ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    M E S S A F T E R S T O R M "

    ลำดับตอนที่ #48 : สุริยะเคียงบัลลังค์ 4

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 34
      0
      26 ก.ค. 59


     

                “อยากได้แว่น....”

                ตะวันพึมพำออกมาอย่างเซ็งจิตสุดๆ สายตาของเธอสั้นสามร้อยกว่าเกือบสี่ร้อย เมื่อไม่มีแว่นมันก็ยากที่จะเห็น

                โดยเฉพาะตอนนี้ที่เธอหาหน่อไม้ในป่าไผ่!!

                 หลังจากที่เฟลการจับปลาเธอก็ตัดสินใจที่จะตรงมาที่ป่าไผ่นี้เพราะจำได้ว่าหนังสือที่เคยอ่านนั้นหน่อไม้มักจะขึ้นตรงป่าไผ่ คราวนี้แหละการ์ตูนความรู้ที่บอกไร้สาระมันช่วยให้เธอรอดได้ล่ะวะ!!

                “ประเด็นคือดูไม่เป็นนี่สิหน่อไม้ต้นไหนกินได้รึไม่ได้... หัวมันก็ดูไม่เป็นว่าไอ้ที่โผล่พ้นดินมามันเป็นยังไง แครอท หัวไชเท้า ดูไม่เป็นสักอย่าง เท่าที่เดินรอบๆนี่ผลไม้ก็ไม่มี ป่าบ้าอะไรวะเนี่ย....”

                คงต้องลองปีนต้นไม้ดูว่าแถวนี้พอมีผลไม้รึอะไรพอกินบ้าง

                “มันจะมีแจ็คพ็อตเจอไร่ข้าวแบบในการ์ตูนบ้างรึเปล่าวะ.. พวกนั้นมันไม่มีเขียนด้วยว่าแปรงฟันยังไง โอ๊ยยยยยย!!!” ขนาดเมื่อเช้าน้ำลูบๆบ้วนๆเป็นร้อยรอบจนเหงือกในปากแทบยุ่ยมันก็ยังไม่ใช่! 

                อยากแปรงฟัน...

                !!!?

                และนั่นทำให้เธอนึกขึ้นได้ ว่าเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ที่นี่ที่ไหน ทีสำคัญ เธอจำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียวกับเหตุการณ์ก่อนที่เธอจะรู้สึกตัวกลางหนองน้ำนั่น

                “ช่างแม่งเอาตัวรอดตอนนี้ให้ได้ก่อนดีกว่า แกยังมีคนป่วยคนเจ็บต้องดูอยู่นะตะวัน” เธอตัดสินใจที่จะปลอบใจตัวเองแบบนั้น เธอลงมือขุดหน่อไม้ออกมาจากที่เห็นเพราะดูไม่เป็นว่าต้นไหนกินได้รึไม่ได้ เมื่อได้มาสิบกว่าหัว เธอก็กลับก่อนจะโยนโครมลงไปข้างกองผิงก่อนจะนั่งลงอย่างเหนื่อยอ่อน อยากจะถามเหวินเจี้ยนว่าดูเป็นรึเปล่าก็ถามไม่เป็น สุดท้ายก็ตัดสินใจลุกขึ้นก่อนที่จะหอบหน่อไม้ทั้งหมดไปล้างที่แม่น้ำ

                “Xiǎoyáng

                “หือ??” เธอรับคำก่อนจะหันไปมองเหวินเจี้ยน “ว่าไงเหวินเจี้ยน”

                ชายหนุ่มชี้มาที่เธอ ทำให้เธอชี้ที่ตัวเองงงๆ เพราะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะสื่ออะไร เหวินเจี้ยนทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ส่ายหัว ตะวันเลิกคิ้วงงก่อนจะลูบศีรษะตัวเองด้วยความสงสัย ถ้าไม่มีอะไรจะเรียกทำไมวะ? แต่เธอก็ปัดมันทิ้งก่อนจะเดินไปที่หนองน้ำ ล้างเศษดินออกอย่างสะอาดก่อนจะขนกลับ เธอลองแบ่งออกมาสี่ต้น โดยที่สองต้นตั้งไว้ข้างๆกองไฟ และอีกสองต้นเสียบไม้ นั่งลงและถือไว้เหนือกองไฟ

