ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    M E S S A F T E R S T O R M "

    ลำดับตอนที่ #71 : สุริยะเคียงบัลลังค์ 27

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 26
      0
      7 ก.ย. 59









    ‘แกล้อฉันเล่นใช่ไหมเนี่ย’

    ‘เรื่องใหญ่แบบนี้ฉันจะล้อแกเล่นทำไมวะ?’ คนตัวเล็กกว่าขมวดคิ้วก่อนจะว่าด้วยรอยยิ้มที่ภูมิใจเหลือคณา ‘ฉันสอบได้จริงๆ และโค้ชที่ออสเตรเลียก็เลือกตัวฉันแล้ว’

    ‘แกนี่มัน...’ คนเป็นเพื่อนลูบศีรษะที่ซอยสั้นของตัวเองก่อนจะว่า ‘ฉันบอกแกแล้วไงว่าแกเอาจริงแกก็ทำได้ ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องฝีมือแต่ห่วงหัวแก เพราะแกมันขี้เกียจเกินไปโดยเฉพาะเรื่องเรียน’

    ‘เออน่า แกก็ติวให้ฉันจนผ่านทุกทีไม่ใช่เหรอไอ้พิ’

    ‘แต่สอบครั้งนี้ฝีมือแกล้วนๆ’ เพื่อนหนุ่มยังคงให้เครดิต ก่อนจะว่า ‘แกมันฉลาด ฉันรู้ แกเก่งคณิตมันก็ทำให้แกชนะคนหลายคนแล้ว’

    ‘แต่ฉันโง่วิชาอื่นนี่’ คนตัวเล็กกว่ายักไหล่ก่อนจะยืดแขนบิดขี้เกียจ ‘ช่างแม่ง แกต้องเลี้ยงเกมฉันวันหนึ่งตามที่ตกลง’

    ‘ได้’ อีกฝ่ายรับคำขณะผลักไหล่คนตัวเล็กกว่าด้วยแรงไม่เบาก่อนจะว่าต่อ ‘แกก็อย่าลืมละกัน ถ้าแกเล่นเกมแพ้ฉันแกต้องเลิกค้านเวลาฉันเรียกชื่อเล่นแก’

    ‘ทำไม? ทิวมันไม่เพราะตรงไหน? นั่นก็ชื่อฉัน’

    ‘แต่ฉันไม่ชอบ’ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองเขม็ง ‘แกเป็นผู้หญิง ฉะนั้นอย่าทำตัวให้แมนมากไปกว่านี้ ฉันไม่ได้ให้แกใส่กระโปรงแต่งหน้าทาปาก แต่แค่จะเรียกแกว่าตะวัน’

    ‘เออๆ ก็ได้’ คนตัวเล็กกว่ารับคำแบบขอไปทีก่อนจะบ่นอุบ ‘บ่นอย่างกับพ่อเลยเว้ยไอ้ห่าพิพพินนี่’

    ‘ไอ้ตะวัน!!’

    ‘แกยังเล่นเกมไม่ชนะฉันฉะนั้นอย่าเพิ่งสะเออะเรียก!!’

    ‘เดี๋ยวแกก็แพ้’ เพื่อนหนุ่มยักคิ้วให้ก่อนจะว่า ‘พร้อมจะไปกันรึยัง ไอ้ทิวากร’

    ‘มาได้ทุกเมื่อไอ้พิริยะ’ คนตัวเล็กกว่ายิ้มเหี้ยม ‘แกไม่มีวันได้เรียกชื่อเล่นฉันแน่ และถ้าแกแพ้ แกต้องเรียกฉันว่าลูกพี่’

    ‘เออๆ จะอะไรก็เอามา เพราะคนที่หัวเราะที่หลังมันต้องเป็นฉัน! อย่าลืมโทรไปบอกแม่แกด้วยว่าวันอาทิตย์นี้เวลาของแกเป็นของฉัน’

    .

    .

    .

