ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    M E S S A F T E R S T O R M "

    ลำดับตอนที่ #64 : สุริยะเคียงบัลลังค์ 20

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 31
      0
      24 ส.ค. 59



    จู่ๆตะวันก็เบิกตาเล็กน้อยและตบไหล่ตงหานหลายทีจนอีกฝ่ายหันมามอง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอย่างกับปล่อยให้เธอตบไปขณะที่เธอโวยวายอยู่ในใจ

    กลับลงไปข้างล่างหาเหวินเจี้ยนเดี๋ยวนี้ตงหาน!!

    ชายหนุ่มเลื่อนประตูเข้าห้อง และทันทีที่ประตูปิดลงเธอก็คว้ากอดไหล่ตงหานหมับพร้อมกับพูดข้างหูเป็นภาษาอังกฤษ “กลับลงไปข้างล่าง”

    ตงหานไม่ได้ตอบอะไรนอกจากแกะมือเธอออกจากไหล่ตน แต่เธอกลับคว้าแน่นไว้กว่าเก่าพร้อมกับกระซิบต่อ “แบบนี้แน่นอนว่าไม่มีใครได้ยิน ถ้าฉันหนักก็รีบๆตอบจะได้ปล่อย”

    เหมือนจะได้ยินเสียงถอนหายใจออกมา ตงหานเงียบไปครู่ก่อนที่จะพูดเสียงเบาพอกัน “...จะให้ข้าตอบอะไรในเมื่อเจ้าไม่ได้ถาม”

    “เออว่ะ” ตะวันอุทานออกมาก่อนจะย้ำคำเดิม “กลับลงไปหาเหวินเจี้ยนดิ๊”

    “ทำไม?”

    ตะวันมองคนที่ให้เธอขี่หลังอย่างหมั่นไส้ นี่หมอนี่ลืมไปแล้วใช่ไหมเนี่ย! เธอเองก็ลืมไปถ้าไม่เมื่อกี้เหวินเจี้ยนให้ของเธอมาจึงรีบร้อนบอก “กริชไง! ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่านั่นของเหวินเจี้ยน จะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ไม่รู้ เอากริชที่แกจิ๊กไปจากฉันคืนเจ้าของไป”

    “….”

    “อย่ามาเก๊กตอนนี้ตงหาน อย่าบอกนะว่าไม่ได้เอามา”

    “ดูเขาก็ไม่ได้จะเดือดร้อนอะไรเท่าไหร่ที่กริชเล่มนั้นหาย มันอาจจะไม่ได้มีราคาอย่างที่เจ้าคิด”

    “นี่! แกเห็นฉันโง่ขนาดไหน! มันกริชนั่นมันมีตัวอักษรสลักแถมดูผ่านๆก็ยังรู้เลยว่าของแพง อีกอย่างเหวินเจี้ยนอาจจะลืมก็ได้ ถ้าไม่ได้เจอกันอีกจะคืนยังไงเล่า”

    ไม่ได้เจอกันอีกงั้นรึ? ไม่มีทางเสียหรอก

    “…ไว้คราวหน้าค่อยคืน”

    “แล้วคราวหน้าของนายนั่นเมื่อไหร่ล่ะ นั่นมันเจ้าชายนะเว้ย ฉันเป็นสามัญชน คิดว่าจะได้เจอง่ายๆรึไง!”

    “แต่วันนี้เขาก็มาเจอเจ้าไม่ใช่รึไง”

    “ก็ใช่แต่...” ยังไม่ทันที่เธอจะเถียง แต่ตงหานก็ว่าแย้งขึ้นมาไม่ให้เธอพูดต่อ

    “ซ้ำยังให้ขึ้นหลัง เลี้ยงอาหาร เล่นดนตรี ไม่นับขลุ่ยนั่นอีก เจ้าคิดจริงๆรึว่าจะไม่ได้เจอ?”

    “ก็เผื่อไว้ไง คืนไปก่อนฉันจะได้โล่งใจหน่อยว่าไม่มีของแพงติดตัว”

    “…ลงไปจากหลังข้าสักที”

    และประโยคกึ่งสั่งนั่นทำให้เธอนึกขึ้นมาได้ว่าเธอยังเกาะตงหานเป็นหมีโคอาล่าเกาะต้นไม้อยู่ แต่เธอก็ยังไม่ยอมปล่อยง่ายๆจึงถามเสียงอ่อย “แล้วจะคุยยังไงอะ...”

    “ไม่มีอะไรสำคัญแล้ว” ตงหานแกะมือเธออีกครั้งพร้อมพูดต่อ “ลงจากหลังข้าแล้วเปลี่ยนผ้าพันแผลซะ เดี๋ยวข้ามา”

    “ฮะ?”

