้วย แล้วฉันก็มีแวะไปที่ป่าอัคคีทุกปี ก็เจอเด็กพวกนั้นตลอด”

    “...ท่านอายุเท่าไหร่?” ฮานถาม เอเรียลปรายตามองเล็กน้อยก่อนจะถามลอยๆ

    “ประวัติเทพพิทักษ์ไม่มีบอกงั้นเหรอ?”

    “ไม่มีครับ” ท่านชายส่ายหน้าเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายถามถึงบทสนทนาเมื่อคืน เทพพิทักษ์จำแลงก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อนอกจากบ่นกับตัวแต่คนที่ยืนได้ยินทั้งคู่

    “แค่อายุสละร่างมนุษย์ก็ยังไม่มี ควรดีใจดีไหมนะ” ร่างโปร่งถอนหายใจก่อนจะตอบ “อายุมนุษย์ถูกหยุดไว้ที่ยี่สิบเอ็ด ส่วนอายุเทพพิทักษ์... บวกลบเอาเอง”

    ปัง!

    “พี่เอลาซ!!”

    เสียงเปิดประตูที่กระแทกเสียงดังพร้อมกับเสียงเรียกที่ดังลั่น และร่างของเด็กหนุ่มก็ปรากฏให้เห็น ชุดเก่าๆและใบหน้ามอมแมมแต่กระนั้นก็ยังมีรอยยิ้มกว้างแสดงความดีใจอย่างปิดไม่มิด ผมสีน้ำตาลสั้นกับนัยน์ตาสีดำที่ดูเป็นประกายกำลังวิ่งเข้ามาหาเจ้าของชื่อ “ไม่เจอกันสามปีแล้วนะพี่”

    “สามปีอะไร พี่เพิ่งมาหาเมื่อวานซืน” คนแก่กว่าผลักหัวเบาๆ ก่อนจะแสร้งหัวเราะออกมา “ใครแถวนี้ก็ไม่รู้ไม่อยู่”

    “ก็ใช่ไง ผมถึงได้บอกไง!”  เด็กหนุ่มเถียง ก่อนทำท่าเหมือนวัดส่วนสูง ซึ่งเป็นคราวคนเด็กกว่าที่หัวเราะออกมาอย่างสะใจ “ผมสูงเท่าพี่แล้วนะพี่เอลาซ!”

    เทพพิทักษ์จำแลงยกมีดปังตอในมือขึ้นมาก่อนจะยิ้มเหี้ยม “อยากโดนหั่นส่วนสูงไหมแอร์รี่”

    แอร์รี่ถึงกับยกมือห้ามอย่างหวาดหวั่นก่อนจะส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย และเหมือนคนที่ทำอาหารอยู่จะเพิ่งสังเกตเห็นใบหน้ามอมแมมเลอะฝุ่นของคนเด็กกว่า เอลาซจึงวางมีดในมือลงก่อนจะปลดผ้าพันคอของตนมาชุบน้ำหมาดๆ และเช็ดไปที่หน้าของแอร์รี่ ซึ่งคนโดนเช็ดโวยจนคนที่เช็ดให้ต้องเขกหัวเข้าให้ด้วยความรำคาญ

    “มันเจ็บนะพี่เขกมาได้!”

    “อยู่นิ่งๆเช็ดไม่ถนัด”

    “ผมบอกแล้วไงว่าผมอายุสิบหกแล้วนะ ไม่ใช่เด็ก! ผมตัวเท่าพี่แล้วนะเว้ย”

    “ตัวเท่าแต่สมองไม่เท่า” เสียงหัวเราะในลำคอดังคล้ายเยาะเย้ยก่อนจะสั่งอีกรอบ “บอกให้อยู่นิ่งๆ”

    ถึงแม้ปากจะบ่น แต่ทั้งฮานและมัธธายน์ก็เห็น ว่าดวงตาสีน้ำเงินสวยทอประกายอ่อนโยนและห่วงหาอยู่ลึกๆ เหมือนกับว่ามองเงาของใครบางคนซ้อนทับกับแอร์รี่อยู่

    “กลับมาแล้วเหรอแอร์รี่” เจ้าของบ้านที่จัดการตัวเองเสร็จแหวกผ้าออกมาจากห้องของตน คิ้วสีเดียวกับสีผมขมวดเป็นปมเมื่อเห็นว่าบ้านของตนไม่ได้มีแค่คนคุ้นตา “สองคนนั้นใครวะ?”

