ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    M E S S A F T E R S T O R M "

    ลำดับตอนที่ #75 : สุริยะเคียงบัลลังค์ 30

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 27
      0
      20 ก.ย. 59



    ตะวันรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นหุ่นแข็งรอบสอง สมองไม่สั่งการราวกับว่ากลายเป็นหุ่นกระบอกให้เขาเชิด เออ!! ใครก็ได้มาช่วยเชิดที!!

    เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น!?!?!

    สิ่งสุดท้ายที่เธอจำได้คือเหวินเจี้ยนขอโทษเธอ เรื่องอะไรไม่รู้แต่เขาขอโทษเธอ แล้วหลังจากนั้น... หลังจากนั้นมันอะไรกันไม่ทราบ!!!

    สติ - กลับ - เข้า - ร่าง - เดี๋ยว - นี้!!

    ฟุบ! โครม!

    เธอจับคอเสื้อของคนเหนือร่างแล้วพลิกตัวให้มาอยู่ด้านใต้ พลางหายใจหอบอย่างคนพยายามตั้งสติ สองมือจับคอเสื้อแน่นแล้วเขย่าอย่างแรงอย่างคาดค้ันและเอาเรื่อง

    “เมื่อกี้แกทำบ้าอะไรลงไปไอ้เหวินเจี้ยน!!”

    ไม่สนมันแล้วว่าจะเป็นองค์ชายฮ่องเต้จักรพรรดิมาจากไหน! แต่เธอต้องการคำตอบ! ตะวันกระชากคอเสื้อแล้วถามเป็นภาษาไทยด้วยท่าทางที่ใกล้สติแตกเต็มที โอเค.. มันแตกไปแล้ว และเธอกำลังพยายามเก็บเศษๆนั่นมาประกอบกันอยู่

    “ผีหมาบ้าเข้าสิงรึไง! แกมีสอง.. ไม่สิ สามบุคลิกใช่ไหม! แกทำไปเพื่ออะไรไม่ทราบ! ฉันไม่ใช่ผู้... โอเค ฉันเป็นผู้หญิง แต่ฉันไม่ได้คุ้นเคยเวลาที่แก.. แก... แกทำอะไรแบบเมื่อกี้!!!”

    Dī de huàyīn gāng luò. (ลดเสียงเจ้าลงหน่อย)

    ฉันจะไม่ฟังแกบ่นภาษาที่ฉันฟังไม่รู้เรื่อง!!!

    “บ้าเอ๊ย!!” เธอสบถออกมาแล้วขยี้ศีรษะตัวเองอย่างหัวเสีย แต่แล้วจู่ๆก็ชะงักไปแล้วมองสภาพตัวเอง แล้วก็ต้องรู้สึกอยากจะอาละวาดพังวังให้รู้แล้วรู้รอด

    เธอนั่งอยู่บนตัวเหวินเจี้ยน!!

    ตะวันกัดฟันกรอดแล้วลุกพรวดออกจากตัวเขาทันที แต่แล้วเมื่อลงมาได้ เธอก็ดึงคอเสื้อเหวินเจี้ยนอีกครั้งแล้ว...

    โป๊ก!!!

    “…ฝากไว้ก่อนเถอะ” เธอกัดฟันบอกก่อนจะปล่อยอย่างแรง พลางกระโดดขาเดียวไปทางประตู เปิดออกแล้วกระแทกปิดดังปังอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

    ตะวันทรุดตัวลงนั่งบนเบาะขณะที่มือหนึ่งกุมหน้าผากตัวเองที่เพิ่งโขกไปกับคู่กรณีที่มันทำให้เธอมึน แต่ความโกรธอายและอะไรเทือกนั้นมันมีมากกว่า 

    อยากจะร้องว้ากออกมาให้วังแตก!!

    “มันเป็นความฝัน มันเป็นความฝัน.....” เธอกล่อมตัวเองแบบนั้น ก่อนจะชะงักไป เมื่อนึกได้ว่าระดับองค์ชายรัชทายาทไม่น่าจะมาทำอะไรแบบนั้นกับเธอที่เป็นผู้หญิงแบบ.... อย่างเนี้ย....

    “หน้าก็ไม่สวย แบนก็แบน เตี้ยก็เตี้ย รึหมอนั่นเมามา?”

