ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    M E S S A F T E R S T O R M "

    ลำดับตอนที่ #87 : ZODIAC II

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 18
      0
      27 พ.ย. 59




    ร้อน..

    ฮานไม่สามารถข่มตาให้หลับได้เมื่อภายในอกรู้สึกร้อน ถึงแม้จะไม่มากแต่มันก็พอจะให้รู้สึกรำคาญเหมือนนอนไม่หลับ ชายหนุ่มยันตัวเองขึ้นนั่งขณะที่หันไปมองเตียงที่ว่างเปล่าข้างๆ

    เอลาซหายไปไหนกัน?

    ร่างสูงลงจากเตียงของตนก่อนจะเปิดหน้าต่างระเบียงออกไปรับลมยามค่ำคืน ดวงดารานับล้านบนผืนฟ้าสีกำมะหยี่ มีจันทร์ครึ่งดวงลอยตระหง่านที่อยู่เคียงข้าง และลมเย็นๆช่วยให้เขารู้สึกผ่อนคลายจนพอลืมความร้อนรุ่มในอกไปได้ แต่ก็ไม่มาก

    นี่ก็คืนที่สามแล้วที่เขามาอยู่ที่นี่ และสิ่งที่มาแทนความฝันที่ยืนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงนั่นก็เป็นภาพที่เลือนลาง เสียงขาดๆหายๆ และเมื่อตื่นมาเขาก็จำรายละเอียดของฝันนั้นแทบไม่ได้ แต่สิ่งที่ติดหู คือเสียงกรีดร้องอย่างทรมานแสนสาหัสที่ทำให้เขาสะดุ้งตื่นกลางดึกทุกวัน และเมื่อเขาตื่นขึ้นมาก็ไม่สามารถหลับได้ ทั้งไม่อยากเห็นสิ่งในฝันนั่น แต่สำคัญกว่าคือข้างในตัวเขามันร้อนไปหมด และวันนี้ยิ่งเขาพยายามบังคับตัวเองไม่ให้หลับ มันก็ยิ่งรู้สึกร้อนกว่าคืนที่ผ่านมา ชายหนุ่มก้มมองมือตัวเองที่แดงเถือกและและร้อนราวกับจะปล่อยไฟได้อย่างไรอย่างนั้น

    ฮานถอนหายใจเหนื่อยๆขณะขำกับความคิดของตัวเอง มันไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะคนที่สามารถใช้พลังธาตุได้คือคนที่ถูกเทพพิทักษ์จักรราศีประจำอัญมณีนั้นเลือกเท่านั้น หรือก็คือคนๆนั้นจะเป็นราชาครองบัลลังค์

    เมืองใหญ่ๆในอันดาเลียที่มีดาลีคัสเป็นเมืองหลวงศูนย์กลาง ประกอบไปด้วยสี่เมืองใหญ่ๆได้แก่ โฟเซีย อาณาจักรอัคคีซึ่งก็คือที่นี่ เอตาเซีย อาณาจักรปฐพี อิลาโทส อาณาจักรวารี และมานิเวล อาณาจักรวาโย ซึ่งแต่ละอาณาจักรก็จะมีอัญมณีประจำอยู่ และในอัญมณีนั้นก็จะมีเทพจักรราศีสามองค์สถิต และเทพทั้งสามองค์นั้นก็จะเป็นผู้เลือกราชันผู้ครอบครองอัญมณีและบัลลังค์นั้น ทุกๆครั้งที่มีการเปลี่ยนราชบัลลังค์หลวงที่ดาลีคัส ซึ่งเป็นกฎที่มีมาแต่โบราณกาล

    ตอนนี้เป็นยุคสมัยของมหากษัตริย์คาซีมีร์ที่ยี่สิบสาม ซึ่งครองบัลลังค์มาตั้งแต่สมัยที่พระองค์อายุสิบหก และตอนนี้ก็ผ่านมาแล้วสิบปีที่มหากษัตริย์คนนี้ครองราชย์มา เท่าที่รู้คือทั้ง เทลนัส ลาทัส และ เวนตัส สามอัญมณีแห่งเอตาเซีย อิลาโทส และมานิเวลตามลำดับ ได้มีราชาของมันแล้ว