    เธอยอมผละออกจากแผ่นหลังกว้างนั้น และไม่เปิดโอกาสให้เธอถามอะไรเพิ่มตงหานก็เปิดประตูและออกจากห้องไปโดยที่ตะวันค้างอยู่ในท่าที่จะเรียก แล้วก็ต้องยกมือขึ้นเกาท้ายทอยตัวเองอย่างงงกับท่าทางที่ดูเปลี่ยนไปนิดหน่อยของตงหาน

    “ผ้าผันแผลอยู่ไหนล่ะ? ห้องนี้มีแต่เสื่อ ตะเกียงและโต๊ะ จะให้ฉันเอาเสื่อมาพันแล้วเอาไส้ตะเกียงมัดพันแผลรึไง”


    ตงหานกลับขึ้นมาพร้อมกับสมุด พู่กันสำหรับเขียนและหมึกชุดหนึ่ง เมื่อมองเห็นของในมือและเงยหน้าขึ้นมองประตูตรงหน้าก็ถอนหายใจ

    มันเหมือนกับหนีไม่มีผิด 

    แต่แล้วมือที่เตรียมจะเลื่อนประตูเปิดก็ต้องชะงักแล้วเถียงกับตัวเอง นั่นไม่ใช่ความผิดเขา! ใครใช้ให้เสี่ยวหยางกระซิบข้างหูหายใจรดคอแถมยังกอดแน่นไม่ปล่อยแบบนั้น นางลืมไปแล้วรึว่าเขาเป็นบุรุษและตัวเองเป็นสตรี และนั่นทำให้เขาเริ่มสงสัยแล้วว่าในอนาคตที่นางจากมานั้นสตรีทุกคนเป็นเช่นนั้นรึเปล่า

    ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเขาคงหัวใจวายแน่ อีกอย่างเสี่ยวหยางดูจะคุ้นเคยกับการอยู่กับบุรุษดีเสียด้วย

    ตงหานสูดลมหายใจเข้าเพื่อตั้งสติที่คิดสะระตะของตนก่อนที่จะเลื่อนเปิดประตู แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นภาพตรงหน้า เพราะคนที่อยู่ในห้องนั้นกำลังนอนคว่ำกลิ้งเล่นอยู่และในมือเหมือนจะเล่นอะไรกับสร้อยคอของตน แถมยังดูจะดีใจที่เห็นเขาเพราะนางคว่ำหน้าและกระดิกขาจนยามแรกเขาคิดว่ามันเหมือนหางสัตว์

    …. เป็นลูกสุนัขรึอะไรกัน?

    “ทำไมยังไม่เปลี่ยนผ้าพันแผล” เขาถามพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งไม่ห่างเพื่อที่จะได้ไม่ต้องพูดเสียงดัง แต่แล้วก็ได้รับสายตาไม่พอใจไปเต็มๆพร้อมคำตอบ

    “นายไม่ได้เอาอะไรให้ฉันเปลี่ยน”

    “…” ตงหานถึงกับถอนหายใจเมื่อลืมไปเสียสนิทว่าผ้าพันแผลและยาทั้งหมดอยู่ในย่ามที่เขาสะพายลงไปด้วย เขาปลดย่ามและล้วงเอาสิ่งที่จำเป็นออกมาทีละอย่าง เสี่ยวหยางเองก็ถลกขากางเกงของตนและค่อยๆแกะผ้าพันแผลที่ข้อเท้าออก คล้ายจะเห็นนางมองขวดยาสองขวดที่เขาหยิบออกมาวางให้ นางหยิบมาขวดหนึ่งก่อนจะดม และทำเช่นเดียวกันกับอีกขวาด ก่อนจะชูขึ้นและมองหน้าเขางงๆ และโดยที่ไม่รู้ตัวเขาต้องยกมือมาปิดปากเล็กน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้ใครเห็นรอยยิ้ม

    … เขาอดคิดไม่ได้จริงๆว่ามันเหมือนยามที่ลูกสุนัขกำลังสงสัยอะไรบางอย่างที่ดมแล้วไม่เข้าใจจนต้องมองเจ้าของตนอย่างสงสัย 

    เจ้าของ? ถ้าในกรณีนี้ก็....

    “ไร้สาระ”

    “ฮะ? นายพูดอะไรของนายเนี่ยตงหาน? เอาให้ฉันเข้าใจด้วยสิ” ได้ยินเสี่ยวหยางบ่นเป็นภาษาอังกฤษเรื่องที่เขาพึมพำกับตัวเองเป็นภาษาจีน ก่อนที่นางจะถามต่อ “สรุปนี่อะไร?”

    “นั่นยาลดนวดข้อเท้า กับยาทาแผลที่น่องเจ้า” 

    เสี่ยวหยางพยักหน้าก่อนจะเปิดยานวดมาทาที่ข้อเท้าของตน และนั่นทำให้เขาต้องขมวดคิ้วมองก่อนจะว่าเสียงต่ำ

    “ข้าบอกว่า ‘นวด’ ไม่ใช่ให้เจ้าแค่ ‘ลูบ’ เช่นนั้นมันจะหายได้อย่างไร”

    “ฉันไม่ได้ซาดิสม์ขนาดที่ชอบกดลงบนความเจ็บนรกของตัวเอง”

    ซาดิสม์? มันคืออะไร?

    “ไม่ดิ นี่ต้องเรียกมาโซ”

    ……. นางพูดอะไร?

    เสี่ยวหยางคล้ายจะเห็นรอยขมวดบนคิ้วของเขาจึงถาม “แกรู้จักรึเปล่า? ซาดิสม์มาโซคิสม์น่ะ?” 

    “….” 