    เธอเองก็จำไม่ได้ด้วยว่าได้กลิ่นเหล้าจากเหวินเจี้ยนรึเปล่า แต่ตอนแรกอาจจะปลอบเธอที่สติแตก แต่ตอนหลังอาจจะเมากาวไม่ก็อะไรสักอย่างจนเห็นเธอซ้อนทับกับใครก็ได้

    “ชัวร์ หน้าอย่างฉันเนี่ยนะจะมีคนมาทำแบบนั้นด้วย? แหยะ..”

    หลังจากได้ข้อสรุปกับตัวเองจนโล่งอกและพอจะหายคิดมากได้ เธอก็นึกถึงเรื่องสำคัญเรื่องต่อมาได้ เพราะหลังจากอุบัติเหตุในห้องน้ำนั่น ชุดชั้นในเธอ...... เหวินเจี้ยนเอาไปโยนที่ไหนแล้ว?

    คือที่ว่าคนสมัยก่อนไม่ใส่กางเกงในท่าจะจริง แต่ขอโทษที เธอไม่ใช่คนสมัยก่อน และเธอก็ทนไม่ได้ถ้าจะเดินโทงๆโล่งโจ้งใต้ร่มผ้าไป และอันที่จริงเธอเอาผ้าพันแผลมารัดหน้าอกตัวเองด้วย

    ตอนนี้กี่โมงก็ไม่รู้ คงต้องไปลองเดินหาดูก่อนละมั้ง... แต่หาที่ไหนล่ะ? ถังขยะ? ถังผ้า? รึที่ไหน?

    ตะวันตัดสินใจพยุงตัวขึ้นลุกยืนก่อนจะเดินไปทางห้องน้ำเผ่ือว่าเหวินเจี้ยนจะทิ้งไว้ยังไม่เก็บและให้แม่บ้านเก็บให้ตามประสาพวกคนรวย แต่แล้วก็ผิดคาด เมื่อเดินไปถึงห้องน้ำที่โคตรจะหรูหราในความคิดเธอก็ไม่พบกับผ้าสักผืน

    นี่สรุปเป็นองค์ชายก็ทำอะไรเองเป็นกับเขาด้วย!?

    เธอกุมขมับอย่างปวดหัวขึ้นมากะทันหัน นี่หมายความว่าเธอต้องไปบากหน้าถามเหวินเจี้ยน แล้วเขาจะเข้าใจถึงชุดชั้นในของเธอรึเปล่า เธอต้องซักเพราะมีแค่อย่างละตัว และเธอจะไม่ยอมเป็นแบบคนสมัยก่อนเด็ดขาด!!!

    “เอาวะ... นั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว ตอนนี้ปัจจุบันและอนาคตสำคัญกว่า...” เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเดินตรงกลับไปที่ห้องนอน ซึ่งเหวินเจี้ยนเองแทนที่จะนอนหรืออะไรก็กลับจุดตะเกียงและนั่งอ่านอะไรสักอย่างอยู่ที่โต๊ะกลางห้องนอน เธอมายืนจังก้าอยู่ข้างๆคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กลม

    เอาไงดีให้มันเข้าใจให้คุ้มกับที่เธออุตส่าห์หน้าหนามาถาม

    Xiǎoyáng?

    ตะวันสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อรวบรวมความกล้า คนอื่นอาจจะเห็นว่ามันไม่จำเป็นแต่นี่แหละเรื่องคอขาดบาดตายที่ไม่อยากจะถามผู้ชายที่เป็นเจ้าชาย!

    “คือฉันจะถามว่า....”

    จู่ๆเหวินเจี้ยนก็ยกมือขึ้นห้ามหยุดประโยคของเธอไว้กลางคัน เห็นคิ้วเรียวขมวดมุ่นและใช้นิ้วชี้แนบกับริมฝีปากเป็นเชิงสั่งให้เธอเงียบ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้าอย่างว่าง่ายเพราะเหมือนได้ยินเสียงคนเดินด้านนอกก็พอเข้าใจว่าให้เงียบทำไม ตะวันเดาะลิ้นอย่างเซ็งๆ

    ทำไมนะทำไมต้องมีก้างมาขวางเวลาที่เธอทำใจจะทำอะไรทุกที เพราะนี่เธอทำใจหน้าหนาว่าอาจจะต้องจับภูเขาแบนๆของตัวเองเป็นตัวสื่อว่าเธอต้องการหาอะไร สรุปก็คือทำใจเก้อ!!!