    ขาดก็แต่อิกนิคัส ที่ไร้ซึ่งผู้ครอบครองมาแปดรัชสมัย แต่คงไม่ใช่กับครั้งนี้

    เพราะในยามที่ทายาทตระกูลเซซาริส ผูพิทักษ์บัลลังค์เพลิงถือกำเนิด อิกนิคัสได้ทอประกายออกมาสว่างจ้าไปทั่วบริเวณ จึงได้เป็นข่าวลือว่าครั้งนี้ตำแหน่งราชาแห่งโฟเซียมีคนขึ้นไปนั่งเป็นแน่แท้ และคนที่จะได้ขึ้นครองก็คงไม่พ้นชายหนุ่มที่ใกล้จะอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ในอีกไม่กี่วัน

    และนั่นหมายความว่า เทพพิทักษ์ผู้ถูกขับไล่องค์นั้นกำลังจะกลับคืนสู่จักรราศีตามเดิม

    เทพพิทักษ์ราศีธนู.... เอเรียล...

    เทพพิทักษ์เพียงองค์เดียวที่ยังไม่เคยมีใครได้เห็นเพราะวันที่เทพพิทักษ์ปรากฏตัวคือวันที่คัดเลือกราชันเท่านั้น บ้างก็ว่าเป็นสตรี บ้างก็ว่าเป็นบุรุษ เพราะความงดงามที่ชวนหลงใหล แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือเทพพิทักษ์องค์นี้มีดวงตาสีน้ำเงินเข้มเป็นประกายสวยไม่ต่างอะไรกับลาพิสลาซูลี อัญมณีประจำตัวของเจ้าตัว

    พูดถึงตาสีน้ำเงินก็อดนึกถึงเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวไม่ได้ เอลาซเองก็มีตาสีน้ำเงินเข้มที่เขาเองก็พูดได้เลยว่ามันสวยมาก รู้จักกันครั้งแรกตั้งแต่ประมาณห้าปีก่อน เขาอายุสิบห้าและไปเจอเอลาซที่นั่งเล่นดนตรีอยู่ริมถนนที่ชานเมืองดาลีคัสเหมือนพวกวณิพกเร่ร่อน ไม่ใช่เขาคนเดียวที่หยุดดู มีหลายๆคนหยุดดูหมอนั่นเล่น มันเป็นเครื่องดนตรีประหลาดๆที่สองมือสามารถประกบได้ คล้ายฮาร์โมนิก้าแต่ไม่ใช่ และอะไรดลใจให้หมอนั่นสบตากับเขา รอยยิ้มซื่อๆผูกมิตรที่ถูกส่งมาให้ และสุดท้ายหมอนั่นก็เข้ามาทำความรู้จักกับเขา และสนิทกันในที่สุด

    เขาอาศัยอยู่กับปู่ที่ชานเมืองดาลีคัส พ่อกับแม่เสียก่อนที่เขาจะพูดได้เสียอีก และแน่นอนว่าใบหน้าของพวกท่านทั้งสองก็เลือนรางในความทรงจำ พูดให้ถูกคือจำหน้าไม่ได้ และด้วยนิสัยของเขาที่เป็นคนไม่ค่อยพูด ทำให้ไม่มีเพื่อนสนิท มีเพียงเพื่อนที่เรียนด้วยกันสมัยก่อน ถ้าพูดให้ถูก เป็นคนรู้จักกันผิวเผินน่าจะเหมาะกว่า เพราะนิสัยที่ไปกันไม่ค่อยได้และแถวนี้เด็กก็น้อยด้วย

    เอลาซเป็นคนง่ายๆไม่เรื่องมาก อะไรก็ได้ และมีเรื่องน่าสนใจมาเล่าให้ฟังเสมอ เอลาซเป็นเหมือนพวกนักเดินทางที่เดินทางไปเรื่อยตามใจตัวเอง ไม่มีบ้านอยู่เป็นหลักแหล่งแน่นอน หาเงินได้จากขอทานเล่นดนตรีแต่ความลับที่เพิ่งมารู้เมื่อปีก่อนคือการที่เอลาซใช้หน้าตาตัวเองให้เป็นประโยชน์ในการเข้าบ่อนและหาพวกเศรษฐีหัวงูเล่นด้วยและหลอกให้ทางนั้นเลี้ยง และไม่รู้ทำไม เขาไม่เคยเห็นเอลาซเสียพนันเลยแม้แต่ครั้งเดียว

