ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    M E S S A F T E R S T O R M "

    ลำดับตอนที่ #66 : สุริยะเคียงบัลลังค์ 22

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 21
      0
      26 ส.ค. 59










    อยากจะบ้าโว้ย!!!

    เธอเห็นตงหานเลิกคิ้วมองเธอที่ไอเป็นบ้าเป็นหลังจนต้องมองเขม็งอย่างเอาเรื่อง ไอ้สายตาที่เหมือนกับจะถามเธอว่า ‘แปลกเหรอที่ถาม’ มันทำให้อยากจะกัดลิ้นตายไปให้รู้แล้วรู้รอด!

    ครั้งแรกในชีวิตเลย.. ปกติแค่มีแฟนรึยัง นี่อะไร? แต่งงานรึยัง? พ่อxxxสิ

    “เฮ้อ มันคงเป็นปกติสินะสำหรับผู้หญิงยุคนี้” เธอพ่นลมหายใจออกมายาวเพื่อกับสะกดอารมณ์ ก่อนจะว่า “สมัยฉันเขาแต่งงานกันช้าจะตาย บางคนก็สามสิบสี่สิบยังมี แต่ก็ยังมีพวกที่มีลูกเร็วนะ”

    “แล้วเจ้ามีรึยัง?”

    เธอหันไปมองเขาเขม็งอีกรอบก่อนจะแยกเขี้ยวใส่ นี่ก็ยัดเยียดจริงเว้ยเฮ้ย!“ยัง! ฉันยังไม่เคยมีแฟน (boyfriend) เลยเถอะแล้วจะเอาลูกมาจากไหนไม่ทราบ!”

    “เจ้าไม่เคยมีสหายเป็นบุรุษงั้นรึ?”

    boyfriend โว้ย… ไม่ใช่ boy friend โอ๊ย……. เธอกุมขมับก่อนจะพยายามหาคำอธิบาย “คือ.. เอ่อ.. นายรู้จักคำว่าคนรัก (lover) ไหม?”

    ตงหานพยักหน้า ก็ยังดีวะ เธอถอนหายใจก่อนจะอธิบาย “สมัยฉันมันไม่มีแต่งทางการเมืองแล้ว ยิ่งประชาชนธรรมดาอย่างฉันด้วย ฉะนั้นก็เหมือนกับว่าก็แค่คบหาดูใจ (going out) กันเฉยๆ” แต่แล้วเธอก็นึกขึ้นได้จึงพูดเสริม “เอ่อ going out นี่ฉันหมายถึงว่าเป็นคนรักกันนะ ไม่ใช่ออกไปข้างนอก”

    เผื่อมันจะเข้าใจผิดอีก

    “แล้วเจ้ามีรึยัง?”

    เธอขมวดคิ้วเมื่อโดนถาม สรุปนี่คือคำถามว่าเธอมีแฟนรึยังเหรอ? ไม่น่าเชื่อแฮะว่าอย่างตงหานจะสนใจเรื่องของเธอด้วย แต่ช่างเถอะ อาจจะถามเป็นมารยาทเธอจึงตอบตามจริง “ฉันยังไม่มี”

    “…”

    “นายมีน้ำรึเปล่า?” จู่ๆเธอก็เปลี่ยนไปอีกเรื่องเป็นครั้งที่สอง เขาหรี่ตามองก่อนจะยื่นกระเป่าอะไรสักอย่างมาให้ เธอเปิดดื่มโดยไม่คิดอะไรก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วบ่น “นี่ฉันต้องกินยานรกนั่นอีกแล้วเหรอเนี่ย”

    เขาไม่ได้พูดอะไรตอบและนั่นทำให้เธออดบ่นงึมงำกับตัวเองไม่ได้ แต่ก็ยอมรื้อของในย่ามออกมาเพื่อหายา และเมื่อกินยานรกนั่นไปได้พร้อมตามด้วยน้ำอึกใหญ่ เธอถอนหายใจออกมาอย่างรู้สึกว่าพ้นนรกไปอีกขุม แต่แล้วจู่ๆก็มีอะไรสักอย่างโยนมาตรงหน้าเธอ และเมื่อเธอหันไปมองอีกฝ่ายก็มีเพียงคำสั้นๆ “ของเจ้า”

    “ให้ฉันเหรอ?”

    ตงหานกรอกตาเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า มันคือย่ามสีกรมท่า เธอค้นข้างในก่อนที่จะเบิกตากว้างแล้วว่า “มีเสื้อผ้าที่นายซื้อให้ฉัน ซักแล้วด้วย! แล้วก็รองเท้าสาน น่าใส่แฮะ หืม?” เธอเหมือนจะเห็นอะไรแวบๆแล้วก็ต้องอุทานออกมา “นี่มันรองเท้าฉัน!!” นางหันมามองพลางชูให้ดูแล้วถาม “นายคืนให้ฉันเหรอ?!”