    เหวินเจี้ยนกดคิ้วลงเมื่อรู้สึกว่าได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านนอก ก่อนที่จะหยุดลง และนั่นทำให้เขาถามออกไป “มีอะไรงั้นรึ?”

    “…องค์ชายยังไม่นิทรางั้นรึพะยะค่ะ”

    น้ำเสียงที่คุ้นหูทำให้ต้องถอนหายใจออกมาเมื่อเจ้าของเสียงนั้นคือเหอชินเซียน ข้ารับใช้ส่วนตัวของเขา แต่กระนั้นก็เป็นเรื่องแปลกที่ชินเซียนจะมาป้วนเปี้ยนแถวตำหนักในเพลานี้ จึงอดถามไม่ได้ “เกิดเหตุอันใดขึ้นงั้นรึ?”

    “…กระหม่อมแค่อยากจะแน่ใจว่าองค์ชายทรงปลอดภัยดีพะยะค่ะ”

    ประโยคที่ให้ความรู้สึกไม่ชอบมาพากลนั้นทำให้เหวินเจี้ยนรู้สึกถึงความผิดปกติได้ไม่ยากเย็น “เหตุใดจึงคิดว่าข้าอาจจะเป็นอันตราย?”

    “…มีโจรปล้นบ้านขุนนางถานพะยะค่ะ” ชินเซียนยอมทูลตามความจริง ขณะที่ใบหน้านั้นฉายแววกังวลเล็กน้อยก่อนจะว่าต่อ “เห็นว่าเป็นฝีมือของหลิ่วอี้เฟย”

    “งั้นรึ” ราชนิกูลหนุ่มไม่ได้มีท่าทีอะไรมากมายกับรายงานนั้น พลางถามต่อ “มีแค่นี้ใช่ไหม?”

    “พะยะค่ะ” ชินเซียนรับคำ “ฝ่าบาททรงอยากดื่มสิ่งใดไหมพะยะค่ะ?”

    “ไม่เป็นไร เจ้าไปเถอะ” เหวินเจี้ยนปฏิเสธ “ข้าขออ่านอะไรอีกสักครู่แล้วเดี๋ยวจะกลับไปนอน”

    “รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ”

    เหวินเจี้ยนครุ่นคิดไปถึงสิ่งที่ชินเซียนบอก หากเรื่องมาถึงเช่นนี้แล้วหมายความว่าอนุชาของเขาอาจจะได้เรื่องอะไรที่สำคัญๆ และอาจจะต้องลงมือทำอะไรเสี่ยงๆก็เป็นได้ แต่เขาจะทำอะไรได้ล่ะนอกจากรอเพียงอย่างเดียว

    Wén jiàn

    เสียงเรียกที่เริ่มจะคุ้นชินนั้นทำให้เขาเพิ่งนึกได้ว่าเสี่ยวหยางคล้ายมีเรื่องจะถาม และเมื่อหันมามองก็พบว่าใบหน้านั้นคล้ายกับเด็กถูกขัดใจ แต่กระนั้นนางก็ยังถามเขา “เป็นอะไร?”

    “…ไม่มีอะไร”

    ทันทีที่เขาตอบไปแบบนั้น คล้ายจะเห็นว่าคิ้วของเสี่ยวหยางกดลงหนักกว่าเก่าหนำซ้ำยังจ้องเขม็งอย่างคาดคั้น บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่านางไม่เชื่อสิ่งที่เขาพูด

    “เจ้าจะถามอะไรข้ารึ?” เหวินเจี้ยนเปลี่ยนเรื่อง แต่เสี่ยวหยางก็ยังคงจ้องเขาแบบนั้น อาจจะไม่เข้าใจที่เขาพูดไม่ก็ไม่สนใจที่จะฟัง ก่อนที่นางจะพ่นลมหายใจออกมาแล้วบ่นขมุบขมิบเป็นภาษาที่เขาไม่เข้าใจก่อนจะหันมามองเขาตาขวางอย่างเอาเรื่อง

    … นี่เขาทำอะไรผิดงั้นรึ? 

    “ใครคือหลิ่วอี้เฟย?”