                “มาดูกันว่าแขนฉันหรือไอ้หน่อไม้ที่จะสุกก่อน!” เธอต้องถือไว้ระดับศีรษะ เพื่อที่ไม่ให้หน่อไม้ต้องไหม้ไปในกองเพลิงเสียก่อน แต่เพราะว่าต้องถือไว้สูงทำให้เมื่อยเร็ว เธอจึงตัดสินใจยืนขึ้นแทนและไว้ระดับอก เหงื่อไหลซึมอกมาเพราะยืนอยู่ข้างกองไฟ แต่เธอก็ยังยืนถืออยู่แบบนั้น

                มาดูกันว่าไอ้ที่เธอต้องเล่นยกน้ำหนักมาเป็นปีๆจะมาตายเพราะไอ้การย่างหน่อไม้!!

                “แต่นั่นมันไม่มีไฟระยะเผาขนนะโว้ยนี่จะให้ฉันอบซาวน่าลดน้ำหนักรึไง! มันดูยังไงวะเนี่ยสุกไม่สุก!

                “Xiǎoyáng

                “อะไรเหวินเจี้ยนฉันยุ่งอยู่นะ! เหงื่อที่เข้าตาเธอทำให้มองเห็นไม่ค่อยชัด แต่จู่ๆการที่แขนตัวเองโดนจับไว้จากอะไรบางอย่างจนสะดุ้งสุดตัวจนเผลออุทานออกมาพร้อมเอาหลังมือข้างที่โดนจับฟาดกลับไปเต็มๆแบบไม่ดูว่านั่นคืออะไร

                “อ่า....”

                ชิบหายล่ะเธอตบหน้าเหวินเจี้ยน!!

                “เอ่อ.. ตุ้ยปู้ฉี่.... พอดีฉันคิดว่ามันเป็นงู....”

                นั่นเป็นคำที่เธอเรียน ไม่สิ รื้อฟื้นมาจากที่เขาพูดเมื่อไม่กี่นาทีหรือชั่วโมงก่อน นั่นแหละที่เธอกำลังนึกเมื่อวานว่าภาษาจีนคำนี้มันเรียกว่าไง

                แต่เดี๋ยวนะ...

                ไหงคนป่วยโดนแทงไข้แดกมันถึงลุกมาได้ไงวะ!!

                “โอเค.... ตอนนี้แหละแกต้องมาตุ้ยปู้ฉี่ฉัน!” ตะวันยิ้มเหี้ยมแล้วโวยใส่ทันที “ใครใช้ให้แกลุกขึ้นมาน่ะหายาไม่มีอะไรก็ไม่มีคิดว่าพยาบาลแกมันง่ายนักรึไงแกขยับแบบนี้คิดว่าเมื่อคืนฉันนั่งเช็ดไข้นั่งเช็ดแผลนั่งต้มน้ำให้แกมันง่ายรึไงวะตาฉันก็มองไม่ชัดสื่อสารกับแกก็ยากฉันไปนั่งจับปลาขุดหน่อไม้เพื่ออะ...ไร.....”

                เดี๋ยวนะ... หน่อไม้!!!

                “นรกเหอะหน่อไม้ฉัน!!” ตะวันสบถออกมาเมื่อในมือเธอตอนนี้เหลือหน่อไม้แค่มือข้างเดียว ขณะที่อีกมือหนึ่ง..... อยู่ในกองเพลิงนั่นไง!

                “โอ๊ยฉันอยากจะบ้า....” ตะวันแทบร้องไห้ก่อนจะมองหน่อไม้เสียบกิ่งไม้ที่เหลืออยู่ในมือที่มีรอยไหม้บ้าง “.....มันกินได้รึเปล่าวะสรุป”

                “Xiǎoyáng...”

                “แปปนะเหวิ่นเจี้ยน” เธอบอกทั้งที่ตายังไม่ละไปจากหน่อไม้ในมือ ก่อนที่เธอจะหยิบกริชออกมาแล้วนั่งลงตรงนั้น ก่อนจะดึงเอาหน่อไม้ออกจากกิ่ง “โอ่ยร้อน แบบนี้น่าจะสุกนะ อย่าให้ไหม้นอกดิบในก็แล้วกัน แล้วมันแกะยังไงวะ...”