    “คงจะไม่” นางถอนหายใจก่อนจะอธิบาย “ซาดิสม์คือเวลาเราชอบในความเจ็บปวด แต่เป็นของคนอื่น มาโซคิสม์คือตรงกันข้าม คือพอใจเมื่อตัวเองเจ็บปวด สมมุติว่า... เอานายกับฉันละกันเห็นภาพง่ายๆ นายชอบหวดฉันด้วยแส้และชอบเวลาฉันร้อง นายคือซาดิสม์ และถ้าฉันชอบเวลานายลงแส้ใส่ฉันต่อให้มันจะเจ็บก็เถอะ นั่นคือมาโซคิสม์”

    “………..”

    “ฉันยอมรับว่าตัวเองทั้งซาดิสม์และมาโซคิสม์นิดๆ เพราะฉันชอบเวลาตัวเองเป็นแผลและชอบอวดมัน แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะซาดิสม์ใส่ตัวเองอย่างการกดข้อเท้าบวมฉึ่งนี่ เก็ตปะ?”

    “….”

    “เฮ้ เงียบนี่คือเข้าใจไหมเนี่ย?”

    …. เขาไม่เข้าใจตั้งแต่ที่เสี่ยวหยางบอกว่า ‘ชอบความเจ็บปวด’ แล้ว และนั่นทำให้เขาถามอย่างอดไม่ได้ “ใครกันเล่าที่จะชอบความเจ็บปวด”

    “อ้าว? มันรู้สึกดีนะ”

    … อะไรนะ?

    “เวลาที่ฉันเจ็บ จะที่กายรึใจก็เถอะ ถึงมันจะเจ็บแต่มันก็รู้สึกดี ฉันไม่รู้สิว่าจะอธิบายยังไง”

    … นางรู้สึกดีเวลาที่ตัวเองเจ็บ?

    เขาล่ะไม่เข้าใจสตรีในโลกอนาคตเสียจริง

    “แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะชอบทุกคนหรอกนะ มันเป็นนิสัยส่วนตัวของแต่ละคน เหมือนที่นายเป็นพวกจู้จี้จุกจิกขี้บ่นไง ซาดิสม์กับมาโซคิสม์ก็คล้ายๆกับนิสัยแบบนั้น”

    “เจ้าว่าข้าจู้จี้ขี้บ่นงั้นรึ?” ตงหานหรี่ตามอง ซึ่งเสี่ยวหยางก็ไม่รู้สึก นางพยักหน้าอย่างหนักแน่นแถมยังว่าต่ออีก

    “จู้จี้ ขี้บ่น ดูเหมือนจะเป็นพวกน้ำแข็งเดินได้แต่กลับด่าจัด ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ น่าจะแอบหื่นและชอบลงมือกับผู้หญิง” นางชี้หน้ามาที่เขาก่อนจะว่าอย่างมั่นใจ “และนั่นทำให้ฉันคิดว่านายซาดิสม์!!!”

    “…ข้าไม่ได้ชอบเห็นคนอื่นเจ็บปวดแบบนั้น”

    “อ๋อเหรออออ” นางลากเสียงยาวก่อนจะยกนิ้วขึ้นมานับ “นายยิงฉันตอนอยู่บนต้นมะพร้าว ถึงนั่นจะแค่เตือนแต่ก็ยิง นายเอาดาบจ่อคอฉัน นายขู่จะฆ่าฉัน ตบฉัน ต่อยท้องฉัน จับฉันกดลงกับพื้น และทั้งหมดนั่นมากกว่าครั้งเดียวและฉันคิดว่ามันมีอีก นั่นไม่เรียกซาดิสม์เลย!”

    ตงหานถอนหายใจอย่างไม่ใส่ใจอะไรมากมาย ก่อนที่จะพูดอย่างเรียบเฉย “ลดเสียงหน่อยก็ดี ก่อนที่ข้าจะต้องหาอะไรอุดปากเจ้าจริงๆ”

    แต่นั่นทำให้เสี่ยวหยางยิ่งเบิกตากว้าง และชี้หน้าเขาอีกรอบ “นั่นไง! นายเป็นซาดิสม์จริงๆด้วย!”

    “ข้าไม่ได้เป็น” ดวงตาคมกริบมองเขม็ง ก่อนจะกลับเรื่องเดิม “และเจ้าก็ช่วยนวดข้อเท้าตัวเองด้วยหากยังอยากกลับไปวิ่งในเร็ววัน”

    “ก็นวดอยู่นี่ไง! อย่าบ่นเป็นคนแก่ได้ไหมเนี่ย!”

    “อย่างนั้นเรียกว่าแค่ลูบ และเจ้าบอกว่าข้าเป็นคนแก่รึ?”

    “เออ! ไม่งั้นจะหูตึงแบบนี้รึไง!”

