ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    M E S S A F T E R S T O R M "

    ลำดับตอนที่ #53 : สุริยะเคียงบัลลังค์ 9

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 29
      0
      3 ส.ค. 59



    เวลาสายของอีกวัน ตำหนักที่ถูกสร้างมาอย่างงดงามโดยที่เบื้องหลังมีหนองน้ำเล็กๆที่มีปลาและดอกบัวบานสวย แต่บัดนี้เจ้าของตำหนักกำลังจัดองค์ทรงเครื่องเพื่อเตรียมไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ผู้เป็นบิดา บริเวณท้องถูกพันด้วยผ้าพันแผลสีขาวสะอาดต่างกับเมื่อวันก่อนที่ถูกพันด้วยเศษผ้าและเถาวัลย์ และนั่นทำให้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำถามของหมอหลวงที่มาตรวจเมื่อวาน

    ‘การห้ามเลือดถูกทำได้เกือบสมบูรณ์แบบถ้าพูดถึงว่าไร้ซึ่งอุปกรณ์และยา และเท่าที่ดูบาดแผลนั้นองค์ชายจะขยับตัวไม่ได้ในวันสองวันแรก กระหม่อมอยากจะเห็นคนที่ช่วยพระองค์จริงๆพะยะค่ะ’

    รู้สึกว่าเสี่ยวหยางจะเป็นที่สนใจของหลายคน... โดยเฉพาะแม่ทัพหลี่และจิ้นฝูหมอหลวงสูงวัยประจำราชสำนัก โดยเฉพาะแม่ทัพหลี่ เหตุเพราะว่าน่าจะรู้ว่าผู้ช่วยชีวิตเขานั้นเป็นคนก่อกองไฟ หาอาหาร และทำทุกอย่าง แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่ถ้าเป็นเขา เขาทำไม่ได้แน่ อีกอย่าง....

    ‘องค์ชายรู้สึกไม่สบายพระอุระหรือพระนาภีไหมพะยะค่ะ?’

    ‘ไม่นี่ ทำไมรึ?’

    หมอหลวงพิจารณาหน่อไม้ที่มีรอยกัดเพียงเล็กน้อยที่แม่ทัพหลี่หยิบติดมาด้วย ก่อนจะว่า ‘มันยังดิบอยู่พะยะค่ะ... ไม่สมควรนำมาเสวย’

    เมื่อนึกถึงตรงนี้ทำให้เหวินเจี้ยนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ แม้เขาจะดูไม่ออกว่าสุกไม่สุก แต่รสชาติที่ไม่ค่อยถูกปากและการไม่อยากอาหารทำให้กัดไปไม่กี่คำ และอีกอย่าง... ใบหน้าคมคายขึ้นสีเล็กน้อย

    หน่อไม้นั่น เสี่ยวหยางกัดไปแล้วก่อนที่จะปิ้งใหม่และยื่นให้เขา ซึ่งดูว่านางจะลืม หรือไม่ก็ไม่ใส่ใจเป็นแน่ ... แล้วเขาจะทำอันใดได้นอกจากรับมา? มือหนาลูบแก้มตัวเองที่ถูกทายาลดแดงด้วยปลายนิ้ว ใช่... มันยังมีรอยมือเล็กๆนั่นประดับอยู่ ไม่นับรอยช้ำที่มุมปากที่แผลจางลงไป กว่าเขาจะหาข้ออ้างที่แม้จะฟังไม่ค่อยขึ้นก็ลำบากแทบแย่

    “เสด็จพี่เพคะ”

    เสียงหวานๆนั้นเอ่ยเรียกทำให้เหวินเจี้ยนออกจากภวังค์ ก็พบว่าตนนั้นเดินมาอยู่หน้าประตู และเบื้องหน้าของเขานั้นคือสตรีที่เป็นเจ้าของใบหน้างามหยด ดวงตากลมโตหวานซึ้ง ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มบางๆเพื่อขับความงามโดยดั้งเดิม ยิ่งอาภรณ์ปักลายดอกโบตั๋นสีชมพูยิ่งทำให้นางตรงหน้าดูเป็นสตรีสูงค่า องค์ชายยิ้มรับ

    “เสวี่ยเอ๋อ”