    นิ้วชี้ไปที่สองชายหนุ่มที่ยืนอยู่มุมห้อง แต่ท่าทางนั้นทำให้เทพพิทักษ์จำแลงหัวเราะขึ้นจมูกก่อนจะเยาะ “เขามาพร้อมฉันแกเพิ่งเห็นเหรอ”

    “เออ ตอบๆมา” มาทิอัสดูรำคาญขณะปัดๆมือ เอลาซยักไหล่เล็กน้อยก่อนจะตอบ

    “เขาเป็นเพื่อนฉัน คนผมขาวนั่นชื่อฮาน ส่วน...” เทพพิทักษ์คราบคนจรเหมือนจะลืมไปครู่จึงโบกมือให้เอาผ้าคลุมศีรษะลง ก่อนจะพูดต่อเมื่อท่านชายหนุ่มยอมปลดผ้าออก “ส่วนนั่น... มัธ”

    ชื่อย่อที่ถูกเรียกเมื่อไม่กี่นาทีมานี้ถูกยกใช้อีกครั้ง ก่อนที่เอลาซจะยกมือลูบศีรษะตัวเองเล็กน้อยเหมือนลังเลใจ แต่สุดท้ายก็ถอนใจออกมาก่อนจะยอมพูดต่อ

    “ฉันยังไม่ได้แนะนำให้นายสองคนฟัง นี่มาทิอัส” ร่างโปร่งชี้ไปยังเจ้าของบ้านที่ยืนหาวอยู่ ก่อนจะชี้ไปยังเด็กหนุ่มผมสีอ่อนนัยน์ตาสีน้ำตาล “นั่นนายรู้จักแล้วมั้ง จูเลียส ส่วนนี่” เอลาซตบบ่าเด็กหนุ่มข้างตัว “นี่แอร์รี่น้องชายมาทิอัส”

    “สวัสดีครับ” แอร์รี่ยิ้มทักทายอย่างมีมารยาท ก่อนจะไปเห็นเนื้อในกระทะที่ส่งเสียงฉ่า “พี่เอลาซ....กระทะพี่”

    “เฮ้ย!” คนที่ทำอาหารทิ้งไว้ถึงกับอุทานออกมาลั่นเมื่อลืมอาหารที่ตนทำไว้ รีบพุ่งไปที่กระทะพร้อมกับพลิกเนื้อในกระทะทันควัน “ชิบหาย! แม่งไหม้!”

    ดวงตาสีน้ำเงินตวัดมามองเหล่าผู้ที่รบกวนตนทั้งหลายก่อนจะตวาดออกมาอย่างเอาเรื่อง “ไปนั่งรอให้เรียบร้อยทั้งหมดเลยไป! ถ้ากล้าเหยียบเข้ามาที่ครัวอีกพ่อจะเอาเนื้อไหม้เนี่ยแหละให้กิน!”

    “ให้ผมช่วยไหมพี่?” แอร์รี่เสนอตัวช่วย เพราะยามปกตินั้นก็เป็นคนที่ทำอาหารง่ายๆให้ตัวเองกับพี่ชายกิน แต่คนทำครัวกลับส่ายหน้า

    “ไปนั่งเถอะ เหนื่อยจากทำงานมาแล้ว อีกอย่างพี่จัดการได้”

    เมื่ออีกฝ่ายยื่นคำขาดมาแบบนั้น และเอลาซเป็นคนที่เกลียดคนเซ้าซี้ แม้แอร์รี่จะอยากช่วยเพียงใดแต่ก็ยอมอย่างว่าง่ายไปนั่งรวมกับคนอื่นๆ ซึ่งคนทำครัวที่แก้เนื้อไหม้อยู่ก็บ่นไม่หยุด

    “เหวแตกเหอะ ไหม้เยอะขนาดนี้ เอาไงดีวะเนี่ย”

    เหล่าบรรดาที่ถูกไล่มานั่งกันอยู่บนพื้นที่มีโต๊ะตัวขนาดกลางวางอยู่ มาทิอัสมองเขม็งมายังฮานและมัธธายน์จนจูเลียสที่นั่งอยู่ข้างๆอดทักไม่ได้