    สตรีนางนี้.... เถียงคำไม่ตกฟากจริงๆ ใครกันแน่ที่ขี้บ่น ตงหานไม่พูดอะไรแต่นั่งยองลงตรงหน้าก่อนจะนวดที่ข้อเท้าให้ทันทีจนเสี่ยวหยางร้องลั่น และนั่นทำให้ตงหานต้องอุดปากจริงๆเมื่อนางดูจะแหกปากจนเกินไป

    “อื้อๆๆ”

    “อย่าเสียงดัง ข้าบอกกี่ครั้งแล้ว ไว้เจ้าคุยแมนดารินได้ค่อยแหกปาก”

    เสี่ยวหยางกัดฟันยามที่เขานวดคลึง ทั้งที่ก็ไม่ได้ลงน้ำหนักอะไรมากมายแต่กระนั้นก็ไม่แปลกใจเพราะมันม่วงเสียขนาดนั้น จางอีชีเป็นคนบอกว่ามันจะทำให้หายเร็วขึ้น แม้เขาจะนวดเบาๆแต่สีหน้าของเสี่ยวหยางก็เจ็บปวดเหลือแสน แต่กระนั้นก็เหมือนกับริมฝีปากจะขยับและพูดเสียงสั่น

    “ขะ.. ขอ.. ขอโทษ.. คือฉันลืมตัว”

    “…?”

    “เรื่องที่ฉันแหกปาก.. กับร้องเสียงดัง แต่มันเจ็บนี่...”

    “ทนเอา” เขาสั่ง “ข้าขี้เกียจแบกเจ้า หายเร็วๆซะ”

    เสี่ยวหยางกำชายฮั่นฝูของตนแน่นจนมันยับยู่ยี่ เมื่อเขานวดเสร็จก็พันรอบข้อเท้าเพื่อที่จะได้ไม่เคลื่อนไหวมากให้มันช้ำหนักมากกว่าเก่า มือหนาเลื่อนไปปลดผ้าที่น่องก่อนจะทำความสะอาดและทายาให้อย่างเบามือที่สุด 

    น่าจะเกือบเดือนได้หากจะให้แผลที่น่องนี่หายสนิท และเสี่ยวหยางอาจจะไปซนแบบวันนี้อีกก็อาจจะทำให้หายช้ากว่าเก่า

    “...นี่”

    เขาเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเสี่ยวหยางที่ดูปากสั่นๆเพราะกลั้นความเจ็บนั่นกำลังมองตรงมาที่เขา ก่อนที่นางจะว่าพร้อมรอยยิ้มขำ

    “นายเป็นซาดิสม์จริงๆนะ ไม่งั้นไม่คว้าหมับข้อเท้าฉันแบบนั้นหรอก ฉันลืมนับที่นายจับฉันมัดแขวนวันแรกด้วย”

    “ยังไม่เลิกพูดเรื่องนี้อีกรึ?” เขาว่าอย่างไม่ใส่ใจเมื่อนางดูจะยัดเยียดให้เขาเป็นซาดิสม์จริงๆ

    “แต่ถึงนายจะซาดิสม์ แต่นายใจดีมากเลยนะ”

    มือหนาที่กำลังเก็บผ้าพันแผลและยาถึงกับชะงักไปเมื่อได้ยินประโยคนั้น แต่นั่นยังไม่จบเมื่อเสี่ยวหยางว่าต่อ “ถึงวันแรกนายจะทำฉันแบบนั้น แต่นายก็เอาใจใส่ฉันเยอะแยะ ถึงนายจะบอกว่าฉันเป็นนักโทษ และฉันคิดว่าตัวเองเป็นนักโทษกิตติมศักดิ์แน่ๆที่ได้รับสิทธิ์เยอะแยะขนาดนี้”

    “…”

    “ตอนแรกฉันรู้สึกแย่นะที่แค่ตั้งใจจะช่วยเหวินเจี้ยนและหาอะไรใส่ท้องตัวเองแล้วต้องมาเอาชีวิตรอดตอนเจอกับพวกนาย แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าดีใจจริงๆที่เจอนาย เพราะถ้าไม่มีนายฉันอาจจะโดนประหารหรือไม่ก็อดตายไปแล้วก็ได้ แต่ก็ไม่แน่แฮะถ้าเกาะติดเหวินเจี้ยนไว้ก่อน แต่นั่นอาจะทำให้ฉันโดนประหารเพราะดันไปทำอะไรกับองค์ชายสารพัดแบบนั้น”

    ตงหานเงยหน้าสบตากับใบหน้าเล็กๆของเสี่ยวหยางที่กำลังแย้มยิ้มออกมา พร้อมกับคำพูดที่ทำให้รู้สึกว่ามีบางอย่างในตัวกระตุก

    “ขอบคุณนะ ตงหาน สำหรับที่... อืม... เอาใจใส่และ... เอ่อ ทนฉันได้ก็แล้วกัน”

    ...มันเป็นคำขอบคุณที่ตลก ติดขัด แต่ก็มีความจริงใจที่สุดที่เขาได้รับมาหากเทียบกับใครหลายๆคน เขาเอื้อมมือมาจับที่หน้าอกตัวเอง

    ความรู้สึกอุ่นพองในใจนี่มันอะไรกัน... และมันไม่ใช่ครั้งแรก แต่มันเป็นทุกครั้ง และดูจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆเมื่ออยู่กับสตรีตรงหน้านี่

    เจ้าวางยาอะไรข้ากันแน่ เสี่ยวหยาง...




    ตะวันขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้านิ่งค้างไปก่อนจะขมวดคิ้วมุ่นจนแทบจะเป็นปม เธอขอบคุณเขานี่มันแปลกขนาดนั้นเลยเหรอ? ปกติก็ขอบคุณอยู่แล้วนี่ หรือว่าจะคิดมากเรื่องอื่นกัน? คิดดังนั้นจึงโบกมือไปมาตรงหน้าก่อนจะเรียก “เฮ้”

    คล้ายจะเห็นอีกฝ่ายกะพริบตาสองสามครั้งเหมือนเรียกสติ เธอจึงถาม “เป็นอะไรไป? เครียดอะไรอยู่?”