                เธอลองเอามีดแงะๆตรงเปลือกออก แต่ดูมันปอกง่ายกว่าที่คิด เธอมองมือตัวเองก่อนจะตัดสินใจใช้มือดึงเอาเปลือกนอกออกมาแทนที่จะใช้มีดลอก เหมือนจะได้ยินเสียงเรียกจากเหวินเจี้ยนแต่ใช่ว่าเธอจะใส่ใจ เธอดึงออกจนเห็นต้นอ่อนหน่อข้างใน แต่เท่าที่ดูมันยังดิบอยู่ เมื่อลองกัดไปก็ต้องถุยทิ้งโดยพลัน เพราะมันดิบจริงๆ!

                “ต้มดีกว่ารึเปล่านะ... แล้วจะต้มยังไงล่ะ... ปิ้งนี่แหละ! เธอตัดฐานหน่อไม้ออกเพื่อที่จะได้เสียบง่ายๆ แต่เธอไม่รู้หรอกว่านั่นเป็นวิธีที่ถูกต้องในการตัดหน่อไม้ แม้จะมีทำสลับกันเพราะอันที่จริงนั้นต้องตัดฐานก่อนและลอกเปลือกออก เธอเสียบก่อนจะย่างไฟอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอตัดสินใจปักไม้เสียบหน่อไม้ไว้และลอกเปลือกอันที่วางไว้ข้างกองไฟรวมถึงอันอื่นๆด้วย เธอจมกับการปอกหน่อไม้ครั้งแรกในชีวิตอย่างเมามันโดยลืมไปแล้วว่าเธอมีคนเจ็บที่เธอจะดูแล และคนเจ็บคนนั้นตอนนี้กำลังนั่งมองเธอหลายอารมณ์

                เธอตบหน้าเขา แม้ตอนแรกจะขอโทษแต่ทำไปทำมาเธอก็ด่าเขา เธอสั่งเขา และตอนนี้เธอก็กำลังเมินเขา

                เธอเมินเขาเพราะเห็นหน่อไม้สำคัญกว่า

                “เหวินเจี้ยน” เธอเรียกออกมาพลางยื่นหน่อไม้ที่เสียบไม้ให้ ก่อนจะเห็นหน้าด้านหนึ่งของเหวินเจี้ยนแดงเป็นปื้น เธอหน้าจ๋อยลงเพราะนึกขึ้นได้ ตะวันจิ้มแก้มตัวเองเบาๆก่อนจะชี้ไปที่แก้มอีกฝ่ายแล้วบอก “เอ่อ.... ตุ้ยปู้ฉี่....”

    ….Méiguānxì

    “มันหมายความไง?” เธอขมวดคิ้วมุ่น เพราะคำนี้ไม่เคยอยู่ในสมองของเธอเลย เพราะงั้นนี่เป็นคำใหม่ แต่เหวินเจี้ยนกลับพูดขึ้นมาอีกคำ

    Kǎo zhúsǔn

    “ฮะ???” ตะวันยิ่งงงกว่าเก่า เข่าสูสุ่นอะไร?

    เหวินเจี้ยนชี้มาที่หน่อไม้ปิ้งในมือเธอ ก่อนจะชี้ไปยังหน่อไม้ดิบแล้วพูดอีกครั้ง แต่คนละคำ “Zhúsǔn” เขาชี้มาที่หน่อไม้ในมือเธออีกครั้ง แล้วว่า “Kǎo zhúsǔn

    เธอหันมามองตามก่อนจะชูหน่อไม้เสียบในมือแล้วพูดตาม “เข่าสูสุ่น?”

    เหวินเจี้ยนส่ายหน้า “Zhú - sǔn

    “สูสุ่น”

    Zhú - sǔn

    “จู๋... สุ่น? ตะวันสบถออกมา ซึ่งเหวินเจี้ยนพยักหน้า ก่อนที่เธอจะชี้ไปที่หน่อไม้ดิบที่เธอปอกทิ้งไว้แล้วพูด “จู๋สุ่น?”