    ใช่ สตรีตรงหน้าคือคู่หมั้นของเขาที่ถูกคัดเลือกมาจากสตรีทั่วแดน นางเป็นลูกสาวของขุนนางหวัง ซึ่งเป็นขุนนางเก่าแก่สมัยฮ่องเต้ยังเยาว์วัย และเขาเองก็เห็นเสวี่ยเอ๋อมานาน นางเป็นหญิงที่งดงามโดดเด่นกว่าสตรีวัยเดียวกันตั้งแต่เด็ก ทั้งกิริยามารยาทที่งดงามอ่อนช้อยและชาติตระกูลที่สูง และเขาเองก็ชอบพอ จึงไม่ได้ปฏิเสธ แม้อายุจะห่างกันถึงเก้าปีก็ตาม

    และแม้ยามนี้เสวี่ยเอ๋อจะอายุสิบแปดชันษา แต่ความงามนั้นก็เป็นที่เลื่องลือ 

    “เสด็จพี่จะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้รึเพคะ? หม่อมฉันขอตามเสด็จไปด้วยได้ไหมเพคะ” เสวี่ยเอ๋อถาม เหวินเจี้ยนยิ้มออกมาเล็กๆก่อนจะพยักหน้า

    “หม่อมฉันเห็นเสด็จพี่ยืนอยู่หน้าประตูคล้ายกับเหม่อ เป็นอันใดรึเปล่าเพคะ?” นางถามยามที่ทั้งสองเดินเคียงกันมาโดยที่ด้านหลังมีนางกำนัล

    “เปล่าหรอก” เหวินเจี้ยนตอบ “พี่แค่คิดอะไรเพลินๆ”

    “ถึงเสี่ยวหยางรึเพคะ?” นางยกมือปิดปากและหัวเราะออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นชายข้างกายหันมามองคล้ายกับคำถาม “หม่อมฉันได้ยินมาจากแม่ทัพหลี่เพคะ ว่าคนที่ช่วยชีวิตเสด็จพี่เป็นบุรุษนามว่าเสี่ยวหยาง”

    หืม? บุรุษ?

    แต่ยามนี้ให้ทุกคนเข้าใจเป็นบุรุษไปน่าจะเป็นการดีกว่า คิดเช่นนั้นองค์ชายหนุ่มจึงไม่ได้ค้านใดๆ ขณะที่หูสดับฟังเสียงหวานนั่นไปด้วย

    “เป็นคนเช่นไรรึเพคะ?”

    “…ไม่ค่อยพูด แต่ดูไม่เคยทุกข์ร้อนกับสิ่งใด ที่สำคัญ ร่างเล็ก”

    เขาไม่ได้ปดเพียงแต่พูดไม่หมด อาจจะต้องต่อคำว่า ไม่ค่อยพูด ‘เป็นภาษาจีน’ เสียมากกว่า อีกอย่างจากรอยแดงบนใบหน้าทำให้สามารถบอกได้ถึงขนาดของเจ้าของมือ บุรุษร่างเล็กมีถมไป แต่เสี่ยวหยางนั้นแม้ในหมู่สตรีก็ร่างเล็กจริงๆ

    “ทุกคนต่างก็อยากพบกับผู้มีพระคุณคนนั้นที่ช่วยชีวิตเสด็จพี่ หม่อมฉันเองก็เช่นกันเพคะ” เสวี่ยเอ๋อว่าพร้อมยิ้มบาง ซึ่งเขาเองก็ยิ้มตอบน้อยๆ

    “พี่เองก็ยังไม่ได้ขอบคุณเป็นเรื่องเป็นราวเช่นกัน” องค์ชายหนุ่มแหงนพักตร์มองท้องฟ้าสีครามแลเห็นสุริยะฉายเป็นประกายสะท้อนถึงใครบางคน ก่อนจะว่า “พี่เชื่อว่าไม่นานจะต้องได้เจออย่างแน่นอน”



    “เจ้าดูเหนื่อยๆนะตงหาน เพิ่งย่ำรุ่งแท้ๆ” ซิ่นสือทักเมื่อเห็นหัวหน้ากองโจรเปิดกระโจมเข้ามาพร้อมกับยื่นผ้าพันแผลพร้อมยาคืน สีหน้าที่เหมือนกับไม่ได้นอนและหงุดหงิดทำให้อดถามไม่ได้

    สีหน้านี้เห็นบ่อยเสียที่ไหน?