    ตงหานขมวดคิ้วมุ่นเสียยิ่งกว่าเก่าก่อนจะถอยออกมาเล็กน้อย เธอยิ่งงงหนักกว่าเก่า แต่แล้วก็มีสมุดหน้าปกสีเข้มและพู่กัน เธอเงยหน้ามองก่อนจะชี้มาที่ตัวเองพลางถาม “ให้ฉัน?”

    อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรนอกจากพยักหน้า เธอจึงรับมาพร้อมกับเปิดดู มันเป็นสมุดที่ว่างเปล่าธรรมดา แล้วพู่กันนี่... จะให้เธอวาดรูประบายสีเหรอ?

    “มานั่งนี่”

    เธอหันไปมองต้นเสียงก็พบว่าตงหานไปนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดียวในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบได้ เธอคลานไปหาก่อนที่จะวางสมุดและพู่กันในมือลงบนโต๊ะ ตงหานหยิบอะไรบางอย่างที่เป็นแท่งๆและน้ำนิดหน่อย ฝนกับจานอะไรสักอย่างสักพักและผสมน้ำลงไป มันใช้เวลาพอสมควรในความคิดเห็นเธอ เสร็จแล้วตงหานก็หยิบพู่กันออกมาอีกแท่งก่อนจะจุ่มลงไปตรงจานนั่นจนปลายพู่กันเป็นสีดำ เขาดึงสมุดสีเข้มไปไว้ตรงหน้าก่อนจะเขียนตรงมุมขวา

    หวาว... นี่คือการเขียนพู่กันจีนสินะ ตะวันมองอย่างสนใจ และรู้สึกว่าตัวเองโง่เป็นบ้าที่ลืมว่าสมัยนี้มันคงยังไม่มีปากกา และต่อให้มีเธอก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะใช้

    ตงหานถนัดซ้ายแฮะ...

    Xiǎoyáng

    “หือ?”

    เธอมองตามมือของตงหาน ก็พบว่ามันเป็นตัวอักษรสองตัว ซึ่งอีกฝ่ายพูดย้ำอีกครั้งช้าๆและชี้เรียงตัว “Xiǎo - yáng

    “นี่เขียนให้ฉันเหรอ?”

    “ข้าบอกแล้วไม่ใช่รึว่าจะสอนเจ้า” ตงหานมองอย่างเหนื่อยหน่าย แต่เธอเถียง

    “แล้วพูดอย่างเดียวไม่ได้เหรอ ไม่ก็ใช้พินอินเอาก็ได้”

    “…อะไรคือพินอิน”

    “ก็.... แบบเนี้ย” เธอลองเขียนเท่าที่ตัวเองจำได้ดู และเขียนมั่วๆเพราะจำการวางเสียงวรรณยุกต์ไม่ได้ แต่่นั่นก็ยิ่งทำให้อีกฝ่ายขมวดคิ้วหนักกว่าเก่า

    “นั่นภาษาตะวันตก พินอินอะไรของเจ้า”

    “อ้าว....” เธอหน้าเอ๋อทันที อย่าบอกนะว่าพินอินเพิ่งมามีตอนหลัง แต่ดูแล้ว... คงจะใช่แน่ๆ

    ไว้อาลัยให้ตัวเองสักสิบวิ...​เธอเกลียดตัวอักษรจีนที่สุด... ได้แค่ตัวเลขและคำว่า ‘หว่อ’  ที่แปลว่า ‘ฉัน’

    ว่าแล้วก็ลองเขียนคำว่า ‘หว่อ’ นี่แหละ

    “เจ้าเขียนได้รึ?” ตงหานดูจะแปลกใจเพราะเห็นคิ้วนั้นเลิกเล็กๆ ก่อนจะกดลงหนักกว่าเก่าเมื่อเธอเริ่มเขียนตัวเลขตั้งแต่หนึ่งถึงสิบเป็นภาษาจีน

    “…ใครเป็นคนสอนเจ้า”

    “ฉันเคยเรียนตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้ว ได้แค่นี้ก็ดีตายห่าละ”

    “….ลำดับเส้นผิดเกือบทั้งหมด” ตงหานดึงพู่กันในมือเธอออกก่อนจะบังคับมือให้จับ “และจับพู่กันก็ผิด”

    “….”

    “หัดเขียนชื่อตัวเองไปซะ”

    “…ฉันชื่อตะวัน” เธอแย้งเบาๆและนั่นเรียกให้สายตาดุๆตวัดมามองเต็มๆ

    “ตอนนี้เจ้าชื่อเสี่ยวหยาง และอันดับแรกเจ้าต้องเขียนจีนให้ได้”

    “ได้ข่าวว่าตอนนี้ฉันเป็นผู้ชาย เป็นน้องชายนาย และชื่อหยางชุน” เธอเหล่ก่อนจะว่าต่อ “และอีกอย่าง แทนที่จะสอนฉันเขียน ให้ฉันพูดให้ได้ก่อนดีกว่า เขียนไว้หัดตอนพูดคล่องๆมันจะง่ายกว่านะ”

    ตงหานถอนหายใจออกมาขณะที่ใบหน้ายังยุ่งเหยิง และสรุปคือจะเริ่มที่การแนะนำตัวเองและประโยคพื้นฐาน แต่ปัญหามันก็เกิดเมื่อตะวันจำผิดคำจนได้รับสายตาเขม็งของครูจำเป็นไปเต็มๆ

    “ข้าบอกให้เจ้าพูดยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน เจ้าตอบข้าว่าสบายดีเนี่ยนะ?!”