    ชายหนุ่มพยักหน้าอีกครั้ง

    “จู๋สุ่นคือหน่อไม้สินะ...” เธอพึมพำ “ส่วนเข่าจู๋สู่น... ปิ้งย่าง? หน่อไม้ปิ้ง? น่าจะใช่มั้ง

    เย็นไว้ตะวัน แค่แกอย่าย้ำคำแรกนั้นก็ไม่ต้องคิด อย่าคิดลึกเธอยิ้มร่าออกมาพยายามลืมสิ่งที่ตัวเองคิดก่อนจะยื่นหน้าไม้ปิ้งในมือให้กับเหวินเจี้ยน ก่อนจะว่า “เข่าจู๋สู่น!!

    เหวินเจี้ยนรับมา มองเล็กน้อยอย่างชั่งใจ ก่อนจะตัดสินใจกัดคำเล็กๆ พร้อมว่า Xièxiè

    “อือฮึ ไม่เป็นไร ปู้ๆ” เธอว่าเสียงใสอย่างอารมณ์ดี ก่อนที่จะหันไปหาไม้เสียบมาอีกสักอัน หรือว่าบางทีเธอควรลองย่างบนหินดู? แล้วจะไปหาหินใหญ่ๆมาเป็นฐานกับกระทะยังไงล่ะ? เธอไม่คิดว่ามันจะมีเหมือนในการ์ตูนที่หาอะไรก็หาได้ง่ายๆนะ

    Xiǎoyáng

    “หือ?” เธอหันมามองตาม ก็เห็นเหวินเจี้ยนที่กัดไปประมาณคำสองคำ ก่อนจะพูดต่อช้าๆ “Xièxiè – méishèr

    “หา??? เซี่ยเซี่ยกับ เหม่ยซื่อเอ้อ??”

    Méi - shèr

    “เหม่ยซื่อ...” ออกเสียงยากชิบหาย!! ซื่อ ซรื่อ ซื่อเอ้อ เซร่อ เห้อะไรวะเดี๋ยวก็เซ่อแม่ม!

    เหวินเจี้ยนดึงหน่อไม้ออกจากกิ่ง แต่ด้วยความร้อนเขาจึงสลับกับถือ ตะวันเห็นดังนั้นจึงวิ่งไปเด็ดใบไม้ใบใหญ่เรียบๆมาก่อนจะยื่นให้ ซึ่งเหวินเจี้ยนว่ามาอีกครั้ง Xièxiè” ก่อนที่จะผายมือมาที่เธอ

    “ฉัน??” ตะวันชี้ตัวเองแบบหน้างงมาก “อะไร? เฉินเมอ?”

    เหวินเจี้ยนชี้มาที่ตัวเอง ก่อนจะพูด “Xièxiè” และผายมือมาที่เธออีกครั้ง และพูด Méishèr

    ตะวันใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะเข้าใจว่าชายหนุ่มชาวจีนตรงหน้าต้องการจะสื่ออะไรกับเธอ เหวินเจี้ยนวางหน่อไม้ในมือตนบนใบไม้ที่เธอเอามาให้ ใช้ก้านที่เสียบหน่อไม้เมื่อครู่เขียนลงไปบนพื้นดิน เป็นตัวที่หน้าตาเหมือนกันสองตัว ส่วนอีกสามตัวนั้น เธอเดาไม่ออกจริงๆ เหวินเจี้ยนชี้ไปที่คำที่มีหน้าตาเหมือนกัน ซึ่งเธอถามขึ้นมาก่อนว่า “เซี่ยเซี่ย เหรอ?”

    เหวินเจี้ยนพยักหน้า ก่อนจะชี้มาที่อีกคำ แต่คราวนี้เขาเป็นคนอ่านแทรกออกมาพร้อมว่าเรียงคำ “méi - sh - èr, méishèr

    เธอเหมือนจะเข้าใจว่าไอ้คำเซ่อซ่านี่มันแปลว่าอะไร แต่ก็ยังไม่ค่อยมั่นใจเสียเท่าไหร่นัก ซึ่งความคิดนั้นมันออกมาทั้งสีหน้าและแววตา เพราะเขายื่นหน่อไม้ที่มีรอยกัดตรงข้างบนให้นิดหน่อย แต่นั่นคงให้ผลแย่กว่าเก่าเพราะตะวันหน้าเอ๋อทันทีพร้อมกับดันกลับ “เอามาให้ฉันทำไม ฉันปิ้งให้นายกิน ไม่ต้องกลัวฉันจะอด มีอีกเป็นสิบนั่นไง”