    ถึงจะบ่นจะติไปหมอนั่นก็ใช่ว่าจะฟัง เพราะงั้นตอนนี้เขาเลยขี้คร้านจะพูด แถมยังตอบกลับมาแบบกวนๆอีกว่า

    ‘เป็นเด็กเป็นเล็กบ่นเป็นคนแก่ไปได้ อย่าให้หงอกบนหัวมันมากไปกว่านี้เลยเพื่อน’

    จำได้ว่ารู้สึกไม่สบอารมณ์เอาเสียเลยที่ถูกหาว่าเป็นทั้งเด็กและคนแก่ เมื่อนึกถึงตรงนี้ก็ต้องชะงัก เอลาซบอกแค่ว่าแก่กว่าเขา แต่ไม่เคยบอกว่าแก่กว่าเท่าไหร่ แต่คิดว่าคงไม่มาก เพราะถ้าเปรียบเทียบครั้งแรกที่เจอกับตอนนี้ หมอนั่นไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว ตอนนั้นเอลาซสูงกว่าเขา แต่ตอนนี้เขาสูงกว่าหมอนั่น นอกจากนี้ถึงจะบอกว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่เอลาซไม่เคยพูดถึงเรื่องตนเองให้เขาฟังเลยสักครั้ง และเขาเองก็ไม่ใช่คนชักซักไซ้ เมื่อดูหมอนั่นไม่อยากพูดก็ไม่ถาม และตั้งแต่มาเหยียบโฟเซียเอลาซก็ดูเปลี่ยนไปอย่างที่สังเกตเห็นได้ชัด

    ดูเหม่อและใจลอยบ่อย และกลางคืนก็มักจะออกไปไหนก็ไม่รู้ อย่างเช่นคืนนี้

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นอนค้างด้วยกันในห้องพัก ถึงจะเป็นครั้งแรกที่ออกมาจากเขตดาลีคัส แต่ตอนที่ไปเที่ยวในตัวเมืองหลวงด้วยกันก็มีบ้างที่ค้างคืน แต่เอลาซก็ไม่ได้มีนิสัยออกไปตอนดึกๆแบบนี้

    คนที่ดูไม่สนใจหรือเก็บอะไรมาคิดให้หนักหัว กลับดูมีเรื่องให้คิดจนคิ้วเรียวขมวดเป็นปมบ่อยครั้ง และดวงตาสีน้ำเงินเข้มคู่นั้นก็ดูหลากอารมณ์ทุกครั้งในเวลาที่เอลาซจมอยู่ในห้วงความคิดตัวเอง ซึ่งเป็นอารมณ์ในทางลบ ไม่ก็ไม่แสดงอารมณ์ใดๆเลย และไม่รู้ทำไม แม้เขาจะอยากถามแต่ปากมันกลับไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว เพราะลางสังหรณ์มันบอกว่าถ้าเขาถามมันอาจจะไปสะกิดอะไรในตัวเอลาซเข้า

    ชายหนุ่มผมบลอนด์ขาวถอนหายใจออกมาก่อนจะพาตัวเองกลับไปที่เตียงนอนเพราะจู่ๆความง่วงก็เข้าครอบงำ ดวงตาสีแดงซีดหันไปมองเตียงข้างๆที่ยังคงว่างเปล่าก่อนที่เปลือกตาจะค่อยๆปิดลงพร้อมกับลมหายใจเข้าออกอย่างแผ่วเบาสม่ำเสมอ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าที่ตนหลับนั้นเป็นเพราะฝีมือของใครหรืออะไร และคนๆนั้นก็กำลังยืนมองตนอยู่

    บุคคลปริศนาที่ค่อยๆทอดกายลงมายืนอยู่ที่ขอบรั้วกั้นระเบียงที่เมื่อครู่เจ้าของห้องออกมารับลมอย่างน่าหวาดเสียว ดวงตาเบื้องหลังกรอบแว่นบางที่สะท้อนล้อแสงจันทร์มองไปในห้อง และเมื่อเห็นคนในห้องหลับสนิทก็กระโดดลงมายืนอยู่บนพื้นดินอย่างนุ่มนวลทั้งที่หน้าต่างระเบียงนั้นอยู่สูงจากพื้นไปสามชั้น ร่างนั้นพึมพำถ้อยคำสั้นๆ พลันทิวทัศน์รอบกายก็เปลี่ยนไป จากตึกรามบ้านช่องกลับกลายเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่มีต้นไม้เรียงราย