    “ฉันจำไม่ได้นี่หว่า! ฉันโง่นะ!” ตะวันเถียงทันที ก่อนจะบ่นอุบ “แถมนายยังพูดมายาวเหยียดไม่เหมือนเหวินเจี้ยน เขาใจเย็นกว่านายเยอะเลยด้วย”

    “…”

    เธอพูดโดยที่ไม่มองหน้าเพราะกำลังนั่งเขียนพู่กันเล่น ถ้าเธอเงยหน้าสักนิด.. ไม่สิ เพียงแค่เหล่ไปมองมือใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะก็คงเห็นว่ามือนั้นกำลังกำหมัดแน่น แต่นั่นก็เพียงค่ชั่วพริบตา เพราะคล้ายจะได้ยินเสียงถอนหายใจพร้อมกับคำพูดที่ดูจะมีโทนเสียงที่ต่ำกว่าปกติ

    “เจ้าต้องจำได้ให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นจะมีพิรุธ”

    “ฉันแกล้งเป็นใบ้ไม่ได้รึไง?”

    “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเก็บปากตัวเองได้ตลอดแบบนั้น และเจ้ามีประโยคติดปากคือขอโทษกับขอบคุณ” ตงหานกอดอกก่อนจะว่าต่อ “แล้วอีกประการ เจ้าคิดจะไม่คุยกับใครเลยรึ”

    “ฉันก็มีนายแล้วไง”

    “….”

    คราวนี้เธอหันไปมองก่อนจะพูดต่อ “ฉันมีนาย ฉันไว้ใจนาย ฉันคุยกับนายได้ แค่นั้นก็น่าจะพอ เพราะมะนดีกว่าที่ฉันคิดตอนแรกตั้งเยอะ”

    “…”

    “แต่เอาเถอะ ฉันยอมแพ้ เพื่อไม่ให้นายเดือดร้อน” เธอวางพู่กันลงก่อนจะหันมามองใบหน้าคมนั่น มองเข้าไปในดวงตาคมกริบนั่นตรงๆก่อนจะพูดต่อ “ฉันจะพยายามไม่พูดและไม่ชวนนายคุยเป็นภาษาอังกฤษก็แล้วกัน”

    ตะวันคงไม่รู้ว่าตัวเองทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอย่างไรกับการที่เหมือนตบหัวแล้วลูบหลังแบบนั้น ตงหานมองสบเธอโดยไม่หลบเช่นกัน ก่อนจะว่า “เจ้าแน่ใจว่าเจ้าสามารถเรียนรู้ได้หากไม่มีอังกฤษช่วย?”

    “ฉันสัญญา ว่าจะไม่พูด และจะตั้งใจที่จะไม่หลุดปากเป็นภาษาของฉันออกมา” เธอหลุบตาลงต่ำอย่างรู้สึกผิดก่อนจะว่าต่อ “เพราะนายก็สั่งฉันหลายรอบแล้ว ฉันก็ยังไม่ทำ แต่ตอนนี้ฉันคิดว่า.. ฉันควรทำมันเพื่อไม่ให้นายเดือดร้อน เพราะยังไงฉันคิดว่าเรื่องมันก็ต้องแตกสักวัน ฉะนั้นฉันจะเลิกใช้ภาษาอังกฤษ อีกอย่างเพราะฉันคิดว่าตัวเองยังพูดอังกฤษกับนายได้แบบนี้ฉันก็จะไม่อยากเรียนสักที...”

    เป็นอีกครั้งที่เธอคงไม่รู้ว่าเธอพลาดอย่างมหันต์ที่ก้มหน้าแบบนั้น เพราะตงหานได้แย้มยิ้มออกมาอย่างที่ไม่ใช่หัวเราะเยาะ แต่เป็นคล้ายกับกำลังพอใจอะไรบางอย่าง

    Yǒuqù. (น่าสนใจจริงๆ)”

    เธอเงยหน้ามองก่อนจะขมวดคิ้วเพราะเหมือนได้ยินเสียงพึมพำอะไรสักอย่าง แต่ที่เธอเห็นคือตงหานลดมือที่กอดอกลงก่อนจะว่าช้าๆ “Nǐ jǐ suì? (เจ้าอายุเท่าไหร่)”

    คำนี้รู้สึกได้ยินบ่อย เธอขมวดคิ้วนึกอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบ “Wǒ Shíjiǔ suì.(ฉันอายุสิบเก้า)”

    เธอเห็นตงหานยิ้มพร้อมกับว่า “Liánghǎo. (ดี)”

    น่าจะเป็นคำชม ไม่งั้นคงไม่ยิ้ม...