    ตะวันยิ่งงงใหญ่เมื่อเห็นสีหน้าของเหวินเจี้ยนที่ดูจะเหนื่อยกับอะไรบางอย่าง สรุปหมอนี่เดาที่เธอพูดได้รึเปล่าเนี่ย สุดท้ายแล้วชายหนุ่มก็ยอมรับหน่อไม้ปิ้งที่มีรอยกัดนิดหน่อยกลับมาและว่าอีกครั้ง “Xièxiè

    “อื้อ ไม่เป็นไร”

    méishèr

    “ฮะ?”

    Wǒ, xièxiè” เขาชี้มาที่ตัวเอง ก่อนจะมองมาที่เธอ “Nǐ, mèishèr

    “เหมยซื่อ...” เธอพึมพำ แล้วลองมองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าที่มองมาที่เธออยู่ก่อนแล้ว เธอขมวดคิ้วเหมือนกับคิดอะไรอยู่ก่อนจะลองว่าพร้อมโค้งตัวเล็กน้อย “เซี่ยเซี่ย”

    เหวินเจี้ยนโค้งตัวกลับพร้อมกับพูด “Mèishèr

    “โอเค ฉันเข้าใจแล้ว” ตะวันยิ้มร่าออกมา “เหมยซื่อ แล้วมี เอ้อ ในลำคอนั่นคือคำว่าไม่เป็นไรภาษาจีนสินะ เซี่ยเซี่ยเหวินเจี้ยน”

    Mèishèr

    เหวินเจี้ยนสอนภาษาให้เธอ สารภาพว่าตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกอยากเรียนขึ้นมานิดหน่อย นิดหน่อยจริงๆเพราะยังไงเธอก็ขี้เกียจจำอักษรจีนอยู่ดี แต่ที่อยากเรียนตอนนี้เพราะเวลาคุยแบบนี้มันสนุกน่ะสิคาดเดาว่าอีกฝ่ายสื่ออะไรผ่านทางกิริยาท่าทางและน้ำเสียง แน่นอนว่าที่สอนแบบนี้ก็ต้องดูท่าทางด้วยว่าถูกรึไม่ถูก

    แล้วคิดยังไงถึงได้มาสอนล่ะ?

    Xiǎoyáng

    “จ๋า?” ตะวันรับคำอย่างอารมณ์ดี และไม่รู้ว่าคำนั้นมันทำไม หรือสีหน้าเธอมันเป็นยังไง เพราะทันทีที่เธอรับคำและหันไปมอง เหวินเจี้ยนที่นั่งเขียนอะไรอยู่ก็ชะงักและเงยหน้าขึ้นมามองเธอทันที เธอยิ้มร่ารออีกฝ่ายว่าหรือแสดงท่าทางอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าเขาก้มลงมองบนพื้นแล้วชี้ให้เธอดู

    “หือ? คำใหม่สองคำ” เธอก้มมองตาม เป็นคำสองคำที่มีอย่างละสามตัวอักษร เธอชี้ไปที่ตัวอักษรตรงกลางของคำแรกก่อนจะว่าออกมา ตัวเดียวที่เธอจำได้ “ปู้”

    เหวินเจี้ยนพยักหน้า ก่อนจะชี้ไปที่คำที่มีตัวอักษร ไม่’ อยู่ในนั้น ก่อนจะว่าออกมา “duì bù qǐ

    เมื่อเห็นว่าเธอพยักหน้าตาม เขาก็เลื่อนไปอีกคำที่เขียนข้างๆกัน เธอมองก่อนจะเห็นว่าตัวอักษรตัวแรกของคำนี้กับเหมยเซ่อเหมยซื่ออะไรนั่นเหมือนกัน ซึ่งคำตอบก็เป็นความจริงว่าเหวินเจี้ยนพูดว่า Méiguānxi