    “พี่มาทิอัสทำไมจ้องพวกพี่เขาแบบนั้น”

    “เปล่า” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ดวงตาสีดำสนิทก็ยังคงมองไม่วางตา โดยเฉพาะมองไปยังท่านชายหนุ่มอย่างพิจารณา “เหมือนจะคุ้นก็ไม่คุ้น ใครวะ”

    มัธธายน์ยังคงยิ้มให้บางๆไม่ได้พูดอะไร ขณะที่ฮานเองก็ดูไม่สนใจ เพราะเจ้าตัวยังคงจ้องไปยังคนที่วุ่นกับครัวจนหัวหมุนเหมือนกับจับสังเกต

    ดวงตาสีแดงซีดมองไปยังเทพพิทักษ์หนุ่ม ฮานบอกไม่ถูกว่าตอนนี้เขารู้สึกอย่างไร รู้เพียงแค่ว่าเมื่อวานกลับที่พักไปก็มีโน้ตวางไว้อยู่ในห้อง ใจความทำนองว่าถ้าสงสัยเรื่องราวทั้งหมดให้ไปรอที่กำแพงหลังวัง ซึ่งเขาก็มา แม้จะอดแปลกใจที่เห็นท่านชายของเมืองมาด้วยแต่กระนั้นเขาไม่ก็ไม่ใส่ใจ และจนมาถึงตอนนี้ หมอนั่น.. ไม่สิ เทพพิทักษ์คนนั้นก็ยังไม่ยอมพูดอะไรสำคัญเลยสักอย่างเดียว

    เขาควรจะทำยังไงดี?






    “ตื่นรึยังขอรับท่านชาย” เสียงเรียกที่ไม่เหมือนทุกเช้าที่เข้ามาปลุกนั่นทำให้ต้องขมวดคิ้ว ก่อนจะนึกได้ว่าคนที่มาปลุกเป็นประจำนั้นกลายเป็นสัตว์ในตำนานไปเสียแล้ว มัธธายน์ครางในลำคอก่อนจะบอก

    “ตื่นแล้วจาเรด เข้ามาได้”

    ประตูถูกเปิดออกโดยชายวัยกลางคนที่พอคุ้นตาอยู่บ้าง คนด้อยฐานะกว่าก้มหัวให้ก่อนจะบอก “ขอโทษที่ปลุก แต่มีคนมาหาท่านขอรับ”

    “ใคร?”

    “เอ่อ... เขาบอกว่าชื่อเอลาซ แต่ว่า... แม้รูปลักษณ์จะไม่เหมือนเดิมเท่าไหร่ แต่เขาเหมือนท่านเอเรียลที่ข้าเห็นเมื่อวานไม่ผิดเพี้ยน”

    “อะไรนะ?!” มัธธายน์ถามอย่างไม่เชื่อหู “นี่กี่โมงแล้ว”

    “ยามสองเช้าขอรับ”

    “บอกให้ท่านรอครู่หนึ่ง ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้” ท่านชายรีบลงจากเตียงทันที

    “สรุปเขาคือท่านเอเรียลจริงๆใช่ไหมขอรับ?”

    “จะมีใครอีก” มัธธายน์บอก ก่อนจะสั่งสมทบว่า “พาท่านไปรอที่สวนของฉัน”

    “ขอรับ?” ข้ารับใช้วัยกลางคนถามอย่างไม่แน่ใจ เขาฟังผิดรึเปล่า สวนนั้นเป็นสวนที่ท่านชายหวงมาก นี่จะให้เข้าไปรอในนั้นเหรอ? มัธธายน์เหมือนจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่จึงพยักหน้ายืนยันในสิ่งที่ตัวเองพูด ก่อนจะหายเข้าห้องน้ำไป