    ตงหานดึงสมุดของเธอมาก่อนจะลงมือเขียนสามประโยค ซึ่งเธอก็เขยิบเข้าไปไกล้ เธอตั้งใจฟังกว่าเก่าเมื่อตงหานชี้ไปที่ประโยคแรก

    มันให้ความรู้สึกเหมือนตอนที่เหวินเจี้ยนสอนเหมยซื่อกับเหมยกวานซีเธอไม่มีผิด แสดงว่าสามคำนี้ก็มีความหมายคล้ายกันแน่ แต่คือจะใช้ในกรณีไหนเท่านั้น ขณะที่ในใจก็ยังอดบ่นไม่ได้

    รู้สึกอยากร้องไห้จริงๆ.. ตอนนั้นเธอตั้งใจเรียนจีนก็คงดี


    ตงหานมองใบหน้าที่มองตอบเขาเขม็ง คิ้วที่ขมวดกันเป็นปมและปากที่ดูขมุบขมิบตลอดเวลาราวกับทวนและนึก มีบ้างบางครั้งที่ใช้เขียนประกอบ ซึ่งเสี่ยวหยางก็ดูจะรู้ว่าถ้าประโยคไหนเขาเขียนจะเป็นประโยคที่มีความใกล้เคียงกันแต่ใช้ต่าง

    ถึงนางจะบอกว่าตัวเองโง่ แต่ในสายตาเขา นางไม่ได้โง่ แต่ออกจะต่อต้านการเรียนเสียมากกว่า จากที่เห็น นางมีไหวพริบและความพยายามในระดับที่น่าพอใจ และเขาเลือกประโยคที่นางน่าจะเคยได้ยินในช่วงที่ผ่านมา แต่เหนือสิ่งอื่นใด เขากำลังรอดูการตัดสินใจของนางว่าจะไปได้สักกี่น้ำกับการที่นางจะไม่สนทนากับเขาเป็นภาษาอังกฤษ เขากะเวลาคร่าวๆเมื่อมองออกไปยังท้องฟ้ายามราตรี ซึ่งน่าจะเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว

    “วันนี้พอแค่นี้” เขายกมือบอกเพื่อนางให้พักและเตรียมตัวนอนเป็นภาษาแมนดาริน ซึ่งนางดูจะเอียงคอมองอย่างแปลกใจ เขาจึงตัดสินใจชี้ไปที่ฟูก เสี่ยวหยางก็จ้องเขาเขม็งราวกับว่ารอให้เขาพูด แต่เมื่อไม่พูดอะไร นางก็ขมวดคิ้ว เอาสองมือประกบกันและไว้ข้างแก้ม หลับตาทำหน้าเคลิ้มๆก่อนจะลืมตามาชี้ที่ตัวเอง

    ….

    เขาเริ่มเป็นฝ่ายไม่เข้าใจเองเสียแล้วว่านางจะสื่ออะไร และเมื่อนางทำท่าเดิมอีกครั้ง ซึ่งมันดูเหมือน.. นอน? และเมื่อเขาลองพยักหน้านางก็ชี้ไปที่ฟูกและหันมามองเขาเหมือนเป็นคำถาม ซึ่งนั่นทำให้เขาพยักหน้าอีกครั้งอย่างอดไม่ได้แม้จะไม่แน่ใจว่าสื่อตรงกันรึเปล่า เสี่ยวหยางคลานไปที่ฟูกนั่นก่อนจะล้มตัวนอน แต่ไม่ทันไรก็ลุกพรวดขึ้นมาก่อนจะมองเขาสลับกับฟูก ก่อนจะเอียงคอมอง

    ราวกับมีคำถามแปะอยู่เลยด้วยซ้ำว่าเขาจะนอนที่ไหน ดูจะห่วงมากกว่าเขินอายที่ในห้องมีฟูกแค่ผืนเดียว

    “เจ้านอนไปเถอะ” เขาว่า แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้นางยอมนอนลงแต่อย่างใด ซ้ำยังเขยิบออกนอกฟูกและดันฟูกมาทางเขาด้วยซ้ำ

    … จะให้เขาซึ่งเป็นบุรุษและไม่ใช่คนเจ็บนอนฟูกแล้วนางนอนเสื่องั้นรึ?

    เขาถอนหายใจก่อนจะเขยิบมาใกล้ฟูกก่อนจะสั่ง “เจ้าเป็นคนเจ็บ มานี่”

    นางยังคงมองเขาเขม็งแถมที่การย่นปากอีกต่างหาก นางทำปากขมุบขมิบซึ่งก็คงไม่พ้นบ่น แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะขยับออกจากการพิงกำแพงแต่อย่างใด เขานั่งอยู่เกือบกลางห้องและระหว่างทั้งสองมีฟูกหนึ่งผืนวางอยู่ เขานั่งกอดอกมองเสี่ยวหยางอยู่แบบนั้นขณะที่นางเองก็จ้องมองเขาอย่างไม่ยอมแพ้ และนั่นทำให้ตงหานตัดสินใจเขยิบไปที่โต๊ะเพื่อที่จะเขียนจดหมายที่ยังไม่ได้เขียน