    “ข้าไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะนาง” ตงหานว่าก่อนจะทรุดนั่งก่อนจะยกถุงน้ำขึ้นดื่มดับกระหาย “ขนาดข้ามัดมือไว้ยังมากฤทธิ์”

    “แล้วเจ้าไปทำอะไร? ข้าได้ยินเสียงคล้ายคนตีกันจากกระโจมของเจ้า” ซิ่นสือถึงกับปิดตำราในมือขณะเก็บผ้าพันแผลที่รับมาไว้ในย่ามตน ก่อนจะหันไปมองเมื่อได้ยินอีกฝ่ายตอบ

    “แค่ดึงไม้ออกจากขา”

    “ดึงออกเฉยๆเลยรึ?”

    “ตอนนางหลับ” ใบหน้าคมเข้มฉายแววหงุดหงิด “สะดุ้งตื่นมาเตะข้า”

    “...ตงหาน” ซิ่นสือถึงกับถอนใจ “ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรี ต่อให้นางเป็นเชลยเจ้าควรจะเบามือ หรือให้สัญญาณนางเสียก่อนที่เจ้าจะดึงไม้ออกจากขา ความเจ็บมันไม่ใช่น้อยๆ”

    “แล้วเจ้าได้ยินเสียงร้องรึ?”

    “ไม่”

    “ซิ่นสือ” ตงหานแย้ง “นางสะดุ้งตื่นมาเตะข้าเพราะข้าพยายามเอาไม้ออก แต่ข้าไม่ใช่คนที่ดึงไม้ออกจากขานาง”

    “....อะไรนะ?” ชายหน้าบากถึงกับอุทาน “เจ้าไม่ทำแล้วใครทำ?”

    “นางทำเอง”

    “....”

    “นางกัดฟันดึงออกพรวดเดียวจนเลือดไหลอาบ และเสียงที่เจ้าได้ยินคือเสียงที่นางไม่ยอมให้ข้าดึงออกให้เพราะข้าค่อยๆดึง และพยายามแย่งยาจากข้าทั้งที่เลือดไหลอาบขา”

    “...สตรีเชลยของเราดูท่าจะมีความกล้าไม่น้อย” ซิ่นสือถึงกับหัวเราะออกมาเพราะถูกใจ “แล้วเจ้าจะเอาอย่างไรกับนาง?”

    “ข้าจะให้นางอยู่กับเราไปก่อน” คำตอบของตงหานทำให้ซิ่นสือเลิกคิ้ว

    “นางตกลงรึ?”

    “และตกลงเมื่อข้าสั่งให้นางปลอมเป็นบุรุษ” ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะว่าต่อ “ดูจะดีใจมากเสียด้วย”

    “ข้าไม่คิดว่าคนอื่นๆจะยอม” ซิ่นสือออกความเห็น 

    “คำสั่งของข้า และนางมีประโยชน์ที่พวกเราใช้ได้” ตงหานว่า “และข้าคงต้องขอความช่วยเหลือจากเจ้า”

    “เหตุอันใดรึ?”

    “นางเป็นใบ้ นางพูดไม่ได้ แต่นางได้ยินที่พวกเราพูด” 

    คำบอกเล่าของตงหานทำให้ผู้ฟังขมวดคิ้ว ซิ่นสือมั่นใจว่าสตรีเชลยผู้นั้นไม่ได้เป็นใบ้หรือพูดไม่ได้แน่ แต่เหตุใดตงหานจึงบอกเช่นนั้น? แต่เมื่อได้สบตากับดวงตาคมเรียวนั่น ด้วยความที่เป็นสหายร่วมทุกข์สุขกันมานานย่อมเข้าใจได้ ชายหน้าบากพยักหน้าก่อนจะถามต่อ “แล้วมีอะไรอีก?”