    ร่างสูงสง่าบ่งบอกว่าเจ้าของเป็นบุรุษมองหาต้นไม้ที่สูงใหญ่ที่สุด ใช้เวลาเพียงไม่นานก็พบ ขายาวๆก้าวไปหยุดอยู่เบื้องหน้าต้นไม้ที่คาดเดาคงอายุไม่ต่ำกว่าพันปี ชายหนุ่มแหงนหน้ามอง จับจ้องอยู่เพียงครู่และเมื่อรู้สึกว่าสิ่งที่เขาตามหาอยู่บนนั้น จู่ๆขาที่อยู่ติดพื้นก็ค่อยๆลอยเหนือพื้นดินอย่างน่าอัศจรรย์ ร่างสูงลอยตัวสูงขึ้นเรื่อยๆขนานกับลำต้นอ้วนใหญ่ราวกับว่าแรงโน้มถ่วงนั่นไม่มีผลใดๆกับเขา เมื่อมาถึงจุดหมายเขาก็พาร่างตัวเองเหยียบลงบนกิ่งกว้างใหญ่อย่างแผ่วเบา ข้างบนนี้มีพื้นที่มากพอจะสร้างเพิงพำนักได้อย่างสบายอย่างภาพเบื้องหน้านี่ ดวงตาหลังกรอบแว่นที่บางจนแทบมองไม่เห็นหรี่ลง เงารางๆที่เห็นเป็นเปลตรงกลางช่องว่างระหว่างกิ่งใหญ่ และมันก็มีคนนอนอยู่ และดูท่าคนๆนั้นจะรู้ว่ามีคนบุกรุก เพราะเงารูปศีรษะหันมามองเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปตามเดิม แต่กระนั้นก็ยังเอ่ยปากทักทาย

    “ลมอะไรหอบท่านมาถึงที่นี่กันท่านเทพพิทักษ์?”

    คนถูกเรียกว่าเทพพิทักษ์ไม่ตอบ คิ้วหนากดลงอย่างคนใช้ความคิดไม่ก็ไม่พอใจกับอะไรบางอย่าง ก่อนที่ริมฝีปากได้รูปจะยอมขยับ

    “เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่?”

    “หืม?” คนที่นอนอยู่บนเปลครางออกมาในลำคอกับคำถามนั้นแล้วว่าอย่างขี้เล่น “ท่านเทพพิทักษ์ผู้สูงศักดิ์อยากรู้ความคิดอะไรของข้าผู้น้อยคนนี้ขอรับ?”

    “อย่ายอกย้อนข้า เอเรียล

    ชื่อนั้นทำให้ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วครู่ ก่อนที่คู่สนทนาที่นอนอยู่จะลุกขึ้นนั่งและห้อยขากับเปลเถาวัลย์ของตน และสีหน้าที่ราบเรียบนั่นแสดงอารมณ์ไม่พอใจอยู่

    “ตอนนี้ฉันไม่ใช่เทพพิทักษ์”

    “เจ้าเป็น” ร่างสูงปฏิเสธถ้อยคำนั้น แสงจันทราเสี้ยวที่ไม่น่าให้ความสว่างมากมายแต่บัดนี้มันกลับมากพอที่จะให้เห็นสีหน้าของกันและกัน ดวงตาสีเทาเกือบดำหลังกรอบแว่นบางมองอาภรณ์เก่าๆที่อีกฝ่ายสวมใส่ก่อนจะย้อนกลับขึ้นมามองดวงตาสีน้ำเงินเข้มเป็นประกายสวยดั่งอัญมณีนั่น พลางจะย้ำอีกครั้ง “ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในร่างนั้น ในชุดมอซอนั่น จะอาศัยอยู่บนแผ่นดินอันดาเลียนานพอจนเจ้ากลมกลืนเข้ากับชีวิตปัจจุบันของมนุษย์ แต่ความจริงก็คือเจ้าเป็นเทพพิทักษ์อิกนิคัส