    ตะวันลืมตาตื่นขึ้นท่ามกลางความมืด เธอบิดตัวเล็กน้อยก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่งขณะยกยิ้มเมื่อนึกถึงความฝันที่เคยเกิดขึ้นจริงแล้วอดบ่นไม่ได้ทั้งที่ยังคงยิ้ม “ให้ตายเถอะ ฝันเรื่องอะไรไม่ฝันดันฝันเรื่องไอ้พิ ลางร้ายชัดๆ”

    ลางร้ายสิ เพราะแข่งเกมครั้งนั้นเธอแพ้แบบหมดรูปเลยด้วยซ้ำจนได้เสียงหัวเราะหลอนหูไปหลายวันพร้อมกับเรียก ‘น้องตะวันๆ’ แบบกวนประสาทจากหมอนั่น

    เอาเถอะ ยังไงเธอกับหมอนั่นก็กัดกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่แค่เจ็บใจที่เธอแพ้เท่านั้น

    อดโดนเรียกลูกพี่เลยแม่ง!!

    นี่เป็นคืนที่สองแล้วที่เธอมาอยู่กับเหวินเจี้ยน ไม่ใช่อยู่ธรรมดาแต่อยู่ตำหนักเดียวกับองค์ชายรัชทายาท ซึ่งจากใจ มันสบายกว่าก็จริงที่ได้นอนที่นอนนุ่มๆและมีอาหารกิน แต่มันกลับทำให้เธอฝันถึงเรื่องสมัยมัธยมปลายไปซะได้ เธอหันไปมองออกนอกหน้าต่าง ก็พบว่ามันยังคงเป็นกลางคืนและท้องฟ้าที่ดูปลอดโปร่งจนเห็นดวงดาวก็ทำให้อดไม่ได้ที่จะลุกออกจากที่นอน เธอหันไปมองเจ้าของห้องเล็กน้อย แต่เมื่อพบว่าเหวินเจี้ยนน่าจะยังหลับสนิท จึงเปิดประตูออกจากห้องไปโดยที่พยายามเดินให้เบาที่สุด

    ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งและหมู่ดาวที่เรียงตัวกันสวยงามชนิดที่หาให้เห็นไม่ได้ในเมือง ต่อให้เป็นชนบทก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะเห็นมากมายขนาดนี้รึเปล่า ตะวันทรุดลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมกับเมื่อเช้าและเหม่อมองท้องฟ้าสีกำมะหยี่

    ชักอยากดูดาวเป็นแล้วแฮะ เหมือนพี่....

    เธอชะงักไปเล็กน้อยเมื่อนึกถึงใครบางคนอัตโนมัติเมื่อเหม่อมองท้องฟ้า เธอมองอยู่เล็กน้อยก่อนที่ริมฝีปากจะขยับ

    “Lately, I’ve been, I’ve been losing sleep. Dreaming about the things that we could be…”

    ขาเริ่มแกว่งไกวไปตามทำนองขณะที่ก้มมองผ้าพันแผลที่ขาของตนอย่างไม่ใส่ใจ

    “But baby, I’ve been, I’ve been prayin’ hard”

    สองมือของตะวันประกบมือประสานขณะร้องท่อนนั้น

    “Said no more counting dollars, we’ll be counting stars.”

    มือข้างหนึ่งเหยียดอ้าไปที่ท้องฟ้าราวกับจะคว้าดวงดาวบนนั้นให้ลงมา ก่อนที่จะร้องท่อนสุดท้ายของตอนต้น

    “Yeah we’ll be counting stars…”

    “…นี่แกอยากเป็นนางเอกมิวสิควีดิโอรึอะไรเนี่ยฮะตะวัน เพ้อเชียว” สุดท้ายก็อดหัวเราะออกมาเองไม่ได้ แต่เห็นดาวเยอะแบบนี้ก็ทำให้อดนึกถึงไม่ได้นี่....