    “ข้าจะให้นางเป็นผู้ติดตามข้า เหตุผลถ้าใครถามก็เหตุผลเดียวกับที่ข้าเป็นคนคุมตัวนางกลับ” ตงหานว่าก่อนจะหัวเราะเล็กน้อย “ข้อนี้ไม่มีปัญหาเป็นแน่ เพราะขนาดเจ้ายังเสียทีนางเลยนี่นะ”

    “อย่าทับถมข้าให้มาก มิเช่นนั้นข้าจะไม่รับฟังคำขอเจ้า” แม้จะพูดเช่นนั้นแต่ซิ่นสือก็ลูบใบหน้าตนเองก่อนจะพึมพำ “ให้ตายสิ สตรีนี่เท้าหนักกันทุกคนรึกระไร”

    “และข้อสุดท้าย” หัวหน้ากองโจรถอนหายใจ “เจ้ามียาบำรุงสายตาไหม?”

    “ตาเจ้าเป็นอะไร?”

    “ไม่ใช่ข้า” ชายหนุ่มส่ายหน้า “นางสายตาสั้น”

    ซิ่นสือครุ่นคิดไป ก่อนจะว่าเสียงไม่แน่ใจ “ข้าไม่แน่ใจว่ามันจะช่วยให้กลับมาสายตาปกติ ข้าจะลองดูรวมถึงหาอุปกรณ์ช่วยให้นางด้วย แล้วเจ้ารู้ชื่อนางรึยัง?”

    “เสี่ยวหยาง”

    “หืม? สุริยะดวงเล็ก คล้ายชื่อบุรุษแต่ก็ดูเข้ากับนางดีกระมัง” ชายหน้าบากยิ้มขำ “แค่นี้ใช่ไหม?”

    ตงหานพยักหน้า ก่อนจะเตรียมออกจากกระโจมไปถ้าไม่ติดว่าเสียงของเพื่อนสนิทดังขึ้นมาว่า “นางเป็นใครกันแน่ ตงหาน”

    “เชลย” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ แต่คนฟังดูจะไม่เห็นด้วย เพราะซิ่นสือแย้ง

    “นางไม่ใช่เชลย อย่างน้อยๆในสายตาของข้าที่เจ้าปฏิบัติกับนาง” ดวงตานั้นจับจ้องไปยังแผ่นหลังกว้างของตงหาน ก่อนจะว่าต่อ “แม้แรกเริ่มเจ้าจะทำแบบนั้นเพราะคิดว่าเป็นมือสังหารและเป็นเชลยของเรา แต่เวลาผ่านไปแค่ข้ามคืนเจ้ากลับผ่อนปรนนางเสียขนาดนั้น แถมขอร้องข้าเช่นนั้นอีก ไม่คิดว่ามันผิดวิสัยไปหน่อยรึ?”

    “ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรี” ตงหานว่า ก่อนจะตัดบทแล้วออกจากกระโจมไป “ข้าจะไปนอนพักสักครู่ เมื่อตะวันอยู่กลางฟ้าเราจะออกเดินทาง”

    ซิ่นสือส่ายหน้ากับนิสัยนั้นของเพื่อนสนิท ถ้าเห็นเป็นสตรีจริงเมื่อวานคงไม่กระทำอย่างการกระทืบข้อมือ ต่อยท้อง ตบหน้า หรือแม้แต่จับมัดห้อยแบบนั้น เขาเองก็ไม่มั่นใจว่าตงหานกระทำเช่นนั้นเพื่อให้แน่ใจว่านางจะหนีไม่ได้ หรือเพราะว่าเก็บกด จากเรื่องหลายเรื่องก็ไม่ทราบ

    ไม่ก็นั่นอาจจะเป็นนิสัยของตงหาน ซิ่นสือหัวเราะขำกับตัวเอง เพราะใช่ว่าไม่เคยจับเชลยที่เป็นสตรี แต่ก็ไม่เห็นตงหานจะกระทำอะไรถึงขนาดนั้นแม้แต่คนเดียว ไม่นับที่เย็นวานประคองนางขึ้นมาอีก อยากรู้จริงๆว่าระหว่างสอบสวนเกิดอะไรขึ้นบ้าง ชายหน้าบากยิ้มกับตัวเองอย่างอารมณ์ดีขณะที่มือก็จัดการเก็บของของตน ดูท่าว่าจะมีเรื่องน่าสนุกคลายเครียดไม่น้อยเลยเชียว


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×