ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    M E S S A F T E R S T O R M "

    ลำดับตอนที่ #89 : ZODIAC IV

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 18
      0
      27 พ.ย. 59





    สุดท้าย วันแห่งการคัดเลือกราชันก็มาถึง

    ฮานปาดเหงื่อบนใบหน้าของตนออก อากาศวันนี้ไม่ได้ร้อนอะไรมากมาย แต่การที่ต้องมายืนแออัดท่ามกลางคนนับร้อยชนิดที่แทบไม่มีพื้นที่หายใจแบบนี้มันก็ไม่แปลกที่หลายคนจะเหงื่อโชมกายแบบเขา

    เมื่อคืนเอลาซเข้านอนพร้อมๆกับเขา น่าแปลกที่เมื่อคืนเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองหลับสนิทมากมายอะไร แต่กลับไม่รู้ตัวว่าเพื่อนออกจากห้องไปตั้งแต่ตอนไหน เพราะวันนี้ตื่นเช้ามาก็ไร้ร่องรอยของเพื่อนหนุ่ม นอกจากเตียงยับๆกับกระดาษที่เขียนลายมือหวัดๆคุ้นตาได้ใจความว่า ‘ฉันมีธุระนิดหน่อย นายไปเองละกัน ใช้ทางที่ชี้ให้ดูวันก่อน เพื่อนฉันรอรับนายอยู่ แล้วเจอกันในปราสาทอัคคี’

    ชายหนุ่มผมบลอนด์ขาวขมวดคิ้วทันทีกับข้อความนั้น ไปธุระอะไรตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง? หมอนั่นไปมีเพื่อนตั้งแต่ตอนไหน? แล้วเพื่อนคนนั้นเป็นใคร? แล้วทางที่ว่านั่น... เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็ต้องถอนหายใจ

    มันคือกำแพงหลังปราสาทอัคคีที่เอลาซลากเขาไปดูเมื่อวานซืน มันมีต้นไม้ใหญ่ที่กิ่งของมันทอดเข้าไปในตัวปราสาท ที่บอกให้ใช้ทางนั้นคือจะให้เขาปีนเขาไปทางด้านหลังปราสาทเหมือนพวกหัวขโมยน่ะเหรอ?

    ถึงจะบ่นเพื่อนในใจอย่างไร แต่สุดท้ายขายาวๆก็พาตัวเองสวนทางกับเหล่าชาวบ้านที่ตั้งใจจะเข้าไปในปราสาท เป็นอย่างที่เอลาซคาดการณ์ ท่านดยุคผู้ดูแลปราสาทคนนั้นยอมให้สามัญชนเข้าไปในปราสาท แต่กระนั้นการจะเข้าไปในท้องพระโรงหลักที่จะทำการคัดเลือกราชัน ฉะนั้นจึงให้เข้าไปจนกว่าจะเต็มท้องพระโรง อย่างไรก็ตามมันก็ไม่สามารถที่จะบรรจุประชาชนชาวโฟเซียเข้าไปได้ทั้งอาณาจักร ซึ่งคนที่ไม่สามารถเข้าไปได้ หรือก็คือตื่นไม่ทัน ก็จะมายืนอออยู่หน้าปราสาท

    ส่วนเขาน่ะเหรอ? ตื่นสายขนาดนี้ถ้าเทียบกับคนที่ได้เข้าไปอยู่ในปราสาทที่ลุกตั้งแต่พระจันทร์ยังลอยเด่น เขาไม่มีทางได้เข้าไป ฮานหัวเราะในลำคอขณะที่ยืนมองต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า ใช้เวลาคิดเพียงครู่สุดท้ายก็ตัดสินใจปีน

    หมอนั่นมันคงไปจองที่ถึงได้ออกมาตั้งแต่เช้าแบบนั้น.... อย่าบอกนะว่าจะสอยอิกนิคัสมาเป็นของขวัญให้ได้จริงๆอย่างที่คุยน่ะ?

    ฮานอดขำกับความคิดนั้นไม่ได้ และเมื่อสามารถพาตัวเองมายืนขอบกำแพงได้ พิจารณาความสูงของกำแพงที่ตัวเองต้องโดดก็ต้องเหงื่อตกเงียบๆ

    มันไม่มีต้นไม้ให้เหยียบลง แล้วสูงขนาดนี้เขาไม่ได้ฝึกวิชาตัวเบาที่จะกระโดดลงมาแล้วไม่บาดเจ็บนะเว้ย!

    ฟุบ!

    !!!