    จู่ๆนางก็ถามคำถามที่ไม่คาดไม่ถึงและให้เขาแปลกใจ แสดงว่านางพยายามฟังบทสนทนาเมื่อครู่ แต่กระนั้นจะให้เขาตอบอย่างไรล่ะว่าหลิ่วอี้เฟยไม่ใช่ชื่อคน แต่เป็นกองโจรที่มีชื่อเสียงและค่าหัวสูงพอสมควร หนำซ้ำนางเองก็ไปอยู่กับกองโจรที่ว่าแล้วด้วย

    ‘ท่านกับข้านั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง ใช่ว่าข้าเกลียดท่าน แต่ท่านไม่มีวันเข้าใจสิ่งที่ข้าเผชิญ ฉะนั้นโปรดอย่าได้เอ่ยคำนั้น’

    ดวงตาของเหวินเจี้ยนเบิกกว้างเล็กน้อยก่อนจะหม่นแสงลง กวงชุนเป็นคนที่ปิดตัวเองออกจากคนรอบข้างเพราะถูกอดีตหล่อหลอม แต่กระนั้นเขาก็รู้อยู่เต็มอกว่ากวงชุนเป็นคนเช่นไรและพยายามที่จะปรับตัวและเป็นที่พึ่งให้สมกับที่เป็นพี่ แต่ยามที่อนุชาของเขาออกจากวังไปนั้น สิ่งที่เขาทำคือการอยู่เฉยๆเท่านั้น...

    แปะๆ

    จู่ๆก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างมาสัมผัสที่ไหล่ เหวินเจี้ยนแหงนหน้ามองสบกับเจ้าของมือที่ตบอยู่ที่บ่าเขา เสี่ยวหยางกรอกตาเล็กน้อยคล้ายกับนึกหาคำพูด ก่อนจะว่า “เอ่อ.. ฉันไม่พูดแล้ว”

    “….”

    “เพราะงั้น.. เอ่อ.... ไม่...ไม่...” คิ้วขมวดเป็นปมหนักกว่าเก่าจนแทบจะชนกันอยู่รอมร่อ ก่อนที่จะทำหน้าเหมือนนึกออกแล้วพูด “ไม่หยุดนะ!!”

    “…..”

    “ไม่หยุดๆ” นางใช้มืออีกข้างจิ้มมาตรงหว่างคิ้วก่อนจะขยี้เล็กน้อยคล้ายว่าจะคลายรอยย่นตรงนั้น ก่อนจะยิ้มกว้างตรงหน้าเขาแล้วบอกอีกครั้ง​ “รักษานะ”

    “….”

    Wén jiàn?

    นางเรียกเมื่อเห็นว่าเขานิ่งเงียบ แต่กระนั้นเหวินเจี้ยนหลุดหัวเราะออกมาจนต้องยกมือขึ้นปิดปากอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะว่า “เจ้าใช้คำผิดนะเสี่ยวหยาง”

    นางขมวดคิ้วก่อนจะชี้ตัวเอง “ฉัน? ทำไมนะ?”

    “จะให้ข้าไม่หยุดอะไรฮึ?” อดไม่ได้ที่จะเย้าแหย่พร้อมกับที่ยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนนางสะดุ้งและถอยกรูดจนเกือบล้ม แต่กระนั้นก็มาพยุงตัวยืนได้ทันก่อนที่เขาจะได้จับไว้หรือนางหน้าทิ่มคะมำ หนำซ้ำยังหันมามองเขาอย่างเอาเรื่องแล้วเรียกเสียงเข้ม “Wén jiàn!!

    “เรียกข้าทำไมรึเสี่ยวหยาง?” เขาว่าพร้อมรอยยิ้มบางๆ นางดูทำท่าทางขัดใจคล้ายกับเหมือนจะหาคำมาตอบโต้เขา แต่กระนั้นสิ่งที่หลุดออกมาก็คือคำสั้นๆที่ฟังคล้ายกับคำสบถอย่างหงุดหงิดและการที่นางแยกเขี้ยวมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์

    “...จะบอกให้ข้าอย่าคิดมากงั้นรึ”

    เขาถาม และนั่นทำให้นางเปลี่ยนสีหน้าจากดูโกรธๆเมื่อครู่เป็นสงสัยทันที แต่กระนั้นเขาก็พูดต่อ “และที่บอกว่ารักษา นั้นหมายความว่าเจ้าบอกว่าข้าอย่าเครียดรึเปล่า”

    เขามองสบเข้าไปในดวงตาสีดำเล็กเรียวของเสี่ยวหยางที่ยังคงมีแววสงสัยสิ่งที่เขาพูด แต่กระนั้นนางก็ดูเข้าใจรึอะไรไม่ทราบก็ได้ เพราะนางยิ้มให้เขาซื่อๆ เดินเข้ามาใกล้ ยื่นมือมาตรงหน้าคล้ายกำลังจะทำอะไรสักอย่างซึ่งเขาเองก็อยู่เฉยเพราะรอดู แต่ทว่า...