    “เลิกพูดซะ ข้าไม่อยากฟังคำนั้น โดยเฉพาะจากเจ้า” คำสรรพนามที่เปลี่ยนไปพร้อมกับน้ำเสียงที่ไม่พอใจและกึ่งรำคาญเต็มทน คนบนเปลขยี้เรือนผมของตนอย่างหงุดหงิดพลางถามเสียงห้วน “ว่าธุระของเจ้ามาซะ เธโอมาร์

    “ข้าก็แค่อยากรู้ความเป็นอยู่ของเจ้า” คำนั้นเรียกเสียงหัวเราะให้ดังออกมาจากลำคอของผู้ฟังในทันที

    “เทพพิทักษ์ราศีแห่งความยุติธรรมคิดจะโกหกเสียเองงั้นรึ? ของแค่นั้นแค่เจ้าส่องจิตก็เห็นแล้ว ไม่ต้องลงมาหาข้าถึงที่นี่กระมัง” เอเรียลยิ้มขำก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงเย้าแหย่ “วันหลังหัดหาข้ออ้างที่ฟังดูเป็นไปได้มากกว่านี้หน่อยนะ ท่านพี่”

    “....เจ้าคิดจะทำอะไรถึงได้ไปตามติดเรฮันน์ เซซาริส”

    คำนั้นทำให้คนฟังเลิกคิ้ว แม้มันจะเป็นคำถามแต่น้ำเสียงที่ร่างสูงตรงหน้าใช้กลับเหมือนคำสั่งให้ตอบเสียมากกว่า แต่กระนั้นคนที่ต้องตอบก็เพียงแค่แกว่งขาเล่นเหมือนเด็กๆก่อนจะตอบ “เขาเป็นผู้ถูกเลือกอีกคนนอกจากท่านชายเซซาริสคนนั้น ข้าก็ต้องดูว่าเขามีคุณสมบัติที่จะนั่งบัลลังค์มากน้อยเพียงใด”

    “แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องไปอยู่กับเขาแบบนั้น”

    “ข้าทำเช่นนั้นแล้วมันเกี่ยวอะไรกับท่านพี่ซึ่งเป็นเทพพิทักษ์เวนตัสแห่งมานิเวลรึ?”

    “....”

    “อา... ข้ารู้แล้ว” เอเรียลกระโดดลงจากเปลเถาวัลย์ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งเต้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าร่างสูงกว่า ริมฝีปากบางแย้มยิ้มสนุกแล้วว่า “หึงข้างั้นหรือ เธโอมาร์”

    นิ้วเรียวสวยไล้ไปตามลำคอแกร่งเบาๆ ก่อนจะไล่ขึ้นไปตามโครงหน้าคมคายด้วยปลายนิ้ว แต่ก่อนที่จะได้ทำตามใจนึกไปมากกว่านั้น เธโอมาร์ก็จับมือที่เล่นสนุกกับใบหน้าเขาไว้ ร่างสูงประทับริมฝีปากที่จุดชีพจรของข้อมือบางก่อนจะพูดทีเล่นทีจริง “ถ้าข้าบอกว่าใช่ เจ้าจะเลิกอยู่กับผู้ถูกเลือกรึเปล่า?”

    “หืม?” ร่างโปร่งครางในลำคอก่อนจะถาม “เจ้าเอาแม่หญิงเกรซไปไว้ที่ไหนเสียแล้วล่ะ?”

    “ข้าเอ็นดูฮาเซลดั่งน้องสาวของข้า”

    “ข้าก็ไม่ได้หมายถึงนาง” เอเรียลยักไหล่ “ข้าหมายถึงพี่สาวของนางต่างหาก”

    “เฟลิเซีย เกรซ?”

    “เด็กคนนั้นมีพี่สาวกี่คนเล่า” ร่างโปร่งพูดประชดทำนองว่าคำถามนั้นช่างโง่เง่าสิ้นดี ก่อนจะดึงมือของตนออกแล้วหันหลังกระโดดขึ้นเปลเถาวัลย์ของตนตามเดิม “ช่างเถอะ นั่นมันเรื่องของเจ้า”

    “ข้าไม่ได้สนเฟลิเซีย เกรซ หรือใครก็ตาม” เธโอมาร์กล่าว ดวงตาต่างสีสบกันก่อนที่ร่างสูงจะเอ่ยอีกครั้ง “ข้าสนเพียงเจ้า”