    “ห้ามใส่” เขาสั่ง ก่อนจะยักไหล่ “ถ้าเจ้าถูกจับได้เพราะมันก็หาทางเองก็แล้วกัน”

    เธอแลบลิ้นใส่คำยั่วยุของนั่น ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อไปเจออะไรสักอย่าง เมื่อหยิบขึ้นมาดูแล้วก็หันมามองเขาเขม็งจนตงหานต้องถาม “มองข้าแบบนั้นทำไม”

    “คิดยังไงเอามาคืนให้ฉัน?” เธอหรี่ตามองก่อนจะถามพูดทีเล่นทีจริง “ไม่กลัวฉันใช้ปาดคอนายรึไง?”

    คล้ายจะเห็นว่าตงหานเลิกคิ้วราวกับว่าเธอถามเรื่องประหลาดสุดๆ ก่อนที่จะตอบ “เจ้าไม่ใช่นักฆ่า เจ้าทำไม่ลงหรอก”

    เธอยักไหล่ “ก็จริง”

    “…ถ้าหากว่าเจ้าตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องฆ่า เจ้าจะทำได้รึเปล่า?”

    ตะวันหันไปมองคนถามทันทีพลางขมวดคิ้วเมื่อโดนถามคำถามแปลกในความคิดของเธอกลับ “ทำไมจู่ๆถามแบบนั้นล่ะ?”

    “….”

    “ถามตอนนี้ ฉันไม่รู้หรอก” เธอก้มมองกริชในมือก่อนจะว่าต่อ “ฉันไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์นั้น ฉะนั้นฉันไม่รู้”

    “สถานการณ์แบบไหนล่ะที่เจ้ามองหา” ตงหานเว้นไปครู่ก่อนจะว่าต่อ “หากการที่เจ้าโดนพวกข้าล้อมจับในครานั้น ข้าสั่งจับตาย และข้าตั้งใจจะฆ่าเจ้า ตอนนั้นเจ้ามีความคิดที่จะฆ่าข้าก่อนที่จะถูกฆ่ารึเปล่า?”

    “ไม่มี”

    “ทำไม?”

    มันแปลกนักรึไงวะ!! อย่ามองฉันเหมือนเป็นของแปลกที่สุดในโลกแบบนั้นสิโว้ย!!

    “ฉันบอกแล้วไงว่าฉันวัดดวงกับตัวเองทั้งวัน” เธอจิ๊ปากหมั่นไส้ก่อนจะถอนหายใจเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “และฉันก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่ามัน dead end”

    “เจ้าตอบข้าไม่ตรงคำถาม เสี่ยวหยาง”

    “ฉันรู้ ฆ่าก่อนที่จะถูกฆ่าใช่ไหมล่ะที่นายหมายถึง และทำไมฉันถึงไม่ทำ” เธอยกมือยอม ตะวันเอียงคอครุ่นคิดเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจเพราะยอมแพ้และสั่นหน้า “ไม่รู้ ฉันไม่รู้ตัวเองจะทำได้รึเปล่า และตอนนั้นฉันไม่มีความคิดจะฆ่านาย ฉันบอกแล้วไงฉันแค่จะหนีเท่านั้น ฉะนั้นเกมของฉันคือหนีหรือถูกจับ ไม่ได้เล่นอะไรมากกว่านั้น” จู่ๆเธอก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้และหันมาถามเสียงจริงจัง “นายจะเอาฉันไปขายเหรอ?”

    เอาอีกละ... ตงหานขมวดคิ้วมองเธอเหมือนเธอถามอะไรแปลกๆอีกละ.. ก็มันจริงไหมล่ะ! เธอเป็นนักโทษนะ! หมอนี่จะเอาเธอไปปล่อยที่ได้ก็ได้!

    “อย่างเจ้าจะขายได้ราคารึ?” เขาพูดก่อนจะไล่สายตามองใบหน้า “หน้าไม่สวย”

    “…”

    ไล่ต่ำลงมา “รูปร่าง... แบน ไม่เย้ายวน”

    “…”

    ก่อนที่จะมองภาพรวมแล้วว่า “ซ้ำยังกระโดกกระเดกราวกับบุรุษ ไร้ซึ่งมารยาและการเอาอกเอาใจ อย่างเจ้าขายไม่ได้หรอก”

    จ้ะ... สรุปคือเธอไม่สวยอึ๋มหุ่นเช้งกระเด๊ะ แต่มันก็มีทางอื่นนอกจากขายซ่องไม่ใช่รึไง!