    แปะ.. แปะ...

    เสี่ยวหยางชะงักมือนั้นแล้วหันไปมองด้านนอกแล้วทำหน้าเคร่งคล้ายเงี่ยหูฟัง ก่อนที่จะหันมามองเขา แล้วว่าคำสั้นๆ “ฝน!!”

    ...อะไรนะ?

    เขาขมวดคิ้วเพราะไม่เข้าใจคำที่นางว่านั่น แต่แล้วเสี่ยวหยางกลับคว้ามือเขาแล้ววิ่งกะเผลกออกไปด้านนอก ซึ่งเขาที่ไม่ได้ตั้งตัวก็ถูกกระชากไป และพละกำลังที่นางลากเขาทั้งที่ขาเจ็บนั้นทำให้พอจะเห็นเค้าเรื่องที่นางแบกเขา แต่แล้วก็ต้องฝืนแรงที่ถูกดึงที่ข้อมือไว้แล้วถามเสียงดุ “เจ้าจะทำอะไรเสี่ยวหยาง?”

    นางชะงักไปเมื่อเขารั้งข้อมือตนไม่ให้นางดึงต่อ จะไม่ให้หยุดได้อย่างไรเมื่อทางที่นางลากเขาไปนั้นคือทางที่จะออกจากตำหนัก ซึ่งหยาดฝนกำลังหลั่งรินจากท้องฟ้ารัตติกาลและหนักขึ้นทุกที

    อย่าหันกลับมาและเอียงคอมองราวไม่เข้าใจเช่นนั้น!? 

    แต่กระนั้นเสี่ยวหยางก็ยังคงดึงเขาให้ออกไปด้านนอก แน่นอนว่าเขาไม่ยอม ซึ่งนางก็เหล่มามองเล็กน้อยก่อนจะปล่อยมือ พลางกระโดดขาเดียวลงบันไดไป และนางก็พาตัวเองไปอยู่ใต้สายฝนก่อนที่เขาจะห้ามทัน 

    “กลับมาเดี๋ยวนี้เสี่ยวหยาง!” เขาสั่งเสียงดังเพราะต้องตะโกนข้ามเสียงฝน แต่เสี่ยวหยางที่ตามตัวเริ่มเปียกกลับหันมาแล้วส่ายหน้าราวกับรู้ว่าเขาพูดอะไร ไม่ใช่แค่นั้น นางกลับกวักมือให้เขาลงมาด้วยอีกต่างหาก 

    นางคิดจะทำอะไรกันแน่?

    เสี่ยวหยางเริ่มกระโดดโลดเต้นไปใต้สายฝนและร้องเพลงไปด้วย ทำนองที่ไม่คุ้นหูนั้นแต่ก็ยังเป็นทำนองที่เร็วและสดใส มีหลายครั้งที่นางดูจะล้มหรือว่าขากระทบกระเทือนเกินไปจนต้องยืนหยุดอยู่นิ่งๆ เขามั่นใจว่านางต้องเดินกลับมาแน่เพราะว่าแผลนั้นไม่ได้มีผ้าปิดไว้และยังไม่สมควรที่จะโดนน้ำ แต่แล้วสิ่งที่นางทำคือการนั่งลงกับพื้นที่เปียกและแหงนหน้าหลับตาให้ฝนชะล้างใบหน้านั้นไป เหวินเจี้ยนถอนหายใจก่อนจะกลับเข้าห้องเพื่อไปหยิบอะไรบางอย่างมา

    “…?”