    อืม... แกเพ้อจริงๆด้วยตะวัน

    แต่ถึงจะบ่นกับตัวเองแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะร้องท่อนต่อไปของเพลง แม้จะรู้ว่ามันไม่สมควรแต่ใครสน? ทำอย่างกับว่าตำหนักนี้มันจะมีคนอยู่ตอนดึกๆ หรือว่ามันจะมีคนตื่นอยู่มาจับผิดเธออย่างนั้นแหละ

    “โอ้ โอ้ละหนอ น้องรอดี ดี~ เรื่องพรรค์อย่างนี้ต้องใช้เวลา~”

    และเมื่อเริ่มติดลม ร้องเพลงนี้จบไปร้องเพลงใหม่ คิดอะไรได้ก็จะร้อง ท่อนมั่วปนเปกันไปก็ช่างมัน เพราะถ้านึกเพลงอะไรท่อนไหนออกก็ร้องเพลงนั้น และโดยที่ไม่รู้ตัวว่าตนนั้นกำลังตกเป็นเป้าสายตาของใครบางคนอยู่

    เหวินเจี้ยนตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงเพลงคล้ายกับคนร้อง เขาเป็นคนที่ตื่นง่ายอยู่แล้ว อันที่จริงก็รู้สึกตัวตั้งแต่ที่เสี่ยวหยางปิดประตู แต่กระนั้นก็ไม่ได้ลุกหรืออะไร แต่เมื่อได้ยินเสียงร้องเพลงก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นมาดูผ่านหน้าต่าง แม้จะอยู่ในยามวิกาลแต่นางก็ดูเปี่ยมไปด้วยพลังงาน นางร้องเพลงด้วยทำนองที่เร็วสดใสและเปลี่ยนไปเรื่อยๆราวกับหาเพลงที่ถูกใจ ขณะที่ก็ยังโยกเต้นไปบ้างและมีการเดินกระโดดเล็กๆทำให้อดคาดโทษในใจไม่ได้

    เอาเถอะ ตอนนี้นางดูจะมีความสุขในโลกส่วนตัว ปล่อยนางไปก่อนก็แล้วกัน...

    แต่เมื่อเห็นสีหน้านั้นก็ทำให้อดมองไม่ได้ มือเล็กๆของเสี่ยวหยางเอื้อมขึ้นไปบนฟ้าและแสงจันทราเกือบเต็มดวงก็ทำให้เห็นใบหน้าของนางได้ สีหน้าที่ดูเหงาๆและดวงตาที่ดูมองทอดไปไกลแสนไกลนั่นดูจะเข้ากันได้ดีกับบรรยากาศรอบตัวอย่างน่าประหลาด

    นางเป็นคนที่ตื่นเช้า จนเรียกได้ว่าเช้าเกินไป จะว่านอนไม่หลับก็ไม่น่าใช่เพราะเห็นเสี่ยวหยางหลับสนิทตั้งแต่หัวถึงหมอนด้วยซ้ำ

    จะว่าไป.​.. เขาแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนางเลยสักอย่างเดียว

    “องค์ชาย”

    เหวินเจี้ยนหันไปมองระหว่างรับประทานอาหารเช้าอย่างไม่รีบร้อน โดยที่มีเสี่ยวหยางนั่งกินอยู่ที่เก้าอี้กลมเยื้องๆกัน นางดูจะทานมากขึ้นแต่ก็ยังคงเน้นไปที่ผัก อันที่จริงจากการที่ไปกินกันครั้งแรกวันนั้นก็พอรู้อยู่ว่านางเป็นคนที่กินเก่ง โดยเฉพาะมื้อเช้าที่เขากินไม่ค่อยลงเสียเท่าไหร่แต่นางกลับทานอย่างเอร็ดอร่อยและปริมาณมากจนไม่เข้ากับร่างเล็กๆที่แสนเบานั่น

    “ว่าอย่างไรชินเซียน”