    “ขอบคุณท่านพี่ผู้น่ารักที่สนใจข้า สมกับเป็นพี่ใหญ่แห่งจักรราศี ช่างห่วงใยน้องๆเสียจริงแม้กระทั่งน้องอย่างข้าที่ถูกตราหน้าว่าเป็นเทพทรยศในหน้าที่ก็ยังอุตส่าห์ตามลงมาดูความเป็นอยู่”

    เธอโอมาร์มองเขม็งไปยังคนที่ทำตัวลื่นไหลราวกับไม่เข้าใจอะไรเลย แต่ร่างสูงรู้อยู่เต็มอกว่าเอเรียลรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร แต่จงใจไม่สนใจมัน สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนกล่าวขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าเดิม

    “เจ้าต้องรีบเลือกราชันของเจ้า และทำให้เขาควบคุมพลังของอิกนิคัสให้เร็วที่สุด”

    “ท่านดีออสเห็นนิมิตอะไรถึงขนาดที่เจ้าต้องลงมาส่งข่าวให้คนถูกตัดหางปล่อยวัดอย่างข้าด้วยตัวเอง”

    “อย่าออกนอกเรื่อง” เธโอมาร์มองดุ “และเจ้าไม่ได้ถูกตัดหางปล่อยวัด เจ้าเลือกที่จะ...”

    “บอกข้าอย่าออกนอกเรื่อง เจ้านั่นแหละจะทำให้เสียเวลา” เอเรียลแทรกก่อนจะถามย้ำ “ท่านดีออสเห็นอะไร?”

    ชายหนุ่มร่างสูงสูดลมหายใจเข้าลึกเมื่ออารมณ์ของตนดูท่าจะมาก่อนเหตุผล ก่อนจะเอ่ยเสียงเครียด “ท่านดีออส.... เห็นสิ่งนั้น

    หลังสิ้นประโยค บรรยากาศรอบตัวก็รู้สึกกดดันมากขึ้นเมื่อคนที่นอนอยู่บนเปลเถาวัลย์ยันตัวขึ้นมาอีกคราและมองคนพูดด้วยแววตาที่ไม่อยากจะเชื่อ ซึ่งเธโอมาร์ก็เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเตือนกลายๆ

    “ผ่านมากว่าพันปีแล้วนับแต่สงครามครั้งนั้น และตอนนี้ ‘มัน’ ก็พร้อมที่จะโจมตีอันดาเลียในอนาคตอันใกล้นี้”

    “....”

    “สงครามจะบังเกิดอีกครั้งอย่างที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง สี่ราชันและมหากษัตริย์จักต้องรู้จักวิธีควบคุมพลังของอัญมณีให้ได้ผลสูงสุด มิฉะนั้นเราจะเป็นฝ่ายแพ้ และครั้งนี้อันดาเลียอาจล่มสลาย”

    ความเงียบเข้าปกคลุม บรรยากาศเต็มไปด้วยความเครียดขณะที่ไม่มีใครคิดพูดอะไร เธโอมาร์มองคนตรงหน้านิ่งขณะที่เอเรียลดูจะจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ก่อนที่ร่างโปร่งจะพึมพำออกมาเบาๆคล้ายรำพึงกับตัวเอง “ตัดสินครั้งสุดท้ายระหว่างเรากับมันสินะ...”

    เทพพิทักษ์ราศีตุลย์ไม่ตอบอะไรนอกจากสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้คนที่ยังคงนั่งอยู่บนเปลเถาวัลย์ เอเรียลมองสบเล็กน้อยคล้ายตั้งคำถามกับการกระทำนั้น

    “เจ้าควรกลับดินแดนสีขาวหลังจากที่เลือกราชันเสร็จสิ้น”

    คิ้วเรียวสวยกดลงทันทีหลังสิ้นประโยคราบเรียบของเธโอมาร์ ก่อนที่ริมฝีปากบางเฉียบจะถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่ต่างกัน “เจ้าจะเดือดร้อนอะไรถ้าข้าไม่กลับ”

    “เจ้าเป็นคนสร้างสายสัมพันธ์พี่น้องภายในเทพพิทักษ์ขึ้นมาเอง คิดจะหันหลังให้มันง่ายๆเช่นนี้น่ะรึ?” ดวงตาสีเทาเกือบดำกรอบแว่นมองอย่างเย็นเยียบแกมไม่ชอบใจ ก่อนจะพูดน้ำเสียงอ่อนลงว่า “กว่าหกร้อยปีที่ผ่านมาไม่ช่วยให้ใจเจ้าเย็นลงเลยเหรอ? ข้า... พวกเราทุกคนไม่ช่วยให้เจ้ารู้สึกดีขึ้นบ้างแม้แต่นิด....เลยเหรอ?”