    “หรือจะขายฉันเป็นทาส?”

    “นายทาสคงปวดหัวกับเจ้าน่าดูเพราะเจ้าฟังคำสั่งเขาไม่รู้เรื่อง ไม่ก็เจ้าคงโดนเฆี่ยนตายตั้งแต่วันแรก”

    เธอก็ว่างั้น... แต่สิ่งที่เขาพูดมันตีความหมายได้อีกแบบหนึ่งด้วย “งั้นหมายความว่านายจะไม่ขายฉันเหรอ?”

    ตงหานไม่ได้ตอบอะไรแต่กลับยักคิ้วใส่ เธอมองแรงแล้วตะโกนใส่ทันที “ทำแบบนั้นคืออะไรน่ะหา!? ไม่ขายตอนนี้แต่อีกหน่อยไม่แน่รึไง!!”

    เขาถอนหายใจออกมาเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ ก่อนจะยื่นยาเม็ดให้สองเม็ดจนเธองง “อะไรอะ?”

    “ยา”

    เอีะไอ้นี่...

    “ฉันรู้ว่ามันเป็นยา ตาฉันสั้นแต่ยังไม่บอด” เธอเหล่มองก่อนจะว่าต่อ “ฉันหมายถึงมันเป็นยาอะไร”

    “ข้าไม่วางยาพิษเจ้าหรอก” ตงหานมองเชิงสั่ง “กินไปซะ มันจะช่วยให้แผลเจ้าเจ็บน้อยลง”

    บอกแค่นั้นแต่แรกก็จบ ดีเป็นยาเม็ดด้วย เธอรับมาก่อนจะตบเข้าปากพร้อมน้ำ เธอบิดขี้เกียจเอนหลังพิงกับต้นไม้ใหญ่ที่ให้ความรู้สึกน่านอนมาก และเธอคิดแบบนั้นก็ยกมือปิดปากหาววอด

    ง่วงจริงๆแล้วนะเนี่ย ทำไมจู่ๆง่วงแบบนี้วะ เมื่อคืนนอนดึกไปรึไงกัน?

    .

    .

    .

    เมื่อนึกถึงตรงนี้ทำเอาเธอกัดฟันกรอด ไอ้ตงหานวางยานอนหลับเธอแน่! ถ้าไม่วางยานอนหลับแล้วทำไมต้องจับเธอมัดกับต้นไม้แบบนี้ด้วยวะ!!

    มัดไพล่หลังยังดีกว่าเพราะยังหาทางกระดึ๊บไปเอากริชในย่ามนั่นได้ แต่มัดแน่นโดยที่ขาเธอลอยจากต้นไม้แบบนี้ บอกทีซิว่าเธอจะออกไปจากตรงนี้ยังไง!!!

    “ชิ บอกว่าอย่าทิ้ง ไปไหนให้ปลุกด้วยก็ไม่ปลุก...” เธอนิ่งไปนิดก่อนจะนึกขึ้นได้

    นี่มันนัดพ่อค้าทาสหรือแม่เล้ามาเอาตัวเธอรึเปล่าวะเนี่ย!!

    ใช่แน่ๆ... ถึงได้ไม่ตอบตอนที่เธอถามว่าจะขายเธอรึเปล่า มันหมายความว่าจะช้าหรือเร็วเธอก็ต้องโดนขายอยู่ดีสินะ!!

    “ฝากไว้ก่อนเหอะมึ๊งงงงง แค้นนี้ชำระแน่” เธอเข่นเเขี้ยวเคี้ยวฟัน

    แต่แค่ชาตินี้พอ ถ้าไม่เจออีกชาติหน้าอโหสิกรรมให้พร้อมหนี้เก่าทั้งหลายแหล่ก็แล้วกัน!!

    เสียงม้าที่ควบมาทำให้เธอมองไปทางที่ได้ยินแล้วก็ต้องเบะปาก หมอนี่นัดคนให้มาเอาตัวเธอจริงๆด้วย

    ผู้ชายแบบนี้... นายหน้าค้าทาสแหงม...

    เธอมองม้าที่เข้ามาใกล้เรื่อยแล้วก็ต้องยิ่งเพ่งมองให้ถนัด และเมื่อมาหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมที่คนขี่มันถอดหมวกที่ดูคุ้นตานั่นออก มันทำให้เธออ้าปากค้าง

    นายหน้าค้าทาสหน้าคุ้นเป็นบ้า?! นอกจากไปจมน้ำเล่นแล้วยังหาทาสขายเป็นงานอดิเรกด้วยรึไง?!