    เด็กรับใช้คนสนิทของเขาที่อายุใกล้เคียงกับเสี่ยวหยาง แต่รูปร่างสูงโปร่งและมีความรับผิดชอบสูง รวมถึงเป็นหลานชายคนเดียวของหลินซิน อันที่จริงเขาก็เห็นชินเซียนคล้ายกับอนุชาคนหนึ่งเช่นกัน

    “สิ่งที่องค์ชายประสงค์พะยะค่ะ”

    เหวินเจี้ยนรับม้วนกระดาษมาก่อนที่จะว่าสั้นๆ “ขอบใจมาก ไปได้แล้ว”

    “พะยะค่ะ” ชินเซียนโค้งให้ก่อนที่นัยน์ตาคมตี่จะหันไปมองยังสตรีจำแลง ซึ่งเสี่ยวหยางยิ้มให้ก่อนจะว่า “ยินดีที่ได้รู้จัก”

    “…เช่นกัน”

    ชินเซียนว่าเพียงแค่นั้นก่อนจะเดินจากไป คล้ายจะเห็นริมฝีปากเล็กๆของเสี่ยวหยางขมุบขมิบแต่ก็ยังคงกินต่อ

    “เสี่ยวหยาง” เขาตัดสินใจเรียก ซึ่งนางหันมามองก่อนจะเลิกคิ้วทั้งที่ยังคงเคี้ยวตุ้ยๆ ซึ่งเขาหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะว่าต่อ “เดี๋ยวท่านหมอจะมารักษาเจ้า”

    เสี่ยวหยางขมวดคิ้ว เห็นว่านางรีบเคี้ยวก่อนจะกลืนลงไป และเมื่อกลืนอาหารหมดจึงถาม “ท่านหมอจะมาอะไรนะ?”

    “รักษา” เหวินเจี้ยนย้ำ แต่นางก็ยังดูไม่ค่อยเข้าใจเสียเท่าไหร่แต่ก็พยักหน้า ก่อนที่จะวางตะเกียบพลางว่าชัดถ้อยคำ “ขอบคุณสำหรับอาหาร”

    เสี่ยวหยางเก็บถ้วยชามไว้ด้วยกันก่อนที่จะทำท่าเหมือนจะเก็บ และนั่นทำให้เขาต้องบอก “ไม่ต้องเสี่ยวหยาง”

    “ไม่เอา” นางว่า ก่อนที่จะยกชามขึ้นมาเต็มสองมือถือ นางหันซ้ายหันขวาก่อนจะถาม “ที่ไหน?”

    เหอหลินซินที่เข้ามาพอดีถึงกับอุทานออกมาแล้วรีบเข้ามารับจานทันที “เสี่ยวหยาง! เจ้าทำอะไรของเจ้า?!”

    “เอ่อ...” นางพยายามนึก แต่สุดท้ายก็ยกจานชามสองมือที่ยังไม่ยอมให้หลินซินขึ้นมาแล้วบอกว่า “ไม่... เอ่อ... ช่วย! อยากช่วย!”

    “แต่ขาเจ้ายังไม่หาย” หลินซินว่าพลางถอนหายใจ “เอามาเถอะ เจ้าพักผ่อนให้ขาหายแล้วค่อยว่ากัน”

    เสี่ยวหยางดูท่าจะเข้าใจ นางหน้าหงอยลงก่อนที่จะยอมส่งจานให้กับแม่นมเหอแต่โดยดี พร้อมว่าเสียงเบา “ขอโทษขอรับ”

    “เจ้าจะขอโทษทำไมกัน” แม่นมชราบีบจมูกนั่นเบาๆ “ไว้เจ้าหายข้าจะใช้งานให้หนักเลย”

    สตรีจำแลงเอียงคอมอง แต่กระนั้นก็ยอมนั่งลงแต่โดยดีก่อนที่จะฟุบกับโต๊ะ เขาที่นั่งดื่มชาอยู่ถึงกับสะดุ้งขึ้นมาเมื่อจู่ๆนางก็ลุกพรวดและกลับเข้าไปในตำหนัก

    นางเป็นอะไร?