    มัธธายน์เดินเร็วๆไปยังสวนหลังเรือน ก่อนจะชะงักขาไปเมื่อได้ยินเสียงดนตรีหวีดหวิวออกมา แล้วภาพที่เห็นก็ชะงักเมื่อมันคล้ายกับฝันในเมื่อคืนมาก มีคนนอนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ตัวเดิม แต่คนที่กำลังนั่งอยู่สวมชุดมอซอเหมือนกับเอาเศษผ้าหลายๆชิ้นมาใส่ เรือนผมสีดำสนิทระต้นคอดูยุ่งเหยิงแต่ก็ไม่อาจปิดความงดงามของใบหน้านั่นได้แม้ว่าว่าผิวกายจะดูไม่สว่างไสวเช่นเมื่อวานก็ตาม สายลมอ่อนๆยามสายพัดชายผ้าคาดศีรษะให้ปลิวไปตามกระแส เปลือกตาปิดสนิทกำลังบรรเลงเพลงที่เขาไม่คุ้นหู แต่ความนุ่มนวลและอบอุ่นของบทเพลงก็ทำให้ท่านชายหนุ่มตัดสินใจไม่ขัดท่วงทำนองนั้น แต่กระนั้นมันกลับถูกหยุดโดยผู้บรรเลงและเปลือกตาลืมขึ้นเผยให้เห็นดวงตาสีน้ำเงินเข้มเป็นประกายสวย พร้อมกับเสียงนุ่มทุ้มทักทาย

    “อรุณสวัสดิ์ท่านชาย เมื่อคืนหลับสบายรึเปล่า?”

    มัธธายน์ค่อยๆเดินเข้าไปหาเหมือนคนยังไม่ตื่นเต็มที่ จนคนที่นั่งอยู่บนต้นไม้ต้องเย้าแหย่ “ตื่นหรือยังเนี่ย?”

    “ท่าน... เอเรียล?”

    ร่างโปร่งยักไหล่ นั่นทำให้คนถามขมวดคิ้ว จนต้องถาม “ทำไมท่านอยู่ในร่างนั้น”

    “ร่างไหน? นี่ก็ตัวฉัน” เอเรียลยักไหล่ ก่อนจะโบกใบไม้ในมือที่น่าจะใช้เป็นตัวกำเนิดเสียงเมื่อครู่ “ฉันแบ่งร่างไม่ได้เหมือนโคเซย์หรอกนะ”

    “ข้าหมายถึง...” มัธธายน์มองเรือนผมกับชุดที่อีกฝ่ายสวมใส่ “ชุดกับผมของท่าน”

    “ทำไม”

    “ท่านเข้าใจที่ข้าจะพูดท่านเอเรียล...”

    “ฉันไม่ใช่เอเรียล” ร่างโปร่งพูดขัด “เขาไปบอกนายว่าเทพพิทักษ์เอเรียลมาหางั้นเหรอ?”

    “จาเรดบอกว่า... เอลาซมาขอพบ” ท่านชายตอบ และคำนั้นทำให้ร่างโปร่งที่นั่งอยู่บนต้นไม้พยักหน้ายิ้มๆ

    “เห็นไหม ฉันไม่ได้มาในนามของเอเรียล เพราะงั้นก็เลิกซะนะ คำสรรพนามยุ่งยากนั่นน่ะ”

    มัธธายน์ดูไม่เห็นด้วยอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งเมื่อเห็นรอยยิ้มที่ดูคาดหวังกึ่งขอร้องและบังคับกลายๆนั่นก็ยิ่งดูลำบากใจ “ผม... คิดว่าคงไม่เหมาะเท่าไหร่ที่จะตีสนิทถึงขนาดนั้น... กับคุณ”

    คำสรรพนามที่ไม่ได้พิธีการมากขึ้นแต่ก็ไม่ได้แบบที่หวังทำให้เอเรียลยังคงดูขัดใจ จนสุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และบ่นออกมากับตัวแบบให้ได้ยิน “ทีเห็นวันก่อนยังไล่กันจริง ทีวันนี้นะ เหอะ”

    “ก็วันนั้นพ่อกับผมยังไม่รู้ว่าคุณเป็นเทพพิทักษ์นี่ครับ ถ้าจาเรดเขาไม่รู้ว่าคุณเป็นเทพพิทักษ์ “ก็ได้ แต่ห้ามเรียกฉันเอเรียล แค่นั้นพอ”

    ท่านชายหนุ่มพยักหน้านิดๆ เอเรียลในคราบเอลาซจึงถอนหายใจออกมาอีกคราก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ทำไมถึงให้ฉันมารอที่นี่ล่ะ”

    “ก็คิดว่าคุณน่าจะชอบมากกว่าที่ต้องรอในเรือนรับรอง” มัธธายน์ตอบ ก่อนจะถามกลับ “คุณมาที่นี่เมื่อคืน.. ใช่ไหม?”