    เสี่ยวหยางลืมตามองทันทีเมื่อฝนไม่โดนตัว หาใช่ฝนหยุด แต่เพราะเป็นเขาที่ถือร่มไปถือบังนางต่างหาก แม้นางจะนั่งเหยียดขาข้างที่บาดเจ็บออกแต่นางก็ตัวเล็กพอที่จะอยู่ใต้ร่มโดยที่ไม่ให้ส่วนที่สำคัญเปียก

    “เข้าตำหนักเถอะ เจ้าเปียกหมดแล้ว” เขาจับแขนนางเพื่อที่จะให้นางยืน แขนเสื้อนางเปียกชุ่มจนแทบไม่มีที่ใดไม่เปียกทำให้เขาต้องขมวดคิ้วเมื่อนางอาจจะต้องอาบน้ำอีกรอบ แต่ผลกลับกับกัน เมื่อเสี่ยวหยางกลับหมุนตัวเล็กน้อยมาจับข้อมือเขาแล้วกระชากด้วยแรงที่พอสมควรจนเขาเสียหลักจนล้มลงไป มือข้างหนึ่งรู้สึกถึงน้ำขังที่กระฉอกใต้ฝ่ามือขณะที่อีกมือจับอยู่บนแขนของเสี่ยวหยาง สายฝนโหมลงมาทันทีเมื่อไร้ที่กำบังเพราะร่มนั้นปลิวออกจากมือเขาไปแล้วเพราะความตกใจ

    “เจ้าทำอะไรของเจ้าเสี่ยวหยาง...” เหวินเจี้ยนถามเสียงลอดไรฟันพลางจะยันตัวลุกขึ้นยืน แต่กระนั้นกับโดนจับรั้งไว้ เขาหันไปมองเตรียมจะดุ แต่ว่ากลับชะงักไปเพราะรอยยิ้มซื่อๆของเสี่ยวหยาง นางเอื้อมมือมาใกล้ก่อนที่จะสัมผัสใบหน้า โดยที่ใช้มือข้างหนึ่งเสยผมที่ลงมาปรกหน้าของเขาให้ไปข้างหลังและปัดผมที่แนบลู่ไปกับใบหน้าออก

    “ดีขึ้นไหม?” นางถาม ซึ่งเขาเผลอพยักหน้าไป เสี่ยวหยางยิ้มกว้างออกมาคล้ายจะบอกว่า ‘เห็นไหมล่ะ’ อย่างไรอย่างนั้น นางพูดต่อ “รักษานะ”

    “….”

    “ให้... เอ่อ... นี่” นางรองมือทั้งสองกับสายฝนที่ตก ก่อนจะแปะมือลงมาที่แก้มทั้งสองข้างของเขาแล้วลูบราวกับน้ำฝนที่นางรองเมื่อครู่ชะล้างใบหน้า แล้วว่าต่อ “รักษาเหวินเจี้ยน”

    “….”

    “เหินห่าวนะเหวินเจี้ยน”

    ทั้งที่เมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้วยังได้ยินเสียงฝนที่ตกลงมากระทบสิ่งต่างๆรอบตัวจนเป็นเสียงดัง และความเย็นที่ตกลงมากระทบจนรู้สึกหนาว แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าไม่ได้ยินและไม่รับรู้ถึงมัน สิ่งเดียวที่เขารับรู้คือฝ่ามือเย็นๆของเสี่ยวหยางที่วางอยู่บนแก้ม และสายตาของเขาก็ไม่ได้มองสิ่งใด นอกจากใบหน้าที่ยังคงยิ้มซนๆให้เขาตรงหน้านี่

    “….เข้าตำหนักเถอะ”

    เขาตัดสินใจว่าหลังจากที่เงียบไปนานพร้อมกับที่ชี้ไปที่ตำหนักเป็นตัวบอกใบ้ว่าเขาพูดถึงอะไร ซึ่งครั้งนี้เสี่ยวหยางเอียงคอมองก่อนจะพยักหน้า ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งกระโดดขาเดียวกลับเข้าไปในตำหนักของเขา

    อันที่จริงตากฝนมาแบบนี้คงต้องอาบน้ำใหม่ แต่ยามดึกเช่นนี้มันคงเสียเวลา และเสี่ยวหยางเองก็คงรู้ เพราะนางหยิบผ้าผืนที่ใช้ไปเมื่อตอนค่ำมาเช็ดผมของตน ขณะที่เขาก็เดินไปหยิบชุดใหม่มายื่นให้ก่อนที่จะให้นางเปลี่ยน ส่วนเขาไปเปลี่ยนห้องอื่น และเมื่อกลับมาในห้อง ก็พบว่าเสี่ยวหยางเอนหลังนอนบนที่นอนของตนขณะที่มีผ้ารองที่ศีรษะกันเบาะรองเปียก และนั่นทำให้เขาอดไม่ได้ต้องเดินเข้าไปหาพร้อมเรียกคนที่นอนหลับตาไปเรียบร้อยแล้ว