    ก้อนหินที่พุ่งผ่านหน้าทำให้ฮานสะดุ้งเกือบตกขอบกำแพง ดวงตาสีแดงซีดตวัดไปมองทางที่มาของก้อนหินทันที ก็พบกับชายแก่ที่ดูอายุไม่ต่ำกว่าหกสิบจากริ้วรอยบนใบหน้า มีผ้าโพกหัวสีขาวและมีเข็มกลัดสีอเมทิสต์กลัดไว้ การแต่งกายที่คล้ายกับพวกข้ารับใช้ในวังที่เขาเคยเห็น ดวงตาสีม่วงอ่อนมองเขาอย่างเรียบเฉยทำให้ฮานต้องสบถในใจ เพราะตนนั้นถูกจับได้เต็มๆ!

    “ฮาน ชาร์เลส”

    คราวนี้คิ้วสีบลอนด์ขาวกดลง ก่อนจะถามกลับ “ลุงรู้จักผมเหรอ?”

    ชายแก่ไม่ตอบ นอกจากเดินหายไป แต่เพียงอึดใจก็กลับมาพร้อมกับไม้ไผ่ต้นอ้วนยาว ชายแก่ไม่พูดอะไรนอกจากพาดไม้ไผ่อ้วนนั่นกับกำแพงข้างชายหนุ่ม ฮานมองอย่างไม่เข้าใจเล็กน้อย แต่เมื่ออีกฝ่ายดูไม่มีท่าทีจะพูดอะไรนอกจากยืนอยู่เฉยๆ จึงตัดสินใจอาศัยไม้ไผ่นั่นลงมาจากขอบกำแพงเมืองโดยการร่อนตัวลงมา

    “ลุงเป็นเพื่อนที่เอลาซบอกไว้เหรอ?”

    แต่ชายแก่ก็ยังคงเงียบ ดวงตาคู่นั้นมองสำรวจชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะกลับมามองใบหน้าคมคาย สุดท้ายก็หมุนตัวจากไป ทิ้งให้คนอายุน้อยกว่ายืนงงอยู่คนเดียว

    “แล้วทำไงต่อล่ะเนี่ย...” อดบ่นกับตัวเองไม่ได้ ไอ้เอลาซมันทิ้งเขารึไง!? แต่จู่ๆชายแก่ที่เดินไปไกลพอสมควรก็หันกลับมามองเขาครึ่งตัว คล้ายกับยืนรอให้ตามไป ฮานลังเลใจอยู่ชั่วครู่แต่สุดท้ายก็ยอมเดินไปหา และเมื่อเห็นว่าเขาเดินตามมาแล้ว ชายแก่ก็หมุนตัวเดินต่อด้วยความเร็วที่ทำให้เขาประหลาดใจ เพราะเขาต้องวิ่งเหยาะๆถึงจะตามทัน ชายแก่พาเขาเข้าประตูไป เดินอยู่เพียงชั่วครู่ซึ่งมีความรู้สึกคล้ายในเขาวงกต ฮานพยายามจำทางแต่ก็ไร้ผล เพราะเพียงแค่เขาละสายตาจากแผ่นหลังกว้างๆที่ไม่คุ้มงอนั่นแค่ชั่วครู่ ชายแก่ปริศนาก็หายไปจากสายตาเขาเสียแล้ว และเขาไม่ใช่คนความจำดีอะไรขนาดนั้นด้วย

    ผ่านไปไม่นานสุดท้ายชายแก่ก็เปิดประตูปลายทางออก จากที่ๆมืดสลัวกลายเป็นแสงสว่างจ้าจากดวงสุริยะ และเพราะอยู่กับที่แสงน้อยมานานทำให้ฮานต้องหรี่ตาลงตามสัญชาตญาณ เขาโผล่มากลางทางเดิน... จากกำแพง?

    โชคดีที่บริเวณนั้นไม่มีใคร เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตอบอย่างไรที่จู่ๆโผล่มาจากกำแพง ยังไม่ทันที่จะให้เขาถาม ชายแก่ก็ดึงตัวเขาออกมาและปิดประตูกำแพงนั่นอย่างเบามือ ดวงตาสีม่วงอ่อนมองเขาชั่วครู่คล้ายสำรวจ ก่อนจะเดินนำไปอีกครั้ง และครั้งนี้เมื่อเปิดประตูบานสลักสวยงาม จากที่ไร้ผู้คน ก็พบกับคนมากมายเรียงรายส่งเสียงพูดคุยกัน ห้องโถงกว้างใหญ่ตกแต่งหรูหราอลังการซึ่งเต็มไปด้วยประชาชนที่มารอดูการคัดเลือกราชันทั้งซ้ายและขวาของห้องโถง โดยที่ตรงกลางท้องพระโรงถูกเว้นที่ว่างไว้และมีนายทหารยืนคุม เสาทุกต้นล้วนมีผ้าสีแดงเพลิงปักลายวิหคสัตว์ประจำอาณาจักรปล่อยพู่ยาวสีทอง เครื่องประดับเน้นไปด้วยแดงสลับทองสมกับเป็นเมืองแห่งไฟ และทางด้านขวาของเขาคือแท่นบันไดสีขาว บนนั้นมีราชบัลลังค์ที่ด้านหลังแท่นถูกสลักลายเปลวเพลิงไว้ แต่กลับไร้คนนั่ง