    เอเรียลเอียงคอมอง ก่อนจะไหวไหล่แล้วยิ้มบางๆ “คิดว่าไงล่ะ”

    “ผมคิดว่าคุณมาที่นี่”

    “งั้นก็คงเป็นอย่างที่นายคิด” ร่างโปร่งตอบแบบไม่จริงจังก่อนจะชูใบไม้ในมือของตนขึ้นมา “ชอบฟังเพลงรึเปล่า?”

    “ก็ชอบครับ” มัธธายน์พยักหน้า “เพลงที่คุณเล่นเมื่อครู่เป็นเพลงอะไรน่ะ? ผมไม่เคยได้ยิน”

    “นายเคยได้ยินสิแปลก” เอเรียลหัวเราะเบาๆ ก่อนจะแนบใบไม้สีเขียวเข้ากับริมฝีปากของตนอีกครั้ง และบทเพลงก็ถูกบรรเลงขึ้นซึ่งเป็นเพลงเดียวกับที่มัธธายน์เข้ามาได้ยินเมื่อกี้ มันเต็มไปด้วยความอบอุ่นสนุกสนาน ทำนองน่ารักๆของมันพาให้นกส่งเสียงตาม ริมฝีปากที่แนบกับใบไม้นั้นอมยิ้มและดวงตาสีน้ำเงินสวยก็เป็นประกายสดใส ก่อนที่บทเพลงนั้นจะจบลง

    “ไพเราะมาก เหมือนผมยืนอยู่ท่ามกลางฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่นเลย” ท่านชายเอ่ยชม คนบรรเลงยิ้มให้เศร้าๆก่อนจะตอบ

    “เพลงนี้มีชื่อว่า ‘สปริง’ ตามชื่อคนแต่งนั่นแหละ เข้ากันได้ดีเลยใช่ไหมล่ะ”

    มัธธายน์รู้สึกสังเกตถึงอะไรบางอย่าง แต่ไม่ทันจะถาม เอเรียลก็สูดลมหายใจลึก เปลือกตาค่อยๆปิดลงและเริ่มบรรเลงใหม่อีกครั้ง มันช่างแตกต่างกับเพลงแรกโดยสิ้นเชิง มันเป็นบทเพลงที่ช้าแผ่วเบาหวีดหวิวราวกับเสียงร่ำไห้ปริ่มขาดใจของคนที่หัวใจแตกสลาย

    เพลงนี้มัน!?

    มัธธายน์เบิกตากว้าง ตัวนิ่งค้างแข็งทื่อ ดวงตาสีครามมองคนที่กำลังหลับตาบรรเลงเพลงตรงหน้าอย่างไม่อาจละสายตา ขณะที่หูก็สดับฟังเสียงเพลง ทั้งที่เกิดจากใบไม้ไม่น่าจะสร้างเสียงออกมาได้มีพลังและไพเราะขนาดนั้น พลันท่วงทำนองเศร้าสร้อยก็เปลี่ยนเป็นเสียงเสียดสีแทงใจจนท่านชายเซซาริสต้องยกมือกุมหน้าอกตัวเองโดยไม่รู้ตัว เสียงสูงๆของมันบาดลึกเข้าไปข้างในราวกับโกรธแค้นถึงอะไรบางสิ่ง ตัวโน้ตที่ดุดันราวกับสัตว์ป่าที่บ้าคลั่งทำให้ใบไม้ปลิวไหวทั้งที่ไม่มีลม ฝูงนกส่งเสียงร้องแล้วบินหนี ความบ้าคลั่งนั่นดำเนินอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะจบลงด้วยจังหวะที่เชื่องช้าและเศร้าสร้อยคล้ายโหยหาถึงบางสิ่งที่ไม่มีวันหวนกลับ

    “พะ...เพลงนี้” มัธธายน์พูดตะกุกตะกัก เมื่อแน่ชัดแล้วว่าเพลงนี้เขาไม่ได้เพิ่งจะได้ยินเป็นครั้งแรก