    “ใบหน้านั่นอะไรกัน? น่าขันเป็นบ้า ฮ่าๆๆๆ”

    “…”

    “อะหือชี้หน้าอีกแล้ว นางไม่กลัวตายจริงๆ หึหึ”

    “เจ้าจะหุบปากได้รึยังซิ่นสือ”

    หลังจากที่ทนฟังเสียงที่รู้สึกบาดหูนั่นมานานพอสมควรก็อดไม่ได้ที่จะสั่ง แต่คนโดนสั่งกลับไม่กลัวพลางพูดต่อราวกับไม่ได้ยิน “ตอนแรกยังดูบ่นแค้นที่โดนมัดกับต้นไม้ แต่สีหน้านางมันก็ดูน่าขันมากกว่าจะให้โกรธ แถมเปลี่ยนไปเรื่อยอีกต่างหาก อ่านง่ายราวกับตำราเลยแฮะ”

    ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจปล่อยให้สหายพูดไปตามแต่ต้องการ สายตามองไกลๆนั้นเห็นว่าคนตัวเล็กกว่าหันซ้ายขวา ทำท่าทำทางสนทนากับคนตัวใหญ่กว่าเป็นระยะๆ แต่เมื่อดูไม่มีอะไรเป็นพิเศษก็ดึงม้าเตรียมจะไปอีกทางจนซิ่นสือท้วง “จะไปแล้วรึตงหาน”

    “แล้วข้าจะรออันใดอีก?”

    “ก็ไปได้ตั้งนานไม่ไป แต่กลับรอให้มีคนมานี่” ซิ่นสือชักม้าตามขณะอดเหลียวหลังไปมองไม่ได้ “นางจะไม่เป็นไรแน่รึ?”

    “แล้วจะให้เป็นอะไร” เขาถามกลับก่อนจะบังคับม้าให้เดินไปอีกทาง “เอาตัวรอดได้ขนาดนั้นเดี๋ยวก็หาทางไปได้เอง”

    “แต่นางไม่รู้ภาษาเรา”

    “ข้าสอนไปบ้าง ถึงอย่างไรเขาก็คงสอนอยู่ดี” ตงหานตอบกึ่งรำคาญ “ไปได้แล้ว เสียเวลามาเกินควร”

    “มันก็เป็นเพราะเจ้าทั้งนั้นเลยไม่ใช่รึไง?”

    ตงหานไม่ตอบอะไรซึ่งซิ่นสือก็ขี้คร้านจะเค้นคอ ได้ยินเสียงถอนหายใจลอยมาพร้อมกับคำบ่น “เจ้ามันไม่ยอมรับตัวเอง”

    ‘ยอมรับตัวเองได้แล้วน่า ฮุฮุ~’

    ประโยคเดียวกันแต่คนละคนเอ่ยแทบจะซ้อนทับมา เขาไม่ตอบอะไรนอกจากยังคงบังคับม้าให้ออกห่างจากสถานที่ตรงนั้น

    จะให้ยอมรับอะไร...

    หลังจากที่ให้นางกินยา เขาก็มองสตรีจำแลงที่ดูจะออกอาการง่วงอย่างเห็นได้ชัดทั้งที่เวลาผ่านไปไม่นาน ซ้ำดูจะเริ่มไถลตัวไปกับต้นไม้ นางปรือตามองเขาก่อนจะถาม

    “เราจะไปไหนกันรึเปล่า?”

    “นอนไปซะ” เขาว่าแกมสั่ง แต่กระนั้นคนง่วงกลับคลานมาอยู่ตรงหน้าแล้วมองเขาตรงๆจนต้องอดถามไม่ได้ “อะไร”

    เสี่ยวหยางยิ้มกว้างออกมาจนตาหยี ก่อนที่นางจะบอก “ขอโทษ ที่วันนี้ฉันทำตัวงี่เง่า แล้วก็ขอบคุณนะ ที่เป็นห่วง”

    “ข้าไม่ได้ห่วงเจ้า”

    นางเอียงคอมองก่อนจะหัวเราะออกมา “มีคนเคยบอกไหมว่านายซึนอะ?”

    “ซึน?”

    “ปากไม่ตรงกับใจไง” เสี่ยวหยางฉีกยิ้มให้เขาอีกครั้งพร้อมว่าเสริม “นายชอบทำตัวเหมือนคนใจร้าย ทั้งที่ใจดีขนาดนั้น นั่นแหละซึน ยอมรับตัวเองได้แล้วน่า ฮุฮุ~”

    “….”