    คำนั้นทำให้เอเรียลเลิกคิ้วก่อนจะยิ้มมุมปากออกมาราวกับยิ้มเยาะสมเพชอะไรอย่าง นัยน์ตาคู่สวยราวกับมันทอแสงในยามค่ำคืนขณะพูดเสียงเย้ยหยัน

    “สิ่งที่พังไป ถึงจะสร้างใหม่สักกี่ครั้ง มันก็ไม่มีวันเหมือนเดิม”

    “....”

    “เทพพิทักษ์ทุกคนคือพี่น้องของข้า แต่กระนั้นความรู้สึกของข้าที่ให้พวกเจ้ามันน้อยกว่าที่ให้ ‘พวกเขา’ หลายเท่านัก”

    เอเรียลลงจากเปลก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูงแต่กระนั้นก็ต้องเงยหน้ามองเทพพิทักษ์ราศีตุลย์อยู่ดี ดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่บัดนี้เรืองรองและสีของมันค่อยๆเปลี่ยนจนกลายเป็นสีแดงดุจเปลวเพลิงที่ลุกโหมไหม้ก่อนจะว่าต่อเสียงกร้าว

    “พวกมันฆ่าคนสำคัญของข้า! คนที่ข้ารักมากที่สุด! พวกเขาถูกทรมานอย่างแสนสาหัสก่อนตายแล้วเจ้าหวังให้ข้าให้อภัยพวกมันงั้นรึ!”

    “แต่เจ้าก็ไม่ได้ลงมากระทำการอะไร” เธโอมาร์ว่าเสียงเรียบผิดกับอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง เอเรียลเงียบไปกับคำเถียงนั้นก่อนจะยิ้มออกมาบางๆทั้งที่ดวงตายังคงลุกโชน

    “เจ้าจะมาเข้าใจอะไรในการกระทำของข้ากัน?”

    “ข้าเข้าใจว่าเจ้าฆ่าพวกเขาไม่ลง” ร่างสูงยังคงพูดอย่างใจเย็น “เจ้าปลิดชีพพวกเขาไม่ได้”

    “มือข้าเปื้อนเลือดมาแล้ว เธโอมาร์” เอเรียลยังคงยิ้มราวกับมองดูเด็กน้อยๆก็ไม่ปาน ก่อนที่ใบหน้าคมสวยจะฉายแววฉงนเมื่อมือใหญ่สัมผัสที่ใบหน้าของตนอย่างแผ่วเบา

    “ครั้งล่าสุดที่เจ้านอนเมื่อไหร่กัน?”

    “....สามวันก่อน”

    “นั่นเจ้าแค่พักสายตา เจ้าไม่ได้หลับ” คำตอบที่รู้ทันของเธโอมาร์ไม่ทำให้คนถูกถามแสดงท่าทางอะไรออกมาหรือแม้แต่พูดแก้อะไร มือใหญ่เลื่อนลงมาที่แผ่นอกบางตรงตำแหน่งหัวใจ ก่อนที่จะมองเจ้าของของมันที่ดวงตาสีเพลิงฉายแววนิ่งเฉยผิดกับเมื่อครู่ที่กราดเกรี้ยว

    “หัวใจของเจ้า... ให้ข้าช่วยเยียวยาไม่ได้จริงๆงั้นเหรอ?”

    ดวงตาหลังกรอบแว่นบางเฉียบเต็มไปด้วยความอาทร เอเรียลยังคงนิ่งอยู่แบบนั้น แต่เพียงอึดใจร่างโปร่งก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่นจนก้องไปทั่ว ดวงตาสีเพลิงมองยังคนพูดแล้วถามด้วยน้ำเสียงดูแคลน

    “กี่ครั้งแล้วที่เจ้าถามคำถามนี้กับข้า ไม่เบื่องั้นรึ?”