    “เพลงนี้... เป็นเพลงโปรดของฉันเลยล่ะ” เอเรียลยิ้มออกมาบางๆ แต่ในความรู้สึกคนมอง มันช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังและความโหยหา ร่างโปร่งโบกใบไม้ในมือเล่น “ชอบไหมล่ะ? อันที่จริงถ้าเป็นเครื่องดนตรีจริงๆมันอาจจะเพราะกว่านี้ก็ได้”

    มัธธายน์เม้มปาก เพลงนี้เขาได้ยินในฝันเมื่อคืนหลังจากที่แยกกับเทพพิทักษ์ตรงหน้า เขาฝันเห็นเด็กผู้ชายสองคน คนหนึ่งอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปด ขณะที่อีกคนน่าจะสิบสองเพราะดูเด็กกว่ามาก ทั้งสองทำงานอยู่







    “ข้ามีนิทานจะเล่าให้ฟัง” สิ่งที่ได้ยินทำให้มัธธายน์ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ แต่กระนั้นเอเรียลก็ไม่สนและพูดต่อ “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กชายคนหนึ่งใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียว ไร้ซึ่งบิดาและมารดร แต่ละวันผ่านไปอย่างยากลำบากในการที่จะพาชีวิตของตัวเองให้อยู่รอด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เคยเหงา เพราะมีเพื่อนเด็กกำพร้าด้วยกัน ที่สาบานกันไว้ว่าจะเป็นพี่น้องกันตลอดไป”

    “....”

    “อยู่มาวันหนึ่ง เด็กชายคนนั้นก็ถูกชักชวนให้ไปสถานที่แห่งหนึ่ง และด้วยความที่เยาว์วัย เขาไม่รู้หรอกว่าสถานที่นั้นคืออะไร รู้แค่ว่ามันได้เงินดี จึงยอมตามไปอย่างว่าง่าย เขาได้อาบน้ำครั้งแรกในรอบหลายเดือน ถูกขัดสีฉวีวรรณและได้ใส่เสื้อผ้าเนื้อดี เปลี่ยนจากเด็กมอมแมมสกปรกให้กลายเป็นเด็กที่สะอาดสะอ้านในพริบตา เด็กชายดีใจมาก แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งที่กำลังรอคอยอยู่นั้นจะไม่ต่างอะไรกับนรก” เอเรียลนิ่งไปครู่ก่อนจะเล่าต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เขาถูกพาไปอยู่ท่ามกลางพวกผู้ใหญ่สกปรกโสโครกที่มองมาด้วยแววตากระหายราวกับสัตว์ป่า สุดท้ายเขาก็ถูกคนนับสิบเหยียบย่ำศักดิ์ศรีจนไม่เหลือชิ้นดี”

    มัธธายน์กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากกับเรื่องที่ได้ฟัง แต่ดูท่ามันยังไม่จบง่ายๆเมื่อเอเรียลเล่าต่อ

    “เด็กชายถูกขู่ว่าถ้าเขาไม่ทำ พวกนั้นจะไปจับพี่สาวกับน้องชายของเขามาแทน นั่นเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้เด็ดขาด เพราะเช่นนั้นเด็กชายจึงยอมแลกศักดิ์ศรีของตนกับการปกป้องคนที่เขารักมากที่สุด เงินทองที่ได้มามันสามารถทำให้พวกเขาทั้งสามมีชีวิตที่ไม่ขัดสนมาก แต่กระนั้นความลับก็ไม่มีในโลก พี่สาวของเขารู้สึกแปลกใจและสงสัยว่าทำไมจู่ๆเด็กชายถึงได้มีเงินมากมายและมักจะหายออกไปในยามค่ำคืน ทั้งยังกลับมาบางคืนที่มีบาดแผลและความบอบช้ำไปทั้งตัว จนสุดท้ายก็แอบตามมาและรู้เข้า ว่าเงินทองที่พวกตนใช้นั้นสาเหตุมาจากอะไร”

    “...”