    “ฝ่าบาท” ชินเซียนเดินข้ามธรณีตำหนักก่อนจะว่า “ท่านหมอหลวงจางจิ้นฝูมาแล้วพะยะค่ะ”

    “งั้นรึ” เหวินเจี้ยนรับคำ ก่อนที่จะยืนขึ้นพร้อมสั่ง “ห้ามให้ใครเข้าใกล้ตำหนัก”

    “พะยะค่ะ” ชินเซียนรับคำโดยง่ายก่อนที่จะเดินออกไปห่างจากตำหนักเช่นเดียวกับสั่งข้ารับใช้คนอื่นๆ หมอหลวงชราเข้ามาพร้อมกับโค้งให้

    “ถวายบังคมพะยะค่ะองค์ชาย”

    “เชิญ” เหวินเจี้ยนผายมือเข้าไปในตำหนัก ซึ่งจิ้นฝูโค้งให้ก่อนที่เดินเข้าไป ซึ่งเสี่ยวหยางนั่งอยู่กับพื้นและคล้ายกับเขียนอะไรบางอย่างบนเก้าอี้บุสีแดงที่นางใช้นอน

    “เสี่ยวหยาง”

    นางหันมาตามเสียงเรียก ก่อนที่จะมีท่าทางเข้าใจแล้วโค้งหัวให้ “อรุณสวัสดิ์ขอรับท่านหมอ”

    จิ้นฝูพยักหน้ารับคำ ซึ่งเสี่ยวหยางเก็บข้าวของของตนก่อนที่จะลุกขึ้นนั่ง หมอหลวงชราจับชีพจร ก่อนที่จะแบฝ่ามือของเสี่ยวหยางออก นิ้วเหี่ยวย่นไล่ไปตามเส้นลายมือขณะคิ้วก็กดต่ำ จิ้นฝูพลิกมืออีกข้างของเสี่ยวหยางดูก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเสียเฮือกใหญ่

    “เป็นเช่นไรบ้างท่านหมอหลวง?” เหวินเจี้ยนถาม ซึ่งคนถูกถามมีสีหน้าคิดหนักก่อนที่จะว่า

    “กระหม่อมขอรักษานางเสียก่อน แล้วจะทูลอีกทีพะยะค่ะ”

    เหวินเจี้ยนขมวดคิ้วอย่างสงสัยก่อนจะพยักหน้า ซึ่งจางจิ้นฝูหันไปเปิดย่ามก่อนจะหยิบแก้วขึ้นมา เสี่ยวหยางดูแปลกใจและดูท่าจะรู้จักแก้วที่เป็นวงอย่างดี แต่แล้วนางก็มีสีหน้าหนักใจเล็กน้อยก่อนจะว่า “ไม่แน่ใจ...”

    “หืม? เจ้าไม่แน่ใจอันใดรึเสี่ยวหยาง?” จิ้นฝูถามก่อนจะชูแก้วขึ้นมาเป็นเชิงถาม “เจ้ารู้จักรึเปล่า ครอบแก้ว”

    เสี่ยวหยางพยักหน้า เหวินเจี้ยนลูบหน้าตัวเองเล็กน้อยก่อนจะบอก “เช่นนั้นข้าจะไปรอข้างนอก”

    “…พะยะค่ะ”

    จิ้นฝูมีสีหน้าหนักใจเมื่อเสี่ยวหยางถกเสื้อขึ้นและล้มตัวนอนคว่ำ มันทำให้หมอหลวงเฒ่าอดพึมพำออกมาไม่ได้

    “เจ้าผ่านอะไรมากันเด็กน้อย...”


    เหวินเจี้ยนที่นั่งอ่านตำรารออยู่หันไปมองเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู จางจิ้นฝูโค้งคำนับให้ องค์ชายหนุ่มลุกเข้าไปหาก่อนจะถาม “เป็นเช่นไร?”