    “....”

    “ต่อให้เจ้าจะถามอีกกี่ครั้ง คำตอบของข้าก็ยังคงเหมือนเดิม” ร่างโปร่งถอยออกมาจากสัมผัสนั้น เปลือกตาปิดลงก่อนจะลืมขึ้นและนัยน์ตาสีเพลิงกลับมาเป็นสีน้ำเงินเข้มสวยตามเดิม เอเรียลหยิบขนนกสีม่วงเข้มเกือบดำออกมาก่อนจะยิ้มออกมาบางๆเมื่อนึกถึงคนที่ให้ขนนกเส้นนี้ แล้วก็อดบ่นถึงคนให้แบบไม่จริงจังไม่ได้ “ชอบมัดมือชกข้าไม่เปลี่ยนตั้งแต่เด็กจนโต”

    “...”

    “แถมยังถามหาเจ้าอีก ข้าควรทำโทษหรือให้รางวัลเขาดีนะ”

    “ตอนที่มาถึงเมืองนี้เมื่อวันก่อนเจ้าก็เอาผลอิกนิลไปให้เขาแล้วไม่ใช่รึไง?” เธโอมาร์เปรย ทำให้เอเรียลปรายหางตามามองก่อนจะพึมพำ

    “จับตามองข้าทุกย่างก้าวจริงๆ”

    “...”

    “ไม่ต้องกลัวว่าข้าจะหนีไปไหน ถ้า ‘สิ่งนั้น’ ใกล้เข้ามาจริงอย่างที่ท่านดีออสว่า ข้าจะฝึกราชันของข้าให้ควบคุมเพลิงให้เร็วที่สุด” เอเรียลแหงนหน้ามองไปยังผืนฟ้ายามราตรีราวกับจะบอกถึงคนที่ตนพูดถึง “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่อยากเป็นเทพพิทักษ์ราศีเพียงใด แต่ข้าก็มีศักดิ์ศรีพอที่จะไม่หนีสงคราม”

    “....”

    “ไว้ข้าจะกลับไป... พร้อมกับเด็กคนนี้”

    มือบางโบกขนนกสีม่วงเข้มเกือบดำในมือไปมา ก่อนที่จะแนบมันกับอก แสงสว่างสีม่วงแผดแสงจ้าออกมา และเมื่อแสงนั้นหายไป ร่างโปร่งของเทพพิทักษ์ราศีธนูก็อันตรธานหายไปเช่นกัน เหลือทิ้งไว้เพียงเทพพิทักษ์ราศีตุลย์ เธโอมาร์มองไปยังเปลเถาวัลย์ที่ว่างเปล่า และเหมือนจะได้ยินเสียงคุ้นหูดังขึ้นในหัวแม้ว่าคนพูดจะไม่อยู่ตรงนี้

    ‘พวกเจ้าไม่ได้สำคัญกับข้าชนิดที่ข้าจะยอมตายแทนได้’

    ..

    ‘สิ่งที่ทำให้ข้าเคลื่อนไหวอยู่นี่ คือแรงปรารถนาที่จะแก้แค้นเท่านั้น หัวใจของข้าได้ตายไปนานแล้ว แล้วเจ้าจะเยียวยามันอย่างไรในเมื่อมันไม่มีล่ะ เธโอมาร์’

    คำถามของเขาที่ไม่ว่าจะถามกี่ครั้ง เอเรียลก็จะตอบกลับมาแบบนี้ทุกครั้ง แต่เจ้าตัวคงไม่รู้ ว่าถ้าไม่มีหัวใจจริง คงไม่ปล่อยให้เป้าหมายของตัวเองลอยนวลมาเป็นร้อยปีเช่นนี้หรอก ทั้งที่เจอคนที่ต้องการล้างแค้นแล้ว แต่เอเรียลก็ยังคงนิ่งเฉยไม่ได้กระทำการอะไรไปมากกว่าการเฝ้ามอง

    “ราศีแห่งอิสระอย่างเจ้า กลับถูกพันธนาการไว้ด้วยความรู้สึกผิดที่เจ้าไม่ใช่ผู้กระทำ”

    ...

    “ไว้ใจข้า หันมามองข้า หัวใจของเจ้า ให้ข้าได้ดูแลมัน...

    ได้ไหม? เอเรียล...”





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×