    เขากำลังยืนอยู่ในท้องพระโรงในปราสาทโฟเซีย

    เพียงแค่นี้ใจของฮาน ชาร์เลสก็เต้นรัวด้วยความตื่นเต้นที่ได้มีโอกาสมาเหยียบที่แห่งนี้ แต่มันคงเทียบไม่ติดยามที่ดวงตาสีแดงซีดเหลือบไปเห็นแท่นแก้วที่ตั้งอยู่ด้านขวาของราชบัลลังค์ แม้จะอยู่ไกลและถูกยกสูงก็ไม่เป็นปัญหาที่จะมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายใน สิ่งที่ทำให้หัวใจเขาเต้นรัวยิ่งกว่า และเขามั่นใจว่าทุกคนที่อยู่ในห้องนี้คงไม่ต่างอะไรกับเขา

    อะไรบางอย่างที่มีสีแดงเพลิงโชติช่วง ขนาดประมาณเล็กกว่าฝ่ามือเล็กน้อย และรูปลักษณ์ของมันก็คล้ายกับเปลวเพลิงที่พลิ้วไหวยามต้องลม

    อัญมณีอิกนิคัส อัญมณีประจำอาณาจักรโฟเซีย

    มันถูกตั้งอยู่อย่างนั้นตั้งแต่วันที่บัลลังค์นี้ไร้ซึ่งกษัตริย์ เพราะอัญมณีประจำดินแดนนอกจากเทพพิทักษ์ราศีธาตุนั้นๆ ก็มีเพียงกษัตริย์ที่ถูกเลือกและมหากษัตริย์เท่านั้นที่สามารถสัมผัสมันได้ หากผู้ใดนอกเหนือจากที่ว่ามาสัมผัสอิกนิคัสเพียงแค่ปลายนิ้ว คนๆนั้นจะลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิงและสิ้นใจทันที

    “รอตรงนี้”

    คำพูดสั้นๆคำแรกที่ออกมาจากปากชายแก่ข้างตัวหลังจากเรียกชื่อเขาที่สวนหลังวังดึงให้ชายหนุ่มกลับมาอยู่กับปัจจุบัน แต่กระนั้นก็ไม่เปิดให้เขาถามอะไร เพราะหลังจากที่พูดจบก็เดินหายไปทางเดียวกับประตูที่พาเขามาทันที ฮานลูบท้ายทอยตนอย่างจนใจขณะตัดสินใจยืนพิงเสาใกล้ตัว ที่ตรงนี้อยู่ฝั่งซ้ายของบัลลังค์ ด้านหลังเหล่าประชาชนที่มารอดูการคัดเลือกนี้ ถือว่ามุมดีมากถึงมากที่สุด เขาเป็นคนที่ค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้นสามารถมองเห็นได้สบาย เอลาซเข้าใจเลือกที่จริงๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ความคิดก็ถูกหยุด แล้วหมอนั่นไปไหนล่ะ? นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว และการคัดเลือกราชันอัคคีจะเริ่มในตอนเที่ยงตรง

    จู่ๆเสียงเพลงก็ดังมาจากวงดนตรีที่ตั้งอยู่ตรงมุมข้างขวาของบัลลังค์ เพลงสบายๆพร้อมกับที่ประตูทางเข้าห้องโถงใหญ่ถูกเปิดออก ปรากฏร่างของชายวัยกลางคนเดินมาโดยด้านหลังมีทั้งทหารและข้ารับใช้ตามมาสองสามคน ใบหน้าที่มีริ้วรอยตามวัยและเรือนผมสีทองแซมขาวกับดวงตาสีฟางข้าวเรียวเล็กที่เป็นเฉียบคมแต่กระนั้นก็มีแววพอใจปนเย้ยหยัน หนวดเคราสั้น เครื่องแต่งกายสีแดงสลับดำที่ยาวกรอมเท้า

    ดยุคฮาเวียร์ เซซาริส ผู้นำตระกูลเซซาริสคนปัจจุบัน หนึ่งในสามตระกูลหลักของโฟเซียและเป็นตระกูลที่เก่าแก่และมีอำนาจมากที่สุด ซึ่งพิทักษ์บัลลังค์อัคคีมาจนถึงตอนนี้