    “…เอาเรื่องใดก่อนดีพะยะค่ะ”

    คิ้วโก่งสวยถึงกับขมวด หมอหลวงชราสูดลมหายใจลึกก่อนจะว่า “เรื่องที่ฝ่าบาทไหว้วานกระหม่อมเมื่อวาน กระหม่อมได้ลองตรวจดูลายมือของเสี่ยวหยางแล้ว เน้นแค่ดวงไม่เอานิสัยนะพะยะค่ะ”

    “เอามาหมดเลยก็ได้”

    “…นางมีบาดแผลทางอารมณ์พะยะค่ะ”

    “อะไรนะ?” แค่ประโยคแรกเหวินเจี้ยนก็ต้องขมวดคิ้ว ซึ่งหมอหลวงควบหมอดูก็ทูลต่อ

    “เส้นหัวใจขาดจากกัน มันหมายถึงว่านางมีประสบการณ์ที่เลวร้ายจากอดีตที่นางจำไม่ลืมพะยะค่ะ”

    “แบบนางน่ะเหรอ...”

    “กระหม่อมไม่แน่ใจว่านางเอาชนะมันได้หมดหรือยังถึงไม่แสดงออกเลย แต่กระหม่อมคิดว่าพระองค์ควรจะรู้ไว้....” จิ้นฝูหยุดไปครู่ก่อนจะว่าต่อ “ช่วงแผ่นหลังของนางตั้งแต่หัวไหล่ซ้ายลงมาจนถึงประมาณเอว นางมีรอยแผลเป็นจากไฟพะยะค่ะ”

    “ไฟไหม้งั้นรึ?” คิ้วเข้มขมวด แต่ก็ดูจะยังไม่จบเพราะหมอหลวงว่าต่อ

    “อีกอย่าง... ก่อนที่กระหม่อมจะพูดต่อ ฝ่าบาททราบวันเกิดของนางหรือไม่?”

    “ไม่ แต่ข้ารู้แค่นางอายุสิบเก้า”

    “หากรู้คงดี...” จิ้นฝูพึมพำก่อนจะทูล “กระหม่อมขอทูลว่าชีวิตของนางมีการเปลี่ยนแปลงกะทันหันจนอาจจะตั้งตัวไม่ทัน แต่ก็เป็นประเภทที่ยอมทิ้งสิ่งที่ตนสนใจไปเพื่อให้ผู้อื่นได้ในสิ่งที่คนๆนั้นสนใจแทน และลายมือนางตัดขาดทั้งสองข้าง บ่งบอกว่าเป็นคนตัดสินใจเร็วและเด็ดขาด แต่ว่า.....”

    “แต่ว่าอะไร?”

    “...นางอาจจะมีเรื่องที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตได้พะยะค่ะ”

    “!?” เหวินเจี้ยนถึงกับเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนที่จะถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิวจนแทบไร้น้ำหนัก “มีทางป้องกันหรือผ่อนหนักเป็นเบาหรือเปล่า?”

    “ฝ่ามือนางบ่งบอกถึงการมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ฉะนั้นกระหม่อมนึกได้เพียงแค่ให้นางสวดภาวนาพะยะค่ะ” จิ้นฝูโค้งให้ ก่อนจะขอตัวไปดูเสี่ยวหยางที่ฝังเข็มและครอบแก้วทิ้งไว้ ปล่อยให้ราชนิกูลหนุ่มเหม่อมองออกไปไกล บรรยากาศสบายๆรอบกายดูไม่ช่วยให้ใจนั้นสงบลงเลยแม้แต่น้อยเห็นได้จากสีหน้าที่เคร่งเครียด

    อุบัติเหตุ? หรืออะไรที่จะทำให้เสี่ยวหยางถึงตายได้? หรือการที่นางชอบทำอะไรสิ้นคิด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็ที่กระโดดเข้าไปช่วยเด็กตัดหน้าม้า เขายกมือหนึ่งขึ้นมาปิดหน้าเพื่อหาทางป้องกันอย่างที่สุด