    “เหมยกวานซี...” เธอเงยหน้าขึ้นมองเหวินเจี้ยนเล็กน้อย คำนั้นมันคำที่อีกฝ่ายว่าตอนที่เธอบอกขอโทษนี่ เธอมองตัวอักษรบนพื้นก่อนจะแย่งไม้ในมืออีกฝ่ายมาแล้ววาดรูป เหวินเจี้ยนขมวดคิ้วมองเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้แย้งอะไร ซึ่งตะวันก็ใช้เวลาไม่กี่นาทีในการวาดก่อนจะชี้ให้ชายหนุ่มดู มีอยู่หกรูปและทุกรูปนั้นเป็นอะไรสักอย่างที่มีสองอัน เธอยิ้มแห้งๆออกมาก่อนจะพูดกับตัวเองเบาๆ “ฉันมีปัญญาแค่วาดคนไม้เสียบผีนี่แหละ...”

    ตะวันชี้ไปที่รูปแรก ซึ่งเป็นรูปที่แขนก้างปลาของคนขวานั่นเกี่ยวไปอีกฝั่งขณะที่อีกคนยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งเธอก็โบกมือหน้าเหวินเจี้ยนให้อีกฝ่ายสนใจเธอชั่ว่คราวแทนรูปบนพื้น ซึ่งเธอก็ทำท่าทางสะบัดมือใส่หน้าอีกฝ่าย ก่อนจะชี้มาที่ตัวเองพร้อมพูด “ตุ้ยปู้ฉี่” เธอชี้ไปที่รูปบนพื้นรูปสองที่คนขวายกมือประกบกันแล้วมีอีโม >o< อยู่บนหน้าพร้อมกับกล่องข้อความว่าง และเธอชี้ไปที่รูปสามที่คนซ้ายมีกล่องข้อความขณะที่ใบหน้าคนขวามีน้ำตาไหลออกมา ซึ่งเธอก็ชี้ไปที่กล่องข้อความนั้นพร้อมบอกว่า “เหมยกวานซี”

    คราวนี้เธอเลื่อนลงมาอีกบรรทัด รูปแรกนั้นเป็นคนขวายื่นปลาให้กับคนซ้าย รูปที่สองคือคนซ้ายมีกล่องข้อความ ซึ่งเธอเอ่ยคำว่า “เซี่ยเซี่ย” ออกมา และรูปสุดท้าย เธอชี้ไปที่กล่องข้อความว่างของคนขวาที่มีหน้ายิ้มกว้างอยู่ ซึ่งเธอก็หันมามองหน้าเหวินเจี้ยนพร้อมกับพูดว่า “เหมยซื่อ”

    ดวงตาสีดำเป็นประกายวาวเมื่อรอคุณครูจำเป็นอนุมัติว่าสิ่งที่เธอเข้าใจนั้นถูกต้อง เหวินเจี้ยนที่เลิกคิ้วและพิจารณารูปก้างปลาของเธอเงียบไปสักระยะ ก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วพยักหน้าพร้อมยิ้มบางๆ

    “ฮ่าๆๆ เห็นฝีมือไอ้ตะวันรึยัง ระดับนี้แล้ว” เธอหัวเราะออกมาเสียงดังแบบไร้มาด “สรุปสองคำนั้นมันหมายความว่าไม่เป็นไรเหมือนกันสินะ ภาษาจีนยุ่งยากเป็นบ้า ใช้คำเดียวไม่ได้รึไง”

    Xiǎoyáng

    “จ๋าจ้ะ?” คำขานนั้นทำให้เหวินเจี้ยนหันมามองอีกครั้ง ก่อนที่จะชี้ไปที่รูปที่มีขีดๆอยู่บนหน้า ไม่ทันที่เขาจะถาม(และสมองเธอไม่พร้อมจะเรียนเพิ่ม) เธอก็บอกว่า “อ๋อ นั่นร้องไห้ไง” เธอวาดหน้าโกรธกับปากหยักๆไปเหนือคนด้านซ้าย ก่อนจะชี้ที่คนขวา “ร้องไห้เพราะกลัวโกรธ แต่คนนี้บอกว่า เหมยกวานซี ก็หมายความยกโทษให้ รึจะบอกว่าฉันเข้าใจผิด? ว่าเหมยกวานซีเป็นคำด่ารึบอกไม่ยกโทษให้รึไง? งั้นหมายความว่านายไม่ยกโทษให้ฉันเหรอเหวินเจี้ยน?”