    เสียเวลา เหตุใดเขาต้องบังคับให้นางนอน นางอยากนั่งหลับก็เรื่องของนาง

    เขาหยิบกระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง จุ่มพู่กันกับถาดหมึกก่อนจะลงมือเขียน ทั้งห้องนั้นตกอยู่ในความเงียบอย่างผิดวิสัยเมื่อคนที่ปกติมักจะพูดกลับปิดปากเงียบไม่ได้พูดอะไร และเขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจ จนเวลาผ่านไปชั่วขณะ จดหมายก็ถูกพับอย่างเรียบร้อยเป็นสัญญาณว่าเสร็จสมบูรณ์ และเมื่อเขาหันไปมองผู้ร่วมห้องอีกคนก็เห็นภาพที่ไม่ผิดจากที่คาดไว้เสียเท่าไหร่ ตงหานเก็บจดหมายก่อนที่จะเขยิบเดินเข้าไปใกล้และคุกเข่าข้างหนึ่งลงเบื้องหน้าร่างที่กอดเข่าตนเอง เพราะความเงียบในห้องทำให้ได้ยินเสียงหายใจแผ่วเบาดังสม่ำเสมอและเปลือกตาที่ปิดสนิท นางใช้แขนตนเองต่างหมอนและนั่งหลับอยู่แบบนั้น คำๆหนึ่งผุดขึ้นในใจทันที

    …ดื้อ

    เขามองใบหน้าของเสี่ยวหยางอย่างพิจารณาเพราะไม่เคยมีโอกาสหรือไม่เคยคิดจะใส่ใจ ใบหน้ายังคงมอมแมมแต่กระนั้นก็ยังมีแววอิดโรย ริมฝีปากที่ช่างเถียงนั่นยังคงขมุบขมิบจนเขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า แต่กระนั้นมุมปากของเขาก็ยกยิ้มบางๆจนแทบไม่เห็น สุดท้ายจากที่ตั้งใจจะปล่อยทิ้งไว้ เขาก็สอดมือไปประคองท้ายทอยและอีกข้างสอดใต้ข้อพับเข่า ค่อยๆช้อนร่างนั้นขึ้นมาโดยที่พยายามเคลื่อนไหวเบาและน้อยที่สุดตามสัญชาตญาณกลัวนางตื่น ตงหานวางร่างเล็กๆในอ้อมแขนลงกับฟูกก่อนจะห่มผ้าให้ เสี่ยวหยางดิ้นยุกยิกแต่สุดท้ายก็นอนขดหันข้างมาทางเขาด้วยสีหน้าที่ดูสบายกว่าเมื่อครู่

    เหนื่อยปานนั้นยังไม่ยอมมานอนสบายๆเพราะห่วงเขา สตรีอะไรกัน...

    ตงหานชะงักมือทันทีเมื่อรู้สึกว่ามือของเขาอยู่ห่างจากศีรษะของเสี่ยวหยางเพียงเล็กน้อย ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขายื่นมือออกไปจะสัมผัส ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะเหม่อจนควบคุมตัวเองไม่ได้เช่นนี้

    “...ให้ตายเถอะ”

    แม้จะพูดแบบนั้นแต่เขาก็ไม่ได้ขยับหนีแต่ก็ไม่ได้เข้าหา ดวงตาคมมองใบหน้าของเสี่ยวหยางที่ดูจะหลับสนิทอย่างไม่รู้เรื่องราวและไม่ทุกข์ร้อนกับสิ่งใดในโลก

    คงทุกข์ร้อนกระมัง ขนาดหลุดมาในอดีตยังดูไม่เดือดร้อนอันใด ดูจะไม่ค่อยโกรธใครและให้อภัยง่ายจนน่าตกใจ ซ้ำยังมีมุมมองที่แปลกอย่างเหลือเชื่อ แต่กระนั้นก็สบายใจยามที่อยู่ด้วย

    ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน เสี่ยวหยางดูจะมีอิทธิพลกับเขามากกว่าที่เขาคาด และเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าเหตุในพระเชษฐาของตนดูจะสนใจเสี่ยวหยางขนาดนั้น หากการที่เสี่ยวหยางกับเขาสนทนาผ่านภาษาใบ้เป็นสิ่งที่นางใช้เวลาอยู่กับเหวินเจี้ยน มันดูเป็นอีกมุมหนึ่งของนางที่แตกต่างจากสตรีขี้โวยวายและพูดมาก มันแปลกที่เขาก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญอย่างที่ควรเป็นกับกิริยาเหล่านั้น ตรงกันข้ามมันกลับทำให้เขารู้สึกเผลอสังเกตทุกท่าทางของนางจนรำคาญตัวเองแทน

    แต่ไม่เป็นไร ... มันใกล้จะจบแล้ว

    “ไม่ใช่เจ้าที่ข้าต้องกำจัด... ไม่ใช่เจ้าเลยที่ทำให้ข้าเป็นแบบนี้...”

    ทั้งหมดมันเป็นเพราะเขา บางสิ่งในตัวที่เรียกร้อง นั่นต่างหากที่ต้องถูกกำจัด เพราะมันทำให้เขาเปลี่ยนไป ฉะนั้นก่อนที่มันจะสายเกินไป... เขาหวังว่าจะตัดมันได้สำเร็จ แม้ส่วนหนึ่งในใจลึกๆจะร้องบอกว่ามันเป็นไปได้ยากก็ตาม

    “…ราตรีสวัสดิ์ เสี่ยวหยาง”




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×