    เขาต้องมัดนางไว้กับตำหนักเลยหรือไรถึงจะทำให้นางปลอดภัยได้



    ตะวันเอ่ยขอบคุณหมอแก่ที่ช่วยครอบแก้วและฝังเข็มให้ แม้ฝังเข็มจะไม่ใช่ครั้งแรกแต่ครอบแก้วดูดพิษนั้นเคยเห็นแต่ไม่เคยทำ ไม่อยากบอกว่าสบายสุดๆจนอยากจะทำอีกทั้งตัว อันที่จริงเธอไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ด้วยซ้ำเพราะหลังเยินขนาดนั้น

    แต่เอาเถอะ เธอก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นความลับหรือเรื่องที่ไม่น่าจดจำอะไรอยู่แล้ว และเธอไม่ได้คิดว่ามันเป็นสิ่งคนอื่นไม่ควรเห็นด้วย

    แต่คือเวลามีคนเห็นก็จะอยากรู้ไง และเธอขี้เกียจเล่าหรืออธิบายเพราะได้ติดลมยาวแน่

    เธอรู้อยู่แก่ใจว่าหมอคนนั้นคงอยากจะถามเต็มแก่ เผลอๆอาจจะไปถามเหวินเจี้ยนก็ได้ว่ารู้เรื่องรึเปล่า... เฮ้ยเดี๋ยวนะ ถ้าหมอไปถามเหวินเจี้ยนแล้วหมอนั่นไม่รู้ กลับกันเหวินเจี้ยนก็ต้องถามหมอแน่ว่าหลังเธอมันทำไม...

    โอ๊ย เหวินเจี้ยนยิ่งดูขี้สงสัยแล้วเป็นพวกต้องการคำตอบด้วย จะมาถามไหมเนี่ย!? คิดแล้วเหมือนตงหานเป็นบ้า!

    จะว่าไป หมอนั่นเป็นไงบ้างนะ? หายไปเลยบอกสักคำก็ไม่มี นี่ไม่อยากให้เธอตอบแทนบุญคุณขนาดนั้นเลย?

    Xiǎoyáng

    ตะวันหันไปมองก็พบว่าหมอชรายื่นกระปุกสีเขียวแก่กระปุกหนึ่งให้เธอ ซึ่งเธอขมวดคิ้วแต่ก็รับมาแต่โดยดี แม้จะสงสัยว่ามันคืออะไร และเมื่อเปิดออกก็น่าจะเป็นยา

    รู้สึกเอียนยา... แต่มันคือยาอะไรล่ะ?

    Wèi nǐ de bèibù. (สำหรับหลังเจ้า)

    หมอแก่ชี้ไปที่หลัง และนั่นทำให้เธอยิ่งสงสัย แก้ปวดเมื่อยหรืออะไร? จะว่าทาที่แผลเป็นเธอก็ไม่น่าใช่เพราะว่ามันก็ไม่น่าจะช่วยอะไรแล้ว เขาเตรียมจะลุกขึ้นและน่าจะลาเพราะเธอเห็นเขาโค้งลาเหวินเจี้ยน แต่แล้วเธอกับรั้งไว้ก่อน

    “อีเซิง”

    และเมื่อเขาหันมามอง เธอก็ทำท่าลูบตัวขัดตัวแล้วมองอย่างสงสัย ใช่ เธอถามว่าเธออาบน้ำได้ไหม... คือมันเหนียวตัวอยากอาบมาก..... แต่ก็ติดที่ขาเธอเนี่ยแหละ

    คล้ายจะเห็นคิ้วที่เป็นสีขาวเลิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะพยักหน้า แต่กระนั้นก็ชี้มาที่ขาเธอแล้วส่ายหน้า ซึ่งเธอก็พยักหน้าเข้าใจและกล่าวขอบคุณขณะอดคิดไม่ได้ว่าหมอคนนี้ดูท่าจะคุยภาษาใบ้กับเธอรู้เรื่องมากกว่าเหวินเจี้ยนอีก