    “เสี่ยวหยาง”

    และนั่นมีเสียงอื้ออึงครางในลำคอออกมาคล้ายตอบรับ แต่กระนั้นนางก็ยังคงหลับตาอยู่เช่นนั้น ซึ่งทำให้เขาเอื้อมมือไปจับที่ปลายผมที่ยังคงเปียกชื้นก่อนจะว่า “ผมเจ้ายังเปียก เช็ดให้แห้งก่อนแล้วค่อยนอน”

    ครั้งนี้กลับเป็นเสียงอู้อี้งอแงคล้ายจะรู้ว่าเขาบอกอะไร แต่กระนั้นนางก็ยอมยันตัวลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับที่หยิบผ้าที่ใช้รองศีรษะเมื่อครู่มาเช็ดผมตัวเอง จะว่าเช็ดก็ไม่ถูก เพราะนางขยี้และสะบัดอย่างไม่ทะนุถนอมเอาเสียเลยราวกับว่าอยากให้มันแห้งโดยเร็ว และเมื่อเป็นที่พอใจนางก็หาววอด ยิ้มเล็กๆให้เขาแล้วว่า “ลาก่อน (Zàijiàn)”

    “ใช้คำนั้นได้ที่ไหน” เขาอดหัวเราะไม่ได้ ก่อนจะว่าใหม่ “ต้องราตรีสวัสดิ์”

    “ราตรีสวัสดิ์?” เสี่ยวหยางทวน ก่อนที่จะพูดใหม่ “งั้นราตรีสวัสดิ์เหวินเจี้ยน”

    โดยที่ไม่รออะไร นางก็ล้มตัวลงนอนโดยหันหลังให้เขา และเพียงอึดใจก็ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังมาจนเขาอดส่ายหน้าเล็กน้อยไม่ได้ เหวินเจี้ยนเอื้อมมือมาดึงผ้าห่มมาห่มให้ ก่อนที่จะลูบไปยังกลุ่มผมที่ยังคงชื้นเล็กๆ และนั่นก็ทำให้นึกขึ้นมาได้

    นางคงลืมไปแล้วว่าเมื่อไม่ถึงชั่วยามก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น แถมสุดท้ายนางก็ยังปลอบเขาจนได้

    แม้เขาจะไม่แน่ใจว่าทำไมเสี่ยวหยางถึงออกไปเล่นน้ำฝนยามดึกเช่นนั้นแต่ก็พอเดาได้กับสิ่งที่นางพยายามจะสื่อ และนั่นทำให้เขานึกถึงบางสิ่งที่เห็นจากนางจนอดไม่ได้ที่จะโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้จนได้กลิ่นอ่อนๆที่รู้สึกสงบ 

    “…อือ”

    “…”

    เสียงครางในลำคอพร้อมกับที่การพลิกตัวมานอนหงายทำให้เหวินเจี้ยนชะงักไป เพราะตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าเขาคร่อมนางอยู่ จากเมื่อครู่ที่จมูกเขาห่างจากขมับนางเล็กน้อยแต่ตอนนี้มันกลับค้างอยู่เหนือหน้าผากอวบสวยนั่น ความคิดตีกันเล็กน้อยก่อนที่จะกดจมูกลงไปที่กลางหน้าผากของนางเบาๆ

    เพราะสีหน้าของนางยามอยู่ท่ามกลางสายฝน มันเป็นสีหน้าที่ดูราวกับว่าคะนึงหาบางสิ่งที่ห่างหายไปนาน และมันคล้ายกับว่าเพราะนางอยู่ตรงนั้นให้ฝนชะโลมกาย นางได้อยู่ใกล้สิ่งนั้นมากขึ้นแม้จะเพียงแค่ชั่วขณะก็ตาม

    “...ราตรีสวัสดิ์ เสี่ยวหยาง”

    และขอบคุณที่ปัดความเศร้าหมองในใจเขาให้ออกไปและทำให้รู้สึกสงบขึ้นอย่างบอกไม่ถูกนี่ด้วย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×