    “โอ๊ย.. ฉันง่วง” นางปิดปากหาวอีกครั้งก่อนที่จะว่าเสียงเบา “ไว้ฉันจะหาอะไรมาตอบแทนความใจดีของนายให้ได้”

    “….”

    “อย่าทิ้งฉันนะตงหาน”

    !!

    “ปลุกฉันด้วย อนุญาตให้ตบหัวหรือจับทุ่มก็ได้...”

    นางนอนคว่ำไปกับพื้นหญ้าก่อนจะใช้แขนตัวเองต่างหมอน คล้ายจะได้ยินเสียงพึมพำแต่เพียงอึดใจ ลมหายใจสม่ำเสมอก็เข้ามาแทนที่บ่งบอกว่ามีคนเข้าสู่นิทรารมณ์ไปแล้ว เขาลองสะกิดนางแต่ก็ไร้ปฏิกิริยาจนต้องอดบ่นในใจไม่ได้

    อันที่จริงเขาไม่ต้องวางยานางก็ได้กระมังหากหลับง่ายปานนี้ ซ้ำยาดูออกฤทธิ์เร็วกว่าที่เขาคิดมากด้วย

    ใบหน้าที่หลับพริ้มอย่างสบายใจนั่นทำให้เขารู้สึกหมั่นไส้จนต้องเอื้อมมือไปดีดหน้าผากเหม่งหลังผ้าคาดด้วยแรงไม่เบานัก นางเพียงแค่ครางอื้ออึงออกมาคล้ายรำคาญก่อนจะพลิกตัวตะแคงข้างหนี เขาแหงนมองเพื่อกะเวลา มันยังมีพอสมควรกว่าคนที่เขานัดจะมา

    “เป็นอะไรไปตงหาน?” ซิ่นสือทักเมื่อจู่ๆอีกฝ่ายหยุดม้า เขาส่ายหัวก่อนจะดึงม้าให้ออกนำโดยที่ไม่สนใจสายตาสงสัยที่มองมา

    “…ตอบแทนงั้นรึ?”

    เขายกมือขึ้นลูบริมฝีปากตัวเองก่อนที่มุมปากจะยิ้มออกมาบางเบากับตัวเองจนแทบมองไม่เห็น

    สัมผัสที่ยังคงแจ่มชัดเมื่อมันประทับลงบนแก้มนั่นราวกับพิสูจน์ความนิ่มที่นางเคยใช้มันไซร้ไปกับฝ่ามือของเขา...

    และเพราะระยะที่ใกล้ขนาดนั้น มันทำให้เขาได้กลิ่นจางๆออกมาจากกายเล็กๆของนาง กลิ่นที่ครั้งหนึ่งเคยได้สัมผัสยามที่เขาทดสอบนางเมื่อวาน และนั่นพาลให้นึกถึงใบหน้าขึ้นสีนั่น

    ถึงจะมีนิสัยและฝีมือคล้ายบุรุษมากเพียงใด แต่เสี่ยวหยางก็คือสตรี... ที่ยังคงอ่อนต่อโลก

    นางไม่มีวันรู้หรอก ว่าเพราะท่าทางนั้น ทำให้เขาเปลี่ยนใจไม่สัมผัสกับกลีบดอกไม้เล็กๆแต่เปลี่ยนไปที่อื่นแทน

    หากให้ยอมรับ ก็คงเป็นเรื่องนี้กระมัง ว่าเขาพึงใจกับนาง มือหนาเลื่อนขึ้นมากุมหน้าอกตัวเองก่อนจะตัดสินใจเมินความรู้สึกเจ็บแปลบภายใน

    อย่าให้มันมากไปกว่าการพึงใจนั่นเลยขอร้อง...

    ดวงตาคมหันกลับไปมอง แม้เบื้องหลังจะเป็นป่าไร้ซึ่งสถานที่ที่พึงอยากจะเห็น แต่นั่นก็เป็นการดี เขาตัดสินใจควบม้าไปด้านหน้าขณะที่ริมฝีปากนั่นพึมพำออกมา

    “ลาก่อน เสี่ยวหยาง”

    พร้อมกับความรู้สึกเหล่านี้ ที่จะทิ้งไปพร้อมกับนาง

    สตรีเพียงหนึ่งเดียว ที่มอบความอบอุ่นให้กับ ‘ตงหาน’ เหมันต์ที่หนาวเหน็บอย่างเขา

    ดั่งสุริยะดวงน้อยๆสมชื่อของนาง...



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×