    ด้านหลังที่ตามมาไม่ห่าง คือชายหนุ่มรูปร่างสูงสมส่วน เรือนผมสีทองซอยระต้นคอ ผิวขาวสะอาดดูมีประกายดั่งชนชั้นสูง ใบหน้าคมคายหล่อเหลามีเสน่ห์ ดวงตาสีครามมีแววมุ่งมั่นตามวัยแต่กระนั้นก็ยังคงดูมีเมตตาอ่อนโยน  

    มัธธายน์ เซซาริส บุตรชายเพียงคนเดียวของดยุคฮาเวียร์ ซึ่งวันนี้เป็นวันเกิดอายุยี่สิบปีและเป็นวันคัดเลือกราชัน

    ด้านหลังของตระกูลหลักอย่างเซซาริส คือสองตระกูลรอง โชซานและไซเทส รวมทั้งหมดแปดคนโดยที่มีคนจากตระกูลโชซานและไซเทสมีสามคน ส่วนเซซาริสมีเพียงสองพ่อลูกเท่านั้น ประตูถูกปิดลงเมื่อเหล่าผู้มีอำนาจแห่งโฟเซียมาครบ ทั้งหมดเดินผ่านกลางท้องพระโรง ท่านชายมัธธายน์ยิ้มบางๆให้กับคนรอบข้างที่ตะโกนเรียกชื่อหรืออวยพรวันเกิดพร้อมทั้งค้อมศีรษะให้น้อยๆอย่างไม่ถือว่ายศสูงกว่า ผิดกับท่านดยุคที่เดินตัวตรงมองตรงไม่แม้แต่จะสนใจ ก่อนที่ตระกูลหลักจะทรุดลงนั่งตรงที่นั่งด้านขวาเบื้องหน้าแท่นบันไดติดราชบัลลังค์ และตระกูลรองอีกหกคนที่เหลืออยู่ฝั่งซ้าย

    ฮาน ชาร์เลสเลิกคิ้วเมื่อสังเกตเห็นชายแก่คุ้นตายืนอยู่ด้านหลังของมัธธายน์ รวมกับข้ารับใช้ตระกูลเซซาริส สรุปลุงคนนั้นเป็นข้ารับใช้ตระกูลเซซาริส? แล้วเพื่อนของเขาไปรู้จักได้ยังไงกัน?

    ท่านชายแห่งเซซาริสลุกยืนก่อนจะเดินมาอยู่ตรงกลางท้องพระโรง เหล่าผู้คนที่พูดคุยกันเงียบเสียงลงในทันทีเช่นเดียวกับวงดนตรี ท่านชายยิ้มบางๆก่อนจะกล่าวขึ้น

    “ข้าขอขอบคุณทุกท่านที่มาในวันนี้ รู้สึกดีใจและอบอุ่นมากจริงๆ”

    ใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มที่ดูจริงใจเรียกคะแนนได้อย่างท่วมท้น ก่อนที่ท่านชายจะพูดต่อ “ก็ขอบคุณที่มาอวยพรวันเกิดให้ข้า ข้าไม่มีอะไรตอบแทนนอกจากบทเพลงที่บรรเลงฆ่าเวลา เพราะข้าเองก็ตื่นเต้นที่จะได้เห็นเทพพิทักษ์กับตาตัวเองไม่แพ้พวกท่านเช่นกัน”

    พูดเพียงแค่นั้น ท่านชายก็ค้อมศีรษะให้น้อยๆและกลับไปนั่งที่ตามเดิม เสียงเพลงถูกบรรเลงขึ้นมาอีกครั้งแต่กระนั้นทุกคนก็ดูจะไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากมาย เพราะต่างก็ใจจดใจจ่อกับการที่จะได้เห็นเทพพิทักษ์อาณาจักรทั้งสามซึ่งไม่มีใครในที่นี่เคยเห็นมาก่อน

    เพราะการที่เทพราศีธนูประกาศกร้าวว่าจะไม่เลือกราชัน และถูกขับไล่ออกจากดินแดนสีขาว อัญมณีแห่งโฟเซียก็หลับใหลรวมทั้งเทพพิทักษ์ทั้งสองที่เหลือก็ไม่ปรากฏกายเช่นกัน เพราะราชันไม่อาจขึ้นครองบัลลังค์ได้หากไม่ได้รับการเห็นชอบจากเทพทั้งสามองค์ สิ่งที่เหลือทิ้งไว้คือนามของเทพพิทักษ์อัคคีทั้งสามที่มีให้ลูกหลานชาวอันดาเลีย

    ฮานรู้สึกว่าหัวใจของตนมันดังกว่าเสียงดนตรีเสียอีก เขาไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าตนจะได้มีโอกาสมาร่วมชมการคัดเลือกราชัน และได้เห็นใบหน้าของเทพทั้งสามองค์นั้น!




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×