    หน้าของเหวินเจี๋ยนนิ่งสนิทก่อนจะถอนหายใจออกมา ตะวันขมวดคิ้วก่อนจะคิด ตามปกติแล้วคนไม่รู้จักกันบอกขอโทษ ถ้ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่มากมันก็ต้องยกโทษให้ แต่เดี๋ยวก่อนถึงเธอกับเหวินเจี้ยนจะ พอรู้จัก’ กันบ้าง แต่ก็ไม่ถึงวัน แถมเธอไปตบหน้าเขา หรือแม่งจะไม่ยกโทษให้วะ!! ไม่ยกโทษให้เธอก็ไม่ง้อโว้ยง้อภาษาจีนไม่เป็นอีกอย่างความผิดหมอนี่เองนะที่ดันลุกออกมาจากที่..นอน

    “เหวินเจี้ยน!!!

    ชายหนุ่มที่กินหน่อไม้ไปเพียงเล็กน้อยหันมามอง ก็พบกับสีหน้าทะมึนทึงของตะวัน เธอเพิ่งจะสังเกต หมอนี่ลงจากฟูกหญ้าแห้งแล้วมานั่งข้างเธอแล้วมันจะมาทำไมเธอไม่รอช้าดันอีกฝ่ายล้มตัวนอนจนเหวินเจี้ยนเท้าแขนด้านหลังเกือบไม่ทัน เธอจ้องเขม็งไปที่บาดแผลช่วงท้องที่โชคดียังไม่เปิดจนเลือดไหลอีกครั้ง เธอตวัดสายตามามองเจ้าของร่าง จิ๊ปากใส่ก่อนจะหันมาพิจารณาบาดแผลต่อ

    “เข็มไม่มี... มันน่าจะเย็บได้นะ หรือเอาไฟลนให้เลือดหยุดก็น่าลอง.. แต่เลือดมันหยุดไปแล้วนี่ และถ้าให้มันปิดนี่ใช้ไฟลนมันจะเคลื่อนมาปิดกันรึเปล่าวะ? ไม่ๆๆ ถ้าเกิดเหวินเจี้ยนเป็นเนื้อไหม้ขึ้นมามันจะส่งกลิ่นให้ตัวอะไรต่อมิอะไรมาจากรอบป่าน่ะสิ”

    แม้จะฟังที่เธอบ่นพึมพำไม่รู้เรื่อง แต่ไม่รู้ทำไม ชายหนุ่มรู้สึกหนาวสันหลังขึ้นมาราวกับมีคนปองร้ายอย่างไรอย่างนั้น เขาก้มมองสตรีที่ขมวดคิ้วทำปากขมุบขมิบก่อนจะถอนหายใจออกมาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม

     



    อีกด้านหนึ่ง ห่างไกลพอสมควรจากจุดที่เหวินเจี้ยนและตะวันอยู่

    “ยังหาไม่เจออีกงั้นรึ?”

    “ขอรับ”

    ชายหนุ่มร่างสูงกำยำกดคิ้วลงอย่างคนใช้ความคิด ก่อนจะตวัดไปมองคนพูดเมื่อได้ยินประโยคหนึ่งว่า “หรือฝ่าบาทจะ...”

    “อย่าบังอาจพูดพล่อยๆ” ดวงตาคมกริบดั่งอินทรีย์มอง ขณะมองแม่น้ำที่ไหลอยู่ตรงหน้าก่อนจะสั่ง “ลองตามแม่น้ำนี้ไป ข้าว่าพระองค์ยังมีชีวิตอยู่”

    “ขอรับ ท่านแม่ทัพหลี่”

    ชายหนุ่มผู้นำทัพที่มือหนึ่งอุ้มเกราะศีรษะไว้แหงนหน้ามองท้องฟ้า สุริยันสาดแสงสว่างราวกับอวยพร ก่อนที่เขาจะพึมพำกับตัวเอง “ท่านไปอยู่แห่งใดกันฝ่าบาท...”


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×