    “เด็กชายถูกต่อว่าทั้งน้ำตาพร้อมกับขอร้องให้เลิกงานนี้เสีย พี่สาวบอกกับเขาว่า ’ขอแค่เราอยู่ด้วยกันและมีความสุข แค่นั้นก็พอแล้ว’ และด้วยน้ำตาของพี่น้องของเขา เด็กชายจึงตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะเลิกไปทำงาน แต่มันคงไม่ง่ายแบบนั้น”

    “เกิดอะไรขึ้น?” มัธธายน์ถามต่อ เอเรียลแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามราตรีก่อนจะเล่าต่อ

    “ทั้งสามคนตัดสินใจหนีออกมาจากที่ๆอาศัยอยู่เพื่อที่จะหนีคนพวกนั้น ใช้ชีวิตดั่งขอทานร่อนเร่ไปเรื่อย แต่ก็มีความสุขเพราะเราอยู่ด้วยกัน อยู่มาคืนหนึ่งน้องชายล้มป่วย พี่สาวจึงออกไปข้างนอกขณะที่เด็กชายเฝ้าไข้อยู่อย่างนั้น แต่เวลาผ่านไปหลายชั่วยามจนมืดค่ำ จันทราลอยสูง แต่พี่สาวก็ไม่กลับมาเสียที เด็กชายเป็นห่วงมากจึงทิ้งน้องชายที่หลับสนิทไว้ ตั้งใจว่าจะออกไปตามหาบริเวณใกล้ๆนี้ครู่หนึ่ง เด็กชายวิ่งตามหาไปทั่วก่อนจะไปได้ยินเสียงกรีดร้องดังออกมาจากในมุมมืดของซอย จึงได้เดินเข้าไปดู แล้วเลือดในกายก็แทบจับตัวเป็นน้ำแข็งเมื่อกับสิ่งที่เห็น”

    “....”

    “คนพวกนั้นตามมาถึงแล้ว และพี่สาวของเขาก็ถูกจับ นางไม่ได้ถูกขืนใจแต่กลับถูกทรมานอย่างหนักหน่วงยิ่งกว่าโทษฐานที่พา ’สินค้า’ ของพวกเขาหนี แม้นางจะถูกแส้โบยหรือโดนกรีดด้วยดาบมากมายเพียงใดก็ไม่ยอมปริปากบอกว่าน้องชายของนางอยู่ที่ใด และนั่นทำให้พวกนั้นโกรธถึงขีดสุด จนใช้ดาบแทงทะลุอกนาง เด็กชายถึงกับกรีดร้องเรียกชื่อพี่สาวของตนลั่นและทำให้พวกนั้นหันมามอง พวกมันยิ้มอย่างดีใจแต่กระนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นวาระสุดท้าย หยาดน้ำตาของเด็กชายหลั่งรินออกมาอย่างโกรธแค้น ดวงตาวาวโรจน์จับจ้องไปยังพวกมันก่อนที่จู่ๆไฟจะประทุขึ้นมาทั้งที่ไม่มีการปะทุหรือว่าเชื้อเพลิงใดๆ สุดท้ายพวกมันก็ถูกเผาไหม้จนเกรียม เด็กชายได้สติรีบวิ่งไปหาพี่สาวของตน นางสิ้นใจในอ้อมแขนของเขา เด็กชายรีบวิ่งกลับที่พักทั้งที่น้ำตายังหลั่งริน เขาได้สาบานกับตนว่าจะแก้แค้นให้พี่สาวเขา จะหาต้นตอของมัน และจะปกป้องน้องชายที่เหลืออยู่ให้จงได้”

    “แล้วหลังจากนั้นเป็นเช่นไร?” มัธธายน์ถาม

    “นิทานของข้าสนุกงั้นรึ?” เอเรียลหัวเราะออกมาเบาๆแล้วพูดเย้าแหย่ ท่านชายเงียบเพื่อรอฟังเรื่องเล่าต่อ แต่กระนั้นเทพพิทักษ์หนุ่มกับใช้นิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากของตน มัธธายน์แทบหยุดหายใจเมื่อสบกับดวงตาสีน้ำเงินเป็นประกายสวย รู้สึกเหมือนถูกตรึงไว้ด้วยดวงตาคู่นั้น และความง่วงงุนก็เข้ามาจากไหนไม่ทราบได้ ดวงตาสีครามปรือลงแม้ว่าผู้เป็นเจ้าของมันจะพยายามฝืนเพียงใดก็ตาม สิ่งที่รับรู้สุดท้ายคือเสียงกังวานที่ดูห่างไกลชวนกล่อมให้นอนของเอเรียลว่า

    “ถึงเวลานอนแล้วท่านชาย ขอให้มีความสุขกับนิทานของข้า แล้วพบกันเมื่อฟ้าสาง”




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×