    สรุปคืออาบได้แต่ขาไม่ให้โดนน้ำสินะ... เดี๋ยวหาผ้าไม่ก็ถุงพันก็แล้วกัน

    ไปอาบไหนดี? ปกติเขาอาบน้ำที่ไหนยังไง? แต่แล้วความคิดทุกอย่างก็โยนทิ้งไป ยืมห้องอาบน้ำเหวินเจี้ยนละกัน!! เดี๋ยวค่อยไปอาบตอนเย็นๆดึกๆเวลาที่ไม่ค่อยมีคน

    สาธุเพี้ยง... จะต้มน้ำแช่อาบให้สบาย... เหวินเจี้ยนไม่ว่ามั้งถ้าเธอจะยืมห้องอาบน้ำสักหน่อย ขอให้มันหรูแบบที่เธอคิดเถอะ!

    Xiǎoyáng

    เธอออกจากความคิดตัวเองก็พบว่าครั้งนี้เป็นเหวินเจี้ยนที่เรียก แต่แล้วสีหน้าที่เห็นก็ทำให้ขมวดคิ้วงง

    หน้าเคร่งๆนั่นอะไร? จะไม่ให้เธออาบน้ำเหรอ?

    “เอ่อ... กลางคืนนี่มันอะไรนะจำไม่ได้” เธอพึมพำกับตัวเองด้วยความเคยชินเพราะจำไม่ได้ แต่เหวินเจี้ยนกลับไม่พูดอะไร นอกจากคลายคิดที่ขมวดลงและถอนหายใจอย่างแผ่วเบายาวก่อนที่จะ... ลูบหัว?

    เรื่องอะไรอะ?

    แถมไม่พูดอะไรอีกต่างหาก เพียงแค่นั่งลงและลูบหัวเธออยู่แบบนั้น ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือเปล่า นอกจากที่ริมฝีปากของเหวินเจี้ยนดูยกยิ้มบางแบบอ่อนโยนแล้ว สายตามันยังดูจะสื่อถึงอะไรสักอย่าง

    สงสารเหรอ?

    เธอหรี่ตามองอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก ก่อนที่จะเอื้อมมือไปจับข้อมือที่กำลังวางอยู่บนหัวเธอแล้วส่ายหน้า พร้อมกับว่าเสียงเบาที่พอได้ยินกันสองคนและเอื้อมมือไปแตะหลังตัวเอง

    “ถ้าเรื่องหลังฉัน ไม่ต้องสงสารหรอกนะ ยังไงมันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว”

    แม้จะคนละภาษา แต่เธอก็พยายามอย่างยิ่งที่จะสื่อผ่านการกระทำ ตะวันเงยหน้ามองเหวินเจี้ยนที่มองเธออยู่ก่อนแล้วก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “ไว้ฉันพูดจีนคล่องกว่านี้ ฉันจะเล่าให้ฟัง แต่ก่อนอื่น...”

    จากยิ้มเล็กน้อยบางเบาเปล่ียนเป็นยิ้มกว้างยิงฟัน ตะวันตบบ่าองค์รัชทายาทแบบไม่สนใจอะไรพร้อมกับว่า “ขอฉันยืมห้องน้ำนายใช้หน่อยนะตอนเย็น จะอาบน้ำ”

    เธอทำท่าถูตัวประกอบ เหวินเจี้ยนขมวดคิ้วก่อนจะถอนหายใจออกมา ใบหน้านั้นมีสีหน้าครุ่นคิดแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ไม่รู้ไม่สน เธอถือว่าเขาอนุญาต!! ต่อให้ไม่อนุญาตก็จะใช้!!

    ตัวเหม็นเน่าอย่างกับซากศพแล้วโว้ย!! มานี่ยังไม่ได้อาบน้ำดีๆสักครั้งนอกจากโดนน้ำสาด นี่อีแร้งจะมาจิกกินเนื้อได้แล้วมั้งเนี่ย!!




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×